'มัธยันต์' เล่าเรื่องสยองขวัญจากบ้านผีสิง
ทินปีนรั้วเข้าไปเป็นคนสุดท้าย ฟ้าแลบแปลบปลาบจนมองเห็นตึกโบราณในดงไม้แวบหนึ่ง ก่อนที่เสียงคำรณคำรามจะดังสนั่นหวั่นไหวจนแทบหูอื้อ เหิมกับมิ่งสับตีนเร็วจี๋เข้าไปถึงหน้าตึกเรียบร้อยแล้ว..ดึกดื่นย่านชานเมืองที่ท้องฟ้ามืดทึบ พายุฝนไม่รู้จะโหมกระหน่ำลงมาเมื่อไหร่ ดูเหมือนจะเป็นโอกาสเหมาะเหม็งสำหรับพวกตัดช่องย่องเบาทั่วๆ ไป
'บ้านร้างโว้ย' เหิมตัวเตี้ยล่ำ ผมดกหนาพยักหน้ากับทินในร้านเหล้าย่านบางพลัด มีจานลาบกับส้มตำปลาร้ากับข้าวเหนียวในกระติบเป็นกับแกล้ม 'เห็นว่าเป็นบ้านเศรษฐีผู้ดีเก่า พอพ่อแม่ตายหมด พวกลูกๆ หลานๆ ก็แยกย้ายกันไปคนละทิศละทาง..แต่ว่าข้าวของที่ไม่ได้ขนไปด้วยยังเหลืออีกเพียบ'
มิ่งยกหลังมือผอมๆ มีรอยสักพราวขึ้นมาเช็ดมุมปาก
'ลองแวะเข้าไปดูหน่อยก็ดี เผื่อจะได้อะไรติดไม้ติดมือมามั่ง'
ทินอัดควันบุหรี่หนักหน่วง..นึกถึงงานลูกมือช่างก่อสร้างที่ไม่มีอะไรแน่นอน ยิ่งเศรษฐกิจฝืดเคืองก็ยิ่งหางานยากขึ้นทุกวัน..แต่พ่อแก่แม่เฒ่ากับน้องๆ ที่ยังเรียนหนังสืออยู่ต่างจังหวัดก็ยังรอคอยเงินทองที่เขาจะต้องส่งเสียไปให้อยู่ดี
'ข้าไม่เคยทำ..' เขาหลุดปากโดยไม่รู้ตัว สองเกลอที่เคยร่วมงานก่อสร้างด้วยกันก็หัวเราะเหะหะ ตบหลังตบไหล่คล้ายจะปลอบอกปลอบใจอยู่ในที
'ไม่ต้องห่วงน่า คนเราไม่ว่าอะไรมันก็ต้องมีครั้งแรกกันทั้งนั้นแหละวะ จริงมั้ย? เดี๋ยวเราก็บึ่งรถเข้าซอยไปเลย..ข้าไปดูลาดเลามาแล้ว อย่าห่วง รับรองว่าไม่เสียเที่ยวแน่'
..แม้ว่าจะมาถึงบ้านร้างหลังนั้นแล้ว ทินก็ยังใจเต้นระทึกอยู่ดี
ขณะที่ลังเลว่าล่าถอยดีหรือไม่ ทุกอย่างก็สายไปเสียแล้ว เมื่อเหิมผลักประตูหน้าหนาทึบเข้าไป เสียงเอี๊ยดดด..เพราะถูกปิดมาเนิ่นนานดังสะท้านเข้าไปถึงหัวใจ ชายทั้งสามผลุบเข้าบ้านที่มืดทึบ บรรยากาศอับๆ ชวนให้อึดอัด มิ่งควักไฟฉายออกมาส่องวูบวาบ มองเห็นพวกตู้โต๊ะที่คลุมด้วยผ้าพลาสติก กับบันไดที่ทอดขึ้นไปสู่ชั้นบน ฝุ่นจับเขรอะ แสงไฟส่องให้เห็นหนูตัวอ้วนๆ ที่หันมองก่อนจะวิ่งจู๊ดหายลับไปอย่างรวดเร็ว
ทินรู้สึกเหมือนอากาศอับทึบจนแทบไม่พอหายใจ..จนกระทั่งทั้งสามขึ้นไปถึงชั้นบน ท่ามกลางความเงียบเชียบ..ไม่มีเสียงฟ้าร้องคำราม ไม่มีเสียงอะไรทั้งนั้น..เงียบจนแทบจะได้ยินเสียงเต้นกระหน่ำของหัวใจตัวเอง
มิ่งแซงเหิมเข้าไปลองดึงประตูใหญ่ห้องแรก ปรากฏว่ามันเปิดออกอย่างง่ายดาย ชายทั้งสามก้าวเข้าไป ทันใดเสียงแชะเบาๆ ก็ดังขึ้น ไฟจากเพดานสว่างจ้าจนตะลึงไปตามๆ กัน
คุณพระช่วย! บนเตียงเหล็กแบบโบราณค่อนข้างสูง ชายชราผมขาวใบหน้าผอมซูบมีแต่หนังหุ้มกระดูกนอนแซ่วอยู่บนเตียง มีผ้าแพรเพลาะห่มคลุมมาถึงลำคอ นัยน์ตาสีน้ำข้าวที่จมลึกอยู่ในเบ้าหันมองอย่างวิงวอน
'น้ำ..ขอน้ำ..ฉันหิวน้ำเหลือเกิน..' เสียงแหบแห้งเหมือนดังมาจากโลกวิญญาณทำให้ทินขนลุกซ่า ทั้งเวทนาและระทึกใจพร้อมๆ กัน เหิมเดินเข้าไปหาช้าๆ เหลือบตามองคนโทน้ำกับแก้วสีขุ่นที่วางอยู่บนโต๊ะเตี้ยๆ ข้างหัวเตียง
'อยากกินน้ำเรอะ' ได้..แต่ต้องบอกมาก่อนว่ามีข้าวของเงินทองอะไรเป็นค่าจ้างมั่ง..' เขาคว้าคนโทมารินน้ำใส่แก้ว ชายเฒ่าผมขาวบางแทบจะกลายเป็นสีชมพูเหลือกตามองแก้วน้ำ แลบลิ้นออกมาเลียปากอย่างกระหาย มิ่งผละไปรื้อค้นข้าวของในห้องอย่างรวดเร็ว
'ไม่มี..ไม่มีอะไรเหลือแล้ว พวกหลานๆ มันทิ้งฉันไว้..'
'ไม่มีเรอะ?' มิ่งเค้นหัวเราะ 'งั้นก็อย่าแดกเลยไอ้แก่'
'สงสารแกเถอะวะ' ทินคว้าแก้วน้ำมาจ่อปากให้ชายชราผู้นอนแบ็บอยู่กับที่ นัยน์ตาฝ้ามัวนั้นมองมาคล้ายจะซาบซึ้งอยู่ในที 'เอ้า..กินน้ำซะลุง'
'แดกน้ำแล้วก็บอกมาเร็วๆ โว้ยก่อนกูจะมีน้ำโห' เหิมคำราม มิ่งเดินมาสมทบอย่างหัวเสียเพราะไม่พบเห็นข้าวของมีค่าอะไรเลย 'ว่าไงไอ้แก่?' อยากเจ็บตัวก่อนใช้มั้ย ได้เลย'
เหิมเอื้อมมือไปกระชากผ้าห่มออกจากร่างเหวี่ยงกระเด็นไป..ทุกคนมองดูความว่างเปล่าบนเตียงอย่างงุนงง..มีแต่ศีรษะของชายเฒ่าเท่านั้นเองที่กลิ้งอยู่บนหมอน นอกนั้นไม่มีอะไรเลย สรรพสิ่งเหมือนกับจะมีแต่ความเวิ้งว้าง ล้ำลึกคล้ายห้วงเหวอันน่าสยดสยอง
เสียงแผดร้องโหยหวนไม่เป็นภาษาคน ทินเผ่นออกจากห้องเป็นคนแรก มิ่งกับเหิมกระโจนตามลงมาติดๆ มิ่งพลัดหล่นบันไดลงมาคอหักตายคาที่ ส่วนเหิมกระโจนข้ามไปได้..รู้สึกเหมือนยอดไม้ไหวซ่าเป็นเสียงหัวเราะเย้ยหยันจนต้องแผดร้องสุดเสียงก่อนสลบคาที่
ทินกลับไปหา`ออกไปชิ๊วๆ`เกิด แต่เหิมเสียจริตเดินบ่นบ้าอยู่แถวย่านบางพลัดกับบางอ้ออยู่ปีเศษก่อนจะหายสาบสูญไป
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์