"หลานฤดี" เล่าเรื่องขนหัวลุกจากหนองน้ำผีสิง
หนูเป็นเด็กอีสาน มีเรื่องผีที่ผู้ใหญ่เล่าให้ฟังเยอะแยะ เช่นผีแถน ผีฟ้า ผีกระสือ ผีปอบและผีป่าผีไพร รวมทั้งผีตายโหงต่างๆ ล้วนแต่ดุร้ายโหด`ตัวเงินตัวทอง`ม น่ากลัวทั้งนั้นแหละค่ะ
บ้านหนูอยู่ ต.นานวล อ.รัตนบุรี จ.สุรินทร์ ที่มีคนชอบพูดเล่นๆ ว่า "เป็นคนสุรินทร์ต้องกินสุรา" ทั้งๆ ที่จังหวัดหนูมีคำขวัญเพราะๆ มีความหมายดีๆ มากมายเลย
"สุรินทร์ถิ่นช้างใหญ่ ผ้าไหมงาม ประคำสวย ร่ำรวยปราสาท ผักกาดหวาน ข้าวสารหอม งามพร้อมวัฒนธรรม"
วันนี้หนูจะเล่าเรื่องขนหัวลุกให้ฟังนะคะ!
ขึ้นชื่อว่า "หนองผือ" ในรัตนบุรีนี่ถือว่าผีดุที่สุดค่ะ เป็นผีเจ้าที่เจ้าทางที่ชาวบ้านรู้จัก และนับถือกันมาตั้งแต่สมัยปู่ย่าตายายแล้ว แถมยังสิงสู่อยู่เพื่อปกป้องคุ้มครองหนองน้ำแห่งนั้นไม่ให้ใครเข้าไปรบกวนเด็ดขาด
น้ำในหนองผือใสแจ๋ว อุดมด้วยกุ้งหอยปูปลา เต่ากับตะพาบก็ชุกชุมจนคอเหล้าหลายคนน้ำลายไหลไปตามๆ กัน แต่รู้ฤทธิ์เดชร้ายแรงของเจ้าที่ดีก็เลยเกรงกลัว ไม่กล้าล่วงเกินหนองน้ำแห่งนั้น
เคยมีคนหัวดื้อ 2-3 ราย อายุราว 20 ต้นๆ เคยดันทุรังไปลองของกันค่ะ!
รายแรกเมาดีก็ไปหนองผือคนเดียว ไม่รู้ว่าเห็นอะไรน่ากลัวเข้าถึงกับร้องโว้ยๆ วิ่งเตลิดเปิดเปิงจนถึงบ้าน ปิดหน้าปิดตาร้องไห้พูดจาพร่ำเพ้อไม่รู้เรื่อง เดี๋ยวหัวเราะเดี๋ยวร้องไห้ พลางโบกมือว่อน "อย่าเข้ามา! กลัวแล้ว..โอ๊ยยย
คนอื่นๆ ขนลุกเกรียวแต่มองไม่เห็นอะไรเลย ญาติๆ พาไปรักษาที่ศรีสะเกษแล้วข่าวคราวก็เงียบหายไป
อีกรายเกิดคึกก็ชวนเพื่อนไปหาปลาที่หนองผือ โดนผีหลอกกระเจิดกระเจิงทั้งคู่พอจับความได้ว่ากำลังจับปลาอยู่ดีๆ ก็มีร่างดำทะมึนพุ่งพรวดขึ้นจากน้ำเสียงดังโพล่ง! ซ่า..เป็นปีศาจเจ้าที่ยืนจังก้า ตาแดงก่ำ ส่งเสียงคำรามดังกระหึ่ม "อย่ามาจับปลาของกู!"
สองเกลอผงะหงายร้องจ้า วิ่งกระเจิงกลับบ้าน..อาการหนักจนจับไข้หัวโกร๋นทั้งคู่ ต้องตามหมอไสยศาสตร์มารดน้ำมนต์ ใช้คาถาอาคมปัดเป่าอยู่หลายวันกว่าจะค่อยทุเลาลง
ต่อมา นายวนกับครอบครัวอพยพจาก อ.ท่าตูม มาอยู่ละแวกนั้นใกล้ๆ บ้านญาติ ทำให้เกิดเรื่องขนหัวลุกขึ้นมาอีก เพราะญาติไม่ได้ตักเตือนเรื่องผีดุที่หนองผือไว้ก่อน หรือนายวนเป็นคนดื้อรั้นก็ไม่ทราบแน่ ชาวบ้านมารู้เอาเมื่อเรื่องสยดสยองเกิดขึ้นแล้ว!
นั่นคือ คืนหนึ่งฝนตกหนักมาตั้งแต่เย็น พอตกค่ำก็มีเสียงกบเขียดร้องระงมไปทั่ว ชาวบ้านทั้งเด็กและผู้ใหญ่ก็ออกไปตีกบกันสนุก นายวนก็ร่วมทางไปกับคนอื่นๆ เช่นกัน
ข้องสะพายบ่า มือซ้ายถือตะเกียงตาวัว มือขวากำท่อนไม้เหมาะๆ ดุ่มดั้นออกไปหาเหยื่อเนื้อหวานๆ มากินกันให้สำราญในวันรุ่นขึ้น ถ้าได้มากยังเอาไปขายได้อีกด้วย
ชาวบ้านไปหาตีกบที่อื่นๆ กันถมเถ แต่นายวนดันมุ่งหน้าไปทางหนองผือผู้เดียว!
เสียงร้องอ๊บๆ ดังเซ่งแซ่มาเข้าหู คล้ายจะยั่วหรือท้าทายให้คนแปลกถิ่นเข้าไปหาเสียโดยไว นายวนไปถึงก็ส่องตะเกียงดู ตกตะลึงแทบจะไม่เชื่อสายตาตัวเอง
กบตัวเบ้งๆ นับสิบนับร้อยเกาะเต็มขอบบ่อ แถมจ้องมองสู้แสงไฟอีกต่างหาก..นายวนย่องเข้าหา แต่เหยื่อไม่มีทีท่าว่าจะเผ่นหนี ได้โอกาสก็หวดไม้ไม่ยั้งด้วยความมันมือ ตีทีไรได้กบทีนั้นจนแทบจับใส่ตะข้องไม่ทัน นายวนยิ่งย่ามใจไล่ตีกบจนตะข้องใหญ่หนักอึ้ง..เดินฝันหวานกลับบ้านว่าพรุ่งนี้คงจะขายกบได้เงินเป็นกอบเป็นกำแน่นอน
จัดการเทกบตัวอ้วนๆ ใส่ไห ปิดฝาแล้วเอาก้อนหินทับไว้..ถ้ามันฟื้นจากสลบจะได้กระโดดหนีไม่ได้
คืนนั้นก็เข้านอนฝันดีไปตลอดคืน!
รุ่งเช้า รีบเปิดไหจะคว้ากบใส่ตะข้องไปขายที่ตลาด แต่แล้วก็ต้องตกตะลึงพรึงเพริดเมื่อไม่เห็นกบเลยซักตัวเดียว..มิหน้ำซำยังต้องผงะหน้า เบิกตาโพลง เมื่อเห็นมีกระดูกผีขาวโพลนเกือบเต็มไหด้วยซ้ำ
นายวนแหกปากร้องจ้า เสียงแผดร้องโหยหวน วิ่งออกไปด้วยความตกใจจนชนต้นไม้สลบคาที่!
ชาวบ้านรู้เรื่องก็มาช่วยกันแก้ไข ตามหมอไสยศาสตร์มารักษาด้วยเวทมนตร์จนค่อยทุเลา..เล่าเนื้อความทั้งหมดให้ฟังอย่างละเอียดลออ แต่เมื่อคืนอื่นๆ ไปดูก็เห็นแต่ไหเปล่าไม่มีกระดูกผีแม้แต่ชิ้นเดียว
เชื่อกันว่านายวนคงจับกบผีที่หนองผือมาแน่ๆ หนูเล่าเองยังขนหัวลุกเลยค่ะ!.
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์