เพราะความดุร้ายน่าสยดสยองของปีศาจทาง หลวงแท้ๆ ที่ทำให้ดิฉันกับเพื่อนเกือบต้องสังเวยชีวิตในวัยเบญจเพสให้กับมัน!
ถนนผีสิง! โค้งมรณะ! เป็นคำที่เราเคยได้ยินกันจนคุ้นหูแล้วใช่ไหมคะ?
โดยเฉพาะทางหลวงที่ผ่านจังหวัดต่างๆ ไม่ว่าเหนือ ใต้ ออก ตก รวมทั้งอีสานก็ล้วนแต่มีเรื่องราวของภูตผีเพราะอุบัติเหตุรุนแรงนับร้อยนับพันศพ ถ้ารวมทั้งประเทศก็อาจจะสะสมเป็นหมื่นๆ ศพแล้วก็ได้
ตัวตายแต่วิญญาณยังอยู่! ยังสิงสู่คอยหลอกหลอนผู้คนที่ขับรถผ่านมาจนทำให้เกิดอุบัติเหตุซ้ำๆ ซากๆ ตกเป็นข่าวในหนังสือพิมพ์และทีวี เห็นภาพแล้วต้องยอมรับว่าทั้งสลดหดหู่ระคนเสียวสยองอย่างบอกไม่ถูก
โดยเฉพาะในยามค่ำคืนเปล่าเปลี่ยว แสงไฟเยือกเย็น ถนนโล่งว่าง รถราที่ผ่านไปมาล้วนแต่ใช้ความเร็วสูงขนาด 110-120 กิโลเมตรต่อชั่วโมงขึ้นไปทั้งนั้น ล่ะค่ะ
อุบัติเหตุเกิดขึ้นบ่อยที่สุดและมากที่สุด!
กลางคืนน่ะเป็นเวลาของภูตผีปีศาจที่ออกมาหลอกหลอนมวลมนุษย์นี่คะ
ดิฉันเป็นคนกรุงเทพฯ นี่เอง และได้รับรู้จากญาติ มิตรว่าถนนในเมืองหลวงนี่แหละที่เกิดอุบัติเหตุมากที่สุดกว่าจังหวัดอื่นๆ
ถนนที่เคยครองอันดับหนึ่งเมื่อ 20 ปีก่อนคือถนนวิภาวดีรังสิต แต่ปัจจุบันคือถนนรัชดาภิเษก ตั้งแต่ต้นทางแถวอโศกดินแดง ผ่านแหล่งสถานบันเทิงคับคั่ง พุ่งผ่านสุทธิสาร ลาดพร้าว และหน้าศาลยาวเหยียดนั่นแหละค่ะ คือจุดอันตรายที่ผู้ใช้รถใช้ถนนพึงระวัง เป็นอย่างยิ่ง...โดยเฉพาะโค้งมรณะหน้าศาลอาญา!!
มีเสียงร่ำลือกันว่าผีดุหนักหนาสาหัสเป็นอันดับหนึ่งของกรุงเทพฯ ก็ว่าได้
มักจะหลอกหลอนผู้คนด้วยรูปแบบต่างๆ เช่น มีร่างขาวๆ วิ่งตัดหน้าบ้าง ร่างดำๆ มายืนโงนเงนอยู่ข้างถนนบ้าง เล่นเอาคนขับตกใจสุดขีด โดยเฉพาะคนขับรถประสาทอ่อนถึงกับหักหลบกะทันหัน พุ่งทะยาน ขึ้นไปบนเกาะกลางถนน บาดเจ็บสาหัสก็มี ถึงกับเสียชีวิตคาที่ก็มาก ไปตายที่โรงพยาบาลก็ไม่ใช่น้อยๆ
ที่น่าขนหัวลุกกว่านั้นก็คือ คนที่ขับรถมาคนเดียว พอเข้าโค้งมรณะก็เหลือบเห็นอะไรทางหางตา ครั้นหันขวับไปมองก็แทบช็อกคาที่ เพราะมีหญิงสาวผมยาว ขึ้นมานั่งเคียงข้างอยู่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แถมหันมายิ้มหวานจ๋อย ให้อีกต่างหาก
รายนี้ตกใจจนปั๊มเบรกหวิดยางไหม้ สาวสวยในยามรัตติกาลก็หายวับไป...นับว่ายังโชคดีที่ไม่มีรถแล่นตามหลังมาในระยะกระชั้นชิด ไม่งั้นอาจจะเกิดเรื่องร้ายกาจ สุดสยองเกินคาดเดาขึ้นก็เป็นได้ค่ะ
รายหนึ่งยิ่งน่ากลัวกว่านั้น คือ จู่ๆ ก็หันไปเห็นผู้หญิงหน้าตาเละเทะนั่งอยู่ข้างๆ แถมยังอ้าปากหัวเราะแหบโหยใส่ เล่นเอาสติแตก เหยียบคันเร่งกระโจนพรวดราวกับเหาะได้...ไปเบรกเอาเลยสะพานลอย รถตะกายขึ้นไปบนฟุตปาธ แต่ยังเคราะห์ดีที่เลยป้ายรถเมล์ไปแล้ว
ในที่สุด ดิฉันกับเพื่อนที่ทำงานด้วยกันแถวเอกมัย ก็เจอะเจอประสบการณ์สยองสุดขีดเข้ากับตัวเอง!
บ้านเราอยู่แถวคลองประปาใกล้ๆ กัน เป้ยนั่งรถมากับดิฉันทั้งไปและกลับแต่เราเคยคิดว่าไม่มีปัญหาอะไรเพราะเช้าไปเย็นกลับ แต่วันเกิดเหตุไปงานแต่งงานเพื่อนที่โรงแรมใกล้ๆ บริษัท...กว่าจะกลับได้ก็ปาเข้าไปเกือบสี่ทุ่มแล้ว
คืนนั้นตรงกับวันศุกร์พอดี ไม่ต้องสงสัยว่าถนน รัชดาฯ จะรถติดเป็นแพขนาดไหน...ติดยันสุทธิสารเกือบถึงลาดพร้าว มองเห็นศาลอาญาสูงตระหง่านใกล้เข้ามา...
โค้งมรณะ! ไม่ทราบว่าดิฉันคิดถึงเรื่องนี้ได้ยังไง? ก็พอดีได้ยินเสียงเป้ยร้องกรี๊ดๆ จนแตะเบรกโดยอัตโนมัติ ถามว่าเป็นอะไรไป...พร้อมกับหันไปมอง
คุณพระช่วย! ไม่ใช่เป้ยเพื่อนรักอีกแล้วที่นั่งอยู่นั่น แต่เป็นหญิงผมยาวหน้าเขียวอื๋อกำลังหันมาอ้าปากหวอ กลิ่นเหม็นเน่าตลบไปทั้งรถ...ดิฉันได้ยินเสียงตัวเอง กรีดร้อง ม่านตาลายพร่าเหยียบเบรกตัวโก่งจนรถเบียดกับฟุตปาธ ภาพสยองนั่นหายไปแล้ว...
เป้ยร้องไห้โฮ บอกว่านั่งอยู่ดีๆ ก็มองไปที่ต้นโพธิ์กลางเกาะ แต่แล้วก็เห็นมีอะไรบางอย่างพุ่งวูบเข้ามานั่งตักจนร้องกรี๊ดๆ ด้วยความตกใจ...ดิฉันมืออ่อนเท้าอ่อนแทบขับรถไม่ไหวไปเลยค่ะ
ใครจะว่าเราตาฝาดหรือประสาทหลอนก็ได้ แต่เราเห็นทั้งสองคนนะคะ...บรื๋อส์!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์