"ปานใจ" เล่าประสบการณ์ขนหัวลุกเมื่อปีศาจเข้าสิงศาลพระภูมิ
ดิฉันเคยฟังเรื่องผีๆ สางๆ มามากจนคิดว่าเป็นเรื่องธรรมดา แต่อดสงสัยไม่ได้ว่าผีหลอกทำไม? เพื่ออะไร? นี่ซีคะที่เป็นปัญหาคาใจมาตลอด!
บ้างก็เชื่อว่าผีมาขอส่วนบุญต่างหาก แต่คนที่เห็นผีไม่มีใครคิดถึงเรื่องนี้เลยค่ะ มีแต่จะขนหัวลุกกันทั้งนั้น บ้างก็เชื่อว่าผีมาเยี่ยมเยียนญาติมิตรเพราะจิตรักใคร่ผูกพันมากกว่า
ที่น่ากลัวยิ่งกว่านั้นก็คือผีที่ถูกฆ่า ติดตามมาล้างแค้นผู้ทำลายชีวิตตน เพราะเกิดความอาฆาตรุนแรง จนกว่าจะแก้แค้นได้สำเร็จ
เมื่อปีก่อนก็มีข่าว ว่าฆาตกรหนุ่มมาสารภาพกับตำรวจถึงโรงพัก ว่าตนเป็นผู้ฆ่าภิกษุชรารูปหนึ่งเพื่อชิงทรัพย์ แม้ว่าจะหลบหนีไปได้โดยไร้ร่องรอยก็จริง แต่แล้วก็ทนไม่ไหวจนต้องมาสารภาพผิด
ตอนแรกเจ้าหน้า ที่คิดว่าสติไม่สมประ กอบ แต่เมื่อสอบ สวนไม่นานก็มีหลักฐานชี้ชัดว่าชายนั้นเป็นฆาตกรจริงๆ สาเหตุสำคัญก็คือ ภิกษุชราผู้โดนทำร้ายจนถึงแก่มรณภาพไปแล้วนั้น ได้มาปรากฏกายให้เห็น ติดตามทวงหนี้ชีวิตไม่ลดละจนฆาตกรแทบสติแตกตายนั่นเอง
สำหรับผีหลอกอีกแบบหนึ่งคือ เป็นวิญญาณชั่วช้ากาลีที่สุด!
ภูตผีปีศาจทั้งหลายก็เหมือนผู้คนทั่วๆ ไป คือมีทั้งดีและชั่วคละเคล้ากันไป
สัมภเวสี - ผีเร่ร่อน หรือวิญญาณแสวงแดนเกิดทั้งปวงนั้น นอกจากจะหิวโหยร้องขอส่วนบุญจากญาติมิตรบ้าง จากผู้อื่นบ้าง บางครั้งยังถือโอกาสสวมรอยแทนผู้อื่นอย่างหน้าตาเฉย...ยกตัวอย่างง่ายๆ คือสิ่งที่เราเรียกว่าพระภูมิเจ้าที่นั่นแหละค่ะ
เมื่อมีการตั้งศาลพระภูมิก็จะต้องมีผู้รู้มาทำพิธีตั้งศาล เซ่นสรวงด้วยเครื่องบัตรพลีเพื่อให้วิญญาณชั้นสูง เช่น เจ้าที่เจ้าทาง เทพาอารักษ์มาสิงสู่ แต่บังเอิญมีวิญญาณร้ายผ่านมาพอดี ถือโอกาสสวมรอยเข้าไปกินเครื่องเซ่นจนอิ่มสำราญ แล้วยึดเอาศาลนั้นเป็นที่อยู่เสียเลย
วิญญาณชั้นดีหมดโอกาส เพราะมาถึงตามคำเชิญต่อเมื่อสายเกินไปเสียแล้ว!
เมื่อภูตพเนจรเข้าสิงสู่ศาลในระยะแรกก็ไม่มีอะไร เนื่องจากมีที่อยู่กินแสนผาสุก มีคนนำเครื่องเซ่นมาสังเวยทุกวัน ไม่ต้องร่อนเร่หากินตามแบบผีไม่มีศาลเหมือนก่อนอีกแล้ว
แต่ขึ้นชื่อว่าคนชั่วหรือวิญญาณร้ายก็มีอุปนิสัยคล้ายๆ กัน คือชอบกลั่นแกล้งรังแกให้ผู้อื่น เดือดร้อน แม้ว่าผู้นั้นจะมีบุญคุณ ให้ที่อยู่ที่กินก็ไม่ละเว้น
ท่านผู้ใหญ่ที่เล่าเรื่องนี้ให้ข้อสังเกตว่า ถ้าบ้านเรือนใดมีศาลพระภูมิเจ้าที่ชั้นดี ผู้คนในบ้านนั้นก็จะมีแต่ความสุขความเจริญ แต่ถ้าบ้านเรือนใดเกิดความเดือดร้อนวุ่นวาย เกิดปัญหาน่าปวดหัว จนถึงกับคนในบ้านบาดเจ็บล้มตาย ขอให้ตั้งข้อสงสัยที่ศาลพระภูมิก่อนอื่น
แม้ว่าโชคเคราะห์ย่อมเกิดกับมนุษย์กะทันหัน ไม่มีใครบอกได้ว่าเมื่อใดจะดีหรือร้าย แต่ถ้าเกิดเรื่องร้ายแรงติดๆ กันแล้ว ก็ให้สันนิษฐานว่าอาจเนื่องมาจากศาลพระภูมิก็ได้...คือ วิญญาณร้ายที่สิงสู่อยู่เนรคุณ หรือไม่ก็เกเรเกตุงตามสันดานเดิมน่ะซีคะ
เมื่อแรกดิฉันยอมรับว่าเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง จนกระทั่งไปประสบกับเรื่องขนหัวลุกด้วยตัวเองที่ชุมชนแห่งหนึ่งแถวสะพานควายเมื่อราวสิบปีมาแล้ว!
บ้านเรือนละแวกนั้นค่อนข้างแออัดยัดเยียด ผู้คนส่วนใหญ่มีอาชีพค้าขายในตลาดบ้าง หาบเร่แผง ลอยบ้าง รวมทั้งเป็นช่วงไม้ช่างปูน จนถึงรับจ้างสาร พัด...ส่วนหนึ่งเป็นพวกพนักงานบริษัทห้างร้านและรัฐ วิสาหกิจ
วันหนึ่งมีครอบ ครัวใหม่มาเช่าบ้านอยู่ใกล้ๆ ชื่อพี่สันต์กับพี่เพ็ญ มีลูกชายหญิงสองคนกำลัง เข้าวัยรุ่นทั้งคู่...เรื่องแปลกๆ เกิดขึ้นตั้งแต่ตอนที่เขาตั้งศาลพระภูมิแล้วค่ะ!
ไม่ใช่ว่าศาลเก่าไม่มีนะคะ แต่เป็นศาลไม้เก่าแก่และผุพังจนล้มไปนานแล้ว คนเช่ารายก่อนๆ ก็ไม่ได้สนใจ แต่รายนี้ไปซื้อศาลสวยๆ คล้ายโบสถ์จำลองจากสวนจตุจักร มาพร้อมกับคนทำพิธีตั้งศาล เขามีหัวหมู ไก่ต้ม เหล้า มะพร้าวอ่อน ขนมนมเนยกับดอกไม้สวยๆ จุดธูปเทียนเซ่นไหว้ มีเด็กๆ มามุงดูหลายคน
จู่ๆ ฟ้าก็มืดครึ้ม ลมพัดอู้ๆ เหมือนเสียงใครกำลังหัวเราะอย่างเบิกบานใจ จนหลายๆ คนบอกว่าขนลุกขนพองไปตามๆ กัน!
หลังจากนั้นไม่นาน ครอบครัวนี้ก็มีเรื่องทะเลาะเบาะแว้งกันตลอด ลูกชายติดยา (แถวนั้นมีมากด้วย) ลูกสาวกลายเป็นเด็กใจแตก ลงเอยด้วยการโดนข่มขืนฆ่าในตึกร้างแถวนั้น
พ่อหันเข้าหาเหล้าจนถูกไล่ออกจากงาน แม่ก็กลายเป็นคนโมโหร้าย ทั้งบ่นบ้าและหาเรื่องด่าทอแทบไม่หยุดปาก นัยน์ตาขุ่นขวางเหมือนคนวิกลจริต
วันสุดท้ายเกิดไฟไหม้บ้านตอนดึก เพลิงนรกลุกลามจนบ้านช่องแถวนั้นวอดวายไปสิบกว่าหลัง บ้านต้นเพลิงตายหมดค่ะ...ตอนที่พวกเราตื่นตกใจ ขนของหนีไฟกันอลหม่านก็ได้ยินเสียงหัวเราะเย้ยหยันมาเข้าหู...
เสียงนรกจกเปรตนั่นดังมาจากศาลพระภูมิที่มีไฟลุกท่วม...ขนหัวลุกจริงๆ ค่ะ!
ขอบคุณ แหล่งที่มาหนังสือพิมพ์