ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 735|ตอบกลับ: 0

สังเขปประวัติของ หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี

[คัดลอกลิงก์]

นิสิตสัมพันธ์

กระทู้
473
พลังน้ำใจ
40883
Zenny
206866
ออนไลน์
36627 ชั่วโมง

สมาชิกจีโฟกาย 100%สมาชิกระดับแพลตตินั่มสมาชิกระดับทับทิมสมาชิกระดับไพลินสมาชิกระดับมรกตสมาชิกระดับเพชรสมาชิกระดับเพชรบริหารสมาชิกระดับเพชรคู่สมาชิกระดับตรีเพชรสมาชิกระดับมงกุฎ

สังเขปประวัติ ของพระราชนิโรธรังสีคัมภีรปัญญาวิศิษฏ์ (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
วัดหินหมากเป้ง ตำบลพระพุทธบาท อำเภอศรีเชียงใหม่ จังหวัดหนองคาย
.....เราได้อุบัติขึ้นในตระกูล “เรี่ยวแรง” ที่บ้านนาสีดา ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี บิดาชื่ออุส่าห์ เรี่ยวแรง เดิมเป็นชาวอำเภอด่านซ้าย จังหวัดเลย หนีความทุกข์ยากมาตั้งถิ่นฐานที่บ้านนางิ้ว ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี มารดาชื่อครั่ง เป็นชาวพวน ได้อพยพหนีพวกโจรขโมยมาจากทุ่งย่างเมืองฝาง อำเภอลับแล จังหวัดอุตรดิตถ์ ได้สมรสกับนายอุส่าห์มีบุตรธิดาด้วยกัน๑๐ คนตายแต่ตั้งเด็ก๒ คนเป็นหญิงหนึ่งชายหนึ่ง เติบโตมาด้วยกัน ๘ คน ชาย ๔ หญิง ๔
.....เมื่อเป็นเด็กอายุได้ ๙ ขวบ ได้เรียนหนังสือภาษาไทยกับพี่ชายซึ่งบวชเป็นพระกับเด็กๆ ด้วยกันกว่า ๑๐ คน ซึ่งสมัยนั้นรัฐบาลขยายโรงเรียนประถมศึกษายังไม่ทั่วถึง นับว่าเป็นครั้งแรกที่มีการเรียนการสอนที่นี่ เรียนหนังสือ ปฐม ก.กา มูลบทบรรพกิจเรียนอยู่ปีกว่า พออ่านได้บ้างแต่ยังไม่คล่อง แต่หนังสือสำหรับพระเณรเรียนในสมัยนั้นซึ่งเขาเรียกว่าหนังสือธรรม (จารเฉพาะธรรมะคำสอนของพระพุทธเจ้า) อ่านได้คล่อง ต่อมาพี่ชายสึกจากพระ ไม่มีใครสอนเลยเลิกเรียนกันทั้งหมด แล้วได้ออกจากวัดไปช่วยงานบิดามารดา แต่ถึงขนาดนั้น บิดามารดาและญาติๆ ยังสนับสนุนให้ปฏิบัติพระอยู่ จนชาวบ้านเขาไว้วางใจทุกอย่างในด้านปฏิบัติพระ จนอายุราว ๑๓ ๑๔ ปี เกิดนิมิตความฝันว่า พระธุดงค์ไล่ตีด้วยแส้ วิ่งหนีเอาตัวรอดกระทั่งวิ่งเข้าห้องนอนร้องให้บิดามารดาช่วย ท่านทั้งสองก็เฉยอยู่เหมือนกับไม่มีเรื่องอะไรพระธุดงค์หวดด้วยแส้ สะดุ้งตื่นเหงื่อโชกทั้งตัว ปรากฏรอยแส้ถูกยังเจ็บแสบอยู่ เรานึกว่าเป็นจริงตื่นขึ้นมาจึงรู้ว่าความฝัน ต่อนั้นมาได้มีความคิดถึงเรื่องอาชีพของมนุษย์ที่กระทำกันอยู่ ตั้งต้นแต่ฝนตกดินชุ่มฉ่ำ ลงมือทำนา และเรื่องอะไรจิปาถะตลอดถึงปีใหม่ลงมือทำนาอีก อย่างนี้อยุ่ตสอดชีวิต มาคิดเห็นว่าเกิดมานี้แสนทุกข์ลำบากจริงๆ ทำงานไม่มีเวลาหยุดยั้ง แต่ก่อนมาไม่เคยนึกคิดอย่างนี้เลยสักที มีแต่มัวเมาด้วยการเพลิดเพลินตามประสาคนชนบท เพราะสมัยนั้นหนุ่มสาวเกือบไม่รู้จักการใช้ การหาเงิน เพราะธรรมชาติป่าเถื่อนยังอุดมสมบูรณ์ด้วมผักและลูกไม้นานาชนิด เข้าป่าหามาได้แบ่งปันกันบริโภคระหว่างญาติพี่น้องสองวันสามวันก็ไม่หมด เรื่องกระบวนการสามัคคี บ้านนาสีดาเป็นเยี่ยมกว่าบ้านอื่นใน ๒ ๓ ตำบลที่อยู่ใกล้เคียงกัน หากมีโจรขโมยเกิดขึ้นก็พร้อมใจกันอยู่เวรยามตลอดคืนรุ่ง คนสมัยนี้ได้ยินเข้าจะหาว่าพูดเท็จ เหลวไหลไม่มีความจริง อนิจจา โลกหนอโลก หมุนเร็วเหลือเกินเห็นจะไม่มีวันหมุนกลับเสียแล้ว ความหลังจะเป็นความฝันของคนเก่าแก่
.....เรานั่งคิดต่อไปอีกว่า พี่ๆ น้องๆ ทุกคนที่เติบโตมาจะต้องมีครอบครัวและก็แยกย้ายออกไปทำมาหากินเฉพาะส่วนตัว คิดไปๆว่าบิดามารดาจะไม่มีใครเลี้ยงดูแล้วเกิดสลดสังเวชว่าตัวเราเองจะต้องเป็นคนเลี้ยงดูบิดามารดาจนตลอดชีวิตท่านทั้งสอง
.....เมื่ออายุได้ ๑๖ ปี เจ้าคุณพระญาณวิศิษฎ์สมิทธิวีราจารย์(พระอาจารย์สิงห์ขนฺตฺยาคโม) ได้เดินรุกขมูลมาเป็นครั้งแรก ได้เข้าไปอาศัยในวัดที่เราอุปัฏฐากอยู่เป็นโอกาสสอนดีจึงไดัเข้าปฏิบัติท่าน แต่เนื่องด้วยที่วัดเป็นป่าทึบไข้มาลาเรียชุกชมท่านเป็นไข้อยู่ไม่ไดึจึงได้ออกไปจำพรรษาที่อื่นและได้ชักชวนให้เราไปจำพรรษากับท่านด้วย ออกพรรษาแล้วท่านได้กลับเมืองอุบลฯ ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของท่าน ก่อนจะเดินทางตามท่านไป เราได้เอาดอกไม้ ธูป เทียน ใส่ขันแล้วไปขอขมาโทษผู้เฒ่าผู้แก่ที่เราคุ้นเคย ท่านก็ให้ศีลให้พรขอให้ไอ้หนูจงสำเร็จตามความปรารถนาทุกประการพร้อมด้วยหลั่งน้ำตาร้องไห้ เราได้ติดสอยห้อยตามท่านอาจารย์สิงห์ฯ รอนแรมไปในป่าและบ้านเล็กบ้านน้อย เมื่อเป็นไข้ก็พักนอนตามร่มไม้ ไข้สร่างแล้วก็เดินต่อไปพร้อมกันนั้นก็ทำความเพียรภาวนาไปในตัว เป็นเวลาเดือนกว่าจึงถึง
.....เมืองอุบลฯ ได้บวชเป็นสามเณร เรียนภาษาไทยต่ออยู่ ๓ ปี จบประถมศึกษาบริบูรณ์ ต่อนั้นได้เรียนนักธรรมและบาลีอีกปีกว่าเลยบวชเป็นพระเมื่อ พ.ศ. ๒๔๖๖
ในปีนี้ พระอาจารย์สิงห์ได้กลับมาจำพรรษาที่เมืองอุบลฯอีกออกพรรษาแล้วพร้อมด้วยพระมหาปิ่น ปัญญาพโล (น้องชายท่านอาจารย์สิงห์ฯ)และพระหลายองค์ด้วยกันได้ออกเดินรุกขมูลไปในที่ต่างๆเดินตัดลัดป่าดงมูลและดงลิง ซึ่งเขาเลื่องลือในสมัยนั้นว่าเป็นป่าช้าง ดงเสือ ผ่านจังหวัดร้อยเอ็ดและกาฬสินธุ์ ตลอดถึงจังหวัดอุดรธานี ซึ่งในเวลานั้นเราเพิ่งออกฝึกหัดใหม่ ได้ผจญภัยอันตรายทุกข์อย่างยิ่ง คือวันหนึ่งเดินไปถึงหมู่บ้านแห่งหนึ่ง แขวนกลดนอนในป่า พอมืดค่ำลงมีฝนขนาดหนักตกลงมา โชคดีที่เราได้เตรียมปลดมุ้งเอาผ้าครองใส่ในบาตรแล้วเอากลดครอบตัวไว้ ฝนตกจนนอนไม่ได้ น้ำท่วมจนถึงที่นอน นั่งอยู่พักใหญ่ฝนจึงค่อยซาลงพระที่เป็นเพื่อนองค์หนึ่งซึ่งเขาเคยเดินรุกขมูลก่อนเราชวนว่า ไปเถอะ เข้าไปในหมู่บ้าน เราจึงสะพายบาตรและหอบเครื่องบริวารของท่านอาจารย์มหาปิ่นฯ พากันออกเดิน อนิจจาเอ๋ย ไปหลงทางวกไปเวียนมาไม่ถึงหมู่บ้านสักที ทั้งบ่าก็สะพายบาตรและหอบเครื่องบริขารท่านอาจารย์ฯ ด้วย แขนก็เหนื่อยล้าเหน็บชาไปหมดจะหยิบเอาเข็มทิศในย่ามออกมาดูก็ไม่ได้ให้เพื่อนหยิบออกมาดูจึงรู้ว่าทิศเหนือ ทิศใต้ไปประเดี๋ยวหมาเห่า จึงรู้ว่าถึงบ้านแล้ว ได้ไปพักที่วัดร้าง กุฏิไม่มีฝา ฝนสาดเปียกทั้งหมด รุ่งเช้าออกมาบิณฑบาต ได้ข้าวเหนียวกับกล้วยน้ำว้าลูกหนึ่งมาฉัน
แล้วก็ออกเดินต่อไป ในชีวิตซึ่งไม่เคยทุกข์ระกำถึงขนาดนี้ เดินวันยันค่ำ หิวก็หิว เหนื่อยก็เหนื่อย วันต่อมาเป็นวันตรุษจีน เขามาทำบุญอาหารมากหน่อย ฉันอาหารพอมีเรี่ยวแรง
เมื่อเดินทางถึงบ้านค้อ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี พอพบท่านอาจารย์เสาร์ กนฺตสีโล และท่านอาจารย์มั่นภูริทตฺโต อยู่ ณที่นั้นได้เข้าฟังธรรมเทศนาจากท่าน มีความชื่นใจสงบสบายดี ได้พักอยู่
.....กับท่าน ๒ ๓ คืน ท่านอาจารย์สิงห์ฯ ได้พากลับไปจำพรรษาที่บ้านหนองลาด อำเภอสว่างแดนดิน จังหวัดสกลนคร ในปีนี้เราทำความเพียรอย่างกล้าหาญเด็ดเดี่ยว มีการทำความเพียรภาวนาตลอดวัน ค่ำคืนรุ่ง พร้อมกันนั้นก็ผ่อนอาหารฉันน้อยที่สุด คือ ทำคำข้าวเหนียวเป็นคำๆ แต่ ๖๐ คำ ถอยลงโดยลำดับถึง ๓ คำ ฉันอยู่ ๓ วัน แล้วก็เพิ่มขึ้นโดยลำดับถึง ๕ คำ ฉันอยู่ได้ ๕ วัน ๑๐ คำ ฉันอยู่ได้ ๑๐ วัน ๑๕ คำฉันอยู่ได้ ๓ เดือน กับข้าวก็มีแต่พริกกับเกลือเท่านั้น ตลอดเวลา ๓ เดือน กิจวัตรเป็นต้นว่า บิณฑบาต ปัดกวาดลานวัดและหามน้ำ ตลอดถึงอาจริยวัตร ไม่ขาดสักวัน ออกพรรษาแล้ว ท่านอาจารย์มั่นฯ เรียกตัวให้ไปพบเพื่อกินของสงฆ์บางอย่าง หลังจากนั้นก็ไม่ได้กลับไปจำพรรษากับท่านอาจารย์สิงห์ฯอีก
เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๖๙ ได้ไปโปรดโยมมารดาและพี่ชายให้บวชเป็นชีปะขาว ในพรรษานี้ได้ไปจำพรรษาที่อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร โยมมารดาได้ติดตามไปจำพรรษาด้วย พร้อมด้วยพี่ชายและอาผู้ชาย ในปีนี้ทำความเพียรภาวนาได้อุบายอย่างหนึ่งซึ่งไม่เคยมีมาก่อน กล่าวคือ ที่คนทั้งหลายพูดว่านอนไปแล้วผีอำนั้นเราเคยเป็นมาแต่เด็ก จนกระทั่งบัดนั้นได้เกิดผีอำขึ้น เรามาพิสูจน์ตามความเป็นจริงว่าผีอำจริงหรือไม่ ก็ได้ความว่าไม่ใช่ผีอำจริง แต่มันเกิดโรคลมต่างหาก เราจะสังเกตได้ว่า เมื่อผีอำรู้สึกตัวขึ้นมาแล้วจะมีอาการมึนงง หรือมีอาการแปลกๆ ต่างๆ หลายอย่างซึ่งเนื่องมาจากลมทั้งนั้น ออกพรรษาแล้วพระคณาจารย์กรรมฐานต่างๆ ได้อพยพลงไปเมืองอุบลฯ ทั้งหมด เรากับพี่ชายได้ย้อนกลับมาจำพรรษาที่บ้านนาช้างน้ำ อำเภอท่าบ่อ จังหวัดหนองคาย ซึ่งเราได้เคยจำพรรษาก่อนหน้านี้ปีหนึ่งมาแล้ว
..........ในปีต่อมาได้มาจำพรรษาที่ถ้ำพระนาผักหอก ตำบลกลางใหญ่ อำเภอบ้านผือ จังหวัดอุดรธานี ซึ่งเป็นถิ่นเดิมของเรา พรรษานี้โยมผู้ชายได้ไปอยู่ด้วยแต่โชคไม่ดีท่านป่วยลูกหลานเห็นว่าเป็นการลำบาก เมื่อเจ็บป่วยอยู่สองพ่อลูกด้วยกันลูกหลานจึงไปรับมาจำพรรษาที่บ้าน แต่ท่านก็ไม่ได้อยู่ที่เดิม กลับไปอยู่ห้างนาซึ่งเป็นถิ่นเดิมของท่าน เราก็ลงมาเทศนาอบรมอยู่ตลอดเวลา ข้าวในนาเกิดสังหรณ์ นาชาวบ้านทั้งหมดฟ้าแล้ง ต้นข้าวเหี่ยวแดงหมดทั้งทุ่ง แต่ที่นาของท่านกลับเขียวชอุ่มทุกคนพยากรณ์ว่าชีปะขาวเห็นจะไม่มีชีวิตต่อไปแล้ว พอดีจวนออกพรรษาท่านก็ถึงแก่กรรม ก่อนวันจะถึงแก่กรรมก็สงบไป่เฉย ๆ บวชมาได้ ๑๐ กว่าปี อายุ ๗๗ ปี นับว่าการถึงแก่กรรมของท่านไปดีอย่างยิ่ง ยากที่หาผู้จะเป็นอย่างท่าน ต่อจากนั้นเราก็เที่ยวไปในที่ต่าง ๆ พร้อมกันนั้นมิได้อบรมสั่งสอนประชาชนให้ตั้งมั่นอยู่ในคุณพระรัตนตรัย
..........พระคณาจารย์ทั้งหลายที่ลงไปจำพรรษาที่เมืองอุบลฯ พากันทำเรื่องยุ่ง ท่านอาจารย์มั่นฯ เลยปลีกหมู่หนีไปจำพรรษาที่จังหวัด เชียงใหม่ เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๗๗ เราได้ข่าวว่าท่านอาจารย์มั่นฯ หนีชาวหมู่เข้าป่าไปคนเดียวใครไปตามก็ไม่พบเราสองคนกับพระครสีลขันธ์สังวร(อ่อนสี) ได้ไปตามหา ขึ้นไปตามหา ขึ้นไปถึงพม่า เข้าใจว่าท่านจะไปทางโน้นเราไปถึงผาฮังฮุ้ง ซึ่งเป็นเขตแดนของเมืองปั่น ประเทศพม่า ก็ไม่ปรากฏวี่แววว่าท่านได้ไปทางนั้น เราได้ไปพักที่หมู่บ้านปะหร่อง ซึ่งเป็นชาวเขาผาฮังฮ้งนี้นับว่าสูงมาก เดินจากหมู่บ้านชาวปะหร่องไปในราว ๓ ชั่วโมงจึงถึง ขณะนั้นอยู่หมู่บ้านปะหร่องยังมองเห็นพระธาตุปะหร่องที่อยู่บนผาฮังฮุ้งอยู่ลิบ ๆ พระธาตุนี้ขึ้นไปไหว้ยากที่สุด ถ้าเป็นผู้ชายทางที่จะขึ้นไปเป็นชั้น ๆ เมื่อขึ้นไปถึงตอนบนสุดใกล้จะถึงพระธาตุ อีกในราว ๑๐ เมตร จะต้องเหนี่ยวโซ่ใช้สองเท้ายันหน้าผาขึ้นไปจึงจะขึ้นไปได้ถ้าเป็นผู้หญิงจะต้องขึ้นอีกทางหนึ่งซึ่งมีโซอยู่แล้วเขาก่อเป็นบันไดแต่อิฐหลุดหมดแล้ว ถ้าจะขึ้นก็ต้องคลานขึ้นไปจึงจะถึง เมื่อไปถึงข้างต้นแล้วจะมีเจดีย์องค์หนึ่งซึ่งเขาก่อใหม่ มีฐานกว้างในราว ๒ เมตรเศษ ส่วนสูงในราว ๘ เมตร เราได้ขึ้นไปไหว้แล้วกลับมานอนพักที่หมู่บ้านปะหร่องอยู่สองคืนจึงได้กลับลงมา การเดินทางลำบากมาก ต้องเดินไปตามลำห้วยและหน้าผาชันมากกลับมาพักทำความเพียรที่เขตพม่าต่อไทยอยู่ในราว ๑๐ วัน จึงได้เดินข้ามดอยอ่างขาง อำเภอฝาง จังหวัดเชียงใหม่ (ดอยอ่างขาง นี้เดิมเขาเรียกว่า “ ดอยมหาขาง” ซึ่งชาวบ้านเขาแปลว่า “ผีหวงที่สุด”) ได้มาพักทำความเพียรที่ถ้ำตับเต่าอีก ๑๐ กว่าคืน ออกจากถ้ำตับเต่าแล้วได้หลงทางพลัดเข้าไปในเขาลึก เดินตามลำธารคิดว่าเหมือนลำธารทางภาคอีสาน คือลำธารทางภาคอีสานสุดยอดจะเป็นโคกไปเลยอันนั้นที่ไหนได้ สุดยอดลำธารเป็นหน้าผาสูงชันลิบ พอดีไปถึงหน้าผามืด พร้อมกันนั้นเกิดอุบัติเหตุ เราพลาดก้อนหินล้มลง หินบาดฝ่าเท้าเป็นแผลเหวอะหวะ เราเอาผ้าอังสะพันแล้วเดินปีนป่ายขึ้นหน้าผาไปถึงยอดเขาเห็นรอยชาวบ้านเขามาหาไม้ ก็เข้าใจว่าใกล้บ้านแล้ว แต่มันก็ค่ำแล้ว เดินไปสักประเดี๋ยวได้ยินเสียงกวางตื่นเต้นคึกคักร้องปี๊บเปิ๊บ เราตกใจ พอตั้งสติได้รู้ว่าเป็นเสียงกวาง จึงจุดโคมเทียนแล้วเดินต่อไป เหนื่อยก็เหนื่อย เพลียก็เพลีย ทั้งหลงทางอีกด้วย ตกลงกันว่าพวกเราต้องนอนบนเขานั่นแหละในคืนนี้ เขาลูกนั้นลมจัดมาก จะกางกลดก็ไม่ได้ จึงเอากลดกางแล้วครับตัวนอนในคืนวันนั้นมดก็ตอม ปลวกก็เจาะ เพราะไม่ได้อาบน้ำ เหงื่อโชกทั้งตัว มดมาตอมกินเหงื่อ เราเอาผ้าปิดตาไว้ แล้วก็นอนครึ่งหลับครึ่งตื่น จนสว่าง
.....พอสว่างขึ้นมองเห็นทุ่งนาที่เราผ่านมาอยู่ลิบ ๆ เตรียมบริขารแล้วก็ออกเดินลัดโคกไป โดยเข้าใจว่าหมู่บ้านคงอยู่ทิศนี้แน่ แม้เท้าก็เจ็บ ทีแรกมันมันชาจึงไม่รู้สึกเจ็บ เดินคราวนี้หนทางเป็นหินลูกรังเจ็บที่สุด ค่อยกระเถิบไปสักครู่หนึ่งก็ถึงทางไปหมู่บ้านอย่างที่เราหมายมั่นไว้จริงๆ พอไปถึงหมู่บ้านซึ่งมีอยู่สองหลังคาเรือนเราเข้าใจว่าคงจะพอได้อาศัยบิณฑบาตพอฉัน สักประเดี๋ยวมีชายคนหนึ่งออกมาหาเราพูดเปรียบเปรยนิดหน่อยว่า คืนนี้เราหลงทางนอนป่า ทั้งเท้าก็เจ็บ เราบิณฑบาตไม่ได้ เราอยู่ที่นี้จะได้พออาศัยฉันอาหารสักสององค์จะได้ไหม เขาก็รับรองว่า “ได้เจ้า” พระครูสีลขันธ์ฯ ที่ไปด้วยเลยนอนเป็นลมแขม่วๆ อยู่ลุกไม่ได้ เราคอยท่าฉันอาหารอยู่เป็นเวลานานก็ไม่เห็นใครเอาอาหารมาถวาย จึงได้สั่งให้พระครูสีลข้นธ์ฯ ไปมองดูชาวบ้านว่าเขาทำอะไรอยู่ ก็ปรากฏว่ามีแต่เด็กเล็ก ๆ เราเรียกให้มาหา ถามว่าผู้ใหญ่ไปไหนกันหมดก็ ได้ความว่าผู้ใหญ่เข้าป่าไปหาใบตองมารีดมวนบุหรี่ขายเราถามว่ามีข้าวสุกไหม เราจะแลกด้วยไม้ขีดไฟ เขาบอกว่ามี แล้วจึงไปเอาข้าวกับยอดผักชะอมและน้ำพริกมาหนึ่งกระติบ เราดีใจว่าจะได้ฉันข้าวแล้ว ถามเขาว่ามีอีกไหม เขาก็บอกว่ามี เราจึงได้เอาไม้ขีดไฟอีก ๒ กล่องให้ไปแลกข้าวมาอีกหนึ่งกระติบพร้อมกับอาหาร พอฉันอาหารแล้วไหนได้ยิ่งเจ็บแผลมากกว่าเก่า ลุกเดินไม่ได้ จึงนอนแจ่วอยู่ในที่นั้นจนตะวันบ่ายจึงได้ถามเขาว่าหมู่บ้านข้างหน้ามีบ้างไหมไกลเท่าใดเขาบอกว่ามีไม่ไกล เราจึงอุตส่าห์เดินไปพักที่หมู่บ้านข้างหน้านั้นอยู่ ๑๐ คืน แผลที่เท้าพอทุเลา จึงได้เดินต่อไป
คราวนี้นับว่าโชคดีนักหนา พอเดินวันค่ำถึงบ้านมโนราห์ มีชาวบ้านออกมาหาบอกว่า มีตุ๊เจ้าองค์หนึ่งอยู่ที่ป่าเมี่ยง แม่ปั๋ง ชื่อตุ๊เจ้ามั่น เขาไปบวชเณรเพิ่งกลับมาเมือวานนี้ เราถามลักษณะท่าทีและการปฏิบัติก็แน่ชัดว่าเป็นท่านอาจารย์มั่นฯ แน่แล้ว รุ่งเช้าฉันจังหันแล้วเราก็ออกเดินทางไปนอนที่ถ้ำดอกคำ วันรุ่งขึ้นฉันจังหันแล้วก็เดินทางขึ้นภูเขาไปจนกระทั่งถึงป่าเมี่ยง แม่ปั๋ง ในเวลาบ่าย เห็นท่านเดินอยู่องค์เดียว ลงไปที่ลำธารอาบน้ำแล้วสะพายกระบอกน้ำขึ้นมา พ อท่านเห็นเรา ท่านก็พูดว่า “ท่านเทสก์มาหรือ” ในที่นั้นท่านได้เทศนาให้เราฟังอย่างเป็นใจความว่า “ลูกศิษย์ลูกหาของผมมีมากมาย ถ้าองค์ใดปฏิบัติตามที่ผมสอนคือพิจารณากายคตาสติจนถึงเป็นธาตุและสภาวะตามเป็นจริง องค์นั้นจะปฏิบัติได้มั่นคงและเจริญงอกงามโดยลำดับ” พรรษานึ้พวกเราสามองค์ได้อยู่จำพรรษา ณ ที่นั้น แต่เราได้ขึ้นไปจำพรรษาบนดอยซึ่งท่านเคยอยู่มาก่อน ที่นั้นไม่ใช่กุฏิธรรมดา แต่ท่านได้เอาต้นไม้แทนเสาฝา และหลังคามุงด้วยใบตองพอกันฟ้ากันฝน อยู่จำพรรษาได้ ซึ่งห่างจากที่นั้นขึ้นไปในราว ๕ เส้น เราได้อธิบายธรรมเทศนาจากท่านอาจารน์มั่นฯ แล้วตั้งใจว่า เอาละทีนี้เราจะต้องฝึกหัดตนใหม่ พิจารณากายคตาทุกลมหายใจ เข้า – ออก ตลอดพรรษารู้สึกว่าปลอดโปร่งสบายดี มีอุบายต่าง ๆ ให้พิจารณามากมาย
.....ในพรรษานั้นอากาศหนาวมากเป็นพิเศษ เราได้ทำโรงไฟให้ท่านนอน ออกพรรษาแล้วท่านอาจารย์มั่นฯ ลงมาที่บ้านทุ่งหมากข้าว เราสององค์กับพระครูสีลขันธ์ฯ อยู่ที่นั่นต่อไป หมู่เพื่อนได้ยิน ข่าวว่าท่านอาจารย์มั่สฯ ออกมาจากป่าแล้วจึงพากันไปหาเป็นอันมาก เรากับพระครูสีลขันธ์ฯ สับเปลี่ยนที่กันอยู่ คือ ท่านพระครูสีลขันธ์ฯ ไปอยู่ที่ที่เราอยู่จำพรรษา เราลงมาอยู่ที่ที่ท่านอาจารย์มั่นฯ กับพระครู
.....สีลขันธ์ฯ อยู่ แต่พระครูสีลขันธ์ฯ ไปอยู่แล้วไม่อยู่ที่ที่เราอยู่ กลับไปนอนใต้ร่มไม้ สุมกองไฟผิงนอนอยู่คนเดียว วันหนึ่ง ท่านมาเล่าให้ฟังว่า “ไม่รู้สัตว์อะไรมาหาเมื่อคืนนี้ กำลังนอนอยู่ พอพลิกตัวได้ยินเสียงร้องก๊าบ แล้วกระโดดดังสวบ หายเข้าป่าไป” เราเลยบอกว่ามาเถิด มาอยู่ด้วยกันดีกว่า (คนบ้านทุ่งไม่รู้จักเสียงเสือก็ดีเหมือนกันไม่รู้จักก็เลยไม่กลัว)
พรรษาต่อมา เราได้ลาท่านอาจารย์มั่นฯ ขึ้นไปจำพรรษาที่บ้านมูเซอร์ อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่ ซึ่งในที่นั้นไม่เคยมีพระไปจำพรรษาเลยสักที เห็นจะเป็นเราเป็นองค์แรกไปจำพรรษา ณ ที่นั้น
.....เมื่อเราขึ้นไปถึงจวนเข้าพรรษาแล้วนั้นเกิดฟาแล้ง ฝนไม่ตก คนในหมู่บ้านนั้นอดข้าวเกือบทั้งหมู่บ้านพอทำกุฏิให้เราอยู่เสร็จสรรพ ฝนเทลงมาใหญ่โต ทำให้ข้าวในไร่ของเขาเขียวชอุ่มงามดีปีนั้นพวกมูเซอร์ทั้งหมู่บ้านได้กินอิ่มหนำสำราญเขาหาว่าเป็นบุญของเขา เราได้สอนเขาให้ละอบายมุขต่างๆ เขา
พร้อมใจกันปฏิบัติตามเรา
.....ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ควรนำมากล่าวในที่นั้นแต่ไม่ใช่เรื่องธรรมะคือมีคนป่ากลุ่มหนึ่งออกมาหาพวกมูเซอร์ คนกลุ่มนี้ พวกมูเซอร์มาอยู่นานถึง ๕๐ - ๖๐ ปี แล้วไม่เคยเห็นเลยสักที เมื่อเขาออกมาขอกินอาหารต่างๆ ก็กินกันเอร็ดอร่อยอย่างคนหิวโหยเราถามว่าอร่อยดีไหม เขาตอบว่าอร่อยดี เราเกิดสงสารเอ็นดู อยากจะให้เขาตั้งหลักแหล่งทำมาหากินอย่างพวกมูเซอร์ซึ่งอุปกรณ์การทำมาหากินเป็นต้นว่าจอบ เสียม มีด พร้าไม่มี เราไปขอให้ทางการช่วยเหลือเราจึงบอกกับเขาว่า ถ้าอร่อยอย่างนั้นให้พวกเธออยู่อย่างพวกมูเซอร์ แล้วทำมาหากิน จะไม่อดอยากอย่างอยู่เดี๋ยวนี้ เขาบอกว่า “โอ๊ย พวกข้าเป็นคนป่าจะทำอย่างนั่นไม่ได้ แผ่นดินจะกลับปลิ้น (หมายถึงแผนดินจะพลิก)” เราขายขี้หน้าแทบแย่ คนพวกนี้พูดภาษาเมืองยองเราฟังได้ทุกคำ เขาไม่มีผ้านุ่ง เมื่อออกมาหาพวกมูเซอร์ เขาเก็บผ้าที่มีไว้มานุ่งแล้วจึงค่อยออกมา มีหอกเป็นอาวุธสำหรับล่าสัตว์เป็นอาหาร มีผู้หญิงและเด็กเล็กอยู่ด้วยกันในราว ๒๐ – ๓๐ คน ที่อยู่ของพวกเข้าอยู่ไม่เป็นที่ เมื่อเขาอยู่ที่ใดก็เอากิ่งไม้มาคลุมพอกันฟ้ากันฝนนิดหน่อย ฉะนั้นเขาจึงเรียกคนพวกนี้วา “ผีตองเหลือง” แต่พวกเขาก็ไม่ชอบคำว่า “ผี” เพราะว่าผีนั้นพวกเขาเองก็กลัว เขาจึงไม่ให้เรียกว่าพวกเขาเป็นผีตองเหลือง เขาให้เรียกตัวเขาเองว่า “คนป่า” สิ่งที่แปลกอีกอย่างหนึ่งก็คือถ้าผู้ชายคนใดล่าสัตว์ได้ ผู้หญิงจะชอบมานอนด้วย เป็นธรรมเนียมของเขาเนื้อที่เขาย่างแห้งแล้วเขายังเอามาให้เรา แต่เรารับประทานไม่ได้ เหม็นเขียวมากเพราะมันรมด้วยควันไฟ อาหารของพวกเขา ถ้าไม่มีเนื้อสัตว์ ก็กินลูกไม้และน้ำผึ้งที่หามาได้ระคนกับไม้ผุกินเป็นอาหาร
.....ในปี พ.ศ. ๒๔๘๑ ที่หมู่บ้านชาวมอญ ชื่อบ้านหนองดู่ เขตอำเภอปากบ่อง (อำเภอป่าซางในปัจจุบัน) จังหวัดลำพูน พระมอญ ที่เป็นสมภารอายุ ๘๐ ปี ได้ฝึกหัดกรรมฐานกับพระธุดงค์จนเกิดความรู้แปลก ๆ ต่าง ๆ ขึ้น เกิดอัศจรรย์จึงยอมสละขอญัตติเป็นพระธรรมยุตหมดทั้งวัด สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (พิมพ์ ธมฺมธโร) วัดพระศรีมหาธาติ บางเขน กรุงเทพฯ สมัยท่านไปอยู่วัดเจดียห์ลวง จังหวัดเชียงใหม่ เมื่อครั้งเป็นที่พระญาณดิลก ได้เป็นอุปัชณาย์ ญัตติให้พระมอญทั้งหมด แล้วท่านสั่งให้เราไปเป็นสมภาร ในพรรษานี้เราได้เทศนาอบรมชาวมอญทั้งหมู่บ้าน พวกเขาเลื่อมใสศรัทธา ได้พากันสละผีมอญเกือบทั้งหมดหมู่บ้าน หันมานับถือพระไตรสรณคมน์ยังเหลืออีกก๊กหนึ่งจะหมด แต่เราไม่มีโอกาสอยู่ เราได้ออกจากวัดบ้านหนองดูกลับมาภาคอีสาน ก่อนจะกลับ เราได้ไปนิมนต์ท่านอาจารย์มั่นฯให้กลับมาด้วย เรากราบเรียนท่านว่า ที่อยู่จังหวัดนี้มาได้ ๑๐ กว่าปีแล้ว ก็ไม่เห็นมีคนกี่คนปฏิบัติตามสู้ทางภาคอีสานเราไม่ได้คนทางภาคอีสานบ่นถึงครูบาอาจารย์เป็นนักเป็นหนา น่าสงสารพวกเขาเหลือเกิน เราปฏิบัติมาในเขตจังหวัดเชียงใหม่ เราหาวิเวกได้ตามชอบใจสิ่งที่ควรจะได้ควรจะเป็นก็พอสมควรแก่เวลาแล้วนิมนต์เถิด นิมนต์ท่านอาจารย์กลับเถิด” ท่านบอกว่าให้พิจารณาดูก่อน เราเข้าใจว่าท่านรับนิมนต์แล้วจึงได้มีหนังสือมาถึงท่านเจ้าคุณพระธรรมเจดีย์ (จูม พนฺธุโล) ที่จังหวัดอุดรธานี ขอให้ท่านส่งพระหรือฆราวาส คนหนึ่งไปรับท่านอาจารย์มั่นฯ กลับมาจังหวัดอุดรธานีท่านคงมาแน่แล้วเราก็กลับมาจังหวัดอุดรธานีพร้อมกับเด็กคนหนึ่ง
.....เราได้กลับมาจำพรรษาที่วัดอรัญญวาสี อำเภอทาบ่อ จังหวัดหนองคาย อีกวาระหนึ่ง ได้อบรมพระ เณร และอุบาสก อุบาสิกา อย่างเต็มความสามารถของเราอยู่มาได้ ๙ พรรษา ได้ทำนุบำรุงวัดให้เจริญมาโดยลำดับ แต่วิบากของเราไม่อำนวยคือ เกิดโรคลม จนกินไม่ได้ นอนไม่หลับ จึงได้ย้ายไปจำพรรษาที่อำเภอท่าแฉลบจังหวัดจันทบุรี เมื่อปี พ.ศ. ๒๔๙๑ อยู่ที่จังหวัดจันทบุรี ๒ พรรษา เราก็ได้อบรมพระเณร และอุบาสก อุบาสิกา ซึ่งในที่นั้นนับว่าเป็นประโยชน์มากโดยเฉพาะมีคนใบ้คนหนึ่งมาอบรมภาวนาเกิดปัญญาความรู้ต่าง ๆ หลายอย่างหลายประการ เป็นที่น่าอัศจรรย์อย่างยิ่ง จนบัดนี้เขายังมีชีวิตอยู่ ได้ไปตั้งวัดของเขาโดยเฉพาะ แล้วตัวเขาเองได้บวชเป็นชีปะขาวปฏิบัติพระอยู่ตลอดเวลา และยังมีคนแก่อีก 1 คนหนึ่ง เดิมเป็นคนขี้เมา เมื่อดื่มเมาแล้วนอนกลิ้งเกลือก อยู่ริมถนน เราได้สอนให้เขาละความเมาแล้วมาภาวนา เกิดศรัทธาเป็นอัศจรรย์ ได้มาปฏิบัติ เราอยู่ ๒ พรรษา ออกพรรษาแล้วเราได้ลาญาติโยมไปเยี่ยมอาการไข้ของท่านอาจารย์มั่นฯ ที่จังหวัดสกลนคร ตาแก่คิดถึงเราถึงกับร้องไห้
.....หลังจากท่านอาจารย์มั่นฯ มรณภาพ และทำฌาปนกิจศพของท่านเสร็จเรียบร้อยแล้ว เราได้คิดถึงหมู่คณะว่าพระผู้ใหญ่ที่จะเป็นที่พึ่งของพระกรรมฐานไม่มีเราจึงตั้งใจออกเดินทางเข้ากรุงเทพฯเป็นครั้งแรก เพื่อติดต่อกับพระผู้หลักผู้ใหญ่จนกระทั่งไปถึงจังหวัดภูก็ต ณ ที่นั้นเราได้ผจญภัยอย่างร้ายแรง โดยพระท้องถิ่นเขาไม่อยากให้อยู่ คือได้ทราบว่าเมื่อก่อนเขาร้องขอมาทางคณะสงฆ์ว่าไม่ให้พระคณะธรรมนุตไปอยู่ในเกาะภูเก็ต พอพวกเราเข้าไปจึงต้องผจญภัยอันใหญ่หลวง คือถูกเผากุฏิบางแห่ง จนกระทั่งถูกปาหัวด้วยก้อนอิฐและขับไล่โดยประการต่างๆ ทางเจ้าคณะจังหวัดพังงาได้ขับไล่ให้พวกเราหนีจากท้องถิ่นที่เขาปกครอง เมื่อพวกเขาไม่หนีเขาจึงฟ้องร้องจากทางพระผู้ใหญ่ และได้ส่งศึกษาธิการจังหวัดมาขับไล่พวกเรา เราจึงพูดความจริงให้ศึกษาธิการจังหวัดฟังว่า พวกเราไม่ได้มาเบียดเบียนใครทั้งหมด แต่จะมาอบรมศีลธรรมและเผยแพร่ศาสนาอันเป็นประโยชน์แก่บ้านเมืองมิใช่หรือ ต่อมาผู้ช่ว่ยสังฆมนตรีจึงได้มีหนังสือไปต่อว่าเจ้าคณะจังหวัดพังงาด้วยประการต่างๆ เรื่องจึงค่อยสงบลง

.....เป็นที่น่าเห็นใจเกาะภูเก็ตในสมัยนั้นเหมือนกันกับคนละประเทศ คนจังหวัดอื่นๆ น้อยคนที่จะไดัเห็นเกาะภูเก็ต และน้อยคนในเกาะภูเก็ตที่จะออกมาเที่ยวตามหัวเมือง เรียกว่าต่างคนต่างอยู่ คำว่า “พระธรรมยุต” น้อยคนที่จะรู้จัก การบริหารคณะธรรมยุต มหานิกาย ก็ไม่เข้าใจ เหตุนั้น พอพวกเราเข้าไปในเกาะภูเก็ต จึงเป็นของแปลกประหลาดมาก กรรมกรชาวอีสานก็เพิ่งเข้าไปในเกาะภูเก็ต ชาวบ้านเห็นพากันมองเป็นตาเดียวกันหมด น่าขัน เขาพากันเลืองลือว่าคนภาคอีสานแห้งแล้งอดอยาก กินเด็กน้อยเป็นอาหาร ตามชนบทเมื่อเขาเห็นคนภาคอีสานก็พากันวิ่งเข้าบ้านเปิดประตูมิด ถ้าเห็นอยู่ในป่าก็พากันวิ่งเข้าป่าหายเงียบ เราได้ไปอยู่ที่จังหวัดพังงา ๑ พรรษา ผจญภัยอย่างยิ่งดังกล่าวมาแล้ว ต่อมาได้ขยับมาอยู่เกาะภูเก็ตกระทั่งได้ ๑๕ พรรษา จึงได้ลาญาติโยมกลับมาภาคอีสานการไปอยู่เกาะภูเก็ตเป็นเหตุให้พระท้องถิ่นและญาติโยมเปลี่ยนสภาพไปหลายอย่าง โดยเฉพาะการเทศนาและการบริหาร นับว่าเป็นประโยชน์แก่พระท้องถิ่นมาก ตามประเพณีเดิมชาวบ้านเขาเข้าหาพระและกราบพระ ต้องนั่งขัดสมาธิ (ขัด-สะ-หมาด) พวกเราไปสอนให้ทำความคารวะโดยให้นั่งพับเพียบ นับว่าเรียบร้อยดีมาก พวกเราสละทุกอย่างเพื่อประโยชน์แก่ชนชาวภูเก็ตและจังหวัดพังงาดังกลาวแล้ว
.....เราพิจารณาเห็นว่าเราแก่ชรา เดินรุกขมูลมาก็มากแล้วอิดโรยเหนื่อนล้าแก่ช้าลง ควรที่จะหาที่พักทำความเพียรภาวนาวิเวกเฉพาะตัว เห็นว่าที่วัดหินหมากเป้งเหมาะที่สุด จึงได้เข้ามาอยู่ที่วัดตั้งแต่ปี พ.ศ.๒๕๐๘ เรื่อยมาจนกระทั่งบัดนี้การอยู่เป็นที่จำเป็นจะต้องมีการก่อสร้างและปรับปรุงวัดให้ดูสะอาด เมื่ออยู่ไปก็พัฒนาให้เจริญไปเรื่อยๆ จนกระทั่งญาติโยมทางกรุงเทพฯ และหมู่บ้านใกล้เคียงรู้จักเข้าไปสนับสนุนช่วยกันทำถาวรวัตถุ จนสมเด็จพระสังฆราชสกลมหาสังฆปริณายก (วาสน์ วาสนมหาเถระ) ทรงยกย่องให้เป็น “วัดพัฒนาตัวอย่าง” เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๓ เราสร้างวัดมิใช่เพื่อประโยชน์แก่คนนับถือ แต่เราสร้างวัดเพื่อให้สะดวกแก่การทำกิจวัตรในพระพุทธศาสนาเท่านั้น คนจะนิยมนับถือก็เป็นเรื่องของบุคคลต่างหากเราก่อสร้างวัดมา ๒๐ กว่าปีมาแล้ว คำว่า “ขอ” หรือ“เรี่ยไร” ไม่เคยออกจากปากเราแม้แต่คำเดียว สร้างอะไรขึ้นมาก็มีแต่ญาติโยมผู้มีศรัทธาบริจาคให้ทั้งนั้น
เมื่อปี พ.ศ. ๒๕๒๐ มีผู้ชักชวนให้ไปเผยแพร่ธรรมะที่สิงคโปร์ อินโดนีเซีย และออสเตรเลีย พร้อมด้วยพระ ๓ องค์ ฆราวาส ๒ คนได้ออกเดินทางจากรุงเทพฯไปพักอยู่ที่สิงคโปร์ ๑๐ คืน ณ ที่นั้น เขาให้พักที่ตึกชั้น ๒ เราวิเวกสบายดี ทำความเพียรสนุกทั้งกลางคืนและกลางวัน มีญาติโยมมาอบรมธรรมะประจำทุกคืน คืนละ ๒๐ ๓๐ คน ต่อจากนั้นได้ไปออสเตรเลีย .....พักอยู่ที่ออสเตรเลียอาทิตย์กว่า ได้
ไปเทศน์อบรมที่สมาคมจีน ๒ หนแล้วเดินทางกลับมาสิงคโปร์อีกได้ไปพักอยู่ที่เขาอีก ๑ คืน จึงเดินทางไปอินโดนีเซีย พักอยู่ที่อินโดนีเซีย ๒ อาทิตน์กว่า แล้วเดินทางกลับมาพักที่เก่าที่สิงคโปร์อีกนับว่าศรัทธาของเจ้าของบ้านที่เราพักอาศัญที่สิิงคโปร์แก่กล้าเป็นอย่างยิ่ง ยอมสละให้เราอย่อาศัยโดยไม่คิดมูลค่าแม้แต่นิดเดียว ในการเดินทางไปและกลับในครั้งนี้ บริษัทการบินไทย จำกัด ให้บริการตลอดเวลา โดยเฉพาะพลอากาศโทชู สุทธิโชติ ได้เดินทางไปส่งถึงสิงคโปร์ และขากลับก็ไปรับที่สิงคโปร์ เราเดินทางไปครั้งนี้เป็นเวลา ๓ เดือนกว่า หลังจากนั้นก็ได้กลับไปที่สิงคโปร์อีกครั้งหนึ่งได้ไปพักที่เดิมอีกเป็นเวลานาน เพราะเขาอยากจะสร้างวัดที่นั้น แต่สถานที่ไม่เหมาะสมเราจึงไม่ได้สร้าง
นับแต่เราบรรพชาอุปสมบทมาเป็นเวลา ๖๒ พรรษา สุข ทุกข์ แสนสาหัส (ใจ) เรียกได้ประสบมาแล้ว ความเกิดอีกของเราควรจะยุติได้แล้ว

คะแนน

จำนวนผู้เข้าร่วม 1พลังน้ำใจ +29 Zenny +299 ย่อ เหตุผล
Rolls-Royce + 29 + 299 สาธุ

ดูบันทึกคะแนน

ชีวิตมีขึ้นลง      อีกหน่อยปลงดับสังขาร ความสุขในวันวาน    อีกไม่นานก็จางไป วันก่อนเคยสนุก      วันนี้ทุกข์กลับพลักไส เพื่อนฝูงเคยอำไพ    บัดนี้ไร้แม้คนมอง
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-12-22 14:19 , Processed in 0.099135 second(s), 30 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้