ได้รักแท้คืนเพราะมะเร็ง
บทพิสูจน์รักแท้ ของคู่รักคู่หนึ่งซึ่งมี 'มะเร็ง' เป็นด่านสำคัญให้จับมือร่วมฝ่าฟัน
ที่ผ่านมามักจะมีหลายคู่แต่งงานที่ตัดสินใจเข้าพิธีวิวาห์อีกรอบเพื่อแลกเปลี่ยนคำสาบานเหมือนรีเซ็ตความรักให้สดชื่นเหมือนเพิ่งแต่งงานกันใหม่ๆ ในอีกหลายปีที่จะอยู่ด้วยกัน แต่สำหรับคู่แต่งงานอย่าง เจมมา และ ลุค สจ๊วต พวกเขาไม่ได้มีเวลาเหลืออยู่ด้วยกันมากนัก
ทั้งคู่จัดพิธีแต่งงานขึ้นอีกครั้งเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมาบนชายหาดคอร์ฟู ชายหาดอันสวยงามของเกาะแห่งหนึ่งในประเทศกรีซ ซึ่งถือว่าห่างจากการแต่งงานครั้งแรกของทั้งคู่แค่ปีเดียว อีกทั้งยังเป็นสัญลักษณ์ที่บ่งบอกให้รู้ว่าทั้งคู่เหลือเวลาอยู่ด้วยกันน้อยแค่ไหน
ก่อนหน้านี้ไม่นาน เจมมา ครูสาววัย 30 ปีได้รับข่าวร้ายจากหมอของเธอว่า เธอเหลือเวลาใช้ชีวิตเพียงแค่ 3 เดือนเท่านั้น หลังจากที่หมอตรวจพบว่าเธอมี มะเร็งร้ายอยู่ในตัว แต่ในระหว่างที่เธอกำลังโศกเศร้าเสียใจจากการรับรู้ว่าเธอเป็นโรคร้าย เธอยังคงเชื่อว่า เธอต้องใช้ชีวิตที่เหลืออยู่ของเธอให้ดีที่สุด "การได้รับข่าวร้ายว่า ฉันเป็น มะเร็งขั้นสุดท้าย ทำให้ฉันรู้ตัวว่าลุคเป็นคู่แท้ในชีวิตฉัน อยู่ดีๆ ทุกอย่างก็ชัดเจนขึ้น และคุณรู้ตัวว่าคุณต้องการอะไร"
ความจริงคือ ทั้งคู่ที่เคยใช้ชีวิตคู่ด้วยกันมานาน 8 ปี ไม่เคยคิดว่าชีวิตคู่ของตัวเองจะไปรอด "เรารักกันมาก แต่เวลาเราอยู่ด้วยกันมันมักไปได้ไม่ดีเลย ฉันค่อนข้างเป็นพวกไม่ค่อยทำตามกฎเกณฑ์ ชอบสะสมสิ่งของ แต่ลุคกลับตรงกันข้ามกับฉันอย่างสิ้นเชิง เรายังมีมุมมองในชีวิตต่างกันด้วย" เจมมาอธิบายให้ฟังถึงสถานะความรักของเธอ เจมมายังเผยด้วยว่า เธอเคยตกอยู่ในความเศร้าอย่างรุนแรงตอนที่พ่อของเธอเสียชีวิตเมื่อต้นปี 2552 เพราะพ่อเป็นคนที่เลี้ยงดูเธอมากับมือ และทั้งสองใกล้ชิดกันมาก
"หลังจากนั้น ฉันก็มีความปรารถนาอย่างแรงกล้าว่าจะมีลูกเพื่อสืบทอดสายเลือดของพ่อ แต่ลุคไม่พร้อมที่จะสร้างครอบครัว และนั่นสร้างรอยร้าวใหญ่ให้กับเราสองคน" เจมมาเผย ก่อนจะยอมรับว่า เมื่อเธอมามองถึงปัญหาจริงๆ แล้ว มันไม่ใช่เวลาที่เหมาะเท่าไหร่ที่จะพูดเรื่องนั้น เพราะตอนนั้นเธอยังอ่อนต่อโลก "แต่ตอนนี้เรากลับมาดีกันเพราะเรารู้ตัวแล้วว่าเรารักกันมากแค่ไหน" เจมมากล่าว โดยความรักของทั้งคู่เริ่มต้นที่เมืองฟาร์นโบโรห์ แคว้นแฮมไชร์ หลังจากที่ได้พบกันที่ไนท์คลับแห่งหนึ่งเมื่อปี 2548
"เราถูกเพื่อนในกลุ่มลากไปลากมา แต่เราก็มีโอกาสได้พูดคุยกับแล้วก็คุยกับถูกคอดี เขาก็ขอเบอร์ฉันไป และเราก็คบหากันหลังจากนั้นไม่นาน" อีกไม่กี่ปีต่อมา ทั้งคู่ก็แยกทางกัน แต่ยังคงมิตรภาพความเป็นเพื่อนกันอยู่ จนกระทั่งได้กลับมาอยู่ด้วยกันอีกเมื่อเดือนตุลาคมปี 2553 เจมมาพบก้อนเนื้อที่ง่ามขา "ฉันคุยกับลุค และเขาแนะนำให้ฉันไปหาหมอ เราไม่คิดว่ามันจะเป็น มะเร็ง แล้วหมอก็คิดเหมือนกัน เพราะว่าฉันยังอายุน้อย และใช้ชีวิตดูแลสุขภาพมาโดยตลอด หมอก็เลยมั่นใจว่าไม่มีอะไรร้ายแรง แต่เพื่อป้องกันไว้ก่อน หมอก็ตัดสินใจทำการตรวจดีกว่า"
เธอเริ่มรู้สึกไม่สบายใจเมื่อหมอตัดเนื้อเยื่อเธอไปตรวจ และจากนั้น ข่าวที่ตามมาก็ทำให้ทุกอย่างพังทลาย ผลการตรวจเนื้อเยื่อพบว่าเธอเป็น มะเร็งต่อมน้ำเหลือง "มันเป็นเรื่องช็อกมาก ฉันไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่ฉันได้ยินเลย เหมือนถูกเอาอะไรมาฟาดที่หน้า ในหัวมีแต่คำถามเต็มไปหมดว่า มันเริ่มเมื่อไหร่ ฉันไม่เคยอาบแดด แล้วฉันเป็นได้ยังไงในเมื่อฉันมักจะระวังตัวเวลาออกไปเจอแดดตลอดเวลา แต่ฉันคงไปเผลออาบแดดที่เท้านานไป เลยทำให้เกิด มะเร็งขึ้นมา" หมอบอกกับเธอว่า บริเวณที่เริ่มต้นเป็น มะเร็งนั้นเริ่มที่ฝ่าเท้า
"มองย้อนกลับไปแล้ว ฉันรู้สึกเหนื่อยง่ายมาก แต่ฉันคิดว่าคงเป็นเพราะงานหนักที่ต้องเป็นครูสอนเด็กออทิสติก เรื่องการเดินทาง บวกกับเรื่องที่คุณพ่อเสียชีวิต ฉันเริ่มได้รับสัญญาณเตือนตั้งแต่ต้นว่ามีอะไรผิดปกติแล้ว แต่สุดท้ายฉันก็ต้องมาเผชิญกับความจริงว่าฉันเป็น มะเร็งระยะสุดท้าย เป็นระยะลุกลาม ซึ่งย่ำแย่มาก" เจมมาเริ่มต้นการรักษาทันทีด้วยการผ่าตัดเพื่อนำต่อมน้ำเหลืองออก 37 จุด ก่อนจะทำเคมีบำบัดหรือคีโม แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะหยุดการลุกลามของ มะเร็งที่ยังคงขยายตัว และเพียง 7 เดือนต่อมาในปี 2554 เธอได้รับข่าวร้ายยิ่งกว่านั้น คือ เธอเป็น มะเร็งระยะสุดท้าย
"ตอนที่ฉันนั่งฟังเรื่องนี้ ฉันได้แต่คิดถึงลุค เราเลิกกันอีกครั้งเมื่อเดือนมกราคมที่ผ่านมา แต่ตอนนี้ทุกอย่างกลับชัดเจน และฉันอยากจะอยู่กับเขา ตอนนั้นเขาอยู่ที่ทำงานซึ่งเป็นบริษัทโทรศัพท์เคลื่อนที่แห่งหนึ่ง แต่ฉันไม่กล้าที่จะบอกเขาทางโทรศัพท์ ฉันรอให้เขามาที่บ้าน และตอนที่ฉันบอกอาการของฉันกับเขา เราได้แต่กอดกันร้องไห้ และบอกกันว่าเรารักกันมากแค่ไหน" "ตอนนั้นเองที่ฉันรู้ตัวว่า ผู้ชายที่นั่งอยู่ตรงหน้านี้คือคู่แท้ในชีวิต และก่อนที่ฉันจะรู้ตัว ฉันก็พูดออกไปว่าฉันอยากแต่งงานกับเขา เขาก็รู้สึกเหมือนกันกับฉันก่อนจะขอฉันแต่งงาน และตอนนั้นเอง ทุกสิ่งทุกอย่างก็ชัดเจนเหลือเกิน ฉันไม่สนใจอดีตที่ผ่านมา หรือเรื่องผิดใจงี่เง่าอีกต่อไป"
"ฉันรู้ดีว่า แม้จะไม่มีเรื่องพวกนี้เกิดขึ้น ลุคก็พร้อมที่จะอยู่เคียงข้างฉันเสมอ เขาคือหินผาสำหรับฉัน คือคนเดียวที่จะสามารถให้กำลังใจฉันได้ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้น ฉันรู้ว่าฉันอยากจะแต่งงานกับเขา มีวันที่สวยงามเพื่อเฉลิมฉลองความรักของเรา และมีความสุขกับวันเวลาที่เหลือของเรา" โดยไม่รู้ว่า เวลาเธอเหลืออยู่อีกมากแค่ไหน เจมมาเริ่มวางแผนงานแต่งสไตล์ฟู่ฟ่าแบบฮอลลีวู้ดย้อนยุคปี 1930 และในเดือนตุลาคมปี 2554 เธอก็ได้แต่งงานกับลุคต่อหน้าเพื่อนฝูง และครอบครัวที่โรงแรมสวยแห่งหนึ่งใน เมืองฟาร์นโบโรห์ "มันเป็นวันที่ดีที่สุดในชีวิตฉันเลย และฉันไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน ไม่ใช่เพราะฉันได้ทะเบียนสมรสมา แต่เป็นเพราะฉันได้ฉลองความรักของฉันกับเพื่อนๆ ทุกคน"
และนับแต่เธอตรวจพบ มะเร็ง เจมมาก็พาตัวเองกระโจนเข้าสู่โลกแห่งการเดินทาง เธอเดินทางไปยังจุดหมายปลายทางมากมาย ไม่ว่าจะเป็นมอริเชียส ออสเตรเลีย นิวยอร์ก หรือแม้แต่ทะเลแคริบเบียน และเมื่อเดือนตุลาคมที่ผ่านมา เจมมาและลุคก็เพิ่งฉลองแต่งงานครบ 1 ปีด้วยการทำพิธีแต่งงานอีกครั้งที่ชายหาดคอร์ฟูในกรีซ ซึ่งเป็นสถานที่พักผ่อนวันหยุดแห่งแรกของทั้งคู่ แต่ด้วยการที่เส้นผมเธอร่วงจากการเข้ารับการบำบัดคีโมที่สมองหลังจากที่พบ มะเร็งบางส่วนในนั้น เลยทำให้เธอตัดสินใจแต่งงานในสไตล์กรีก และสวมวิกผมสีฟ้าเข้าพิธี ด้วยเหตุผลง่ายๆ ว่า ถ้าจะต้องสวมวิกผม ทำไมไม่ลองใส่สีฟ้าแปร๋นแบบกรีกไปเลยล่ะ
ตอนนี้ เจมมาเลือกที่จะแบ่งปันเรื่องราวของเธอเพื่อป้องกันไม่ให้คนอื่นๆ ต้องมาเผชิญกับชะตาชีวิตแบบเดียวกับเธอ "ฉันไม่อยากให้คนอื่นต้องมาเป็นแบบฉัน ฉันมักจะมีผิวสวยเสมอ ไม่เคยคล้ำเลย ฉันดูแลตัวเองอย่างดีมาตลอด ทาครีมกันแดดตลอด แต่ก็ยังต้องมาเป็น มะเร็งดังนั้นขอให้ทุกๆ คนดูแลตัวเอง และอย่าเสียเวลาไปอาบแดด ตอนนี้ฉันรู้แล้ว ว่าฉันดูแลตัวเองไม่พอ และมันไม่คุ้มเลย" เจมมาเตือน โดยตอนนี้เธอกำลังวางแผนฉลองงานวันเกิดครบรอบ 31 ปีในเดือนมีนาคมนี้และถือเป็นจุดผ่านสำคัญของชีวิต และสิ่งที่เธอรอคอย
มาจนถึงวันนี้ เจมมา เอ่ยอย่างเข้าใจในชีวิตแล้วว่า ถึงเธอจะต้องจากไปก่อน แต่เธอก็จะจากไปอย่างมีความสุข นั่นก็เพราะเธอได้พบรักแท้ และไม่มีอะไรสำคัญไปกว่านี้ "ฉันรู้สึกซาบซึ้งในทุกวันที่เราได้อยู่ด้วยกัน" เธอบอกไว้อย่างนั้น
|