ลือว่าผีดุบรรลัย สาเหตุเพราะมีนักโทษประหารที่โดนยิงเป้า ญาติๆ รับศพแล้วก็มักจะนำไปเผาที่วัดบางแพรกนั่นละครับ พวกเด็กๆ รู้ข่าวแทบไม่อยากเดินผ่าน ถ้าจำเป็นต้องผ่านก็ไม่ยอมหันไปมอง
จากนักโทษประหารก็มาเจอผีต้นโพธิ์กลางซอย!
ผมเห็นต้นโพธิ์นั่นมาแต่เด็กแล้ว ใหญ่โตเหลือเชื่อ กิ่งก้านสาขาร่มครึ้มติดสวนป้าฮวย แถวนี้ไม่มีบ้านเรือนอยู่ใกล้ๆ แต่มีผ้าเหลืองผ้าแดงครึ่ดที่โคนต้น ธูปเทียนกับตุ๊กตาดินเผาแก้บนเกลื่อนกลาด บางทีตอนเย็นๆ ยังเคยเจอธูปที่ยังจุดส่งควันลอยกรุ่น...บรรยา กาศเงียบเชียบ ชวนให้เยือกเย็นใจพิลึก บอกตรงๆ ว่าผมถึงกับขนลุกซ่า รีบเผ่นกลับบ้านทันที
ร่ำลือกันว่าผีดุชะมัด เดี๋ยวคนนั้นโดนหลอก เดี๋ยวคนนี้เห็นผีซึ่งๆ หน้า ทั้งยืนอยู่ที่โคนต้น ทั้งนั่งห้อยขาอยู่ที่กิ่งโพธิ์ หัวเราะเสียงแหบโหยเยือกเย็นจนแทบจะขวัญหนีดีฝ่อตาย
โอ๊ย! ผีอะไรจะดุร้ายปานนั้น ทั้งที่ไม่เคยได้ยินว่ามีใครไปผูกคอตายที่นั่นมาก่อนเลย!
"ผีประจำต้นไม้น่ะซี" ป้าฮวยมีเรื่องขู่เด็กจนได้ "ยิ่งต้นไม้ใหญ่ๆ อย่างต้นโพธิ์นี่น่ะผีดุนักเชียว จะได้ป้องกันไม่ให้ไอ้พวกหัวขโมยดอดเข้าสวนข้าไงล่ะ"
คราวนี้มีคนถูกผีหลอกเป็นชุดๆ เลยครับ
น่าแปลกตรงที่เห็นผีลงต้นไม้มั่ง ขึ้นต้นไม้มั่ง! ฟังแล้วน่ากลัวชะมัด เพราะมันหลอกหลอนไม่เลือกกลางคืนกลางวัน คนเล่าบอกว่าเดินตอนเย็นๆ ได้ยินเสียงยอดโพธิ์ดังซู่ซ่าทั้งๆ ที่ไม่มีลมพัด พอยืนงงเท่านั้นแหละ เสียงกราว...ซ่า...ครืน...ตามด้วยเสียงตุ๊บ! เมื่อผีตกลงมาถึงพื้นดิน
ถามว่าเห็นอะไร? ก็มีทั้งเห็นร่างดำๆ ยืนจังก้า ตาลุกโพลง แดงก่ำปานแสงไฟ...มีทั้งบอกว่าไม่เห็น เพราะได้ยินเสียงกราว...ซ่า...ก็เผ่นอ้าวไม่คิดชีวิตแล้ว!
ลุงขำ-ผัวป้าฮวย ช่วยปลอบขวัญเด็กๆ ให้คลายใจว่า
"ไม่ใช่ผีสางที่ไหนหรอก ตะกวดน่ะ! พวกมันสิงสู่อยู่บนต้นโพธิ์นั่นมาหลายสิบปีแล้ว สมัยข้าเด็กๆ ก็เคยเห็น บางวันมันไล่กัดกันจนหล่นลงมา เสียงซู่ๆ ซ่าๆ ไอ้พวกคนขวัญอ่อนผ่านมาพอดีก็เลยเผ่นกันหูดับเพราะคิดว่าโดนผีหลอก! อย่าทำตาขาวไม่เข้าท่าเลยวะ"
พวกเราสบตากัน พยักหน้าหงึกๆ เชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่งทั้งนั้นแหละ โธ่! เด็กๆ ที่ไหนจะไม่กลัวผีล่ะครับ? เดี๋ยวโดนหลอกเข้าจังๆ มีหวังตัวสั่นเป็นลูกนก ขาแข็งวิ่งไม่ออก...หรือไม่ก็ขาดใจคาที่เลย! บรื๋อออ...
แต่แล้ววันดีคืนร้าย ผมกับเพื่อนอีกสองคนก็โดนดี...คือโดนผีต้นโพธิ์เล่นงานเข้าจนได้ซีน่า!
เย็นนั้นโรงเรียนเลิกแล้ว ผมเลยเถลไถลเล่นหยอดหลุมกับเพื่อนๆ เพลินไปหน่อยกว่าจะหิ้วกระเป๋าเดินทะร่อทะแร่กลับบ้านได้ก็เกือบค่ำ ยังดีที่มีเจ้าอ๊อดกับเจ้าเบี้ยวบ้านใกล้ๆ กันร่วมทางมาด้วย
ใกล้จะถึงต้นโพธิ์ใหญ่ทะมึนแทบจะปิดฟ้า ลมหนาวพัดซ่า...เล่นเอาชะงักกึกกันทุกคน แหงนดูความร่มครึ้มน่ากลัวแล้วต้องกลืนน้ำลาย พยักหน้าพากันเดินต่อไปช้าๆ ใจคอเต้นตึ้กตั้กเต็มที่
จู่ๆ สรรพสิ่งก็ตกอยู่ในความเงียบกริบกะทันหัน!
ลมไม่พัด ใบไม้ไม่ไหว สวนป้าฮวยคล้ายสวนร้างเยือกเย็นน่าวังเวงใจ ผมต้องกลืนน้ำลายอีกครั้ง แข็งใจเดินต่อขาสั่นๆ ท่องอิติปิโสภควา ที่เชื่อกันว่าเป็นคากันผีผิดๆ ถูกๆ อยู่ในใจ ทั้งท่องแบบเดินหน้ากับถอยหลังยุ่งไปหมด...แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงสุดตัว
"กราว...ซ่า...ครืน...!!"
เสียงดังมาจากยอดโพธิ์ ผมนึกถึงคำพูดของลุงขำที่บอกว่าเป็นตะกวด แต่เสียงเขย่าขวัญดังโครมๆ ลงมาไม่หยุดหย่อน สะท้านสะเทือนเข้าไปถึงหัวอกหัวใจของพวกเราทุกคน...ลงเอยด้วยเสียงทึบๆ ดังตุ๊บ!
เกือบจะถอนหายใจอย่างโล่งอกอยู่แล้ว ก็พอดีมองเห็นร่างดำๆ ที่กองกับพื้นโคนต้นโพธิ์ที่มีรากพ้นดินขึ้นมาแผ่ไปรอบๆ แล้วจู่ๆ ร่างนั้นก็ลุกพรวดพราดขึ้นมายืนจังก้า ผมยาวสยายเต็มบ่า นัยน์ตาแดงจ้าปานแสงไฟจ้องเขม็ง...
ผมรู้สึกเหมือนฟ้าผ่าโครมลงกลางหัว แก้วหูลั่น เปรี๊ยะ ม่านตาลายพร่า แผดร้องเสียงหลงก่อนจะโกยอ้าวไม่คิดชีวิตในบัดดล!
ผมว่าตัวเองวิ่งเร็วแล้วเชียวนา แต่เจ้าอ๊อดกับเจ้าเบี้ยวกลับวิ่งแซงหน้าผมไปเหมือนลมพัด...นึกแล้วยังขนหัวลุกมาจนถึงทุกวันนี้เลยครับ! บรื่อออ...
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์