'อยู่กับเพื่อน' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากคนไม่มีเงา
สมัยหนุ่มผมอยู่แถววงศ์สว่าง ใกล้สถานีรถไฟบางซ่อน เพิ่งจบช่างกลยังหางานทำไม่ได้ ทำงานบ้านเสร็จก็นอนเขลง บางวันก็ไปหาเพื่อนแถวพระรามหก เตาปูน แต่บางวันก็ไปที่อู่รถศิริมิตร พ่อเป็นนายท่า แม่ขายขนมอยู่หน้าอู่ ตกเย็นก็ช่วยแม่เก็
ไม่ใช่ว่าแถวนั้นไม่มีมิจฉาชีพนะ แต่ผมฝากบ้านกับตาแขกไว้น่ะซี!
ตาแขกอายุราว 60 ปีเห็นจะได้ แกดำเป็นแขก ผอมสูง หน้า`ตัวเงินตัวทอง`ม นัยน์ตาพอง สักยันต์เกือบเต็มตัว เด็กๆ ร้องไห้งอแง พอโดนขู่ว่าจะให้ตาแขกจับตัวเป็นเงียบ กริบทุกคน ทั้งๆ ที่แกใจดี ชอบหัวเราะหึๆ เป็นประจำ
ชายชราอยู่คนเดียวในบ้านไม้เตี้ยๆ หลังคามุงสังกะสี เมียแกตายไปหลายปีแล้ว ลูกๆ ก็แยกย้ายไปทำงานในกรุงบ้าง ต่างจังหวัดบ้าง นานๆ ถึงจะมาเยี่ยมซักที แต่ ตาแขกไม่เดือดร้อนอะไร...แกเคยบอกผมด้วยซ้ำว่าอยู่คนเดียวสบายใจดี
บ้านตาแขกมีทั้งไม้ใหญ่และไม้ล้มลุกแวดล้อม จากลานกว้างเข้าไปมีสุ่มไก่ที่แกเลี้ยงไก่ชนไว้ดูเล่น นอกนั้นเป็นฝูงไก่ที่คุ้ยเขี่ยหากิน ตกค่ำมันก็บินพึ่บๆ ขึ้นไปนอนบนค่าคบไม้กันหมด
อ้อ! มีหมาดำปลอดตัวหนึ่ง เขี้ยวยาวโง้งเชียว ชอบเห่าขรมจนผมได้ยินยังสะดุ้งโหยง
ตกค่ำ ย่านนั้นค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว น่าวังเวงใจเอาการ แม้ว่าข้างขึ้นจะมีแสงจันทร์ขาวนวล สายลมพัดวู่หวิว คร่ำครวญไปตามสุมทุมพุ่มไม้ ทำให้ไม่อยากโผล่หน้าไปมอง
บ่ายวันหนึ่ง แสงแดดยังเจิดจ้า ผมไปหายิงนกยิงหนูด้วยหนังสติ๊กแถวบ้านตาแขก แกเห็นเข้าก็กวักมือเรียกให้ไปกินส้มเขียวหวานบางมดที่แคร่หน้าบ้าน...
จู่ๆ ชายชราก็เล่าเรื่องน่าขนหัวลุกให้ฟัง!
เมื่อคืนนี้เอง แกฝันว่าอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้ รอบตัวมีแต่ความอ้างว้าง มีชายผู้หนึ่งนั่งอยู่ตรงข้าม...ตอนแรกแกบอกว่าตกใจจนแทบตะโกนโวยวาย เพราะชายผู้นั้นคือตัวแกนั่นเอง ต่างคนต่างจ้องมองกัน ฝ่ายนั้นนิ่งสงบ แต่ ตาแขกกลัวแทบเป็นบ้า...เพราะคนที่แกจ้องมองอยู่นั้นคือศพชัดๆ
แต่ศพ-หรือตัวแกเองแท้ๆ ก็พูดจาด้วยเสียงปกติ ชัดถ้อยชัดคำจนได้ยินถนัดชัดเจน
'เราแค่มาอาศัยเขาอยู่เท่านั้นแหละแขกเอ๋ย...ใช้สอยเขามาตั้งแต่จำความได้จนถึงแก่เฒ่าป่านนี้ ไม่ช้าเราก็ต้องทิ้งเขาไป...เออ! หรือจะเรียกว่าเขาทิ้งเราก็ได้นะ เพราะเหน็ด เหนื่อยมานาน...บอบช้ำทรุดโทรมเต็มทีแล้ว'
'ใคร...เราอาศัยใครอยู่?' ตาแขกย้อนถามเสียงแหบแห้ง แต่ฝ่ายนั้นกลับหัวเราะเบาๆ อยู่ในลำคอคล้ายจะนึกปลงอนิจจัง
'ก็ร่างกายนี่น่ะซี...ของเราเมื่อไหร่ล่ะ? อีกไม่ช้าเราก็ต้องทิ้งร่างนี้ไปแล้ว'
ตอบพลางลูบไล้ท่อนแขนตัวเอง ตาแขกเพิ่งสังเกตว่ามันเหี่ยวแห้งราวกับมีแต่หนังหุ้มกระดูก หน้าตาดำเกรียมก็ยับย่นด้วยกาลเวลา เสียงพูดจาแหบปร่าลงไปทุกขณะ
'เราอยากกิน อยากเที่ยวเตร่ เราก็ใช้เขา เราอยากทำงาน อยากหาความสุขต่างๆ นานา เราก็ใช้เขาอีก! ก่อนนั้นเขาทำตามที่เราสั่ง เราต้องการทุกอย่าง แต่คิดไหมว่าเราใช้สอยเขาหนักเกินไป ไหนจะทั้งเหล้าทั้งบุหรี่ ไหนจะหักโหมไม่บันยะบันยังไอ้เรื่องที่เรานึกสนุกสารพัด เดี๋ยวนี้เป็นไงล่ะ?'
'ก็มีเบาหวาน ตับไม่ดี ปวดหลัง ปวดข้อ ตาชักมัว หูก็ตึงไปถนัด ทำอะไรนิดๆ หน่อยๆ ก็เหนื่อยแล้ว หอบฮักๆ มืดหน้าตาลายไม่เหมือนสมัยก่อน'
มีเสียงทอดถอนใจยาวเศร้าๆ ดังขึ้น
'นั่นน่ะซี แล้วเราจะอยู่กับเขา ใช้สอยเขาไปได้อีกนานแค่ไหน แขกเอ๋ย...ไม่ช้าเขาก็สิ้นแรงกายใจ หมดลม เน่าเปื่อยหรือกลายเป็นเถ้าถ่าน เราก็ต้องซมซานออกไปหาที่อยู่ใหม่อีกแล้ว...'
'เดี๋ยวก่อน! เรามาจากไหน? แล้วจะไปอยู่ที่ไหน?'
'ใครจะไปรู้เล่า? รู้แต่ว่าวันหนึ่งก็ต้องถึงคราวตายกันทุกคน เราออกจากร่างนี้จะไปอยู่ที่ไหนก็ไม่รู้? บางคนดื้อดึงไม่ยอมออกจากร่างที่แข็งทื่อไปแล้ว...ข้ามาบอกให้เอ็งรู้ตัว เตรียมตัวไว้แต่เนิ่นๆ เท่านั้นเอง'
ตาแขกเล่าว่าแกตกใจตื่นขึ้นมาก็ครุ่นคิดอยู่เป็นนาน พอดีเห็นผมมาหายิงนกก็เลยเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเท่านั้นเอง ผมลุกขึ้นลาแกกลับบ้าน แต่แล้วก็ต้องยืนตะลึงอยู่กับที่เมื่อเห็นตาแขกไม่มีเงา! หันหลังได้ก็เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิต...อีกราว 6-7 วันต่อมาก็รู้ข่าวว่าตาแขกนอนหลับตายไปแล้ว
ความฝันเป็นลางบอกเหตุ หรือคนไม่มีเงาจะเป็นลางร้ายก็ไม่รู้ แต่เมื่อผมอายุมากขึ้นก็เริ่มคิดได้...
เราทุกคนล้วน 'อาศัยเขาอยู่' จริงๆ ถึงจะเนิ่นนานจนกลายเป็นเพื่อนเก่าแก่ สนิทสนมกันแค่ไหน วันหนึ่งก็ต้องถึงวันจำพรากจากกันจนได้ จริงไหมครับ?'
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์ ข่าวสด