'ภูเบศว์" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกจากโรงแรมผีสิง
เรื่องที่ผมจะเล่าต่อไปนี้เกิดขึ้นมาราว 5-6 ปีก่อน ในโรงแรมชั้นดีแห่งหนึ่งที่พิษณุโลก พวกเราไปทำธุระที่นั่น และต้องอยู่ประมาณ 10 วันจึงจะแล้วเสร็จ
นั่นคือการอบรมพนักงานบริษัทโดยมากัน 3 ผลัด ผลัดละ 3 วัน พวกเขาพักในค่าย ผมเองเป็นหัวหน้าฝ่ายบริหารส่วนบุคคลขอพักโรงแรมดีกว่า ผมมีรถขับเอง สะดวกสบาย และนิสัยผมไม่ชอบปะปน นอนร่วมห้องกับใคร โดยเฉพาะคนแปลกหน้า
ห้องที่พักอยู่ชั้น 3 ประตูลิฟต์เปิดมาก็แทบจะต้องกับประตูห้องผมพอดี!
เคยได้ยินมาว่าลักษณะแบบนั้นเป็นอาถรรพณ์... ไม่จริงหรอก สะดวกดีด้วยซ้ำ เดินออกจากลิฟต์แค่ไม่กี่ก้าวก็ไขประตูเข้าห้อง เลย แต่คนที่กลัวอาถรรพณ์เขาบอกว่าถ้าดึกๆ เอาลูกกะตามองตรง "ตาแมว" หรือกระจกกลมๆ เล็กๆ ที่ประตูเราจะเห็น...ผี!!
ผมเคยลองมองดูนะครับ ไม่เห็นมีอะไรเลย แต่ยอมรับว่ามันวังเวงใจน่าดู
เมื่อกินอาหารเย็นราวทุ่มเศษก็ขึ้นห้อง อาบน้ำเปลี่ยนชุดให้สบายๆ จากนั้นก็เอางานขึ้นมาทำ นอกจากบางวันที่ค่ายมีการเล่นภาคกลางคืน ผมก็จะไปดูแลจนกว่าจะเสร็จงาน...แต่คืนแรกที่ผมพักก็เจอเรื่องแปลกประหลาดทันที!
ราวๆ สองทุ่ม ผมได้ยินเสียงประตูห้องข้างๆ ปิดดังปังใหญ่ เล่นเอาตกใจแทบสะดุ้ง แหม...เรากำลังตรวจงานเพลินๆ เล่นแบบนี้แย่จริงๆ ช่างไม่มีมารยาทเสียเลย
อ้อ! ลืมเล่าไปว่าห้องผมกับห้องนั้นมีประตูเปิดถึงกันได้ ซึ่งต้องใช้กุญแจแม่บ้านไขเท่านั้นเพราะมันล็อกอยู่ และก็ไม่มีลูกบิดหรือกลอนเลย มีแต่กุญแจลุ่นๆ อย่างเดียวเท่านั้น
หลังจากประตูปิดปังแล้วก็ได้ยินเสียงคนคุยกัน พวกเขาคงซื้อของมาด้วยถึงได้มีเสียงถุง ก๊อบแก๊บดังอยู่ตลอด ผมชักรำคาญแต่ไม่รู้จะทำยังไงดี ก็เลยก้มหน้าก้มตาตรวจงานต่อ...พอเริ่มมีสมาธิ หูก็ไม่ได้ยินเสียงอื่นใด จนกระทั่ง...
"ปังๆๆๆๆ!!" เสียงเขย่าประตูที่เปิดถึงกัน...มันจะทำอะไรของมันวะ?
ผมชักยัวะขึ้นมา...ทำเอาตกอกตกใจเป็นครั้งที่สองแล้วนะ! ผมเริ่มคิดว่าห้องนั้นคงมีเด็กมาด้วย ถ้าเป็นผู้ใหญ่ทำ...ไม่บ้าก็คงใกล้ตายมั้ง ถึงได้เขย่าประตูชาวบ้านเขาแบบนี้น่ะ!
เงียบไปพักหนึ่งก็เขย่าอีกแล้ว...ปังๆๆๆ แล้วก็เงียบกริบ...ไม่ได้การแล้วล่ะ ผมต้องทำให้เขารู้ซะบ้างว่าห้องนี้มีคนอยู่!
คิดแล้วก็ผลุนผลันไปตบประตูสองปัง แค่นี้เขาก็ต้องรู้แล้วล่ะ...ผมเอาหูแนบกับประตู ฟังซิว่าเขาจะว่ายังไงกันมั่ง? แต่ไม่มีเสียงอะไรเลย มันเงียบสนิทราวไร้ผู้คน
เฮ้อ! แปลก...
ผมจ้องประตูบานนี้อยู่พักใหญ่ แล้วค่อยๆ ถอยมานั่งเตียง หยิบงานขึ้นมาตรวจต่อ...อ้าว? ยังไม่ทันรวบรวมสมาธิเลยก็เกิดเสียงทะเลาะกันบ๊งเบ๊ง...มันเป็นภาษาจีนครับ ดังลั่นเชียว...เอ้า! ทะเลาะกันเข้าไป...สัก 5 นาทีก็หยุด แล้วเงียบกริบ
ผมยอมแพ้...เปิดทีวีดูดีกว่า จนสี่ทุ่มชักง่วงเลยปิดทีวีเข้านอน
ในความมืด ผมกำลังจะหลับก็ได้ยินเสียงเกาประตูด้านข้างดังแกร๊กๆ สักพัก...เขาทะเลาะกันอีกแล้ว คราวนี้นานเชียวเกือบ 15 นาทีได้...พอเหนื่อยก็ย้ายของกันล่ะซิ เสียงเลื่อนเตียงเลื่อนตู้... เอ้า! โป๊ะไฟล้มดังโครม!
ไม่ไหวแล้ว ผมเองน่ะกว่าจะหลับได้ก็แทบแย่...พอรุ่งเช้ารีบลงไปบอกกับทางโรงแรม ผู้หญิงที่รับเรื่องทำหน้าพิกล ผมเห็นเธอขนลุกเกรียวชัดๆ แต่กลับบอกว่าไม่มีอะไร...แล้วจะจัดการให้
คืนที่ 2 ที่ 3 เหตุการณ์ยังเหมือนเดิม จนผมไปถามแม่บ้าน...เธอตบอกผางบอกเสียงระรัวว่า "ย้ายห้องเถอะคุณ! ฉันจะช่วยคุณย้ายเอง ไปอยู่ชั้น 4 ดีกว่า ห้องข้างๆ คุณน่ะไม่มีใครกล้าอยู่หรอกค่ะ"
แล้วเธอก็มือไม้สั่น เปิดห้องนั้นให้ดู!
แปลกประหลาดที่สุด ห้องนั้นไม่มีใครอยู่จริงๆ มันเหม็นอับและอึดอัดพิกล...แม่บ้านรีบปิดประตูแล้วเล่าว่า ห้องนี้เคยมีคนไต้หวันมาพักสองคนผัวเมีย แล้วก็ทะเลาะกันโดยไม่รู้สาเหตุจนผัวระงับโทสะไม่ได้ เอาโป๊ะไฟขว้างหัวเมียแตกเป็นแผลฉกรรจ์ จนเธอกะโหลกแตกแต่ไม่ได้ตายทันที
เธอคงมาทุบประตูที่เชื่อมระหว่างห้องเพื่อขอความช่วยเหลือ...เมื่อพบอีกทีเธอก็สิ้นใจในห้องนี้แหละ
ผมจะเชื่อผีดีมั้ยเนี่ย? มันมีพลังลึกลับบางอย่างที่ปฏิเสธไม่ได้...ไม่เอาละ! ผมทำตามที่คุณแม่บ้านบอกดีกว่า แต่ไม่ได้ย้ายห้องนอน...ผมย้ายไปนอนค่ายกับพวกพนักงานบริษัท ปลอดภัยกว่ากันเยอะเลยครับ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์