"เลอพงศ์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากบาง พลัด
ถึงแม้อภิมหาอุทกภัยในรอบ 50 ปีจะผ่านพ้นไป ทิ้งไว้แต่ความเสียหายวายวอดทั้งไร่นา บ้านเรือน โรงงานอุตสาหกรรมน้อยใหญ่ ไหนจะสูญเสียนักท่องเที่ยวที่เป็นหนึ่งในรายได้หลักๆ ของเราอีกล่ะ
ที่ประเมินกันไว้ว่าน้ำท่วมครั้งยิ่งใหญ่และยาวนานคราวนี้ ทำให้เมืองไทยต้องพินาศย่อยยับไปไม่น้อยกว่าสองแสนล้านบาท ราวสิบเปอร์เซ็นต์ของงบประมาณแผ่นดินทั้งปี
โดยเฉพาะชีวิตคนไทยที่ต้องล่องลอยไปกับสายน้ำก็ปาเข้าไปเกือบ 700 คน ไร้ที่อยู่อาศัยอีกหลายหมื่นคน คนยากคนจนที่ต้องขายแรงงานเลี้ยงชีวิตและครอบครัวต้องตกงานอีกไม่ต่ำกว่าสองแสนคน
นับไม่ถ้วนที่ต้องสิ้นเนื้อประดาตัว บ้านช่องและข้าวของถูกสายน้ำคลุ้มคลั่งโหมกระหน่ำวอดวาย เหลือแต่ผ้าพันกายกับอนาคตที่มืดมนอนธการเต็มที!
บ้านผมอยู่ถนนจรัญสนิทวงศ์แถวๆ ซอย 70 ตอนที่น้ำท่วมอยุธยาก็เครียด เป็นห่วงนิคมอุตสาหกรรมที่มีโรงงานเป็นสิบๆ แห่ง อ้าว? คันกั้นน้ำปิงที่นครสวรรค์เกิดพังขึ้นอีก...เห็นภาพมวลน้ำก้อนใหญ่จู่โจมเข้าใส่เขตเทศบาล ผู้คนวิ่งหนีไม่คิดชีวิต น่าสยดสยองไม่แพ้เมื่อครั้งคลื่นยักษ์สึนามิที่ถล่มภาคใต้แม้แต่น้อยนิด
ลพบุรี ชัยนาท สิงห์บุรี อ่างทอง ล้วนแต่จมน้ำ ลามเลยมาถึงปทุมธานี นนทบุรี ชาวกรุงแถวพระรามหก บางอ้อ บางกระบือที่ท่าเขียวไข่กา สามเสน บางพลัด ใครอยู่ชายน้ำก็ต้องรับเคราะห์ไปก่อนแล้ว
จู่ๆ คันกั้นน้ำที่จรัญฯ 70 ก็เกิดแตกโครมกะทันหัน!
สายน้ำทะลักล้นเข้ามาเหมือนน้ำตก คูคลองเล็กๆ ในละแวกนั้นก็โดนถล่มเสียงดังสาดซ่าเหมือนเสียงผีป่าถาโถมเข้าเมือง ระคนกับเสียงกรีดร้อง ร่ำไห้ เรียกหากัน ร่ำร้องขอความช่วยเหลือ ขณะที่ระดับน้ำก็ยิ่งสูงขึ้นทุกที
น้ำที่สูงแค่เข่า พรวดเดียวสูงขึ้นถึงบั้นเอวเข้าไปแล้ว!
เมื่อหน่วยกู้ภัยมาถึงก็พยายามช่วยเหลืออย่างเต็มที่ ทั้งช่วยอพยพผู้คนบ้านใกล้ๆ ออกมาก่อน แจกถุงยังชีพฉับไว...ได้ข่าวว่าน้ำลามขึ้นไปเรื่อยจนถึงถนน แล้วข้ามฝั่งไปในวันนั้นเอง...ถนนจรัญสนิทวงศ์จมหายไปใต้สายน้ำเรียบร้อย
ต้องปิดถนนทั้งหมด ตั้งแต่ปิ่นเกล้าไปจนถึงสะพานพระราม 7 มีแต่รถยีเอ็มซีของทหารเท่านั้นที่พอจะแล่นลุยน้ำได้
เพื่อนบ้านหลายๆ คนไม่ยอมอพยพด้วยเหตุผลต่างๆ นานา!
ทั้งเป็นห่วงบ้าน หรือข้าวของมีค่าต่างๆ ทั้งยืนยันว่ามีบ้านสองชั้น พอจะหลบภัยขึ้นไปอยู่ชั้นบนได้ ทั้งมีคนแก่และลูกเล็กเด็กแดงอีกด้วย จะหอบหิ้วแบกหามกันลุยน้ำแค่อกออกไปได้ยังไง เรือที่มาช่วยก็ลำเล็กเกินไป
ครอบครัวผมอยู่ในกลุ่มหลัง...ทั้งพ่อเป็นอัมพาต แม่เป็นเบาหวาน ลูกเต้าอีกหลายคน...ไม่มีทางอพยพกันไปได้หมดแน่ๆ ขอปักหลักอยู่บ้านชั้นบนนี่แหละ มีถุงยังชีพกับอาหารที่เราตุนไว้ก่อนหน้านั้นโดยไม่แยแสกับคำครหาว่าตื่นตูมแม้แต่น้อยนิด
ครอบครัวอื่นๆ อีกเป็นแสนก็คงทำแบบเดียวกับเรา ข้าวของในร้านสะดวกซื้อ ไม่ว่าข้าวสาร นม บะหมี่สำเร็จรูป ขนมปังและไข่ แม้แต่น้ำดื่มก็หมดเกลี้ยงตั้งแต่น้ำก้อนใหญ่ยังไม่ไหลบ่ามาถึงกรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ
คืนที่สองเราก็ประสบกับเรื่องขนหัวลุกเข้าเต็มเปา!
ราวสี่ทุ่มเราก็ดับไฟนอนกันแล้ว สรรพสิ่งเหมือนจะมีแต่เสียงยอดไม้ไหวซ่ากับสายลม และเสียงคลื่นดังครึกโครมคล้ายเสียงใครหัวเราะเย้ยหยัน...
แต่แล้วเสียงแปลกประหลาดก็ดังแว่วขึ้นมาจากชั้นล่างที่มีแต่น้ำเจิ่งนอง ...ช่วยด้วย...ช่วยฉันด้วย...
ตอนแรกผมนึกว่าหูแว่วไปเอง แต่แล้วลูกเมียก็กระซิบกระซาบเสียงสั่นเครืออยู่ข้างๆ ว่าได้ยินเสียงอะไรไหม? มีผู้หญิงมาร้องไห้ มาขอให้ช่วยอยู่ข้างล่าง...ทำยังไงกันดีล่ะ?
ยอมรับว่าปากคอผมแห้งผากไปหมด...เป็นไปไม่ได้! เราปิดประตูหน้าต่างแน่นหนา แถมน้ำท่วมสูงขนาดนี้จะมีใครบุกบั่นหรือว่ายน้ำมายามดึกดื่น แล้วเข้ามาอยู่ในบ้านเราได้ยังไง นอกจากเสียงนั้นจะเป็น...เป็นผู้ไม่มีร่างกาย!
ผมขนลุกซ่า พยายามระงับความตื่นเต้น ทำใจให้สงบ ไม่ช้าเสียงนั้นก็กลายเป็นเสียงคลื่นเสียงลม...กว่าพวกเราจะหลับใหลกันได้ก็อ่อนล้าเต็มที
เวลาผ่านไปจนน้ำเริ่มลด บ้านชั้นล่างเละเทะราวกองขยะ เมื่อเปิดประตูออกไปก็เห็นเขามาแจกถุงยังชีพ ได้ข่าวว่ากำลังช่วยกันซ่อมคันกันน้ำ...เสียงใครร้องเอะอะจนน่าตกใจ
คุณพระช่วย! ศพหญิงนิรนามผู้หนึ่งนอนขัดบันไดอยู่หน้าบ้านผมนั่นเอง!!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์