เอ่ยถึงคลองบางระมาด ย่านตลิ่งชันเมื่อ 20-30 ปีก่อน แทบจะไม่มีใครรู้จักก็ได้ค่ะ แต่มาถึงสมัยนี้บ้านเมืองเจริญขึ้นผิดตา คลองลัดมะยมที่อยู่ใกล้ๆ กันก็ถึงกับติดตลาดนัดเสาร์อาทิตย์ มีของกินของใช้ ไม้ประดับ รวมทั้งผลหมากรากไม้สดๆ จากสวนมาวางขายในสนนราคาย่อมเยา
ลูกค้าส่วนใหญ่ขับรถขับรามาจากต่างถิ่นกันทั้งนั้นแหละค่ะ
พวกผู้ใหญ่ท่านเล่าว่าชุมชนใหญ่อย่างวัดจำปา ตลิ่งชันนี่มีมาตั้งแต่สมัยอยุธยาแล้ว ถือว่าเป็นชุมชนใหญ่ จากวัดโพธิ์เดินไปทุ่งนากลางทุ่งจะเห็นเจดีย์ศรีประวัติ จังหวัดนนทบุรี หรือถ้าขึ้นต้นตาลก็จะมองเห็นภูเขาทองและสนามหลวงได้ชัดเจนทีเดียว
สมัยเด็กๆ ครอบครัวดิฉันก็อยู่ข้างคลองบางระมาดนั่นเอง ไหนจะใช้อาบกิน ทำสวนและอาศัยในการล่องเรือเดินทางเพราะไม่มีถนนตัดผ่านละลานตาเช่นทุกวันนี้
หน้าน้ำหลากพวกเด็กๆ จะสนุกสนานกับการเล่นน้ำจนตัวดำเป็นเหนี่ยง ดำผุดดำว่ายเล่นไล่จับ หมาเน่าลอยน้ำ แข่งกันดำอึดดำทน หรือไม่ก็ข้ามฟากไปถึงตลิ่งโน้นที่มีแต่พงอ้อกอหญ้ารกทึบ ที่ใต้ต้นหว้าริมตลิ่งมีเปลญวนทำด้วยผ้าขาวม้าเก่าๆ
ตอนบ่ายถึงเย็นมีเจ้าของคือน้าชื่นกับลูกชายวัย 2-3 ขวบ ชื่อน้องชัย มานั่งๆ นอนๆ ไกวเปลเล่นเป็นประจำ ทั้งรับลมเย็นๆ กับดูพวกเด็กๆ เล่นน้ำกันอย่างมีความสุข
น้องชัยเคยดิ้นรนจะไปดูพวกเราเล่นน้ำ ส่งเสียงหัวเราะร่าเริง ดังก้องไปในอากาศ...แต่แม่จะคว้าตัวขึ้นมาบนเปลจนได้
น้าชื่นใช้เชือกผูกโคนต้นไม้แล้วเหนี่ยวให้เปลแกว่งไกวตามใจชอบ พวกเด็กๆ อยากจะไปขอเล่นมั่งก็ไม่ได้ เพราะน้าชื่นกับลูกชายไม่ยอมลงจากเปลจนกว่าจะกลับ
เย็นหนึ่งก็เกิดเหตุร้ายขึ้น!
ขณะที่พวกเราเล่นแข่งว่ายน้ำข้ามฟากกัน เสียงตูม! ก็ดังมาเข้าหูแต่ไม่น่าสนใจเท่ากับเสียงร้องกรี๊ดสุดเสียง...พอหันขวับไปมองก็เห็นน้าชื่นกระโดดน้ำลงมาเรียกหาลูกชายที่กำลังผลุบๆ โผล่ๆ เล่นเอาพวกเราใจหายไปตามๆ กัน ร้องแต่ว่า...น้องชัยตกน้ำๆๆ
ร่างเล็กๆ นั้นทะลึ่งพรวดขึ้นมาหูตาเหลือกเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะจมหายไปต่อหน้าต่อตาของทุกคนที่จ้องมองตกตะลึง
พวกเรา 3-4 คนรีบว่ายเข้าไปหา น้าชื่นดำน้ำลงไปแล้วพลอยหายไปอีกคน ดิฉันใจเต้นตู๊มๆ ไม่รู้จะช่วยอะไรได้ ขณะนั้นเองชาวบ้านกลุ่มหนึ่งได้ยินเสียงร้องก็วิ่งเข้ามาดู บ้างกระโดดน้ำลงมาช่วย...แต่ทุกสิ่งทุกอย่างก็สายเกินไป!
ต่างคนต่างงมหาสองแม่ลูกอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง จึงได้พบศพของน้าชื่นกับน้องชัยจมอยู่ก้นคลอง...
น้าเอิบผู้สูญเสียลูกและเมียไปพร้อมๆ กัน บอกกับเพื่อนบ้านด้วยเสียงสะอื้นว่าไม่อาจจะทนอยู่ที่นั่นได้อีกต่อไป...หลังจากทำศพลูกเมียแล้วก็อพยพไปอยู่ที่อื่น
วิญญาณอันเจ็บปวดและทนทุกข์ทรมานของสองแม่ลูกก็กลับมา!
แม้ว่าจะไม่มีเจ้าของเปลญวนอีกต่อไป แต่ไม่มีใครกล้าไปนั่งๆ นอนๆ เล่นที่เปลนั้นเลย ได้แต่เมียงมองอย่างหวาดๆ บางครั้งก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อเห็นเปลว่างเปล่านั้นแกว่งไกวไปมาช้าๆ ทั้งที่ไม่มีสายลมพัดมาเลยแม้แต่น้อยนิด
หนักเข้าก็ไม่มีใครกล้าเฉียดกรายไปใกล้เปลนั่นเลย เวลาจะลงน้ำก็กระเถิบห่างออกไป...มีเสียงเล่าลือว่ามีคนเห็นน้าชื่นกับน้องชัยนั่งตัวแข็งทื่ออยู่ในเปล เล่นเอาต้องวิ่งเตลิดเปิดเปิงไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน
จนกระทั่งวันหนึ่ง...วันที่จะติดตาตรึงใจพวกเราไปจนชั่วชีวิตสลาย!
วันนั้นราวห้าโมงเย็น เราลงไปเล่นน้ำกันอย่างสนุกสนานประสาเด็ก ลืมเรื่องผีๆ สางๆ ไปชั่วขณะ แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน แสงแดดจางหายแต่แสงสว่างยังหลงเหลืออยู่ ใครบางคนกำลังแหงนหน้ามองขึ้นไปบนตลิ่งอันเป็นที่ตั้งของเปลญวน
สายตาทุกคู่มองไปเป็นตาเดียวกัน...คุณพระช่วย! น้าชื่นกับลูกชายกำลังนั่งอยู่ในเปลญวนที่แกว่งไกวไปมาช้าๆ ราวกับยังมีชีวิตอยู่
เสียงแผดร้องแสบแก้วหู พวกเราแตกฮือไปคนละทางสองทาง ต่างตะเกียกตะกายป่ายปีนขึ้นฝั่ง ครั้นหันไปเห็นภาพอุบาทว์นั้นก็ร้องวี้ดว้าย หล่นตูมลงน้ำไปอีก...กว่าจะขึ้นได้หมดก็ทุลักทุเลเต็มที บางคนร้องไห้โฮๆ เหมือนคนสติแตกไปแล้ว
ตั้งแต่นั้นมาเราไม่กล้าไปเล่นน้ำในคลองอีกเลย จนกระทั่งเปลผ้าขาวม้านั้นเปื่อยขาดไปตามกาลเวลา...
ชาวบ้านเชื่อกันว่าวิญญาณของสองแม่ลูกก็คงจะพลอยไปผุดไปเกิดแล้วละค่ะ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์