"หลานแยม" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากห้องสยองขวัญ
"เวลาสุข ก็มัวเมา เวลาเศร้า ก็มืดมน
เป็นอาการ ของบุคคล ผู้ยังด้อย น้อยปัญญา"
ข้อความที่เอ่ยถึงดิฉันไม่ได้เขียนเองนะคะ แต่คัดลอกมาจากข้างฝาห้องเช่าข้างโรงหนังเฉลิมสิน สะพานควาย เมื่อสิบกว่าปีมาแล้ว ขณะที่ดิฉันทำงานเป็นแคชเชียร์อยู่ที่คาเฟ่แห่งหนึ่งในย่านนั้นซึ่งมีมากมายไม่ต่ำกว่าสิบแห่ง
ห้องเช่าที่ดิฉันอยู่ค่อนข้างเก่าและคับแคบ ห้องน้ำรวม โทรศัพท์ไม่มีค่ะ ยกเว้นในห้องของคนดูแล ด้านหน้า ถ้ามีโทร.ถึงใครต้องไปเรียกที่ห้อง คิดค่าเรียก 5 บาท ตอนบ่ายๆ จะมีหลายคนไปรอรับโทรศัพท์ กับโทร.ไปหาแฟน ไม่สะดวกเหมือนยุคนี้ที่มือถือเกลื่อนเมือง
ดิฉันอยู่คนเดียวก็ไม่เหงาหรอก อ่านหนังสือดารา นิยายรักเล่มละ 10 บาท เปิดวิทยุฟังเพลง เล่นเทป คาสเซ็ตของนักร้องคนโปรดอย่างพุ่มพวง ศิรินทรา สุนารี ฯลฯ หรือไม่ก็อ่านคติสอนใจสารพัดลายมือที่เขียนไว้แทบเต็มผนังห้องทั้งสามด้าน แม้แต่ที่ประตูก็มี
"จงอย่าหวัง พึ่งใคร ในทุกสิ่ง
จะพึ่งพิง ก็ต่อเมื่อ เหลือวิสัย
พึ่งคนอื่น ได้บ้าง เพียงบางราย
คนพึ่งได้ ทุกเหตุการณ์ คือท่านเอง"
"ขอดีกว่าขโมย แต่หยาดเหงื่อของเราดีกว่าอะไรทั้งหมด"
"วิธีต้อนรับความทุกข์ที่ถูกต้อง คือหัวเราะใส่ หน้ามัน"
คติที่ชอบมากก็คือ "เข้าป่า...ระวังสัตว์ป่า เข้าเมืองหลวง...ระวังคนป่า" กับ "เมื่อคนเราเกิดมา วินาทีนั้นเท่ากับว่าเขากำลังก้าวเข้าไปหาความตายแล้ว"
พูดถึงความตายต้องยอมรับว่าหดหู่มาก! ทำไมคนเราต้องตาย...ตายแล้วไปไหน? ยิ่งนึกถึงตอนดับไฟมืดนอนคนเดียวยิ่งเสียวสันหลัง...ห้องนี้เคยมีคนตายมั่งหรือเปล่านะ?
ดิฉันนอนดึกราวตีสามเศษทุกคืน ไม่ถึงกับง่วงหรอกค่ะ เพราะกว่าจะตื่นก็เที่ยงหรือบ่ายแล้ว บางคืนง่วงๆ มา พอผลัดผ้าอาบน้ำเสร็จก็กลับหูตาสว่าง เปิดเทปฟังเพลงตั้งนานกว่าจะม่อยหลับ
บางคืนรู้สึกเหมือนมีใครมานอนด้วย ในความรู้สึกครึ่งหลับครึ่งตื่นน่ะคิดว่าเป็นผู้หญิงค่ะ เนื้อนุ่ม ผมยาว...คิดว่าเป็นเพื่อนที่เคยอยู่ด้วยกัน แต่เธอแยกห้องไปได้ไม่นานน่ะซีคะ
แต่บางคืนก็นึกได้ว่าเรานอนคนเดียวนี่นา...ลืมตาโพลง เปิดไฟหัวเตียงก็ไม่เห็นมีใครสักคน พัดลมตั้งโต๊ะยังส่ายไปมาแต่รู้สึกว่าอากาศเยือกเย็นผิดปกติ แถมได้ยินเสียงใครถอนหายใจยืดยาวอยู่ใกล้ๆ เล่นเอาลุกพรวดพราดขึ้นมาขยี้ตามอง
สรรพสิ่งว่างเปล่า เงียบเชียบ นานๆ มีเสียงรถในซอยดังแว่วมาเลยดับไฟนอนต่อ
กระทั่งคืนสยองขวัญมาถึง!
คืนนั้นเมื่อกลับจากทำงานมาอาบน้ำแล้วก็เปิดเทปเพลงพุ่มพ่วง ดับไฟนอน...นึกได้ว่าวันนั้นจิตใจว้าวุ่นสับสนโดยไม่มีสาเหตุ หงุดหงิดรำคาญใจง่ายอย่างไม่เคยเป็น หรือจะเป็นลางบอกเหตุอะไรบางอย่าง...จนกระทั่งเคลิบเคลิ้มไป
ร่างนิ่มๆ ผมยาวมานอนเบียดอีกแล้ว กลิ่นหอมแปลกประหลาดอวลกรุ่น แว่วเสียงกระซิบว่า...ขออยู่ด้วยคนนะ อย่ากลัว! คนเรามีร่างกายเป็นบ้าน...แต่ฉันไม่มีบ้านอยู่แล้ว...
เสียงเบาๆ ดังอยู่ข้างหู...ดิฉันคงฝันไปน่ะ แต่ทำไมร่างที่นอนเบียดชิดกับเสียงกระซิบเคล้าสะอื้นนั้นถึงได้ดูสมจริงเหลือเกิน หันไปจ้องมองก็เห็นสาวผมยาวนอนตะแคงมองตอบมา เธอยิ้มเศร้าๆ เห็นได้ชัด...แต่เรายังไม่ได้เปิดไฟนี่นา!
"ฉันอยู่ในห้องนี้มานานแล้ว...เหงาเหลือเกิน! เพื่อนเธอเห็นฉันก็เลยไม่ยอมอยู่ที่นี่ แต่เขาไม่กล้าบอกเธอ...ขอร้องเถอะ อย่ากลัวฉันเลยนะ..."
ดิฉันไม่รู้ว่าหัวใจตัวเองหยุดเต้นหรือเปล่า? ตรงข้าม มันอาจจะเต้นครึกโครมจนแทบทะลักออกมานอกอกก็เป็นได้
ที่แน่ๆ คืออยากกรีดร้องให้สุดเสียง ร้องให้สาสมกับความกลัว ความอัดอั้นตันใจสุดขีด แต่ก็อ้าปากไม่ออก อยากจะโดดผลุงจากเตียงแล้วเผ่นพรวดออกจากห้อง แต่ร่างกายแข็งทื่อเหมือนถูกสาป...
ดิฉันมองเห็นภาพสยองนั้นได้ชัดเจนก็เพราะใบหน้าของเธอเรืองแสงน่ะซีคะ
คุณพระช่วย! น้ำตาไหลรินไม่ขาดสาย ตาดำขลับฉายแวววิงวอนสูงสุด...ดิฉันรู้สึกสมองแตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ สติดับวูบไปบัดดล! รุ่งเช้ายังไม่แน่ใจว่าฝันหรือจริง แต่ก็ต้องยอมทิ้งค่ามัดจำเพื่อย้ายไปอยู่กับเพื่อน...ไม่อยากช็อกตายเพราะถูกผีหลอกค่ะ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์