'ปาน' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากกระจกปลายเตียง
ดิฉันเคยได้ยินข้อห้ามเกี่ยวกับเคล็ด ลาง อาถรรพณ์ ที่ว่าอย่าตั้งกระจกเงาไว้ตรงปลายเตียง ดิฉันจึงอึ้งไปพักใหญ่เมื่อสามีพาไปดูห้องนอนใหม่ของเรา
แต่เดิมนั้น ตอนที่แต่งงานกันใหม่ๆ เมื่อสามปีก่อน ดิฉันย้ายนิวาสสถานมาอยู่กับสามีที่บ้านของเขาแถวฝั่งธนฯ ซึ่งเป็นบ้านใหญ่โตในเนื้อที่กว้างขวาง เขาเติบ โตที่นี่และผูกพันกับบ้านนี้มาก เรียกว่าอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาทั้งปู่ย่าตายายและพ่อแม่
สมัยเมื่อเขาเล็กๆ นั้น ที่นี่มีผู้คนมากมาย แต่เมื่อกาลเวลาผ่านไป คุณปู่คุณย่าคุณตาคุณยายก็ไปสวรรค์กันหมด...ถ้าเราไปอยู่ที่อื่น พ่อแม่ของเขาคงจะเหงาแย่
ตรงหลังบ้านมีพื้นที่ซึ่งทำเป็นสวนผลไม้ มีต้นมะม่วง ชมพู่ กล้วย ดอกไม้ไทยๆ ที่หอมจรุงใจ และสวนครัวของคุณย่า สิ่งที่น่ารักที่สุดคือเรือนคุณย่าที่เป็นบ้านหลังเล็กชั้นเดียวทาสีฟ้า สามีบอกว่ามันปลูกสร้างมากว่า 40 ปี พอคุณย่าเสียชีวิต บ้านนี้ก็ถูกรื้อออกเพราะเก่าโทรมเต็มที
ดิฉันซึ่งเคยมาเยี่ยมคุณย่าบ่อยๆ ยังรู้สึกเสียดายเลยค่ะ!
ต่อมา น้องสาวของสามีแต่งงาน และมาอยู่ที่บ้านเราเช่นกัน บ้านช่องดูจะคับแคบไปถนัด และยิ่งคิดไปในอนาคตว่าเราต่างก็ต้องมีลูกๆ สามีจึงตัดสินใจย้ายจากตึกใหญ่มาปลูกบ้านชั้นเดียวหลังเล็กๆ ในบริเวณเรือนเก่าของคุณย่า
ดิฉันชอบบ้านเล็กของเรามาก เพราะดูเป็นส่วนตัวและอยู่ท่ามกลางแมกไม้ เสียอย่างเดียวที่ถัดจากรั้วเราออกไปเป็นที่ว่าง ยังไม่มีใครมาปลูกบ้าน มันเป็นที่รกเรื้อ เคยมีผู้หญิงถูกทำร้ายเสียชีวิต ดิฉันออกจะหวาดๆ แต่สามีปลอบว่าไม่ต้องกลัวหรอกเพราะเรื่องมันเกิดขึ้นเมื่อสิบกว่าปีก่อน ป่านนี้คงไปเกิดแล้วละ...
อีกไม่นานเจ้าของที่ก็คงจะมาปลูกบ้านอยู่เหมือนกัน
บ้านใหม่ของเราเล็กก็จริงแต่มีห้องนอนสองห้อง ห้องรับแขก ห้องน้ำ ห้องทำงาน ครบถ้วน...จะมีที่ขัดใจอยู่แต่เรื่องน่าสยองนอกรั้วกับการตั้งกระจกไว้ปลายเตียง!
เรื่องกระจกนี่ช่วยไม่ได้จริงๆ ค่ะเพราะแบบบ้านบังคับ จะขยับขยายเปลี่ยนที่ไม่ได้เลยเชียว ดิฉันต้องทำใจให้ลืมๆ ความเชื่อนั้นไปซะ...ไม่เป็นไรหรอกน่า บ้านของเราแท้ๆ มัวแต่ยึดติดกับความเชื่อไร้สาระ เราจะหมดความสุขไปเปล่าๆ
ถ้าคิดว่าเรื่องผีๆ สางๆ สมัยนี้เป็นเรื่องเหลวไหลไร้สาระ จะมีก็แต่ในหนังกับหนังสืออ่านเล่นเท่านั้น คงจะช่วยความรู้สึกได้มากๆ เลยค่ะ
ที่จริงก็เกือบลืมสนิทไปแล้ว เพราะพอเราเอนตัวลงนอนเราจะมองไม่เห็นกระจกนั้นหรอก นอกจากจะผงกศีรษะขึ้นมาดู แต่จะเสียวไส้ตอนลุกจากหมอนขึ้นมานั่งมองไปที่กระจก มันกลัวค่ะ...กลัวจะเห็นอะไรหรือใครที่ไม่ใช่เราน่ะซีคะ!
ในห้องนอนใหม่นี่ ดิฉันเอาลูกสาวตัวน้อยวัยแค่ขวบเศษมานอนกับเราด้วย
คืนหนึ่ง ดึกมากแล้ว สามีไปกับเพื่อนยังไม่กลับ เขาโทร.มาบอกว่าจะกลับไม่เกินตีสอง ดิฉันง่วงตาจะปิดแล้ว ส่วนลูกสาวซึ่งหลับไปแต่หัวค่ำก็ตื่นมารอพ่อ แกลุกขึ้นนั่งขณะที่ดิฉันนอนหลับตา...อยู่ๆ แกก็หัวร่อต่อกระซิกกับใครบางคน ตอนแรกก็นึกว่าแกเล่นกับตุ๊กตาหมีในมือ แต่พอเหลือบดูก็เห็นแกหันไปทางกระจก
ด้วยสัญชาตญาณ ดิฉันผงกหัวขึ้นดู และเห็นเหมือนภาพหลอน...
ภาพในกระจกเป็นผู้หญิงผมยาว ผอมซูบซีด เธอปรากฏอยู่แค่วินาทีแล้วก็กลายเป็นเงาสะท้อนของตัวเอง...ผมสั้นและค่อนข้างเจ้าเนื้อ
ใจหายวาบ...เอาละซิ! อาถรรพณ์ที่เขาว่าเริ่มงานของมันแล้ว ดิฉันอยากเอาผ้าไปคลุมกระจกเพราะกลัวจะเห็นอีก แต่มันจะยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่
ดิฉันแน่ใจว่าตาไม่ได้ฝาด รู้สึกกลัวมาก กอดลูกไว้แน่น...จนชั่วโมงหนึ่งผ่านไป สามีกลับมาบ้าน อาบน้ำเข้านอน ห้องปิดไฟมืด ลูกอยู่ในอ้อมอก สามีหลับสนิท ดิฉันตาแข็งและกลัวผีในกระจกจนสุดบรรยาย...กลัวมันจะออกมาจากในนั้นน่ะซีคะ!
ราวค่อนรุ่งก็ผล็อยหลับไป และฝันค่ะ...
ในฝันนั้น ดิฉันเห็นคุณย่าเดินเข้าประตูห้องนอนมา แล้วเดินช้าๆ เหมือนลอยเข้าไปในกระจก พักหนึ่งท่านก็เดินออกมาอยู่ปลายเตียงดิฉัน นัยน์ตาและมุมปากมีรอยยิ้มปลอบโยน...บอกว่าเขาไปแล้ว! ไม่ต้องกลัวแล้วนะ
ทุกอย่างเหมือนจริงมากค่ะ ดิฉันเข้าใจว่าคุณย่าไปไล่วิญญาณนั้นไม่ให้มารบกวนเราอีก ท่านเป็นวิญญาณบรรพบุรุษที่คุ้มครองเราตลอดกาล
ตั้งแต่นั้นดิฉันไม่เคยเห็นสิ่งสยดสยองในกระจก อีกเลย...ว่าแต่ที่บ้านคุณมีกระจกเงาอยู่ปลายเตียงหรือเปล่าคะ
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์