"เริงรณ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากสนธยาสยองขวัญ
ไม่รู้ว่าโดนพระศุกร์เข้า พระเสาร์แทรก พระอาทิตย์ยังชำแรกเข้ามาเตะซ้ำ หรือเกิดเคราะห์ซ้ำกรรมซัดยังไงก็ไม่ทราบ นอกจากจะโดนน้ำท่วมบ้านกะทันหันจนตั้งเนื้อตั้งตัวไม่ทัน หน็อย! ผมยังโดนผีหลอกเข้าเต็มรักเต็มใคร่อีกต่างหาก
ข่าวคราวของน้ำท่วมใหญ่ระดับ "อภิมหาอุทกภัย" ทำให้ประสาทแทบจะกินตายจนไม่อยากจะดูข่าวทีวี ให้หดหู่เศร้าหมอง...ไม่นึกไม่ฝันว่าจะเจอะเจอเข้ากับตัวเองจังๆ
เรื่องเป็นยังงี้ครับ!
ผมอยู่ซอยยาสูบ 1 ถนนซูเปอร์ไฮเวย์ ใกล้ๆ กับไทยรัฐ จนเปลี่ยนมาเป็นซอย 5 ถนนวิภาวดีรังสิต เบ็ดเสร็จอยู่มาสี่สิบกว่าปี ตั้งแต่วัยรุ่นจนกลายวัยไม้ใกล้ฝังในปัจจุบัน
วันเสาร์ที่ 6 ตอนเย็น หลานสาววัยสิบขวบที่รอรับแม่ที่เพิ่งกลับจากที่ทำงานใกล้วัดสุทัศน์ วิ่งเข้ามาบอกว่ามีน้ำไหลเข้ามาในซอยแยกราวตาตุ่ม แต่ผมกับลูกจ้างเก่าแก่ช่วยกันขนหนังสือหนังหากับเอกสารต่างๆ ขึ้นโต๊ะบ้าง กองกับยกพื้นข้างโรงรถบ้าง เพื่อนบ้านแวะมาคุยกันเรื่องน้ำท่วมที่เข้าดอนเมืองแล้ว ทุกคนยังมองในแง่ดีว่าคงไม่เข้ามาถึงหมู่บ้านเรา
ราวสองทุ่มครึ่งลูกชายคนโตก็ขับรถปิกอัพกลับจากสำนักงานแถวสี่พระยา ส่วนลูกชายคนเล็กไม่ต้องไปทำงานที่บางบัวทองเพราะบริษัทปิด...หลานเล่นคอมพ์ พ่อ แม่ดูทีวี ส่วนผมขึ้นห้องนอนชั้นบน อ่านหนังสือให้สบายใจไม่ต้องคิดมาก
รุ่งขึ้นก่อนเช้ามืด มหาภัยก็จู่โจมเข้าเล่นงานฉับพลันทันใด!
สายน้ำหลั่งไหลเข้ามาเหมือนน้ำตก สนามเจิ่งนองจนถึงโรงรถ หนังสือกองใหญ่นับสิบๆ กองชุ่มโชก กระจัด กระจาย ก่อนที่น้ำจะทะลักเข้าตัวบ้านเหมือนเล่นกล
จากหน้าแข้งถึงเข่า แล้วสูงขึ้นเรื่อยๆ จนพวกเราต้องตัดสินใจเดี๋ยวนั้นเอง
รีบขนหนังสือที่เหลือกับยกทีวีกับคอมพิวเตอร์ขึ้นชั้นบน ลูกชายคนโตกับลูกเมียช่วยกันเก็บเสื้อผ้ากับข้าวของจำเป็น มุ่งหน้าไปอาศัยบ้านพ่อตาแม่ยายที่เมืองนนท์ ผมกับลูกชายคนเล็กจะไปเช่าโรงแรมต่างจังหวัดอยู่ชั่วคราว
เชื่อไหมครับว่าโรงแรมทุกจังหวัดในภาคกลางเต็มทั้งหมด ไม่ว่าชลบุรี ระยอง แม้แต่จันทบุรีก็เต็มทั้งนั้น...เราไปได้โรงแรมถึงเชียงรายโน่น ผมสั่งจองห้องหนึ่งสัปดาห์ทันที ถ้าน้ำลดก็กลับ แต่ถ้ายังก็จะเช่าต่อคราวละสัปดาห์เรื่อยไป!
เจ้าคนเล็กทำหน้าที่โทร.ไปจองที่นั่งรถทัวร์ ปรากฏว่าได้เที่ยว 20.30 น.
ปัญหาที่ทำให้งุนงงยิ่งกว่านั้นก็คือ...เราจะออกจากบ้านได้ยังไง?
หมู่บ้านถูกสายน้ำล้อมกรอบไว้ทั้งหมด ตั้งแต่ซอย 3 จนถึงซอย 5 รถแท็กซี่กับมอเตอร์ไซค์อย่าไปฝัน ตอนนั้นบ่ายสามโมงแล้ว ลูกชายคนโตอพยพลูกเมียออกไปแต่เช้า ระดับน้ำสูงขึ้นทุกที...จนมาหยุดอยู่เกือบถึงสะเอว
เราพยายามหาทางออกทางด้านหลัง เลี้ยวขวาไปทางสถานีทีวีช่อง 7 จากนั้นคงต้องโบกรถยีเอ็มซีของทหารไปขนส่งหมอชิตก่อนเวลาให้ได้ ปัญหาคือเราจะไปที่นั่นได้ ยังไง
"ลุยน้ำไปกันซีพ่อ!"
ลูกชายโพล่ง ผมเกือบจะดุว่าพูดบ้าๆ แต่เมื่อนึกถึงความจริงแสนสาหัสที่ต้องเจอะเจอก็ได้แต่กลืนน้ำลาย
ราวห้าโมงเย็น สองพ่อลูกตัดสินใจหิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าคนละใบ เดินออกจากซอยแยกเลี้ยวซ้ายตามถนนของซอย 5 วิภาวดี...ลุยน้ำเกือบสะเอวไปได้เชื่องช้า ไม่อยากห่วงหน้าพะวงหลังให้ยุ่งยากใจ...คนรับใช้เก่าแก่ซึ่งเปรียบเสมือนแม่บ้านของเราก็เป็นคนไว้เนื้อเชื่อใจได้เพราะอยู่กันมาเกือบยี่สิบปีแล้ว
"คุณไปเถอะค่ะ หนูจะเฝ้าบ้านเอง ถึงอยู่คนเดียวก็ไม่กลัว"
แต่ผมกลับกลัวว่าเราจะไปถึงขนส่งหมอชิตไม่ทัน ไหนจะเคลื่อนที่ได้ช้า ไหนจะกังวลว่ารถทหารที่มาช่วยเหลือประชาชนยามนี้จะทิ้งระยะห่างแค่ไหน? กับจะมีที่ว่างให้เราเบียดเสียดขึ้นไปปักหลักได้หรือเปล่า? ยามเย็นของฤดูหนาวมืดครึ้มลงอย่างรวดเร็ว
มองเห็นแสงไฟจากร้านค้าด้านซ้ายอยู่ลิบๆ พร้อมกับเสียงจ๋อมๆ ตามหลังมา
คงไม่ได้มีแต่เราเท่านั้นหรอกที่ต้องลุยน้ำออกไปรอรถทหาร ผู้ชายผมขาวโพลนพอๆ กับผม หน้าตาดูคุ้นๆ ก็อาจจะไปสถานีขนส่งเพื่อหนีน้ำไปต่างจังหวัดไกลๆ เหมือนกัน
ผ่านหน้าช่อง 7 เลี้ยวซ้ายไปยังต้นทางรถไฟฟ้าใต้ดิน ชายผอมสูงผมขาวก็ยังเดินตามมาใกล้ๆ น้ำลดลงนิดหน่อย...ผมหยุดถอนใจยาวที่ริมถนนพหลโยธิน หันไปมอง ข้างหลังก็ไม่เห็นชายผมขาวผู้นั้นแล้ว
"พ่อตาฝาดละมั้ง?" ลูกชายหัวเราะเมื่อผมเล่าเรื่องนี้ให้ฟัง "ลุงเพิ่มผมขาวน่ะแกหัวใจวายเพราะเครียดเรื่องน้ำท่วมมาตั้งแต่เมื่อเย็นวานนี้แล้วนี่นา!"
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์