"กชวรรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากวิญญาณเพื่อนรัก
สมัยเด็กๆ อยู่ต่างจังหวัด ดิฉันเคยได้ฟังเรื่องผีต่างๆ มากมาย ไม่ว่าผีบ้านหรือผีป่า ยิ่งผีตายโหงกับผีตายทั้งกลมด้วยแล้วเขาเชื่อกันว่าเฮี้ยนนัก มีคนโดนหลอกหลอนจนแทบเป็นบ้าเป็นหลังมานับไม่ถ้วน
น่าสงสัยว่าผีตายโหงที่โดนฆ่าหลายราย เหตุใดวิญญาณจึงไม่อาฆาต ตามไปเอาชีวิตคนที่ฆ่าตน? แต่เชื่อกันว่าวิญญาณทั้งหลายก็เหมือนผู้คนทั่วไป คือมีทั้งดีและร้าย สุภาพเรียบร้อยก็มี เกะกะเกเรก็มี ไม่ใช่ว่าเมื่อกลายเป็นภูตผีแล้วจะต้องดุร้ายน่าสะพรึงกลัวเสมอไป
ฆาตกรอาจมีคาถาสะกดวิญญาณผีตายโหง ไหนจะมีการนำเสื้อผ้าชุดที่สวมใส่ตอนกระทำการร้ายไปเผาไฟทิ้งทันที ทำให้วิญญาณของผู้ตายไม่อาจจะติดตามฆาตกรได้สำเร็จ
เมื่อครอบครัวเราย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ดิฉันเติบโตและมีการศึกษาพอสมควร ก็อดคิดไม่ได้ว่าเรื่องต่างๆ ที่เคยได้ยินมาล้วนแต่เหลวไหล งมงายไร้เหตุผลทั้งนั้น แม้ว่าจะชอบอ่านเรื่องผี ดูหนังผีมานักต่อนัก แต่ตัวเองไม่กลัวผีหรอกค่ะ...
ไม่เชื่อเรื่องผีๆ สางๆ ว่ามีจริงด้วยซ้ำ!
จนกระทั่งได้พบกับสิ่งแปลกประหลาด น่าขนหัวลุกเข้าอย่างจังๆ ขอให้ผู้อ่านช่วยพิจารณาด้วยค่ะ ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นต่อไปนี้เป็นผีหลอก หรือเป็นปรากฏการณ์เหนือคำอธิบาย
ดิฉันเป็นข้าราชการอยู่แถวๆ เสาชิงช้า แต่บ้านอยู่ถึงสุทธิสารด้านใกล้ๆ กับสะพานควาย ใช้รถเมล์เป็นพาหนะทั้งไปและกลับ ใกล้ๆ ที่ทำงานมีของขายสารพัดคล้ายตลาดนัดย่อมๆ ไม่ว่าเสื้อผ้าสวยๆ ของใช้และของเล่น ขนมและผลไม้ เดินผ่านก็อดแวะดูแวะซื้อไม่ได้หรอกค่ะ เพื่อฝากพ่อแม่ที่บ้าน จนแม่ต้องขอร้องว่าอย่าซื้ออะไรมาทุกวันเลย
ไหนจะหมดเปลืองเงินทอง ไหนจะลำบากลำบนหอบหิ้วขึ้นรถเมล์!
ข้อสำคัญคือต้องเดินเข้าซอยบ้านอีกสองร้อยกว่าเมตร ไม่อยากใช้บริการของมอเตอร์ไซค์รับจ้างหรอกค่ะ บอกตรงๆ ว่าไม่เคยนั่ง ไม่กล้านั่ง สู้เดินเอาดีกว่า มีผู้คนหนาตาไม่ต้องกลัว แถมได้เดินออกกำลังอีกด้วย
จู่ๆ วันหนึ่งก็ได้ข่าวเศร้า...
เพื่อนรุ่นพี่ที่ทำงานคนหนึ่งชื่อติ๋ม เราสนิทกันมาก รักกันเหมือนพี่น้อง ดิฉันเรียกพี่ติ๋มทุกคน เธอเป็นสาวเหนือผิวขาวเหลือง สวยน่ารักคล้ายตุ๊กตา นิสัยร่าเริง ช่างพูดช่างเล่น...ข้อสำคัญคือมีน้ำใจไมตรีกับเพื่อนร่วมงาน โดยเฉพาะกับดิฉัน...ขนาดวันหยุดถึงกับมาเยี่ยมเยียนที่บ้านบ่อยครั้ง พ่อแม่ก็ถูกชะตากับพี่ติ๋มมากค่ะ
เรายังโสดทั้งคู่ ไปไหนไปกัน บางทีก็ไปเที่ยวต่าง จังหวัดใกล้ๆ กับทัวร์ เช่น ไปไหว้พระ 9 วัดที่อ่างทองบ้าง ไปเที่ยวระยองและเกาะสีชังบ้าง ส่วนมากจะค้างแค่คืนเดียวเท่านั้น
กระทั่งพี่ติ๋มมีแฟนเราก็ห่างกันไป เพราะเธอต้องให้เวลากับคนรักมากกว่าเพื่อนอยู่แล้ว แม่เห็นพี่ติ๋มหายไปก็ถามถึงบ่อยๆ แต่พอรู้สาเหตุก็ยิ้มๆ อย่างเข้าใจดีค่ะ
วันนั้นเป็นวันจันทร์ พี่ติ๋มพาแฟนไปเยี่ยมบ้านที่ลำปางตั้งแต่ตอนเย็นวันศุกร์ กำหนดกลับเช้าวันจันทร์ บอกว่าขับรถออกจากลำปางคืนวันอาทิตย์ มาถึงกรุงเทพฯ เช้ามืด...ถ้าไม่มีปัญหาอะไรก็จะอาบน้ำแต่งตัวมาทำงานเลย
แต่เมื่อถึงวันนั้นก็ไม่มีวี่แววพี่ติ๋ม สงสัยจะเพลียจากการเดินทางไกล? จนกระทั่งตกบ่ายถึงได้มีโทรศัพท์จากทางบ้านพี่ติ๋มมาถึงหัวหน้า บอกข่าวร้ายที่ทำให้ตกตะลึงไปตามๆ กัน
พี่ติ๋มกับแฟนเกิดอุบัติเหตุเมื่อออกจากลำปางมาไม่ไกลนัก บาดเจ็บสาหัสทั้งคู่...ตอนนี้อยู่ในห้องไอซียู อาการเป็นตายเท่าๆ กัน!
หัวหน้าโทร.ไปเช็กที่โรงพยาบาลในลำปางก็ได้รับคำยืนยันว่า ข่าวร้ายนั้นเป็นความจริง...พวกเราปรึกษาหารือกันว่าจะไปเยี่ยมพี่ติ๋มดีไหม? แต่จะไปได้ยังไงเพราะไกลเหลือเกิน แถมไม่ใช่วันหยุดอีกต่างหาก...หัวหน้าบอกว่า ตอนนี้เราได้แต่หวังว่าพี่ติ๋มคงจะอาการดีขึ้นแล้ววันศุกร์จะชวนเพื่อนๆ ที่สนิทกันไปเยี่ยมที่ลำปาง...
เย็นนั้นดิฉันหดหู่จนคิดอะไรไม่ออก หมดกะจิตกะใจแวะดูของกินของใช้เหมือนเคย ได้แต่เดินใจลอยไปที่ป้ายรถเมล์...ขณะเดินทางกลับบ้านก็ยังนึกถึงใบหน้ายิ้มแย้มแจ่มใสของเพื่อนรัก! โธ่ พี่ติ๋ม...
ขณะเดินเข้าซอยบ้าน ท่ามกลางผู้คนหนาตา รถราคึกคักตามเดิม...ดิฉันเพิ่งนึกได้ว่าน่าจะนั่งแท็กซี่กลับ เพราะอ่อนล้าอิดโรยเหลือเกิน...กลิ่นอะไรคุ้นๆ จมูกอวลอยู่ใกล้ๆ
พี่ติ๋มเหรอคะ? ดิฉันขนลุกซ่า เหลียวซ้ายแลขวาอย่างลืมตัวแต่ก็ไม่เห็นอะไรผิดปกติ เมื่อเดินมาถึงหน้าประตูรั้ว มองเห็นแม่เดินดูต้นไม้อยู่ใกล้ๆ ก่อนจะมาเปิดประตูให้ใบหน้ายิ้มละไม...ยกมือไหว้มาทางดิฉันที่ยืนอ้าปากค้าง
"แหม! วันนี้มาเยี่ยมแม่ได้ เข้ามาก่อนซีติ๋ม..."
แม่ทักทาย เมื่อกี้คงจะรับไหว้พี่ติ๋ม! ส่วนดิฉันเข่าอ่อน ตาลายพร่า ใจหวิวๆ จะเป็นลม...คืนนั้นโทร.ไปที่ร.พ.ลำปางก็ทราบว่าพี่ติ๋มกับคนรักสิ้นลมไล่ๆ กันในตอนเย็น
พี่ติ๋มอุตส่าห์เดินมาส่งถึงบ้าน แต่แม่ดิฉันเป็นลมไปเลยเมื่อรู้ข่าวน่ะซีคะ!!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์