'ตี๋เล็ก' เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากผีโดนยิงเป้า
สมัยเด็กผมอยู่วัดอินทาราม ริมถนนเทอดไท ธนบุรี คนเก่าๆ เรียกกันวัดพระเจ้าตากบ้าง วัดกลางบ้าง เพราะอยู่ใกล้ๆ วัดเวฬุราชินกับวัดจันทาราม
ชาวบ้านร่ำลือกันว่าผีดุนักหนา!
มีวิหารหลวงพ่อดำ ซึ่งพระเจ้าตากสินอัญเชิญมาจากมหาชัย เมื่อยกทัพผ่านไปตีเมืองระยอง หลวงพ่อดำลงรักไว้แล้วแต่ยังไม่ได้ลงทอง อยู่ในศาลาวัดร้างแห่งหนึ่ง คิดว่าคงเป็นเพราะมีการศึกติดพัน ขากลับพระองค์จึงอัญเชิญมาไว้ในวัดนี้ด้วย
หลวงพ่อดำศักดิ์สิทธิ์มากครับ ครั้งหนึ่งมีลมพายุพัดกระหน่ำจนหลังคาวิหารพังทลายหมด แต่เกิดปาฏิหาริย์ที่หลังคายุบลงมาแล้วแหวกเป็นช่อง เหมือนกับมีอะไรป้องกันท่านไว้จนไม่ระคายเคืององค์ท่านเลย!
ชาวบ้านเรียกว่าหลวงพ่อดำจนติดปาก เคารพนับถือว่าท่านมีอิทธิฤทธิ์ทางแคล้วคลาด มีผู้เคารพเลื่อมใสไปกราบขอพรท่านทุกวัน
เคยมีพวกโจรดอดเข้าไปลักขโมยข้าวของในวัดตอนดึกๆ ล้วนแต่ต้องเผ่นหนีกันกระเจิง ร้องโหวกเหวกดังลั่นว่า โอ๊ย! กลัวแล้วหลวงพ่อ...ลูกเข็ดแล้ว ไม่ทำอีกแล้ว...บ้างก็ถึงกับล้มลุกคลุกคลาน วิ่งอ้าวหูตาเหลือก ร้องแต่ว่า...ผีหลอกๆ ช่วยด้วย...ผีหลอกแล้ว!
บางรายก็เพ้อคลั่งว่าเห็นพระบรมรูปพระเจ้าตาก ทรงพระแสงดาบพาดพระเพลา ลุกขึ้นกระทืบบาทเงื้อพระแสงจะฟาดฟัน ได้ยินเสียงฝีเท้าม้ากึกก้องเต็มสองหู ไม่ช้าก็ขาดใจตาย
ไหนจะมีนักโทษประหารที่โดนยิงเป้าอีกล่ะ!!
ในสมัยจอมพลสฤษดิ์ ธนะรัชต์ มีมาตรา 17 เป็นดาบอาญาสิทธิ์ ใครเป็นคอมมิวนิสต์, วางเพลิง, ข่มขืนฆ่า, ค้าเฮโรอีน ฯลฯ เป็นโดนยิงเป้าหมด โจรผู้ร้ายกลัวกันหัวหด
เคยมีคดีดังวางเพลิงตลาดพลู พี่น้องตระกูลหนึ่งถูกจับได้ว่าเป็นมือเพลิงเลยโดนม.17 สั่งปุ ปุ ปุ...หน้าวัดอินทารามก็กลายเป็นแดนประหารไป!!
พ่อเล่าว่าชาวบ้านร้านตลาดแห่มาดูกันแน่นขนัด ตรงกำแพงหน้าวัดติดริมถนนนั่นแหละครับที่เป็นลานประหาร ผู้คนเบียดเสียดกันรวนเร ตำรวจห้ามก็ไม่ยอมฟัง บางคนยังบอกว่านักโทษไม่ใช่ญาติบ้าง ไม่กลัวหรือไม่หวาดเสียวบ้าง
เมื่อเสียงปืนคำรามลั่น เลือดแดงฉานทะลักเต็มอกนักโทษชะตาขาด แถมสาดกระจายเต็มกำแพง คนปากแข็งก็เข่าอ่อน บ้างเรอเอิ๊กเดี๋ยวเดียวแล้วเป็นลมล้มตึงลงไปไม่รู้เนื้อรู้ตัว
กระสุนทะลุไปเจาะกำแพงวัดหลายสิบรู แถมยังโดนซุ้มหัวเสาหักป่นไปด้วย...ทางวัดต้องรีบจัดการล้างคราบเลือด ฉาบปูนและซ่อมหัวเสาอย่างรีบด่วน
ตอนดึกมีคนเห็นร่างตะคุ่มๆ ดำทะมึนยืนอยู่ตรงนั้น บางคนได้ยินเสียงร้องโอดโอยโหยหวนด้วยความเจ็บปวด บางคนก็ได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นคร่ำครวญดังวู่หวิวอยู่ในสายลม ผสมกับเสียงหมาหอนโหยหวนเยือกเย็น เล่นเอาวิ่งอ้าวตาเหลือกตาปลิ้นไปตามๆ กัน
เด็กๆ พวกผมชอบเข้าไปวิ่งเล่นแถวลานหน้าโบสถ์ตอนเย็นๆ เป็นประจำ แต่ไม่เคยเจอะเจออะไรน่ากลัวก็ทำให้ยิ่งได้ใจ
นอกจากพระเณรกับเด็กวัด ก็ยังมีพวกจรจัดหลายคน สารรูปไม่ต่างกับขอทาน เสื้อผ้าสกปรกขาดวิ่น ผมเผ้ายาวรุงรัง หน้าดำมอมแมมเห็นแต่ตาขาวๆ เท่านั้นเอง
ทั้งเหม็นสาบทั้งน่ากลัวบอกไม่ถูก!
พวกนี้ร่อนเร่ไปไหนๆ ตอนกลางวันก็ไม่รู้ พอตกเย็นก็กลับมานั่งๆ นอนๆ ตามข้างวัด ริมกำแพงทั้งด้านหน้าด้านหลัง บ้างก็ขอข้าวพระกินประทังชีวิต ขดตัวนอนตากยุงทั้งคืน ฝนตกก็หาอะไรคลุมหัววิ่งหลบฝนด๊กๆ น่าเวทนา...ไม่รู้ว่าเคยทำบาปกรรมอะไรไว้นะครับ
บางคนตอนค่ำนอนอยู่ดีๆ รุ่งขึ้นกลายเป็นศพไปแล้ว ทางวัดต้องช่วยสงเคราะห์เผาผีไม่มีญาติเอาบุญ
วันเกิดเหตุ พวกเราเข้าไปวิ่งเล่นแถวหน้าวิหารหลวงพ่อดำ พอใกล้ค่ำก็ทยอยกันออกทางประตูเล็กหน้าโบสถ์ เลี้ยวซ้ายจะออกประตูใหญ่ริมถนน ก็เลยเจอดีเข้าจังๆ
ร่างดำเมื่อม ผมยาวประบ่ายืนตระหง่านอยู่ตรงหน้า เพื่อนผมร้องจ้า...เงยหน้าขึ้นเห็นตาขาวๆ จ้องมอง กลิ่นสาบสางฉุนกึ้กจนเราวิ่งตื๋อไปตามๆ กัน รู้ทั้งรู้ว่าเป็นคนจรจัด แต่อารามตกใจเพราะใกล้ค่ำแล้วทำให้ใจฝ่อได้ง่ายๆ
จนกระทั่งมาหยุดยืนหอบแฮกๆ อยู่ใต้ซุ้มประตูวัด...
นรกเป็นพยาน! ร่างใครยืนจังก้า เลือดแดงฉานท่วมตัวส่งกลิ่นคาวคลุ้ง...มีเสียงร้องเฮ้ย! โฮ้ย! ฮ้าย...ดังระงมไปหมด ต่างคนต่างเผ่นอ้าวไม่คิดชีวิตไปตามๆ กัน
ภาพสยองนั้นยังติดหูติดตาผมมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ! บรื๋อออ....
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์