เพื่อน ๆ หลายคนที่ใครบ้างไม่รู้จักมะพร้าว เรามาทำความรู้จักคุณค่า
ที่เราดื่มหรือกินทุกวันนี้กันดีกว่านะครับซึ่งมีประโยชน์มากสำหรับคนปัจจุบัน
ที่มีอันตรายต่อเรื่องของโรคหัวใจ
สมมุติฐานน้ำมันมะพร้าวกับโรคหัวใจ “น้ำมันอิ่มตัวทุกชนิดเป็นสาเหตุของการเกิดโรคหัวใจ”เป็นบทสรุปสำหรับอาหารที่ก่อให้เกิดโรคหัวใจคำพูดดังกล่าวจำเป็นต้องแสดงให้เห็นถึงความสัมพันธ์ทั้ง4ประการดังนี้ 1.น้ำมันอิ่มตัวทุกชนิดมีคลอเรสเตอรอลสูง
2.เมื่อบริโภคน้ำมันอิ่มตัวแล้วมีคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือดสูง
3.คลอเรสเตอรอลที่สูงในกระแสเลือดนั้นนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง
4.ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งนำไปสู่การเป็นโรคหัวใจ ประจักษ์พยานและผลการศึกษาในเรื่องเหล่านี้สรุปได้ว่า ไม่มีความสัมพันธ์กันใน3ประเด็นแรกดังที่จะได้อธิบายดังต่อไปนี้ น้ำมันอิ่มตัวทุกชนิดมีคลอเรสเตอรอลสูง การกล่าวหาว่าน้ำมันอิ่มตัวอันได้แก่ น้ำมันจากสัตว์และน้ำมันเขตร้อน (tropicaloils) อาทิเช่นน้ำมันมะพร้าวและน้ำมันปาล์มเป็นสาเหตุของโรคหัวใจเพราะน้ำมันดังกล่าวเป็นสาเหตุให้มีคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือดสูง ทำให้น้ำมันมะพร้าวถูกกล่าวหาว่ามีคลอเรสเตอรอลสูงไปด้วยแต่ผลจากการวิเคราะห์ปรากฎว่าน้ำมันมะพร้าวมีคลอเรสเตอรอลต่ำที่สุดในบรรดาน้ำมันที่ใช้บริโภคทั้งหลาย กล่าวคือ มีเพียง14ส่วนในล้านส่วนซึ่งถือว่าน้อยมากจนกล่าวได้ว่าน้ำมันมะพร้าวไม่มีคลอเรสเตอรอล
การกล่าวหาอย่างรวมๆว่าน้ำมันอิ่มตัวทุกชนิดมีคลอเลสเตอรอลสูงนั้นไม่เป็นความจริงเพราะน้ำมันอิ่มตัวนั้นมีทั้งที่โมเลกุลขนาดยาว(C14-24) อันได้แก่น้ำมันจากสัตว์ เช่น น้ำมันหมูน้ำมันเนื้อ ซึ่งมีคลอเรสเตอรอลสูงกว่า3,000ส่วนในล้านส่วนและที่มีโมเลกุลขนาดปานกลาง(C6-12) อันได้แก่น้ำมันจากพืชยืนต้นเขตร้อนเช่น น้ำมันมะพร้าว และน้ำมันปาล์มแม้ว่าน้ำมันจากสัตว์จะมีคลอเรสเตอรอลสูงแต่น้ำมันจากพืชยืนต้นเขตร้อนไม่มีคลอเรสเตอรอล เมื่อบริโภคน้ำมันอิ่มตัวแล้วมีคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือดสูง คำกล่าวดังกล่าวไม่เป็นความจริงเช่นเดียวกันดังจะเห็นได้จากการศึกษาของนักวิจัยชาวนิวซีแลนด์ชื่อ Prior(1981) ซึ่งได้ศึกษาประชากรในเกาะมหาสมุทรแปซิฟิก2เกาะคือเกาะ PukapukaและTokelauซึ่งเป็นเกาะที่ห่างไกลความเจริญและบริโภคมะพร้าวเป็นอาหารหลักโดยรับประทานในรูปแบบต่างๆทั้งในรูปของอาหารหลักและของว่างโดยชาว Pukapakaได้รับไขมันเป็นพลังงานในอัตรา30-40%ของความต้องการแคลอรีประจำวันมีระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด170มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ชายและ176มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้หญิงส่วนชาวเกาะ Tokelauซึ่งบริโภคไขมันเป็นพลังงานในอัตราสูงถึง56%ของความต้องการแคลอรีประจำวันก็มีระดับคลอเรสเตอรอลในเลือด208มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้ชายและ216มิลลิกรัมต่อเดซิลิตรในผู้หญิงจะเห็นได้ว่าระดับคลอเรสเตอรอลในเลือดของประชาการในเกาะทั้งสองไม่ได้สูงไปกว่าเกณฑ์เฉลี่ยของระดับคอเรสเตอรรอลในคนปรกติแต่อย่างใด
นอกจากนั้นยังไม่มีงานวิจัยใดๆที่พิสูจน์ให้เห็นถึงหลักฐานที่ว่าน้ำมันมะพร้าวที่ไม่ได้ถูกเติมไฮโดรเจนไปเพิ่มระดับคอเรสเตอรอลในกระแสเลือดเหตุผลที่น้ำมันมะพร้าวไม่ได้มีผลร้ายต่อคลอเรสเตอรอลก็คือ น้ำมันมะพร้าวประกอบไปด้วยกรดไขมันขนาดกลาง(MCFA)ซึ่งต่างจากกรดไขมันที่พบในอาหารอื่นๆโดยเฉพาะที่มีกรดไขมันไม่อิ่มตัวกรดไขมัน MCFA(Medium Chain Fatty Acid) จะถูกเผาผลาญเกือบทันทีเพื่อสร้างพลังงานสำหรับใช้ในการดำรงชีวิตโดยไม่ส่งผลต่อการเพิ่มระดับคลอเรสเตอรอลแต่อย่างใดนอกจากนี้แล้วน้ำมันมะพร้าวยังช่วยลดการเพิ่มขึ้นของคอเรสเตอรอลที่เกิดจากการบริโภคไขมันสัตว์อีกด้วยดังจะเห็นได้จากผลงานวิจัยที่ประเทศฟิลิปปินส์ที่ให้นักเรียนแพทย์ 10คนรับประทานอาหารที่มีส่วนประกอบของไขมันสัตว์และน้ำมันมะพร้าวในระดับต่างๆกันสำหรับไขมันจากสัตว์นั้นเป็นที่รู้กันว่าจะเพิ่มคลอเรสเตอรอลการทดลองนี้ให้อาหารคิดเป็นแคลอรีทั้งหมดที่ได้มาจากไขมันในอาหารตั้งแต่ 20,30 และ40%โดยการผสมที่ต่างกันของน้ำมันมะพร้าวและไขมันสัตว์ในอัตราส่วน 1:1,1:2 และ1:3ผลปรากฏว่าไม่มีการเปลี่ยนแปลงใดๆในระดับคลอเรสเตอรอลจะมีก็แต่ตอนที่อัตราส่วนนั้นถูกกลับให้บริโภคไขมันสัตว์มากกว่าน้ำมันมะพร้าว และให้แคลอรีคงอยู่ที่40%จึงจะพบว่าระดับคลอเรสเตอรอลในกระแสเลือดเพิ่มขึ้น คลอเรสเตอรอลที่สูงในกระแสเลือดนั้นนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็ง แม้ว่าในกระแสเลือดจะมีคลอเรสเตอรอลสูงแต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเป็นสาเหตุนำไปสู่ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งแต่อย่างใด ที่จริงร่างกายของคนเราใช้คลอเรสเตอรอลไปในการซ่อมแซมและรักษาบาดแผลที่ผนังหลอดเลือดและตรงกันข้ามกับที่หลายคนเชื่อส่วนประกอบหลักที่ทำให้เกิดการแข็งตัวของหลอดเลือดแดงนั้นไม่ใช่คลอเรสเตอรอล แต่เป็นโปรตีนต่างหากโดยส่วนใหญ่จะอยู่ในรูปของเนื้อเยื่อของแผลหลอดเลือดแดงที่แข็งตัวนั้นมีคลอดเรสเตอรอลอยู่น้อยมากการที่หลอดเลือดแดงแข็งตัวนั้นเบื้องต้นเกิดจากผลของการเกิดบาดแผลในหลอดเลือดซึ่งเกิดมาจากาเหตุหลายประการเช่น สารพิษ อนุมูลอิสระเชื้อไวรัส หรือแบคทีเรียถ้าต้นเหตุของอาการไม่ได้ถูกแก้ไขและตราบใดที่ยังมีการระคายเคืองและการอักเสบของบาดแผลยังคงอยู่ก็อาจทำให้เกิดความเสียหายที่ใหญ่โตขึ้นและจะพัฒนาเป็นแผ่นหนาขึ้น
ปรกติเลือดของเรามีองค์ประกอบอย่างหนึ่งเรียกว่าเกล็ดเลือด (platelet)ที่ทำหน้าที่สมานแผลหากเกิดบาดแผลขึ้นดังเช่น เมื่อเราถูกมีดบาดเกล็ดเลือดจะไปรวมตัวกันที่ผิวบาดแผลและเมื่อรวมตัวกับองค์ประกอบอื่นๆในเลือดจะเกิดเป็นลิ่มเลือดซึ่งรวมตัวกันเป็นก้อนทำให้เลือดหยุดไหล
หากผนังหลอดเลือดเกิดบาดแผลเกล็ดเลือดจะมาเกาะเพื่อกระตุ้นการสร้างลิ่มเลือดและต่อมาจะกระตุ้นการเติบโตของเซลล์เนื้อเยื่อหลายชนิดเช่นเซลล์พังผืด (fibroblast)ภายในผนังหลอดเลือดการผสมกันอย่างสลับซับซ้อนของเยื่อที่เกิดแผลเกล็ดเลือด เซลล์พังผืดแคลเซียม คลอเรสเตอรอลและไตรกลีเซอไรด์จะรวมเข้าด้วยกันในการรักษาบาดแผลจึงเกิดการพองตัวของผนังหลอดเลือดแคลเซียมที่ฝังตัวอยู่ในผนังหลอดเลือดที่พองตัวขึ้นนี้เองทำให้หลอดเลือดแข็งตัว ภาวะหลอดเลือดแดงแข็งนำไปสู่การเป็นโรคหัวใจ ตรงกันข้ามกับความเชื่อทั่วไปแผ่นเลือดที่พองตัวขึ้นนั้นไม่ได้แค่ติดอยู่ตามหลอดเลือดเหมือนกับตะกรันในท่อน้ำแต่มันเติบโตภายในหลอดเลือดและกลายเป็นส่วนเดียวกันกับผนังหลอดเลือดซึ่งล้อมไปด้วยชั้นของเนื้อเยื่อยืดหยุ่น(elastictissue) และกล้ามเนื้อเรียบที่เป็นวงแข็งแรงที่ป้องกันผนังหลอดเลือดไม่ให้แผ่ขยายออกไปด้านนอกเมื่อผนังหลอดเลือดโตขึ้นและไม่สามารถขยายออกไปด้านนอกได้ง่ายมันก็จะดันเข้าไปข้างในจนกระทั่งทำให้หลอดเลือดตีบและตันในที่สุดเมื่อขบวนการนี้เกิดในเส้นเลือดเข้าสู่หัวใจหัวใจก็จะขาดเลือดและเกิดภาวะหัวใจวายแต่ถ้ามันเกิดขึ้นในหลอดเลือดแดงที่ไปเลี้ยงสมองก็จะทำให้เกิดการอุดตันของเส้นเลือดเข้าสู่สมองทำให้เป็นอัมพาตหรืออัมพฤกษ์
|