"พนัส" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากประชานิเวศน์เขาว่าคนเรากลัวความมืดใช่ไหมครับ เพราะมองอะไรไม่เห็น ถึงจะเห็นได้บ้างก็เพียงสลัวๆ เท่านั้น ทำให้ไม่รู้แน่ว่าจะมีอะไรซุ่มซ่อน และจ้องมองอย่างประสงค์ร้ายหรือเปล่า? โดยเฉพาะผี!
เรื่องนี้ก็มีความเชื่อถือคล้ายๆ กันอีกอย่าง คือกลางคืนเป็นเวลาของภูตผีปีศาจ ที่คอยจ้องจะหลอกหลอนมนุษย์ แต่คนเราไม่มีใครอยากเห็นผีหรือโดนผีหลอกกันทั้งนั้นละน่า จึงพยายามไม่ไปไหนมาไหนในตอนกลางคืนที่ค่อนข้างเปล่าเปลี่ยว
แต่ผมโดนผีหลอกตอนกลางวันครับ!
กลางวันแสกๆ นี่แหละที่ผมโดนผีหลอกจังๆ น่ะ มิหนำซ้ำยังไม่ใช่กลางดงกลางป่า แต่เป็นในกรุงเทพฯ เมืองสวรรค์นี่เอง แถมมีผู้คนหนาตาตั้งพะเรอแน่ะ
เหตุการณ์สยองขวัญนี่เกิดขึ้นในเดือนพฤศจิกายนที่ผ่านมา ตอนที่เกิดอุทกภัยใหญ่โตสุดๆ ของเมืองไทย
ไม่ต้องพูดถึงความสูญเสียสารพัดอย่างให้ช้ำใจกันเปล่าๆ ถ้าจะพูดก็เอาแง่ตลกขบขัน แปลกประ หลาดพิสดารให้อีตาริปเลย์ เจ้าตำรับ "เชื่อหรือไม่" อันโด่งดังไปทั้งโลกตะแกเกิดอาการกระบอกตาร้อนผ่าวด้วยความริษยากันดีกว่า
คิดดูซีครับ ใครจะนึกฝันว่าคนกรุงเทพฯ จะได้ลอยกระทงที่รัชโยธิน ได้พายเรือไปฟิวเจอร์ พาร์ค ได้เห็นน้ำท่วมแม้แต่สนามบินดอนเมืองที่กว้างขวางตั้ง 3 พันไร่ แถมยังมีน้ำท่วมถนนวิภาวดีรังสิตอีกด้วยเอ้า
มองในแง่นี้แล้วสุขภาพจิตจะดีขึ้นเยอะเลย เชื่อผม!
แหม...ไม่ลืมเรื่องที่โดนผีหลอกกลางวันแสกๆ หรอกครับ
บ้านผมอยู่หลังตลาดประชานิเวศน์ ริมถนนที่เชื่อมระหว่างประชาชื่นกับวิภาวดีฯ แถวๆ หลังวัดเสมียน นารีนั่นแหละ แต่ค่อนไปทาง สน.ประชาชื่นที่กลายเป็นประโยชน์ในตอนน้ำท่วมอย่างนึกไม่ถึง
ถนนสายนั้นค่อนข้างแปลกอยู่อย่าง ตรงที่เชิงสะพานข้ามคลองประปากับเชิงสะพานข้ามคลองเปรมประชากรค่อนข้างสูง เลยรอดน้ำท่วมไปได้ แต่ตรงช่วงกลางที่มีตลาดน่ะน้ำสูงเลยเข่าเลยละครับ...ถ้าน้ำท่วมคลองประปาก็เอวังน่ะซี! เฮ้อ...
คนที่จำเป็นต้องไปทำงานก็ต้องลุยน้ำ ไม่ว่าจะไปทางวัดเสมียนฯ หรือถนนเลียบคลองประปา แต่โชคดีที่ตำรวจประชาชื่นมีน้ำใจช่วยเหลือประชาชน น่ารักไม่แพ้ทหารที่ได้คะแนนเกินร้อยซะด้วยซ้ำ
ถือโอกาสขอบคุณทั้งดาบทั้งหมู่ และผู้บังคับบัญชามา ณ ที่นี้ซะเลย!
รถสิบล้อคันโตตระเวนรับผู้คนทั้งขาออกและขาเข้า ไม่ว่าจะไปรอรถที่หน้าวัดเสมียนฯ หรือประชา ชื่น ก็ไม่ต้องลุยน้ำให้เปรอะเปื้อน เสี่ยงกับโรคภัยสารพัด แต่ว่าขึ้นทางท้ายรถที่ตำรวจมีม้าปูต่างบันได ช่วยเหลือทั้งตอนขึ้นและตอนลง ไปส่งจนถึงที่แห้งๆ เรียบร้อย
รอรับคนไปส่งบ้านแล้วก็วนเวียนกลับมาส่งมารับที่จุดเดิมอีกครั้ง
ผมได้อาศัยบริการน่าซาบซึ้งของคุณตำรวจสน.ประชา ชื่นนี่แหละครับ ทั้งไปทำงานและกลับบ้าน ทุกสิ่งผ่านไปอย่างราบรื่นชื่นบานจนกระทั่งน้ำที่หน้าตลาดดูเอ่อๆ ทำท่าว่าจะเหือดหายไปในเวลาไม่ช้าไม่นาน
การยืนบนรถวันละสองเวลา แม้จะดูสั้นๆ แต่ก็ทำ ให้พวกเราเริ่มคุ้นหน้ากันขึ้น เห็นจะจริงอย่างที่เขาว่าคนกรุงเทพฯ บ้านติดกันยังไม่รู้จักกันด้วยซ้ำไป!
นั่นป้านั่นลุง นั่นน้านั่นอา นั่นพี่นี่น้อง และบ้างก็อยู่ในวัยสามสิบต้นๆ ด้วยกัน
ที่สะดุดตาก็คือคุณป้าสองคนวัยเลยหกสิบด้วยกันทั้งคู่ คนหนึ่งผอมเพรียว ส่วนอีกคนเจ้าเนื้อ ผมมักเห็นแกทั้งเช้าและเย็น ยืนเกาะรถด้านในๆ ส่วนมือข้างที่ว่างก็จับกันไว้แน่น...อายุป่านนี้แล้วยังจะไปทำงานที่ไหนก็ไม่รู้ จะไต่ถามก็ใช่ที่ ได้แต่สะท้อนถอนใจว่าคนกรุง เทพฯ ส่วนใหญ่ก็ต้องทำงานไปจนตาย หรือทำไม่ไหวนั่นแหละถึงจะได้พักผ่อนเสียที
วันเกิดเหตุ ผมลงรถเมล์ราวห้าโมงกว่าๆ เดินมาข้ามสะพานเพื่อปักหลักรอรถที่อีกไม่ช้าก็คงมา มีคนรอกันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ คุณป้าผอมสูงเดินนำหน้าคนอ้วนมายืนรอใกล้ๆ จนกระทั่งรถมา...ผมหลีกทางให้คุณป้าทั้งสองไปทางท้ายรถก่อน แต่เห็นคนผอมขึ้นรถคนเดียว
"อ้าว?" ผมร้องกับตัวเอง หันไปมองก็ไม่เห็นใครเลย...รีบโดดขึ้นรถเป็นคนสุดท้าย ขณะรถตำรวจตีวงเลี้ยวกลับผมมองไปจุดเดิมก็เห็นคุณป้าอ้วนยืนแหงนหน้ามองเศร้าๆ โบกมือคล้ายจะอำลา
...และแล้วภาพนั้นก็เลือนรางไปในอากาศธาตุเหมือนภาพมายา
ผมขนลุกซ่า...ได้ยินเสียงคุณป้าบนรถบอกคนรู้จักว่าป้าอ้วนหัวใจวายเมื่อตอนค่ำวานนี้เอง...ตอนนี้ศพตั้งอยู่วัดเสมียนนารีอีก 3 คืน....ผมไม่ช็อกคาที่ก็บุญเหลือหลายแล้วครับ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์