ขึ้นชื่อคำว่า “โบสถ์” ต้องเป็นสถานที่สงบ สะอาด สวยงามสบายตา เหมาะสำหรับประกอบพิธีอันศักดิ์สิทธิ์ตามหลักศาสนา แต่ในครั้งนี้ คำว่า โบสถ์ ที่หลายๆ คนเชื่อไว้ ได้ถูกทำลาย และเกิดจินตนาการแอ็ปสแต็กขึ้นมาทันที ที่ประเทศสาธารณรัฐเซ็ก กับโบสถ์ในคริสต์ศาสนาที่มีชื่อว่า Sedlec Ossuary 
Sedlec Ossuary เป็นชื่อโบสถ์เล็กๆ ศิลปแบบโรมันคาทอลิก หลายๆ คนคิดว่า แค่โบสถ์หลังหนึ่งมีอะไรให้น่ากลัว? คำตอบอยู่ที่ สถานที่ธรรมดากลายเป็นไม่ธรรมดา (น่ากลัว) ขึ้นมา เพราะการออกแบบภายในโบสถ์ เขาใช้โครงกระดูกของมนุษย์มาช่วยตกแต่ง! กว่า 70,000 ร่าง 
สำหรับประวัติของโบสถ์แห่งนี้ ต้องย้อนหลังกลับไปในปี ค.ศ. 1278 กษัตริย์ Otakar ที่ 2 แห่ง Bohemia ได้ส่งพระผู้ใหญ่รูปหนึ่งของหมู่บ้าน Sedlec ชื่อ Heinrich ไปแสวงบุญยังดินแดนศักดิ์สิทธิ์คือ กรุงเยรูซาเล็มการเดินทางไปแสวงบุญในลักษณะนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นได้ยากมากในสมัยนั้น 
เมื่อกลับมายังหมู่บ้าน Sedlec พระ Heinrich ได้นำเอาดินที่ถือกันว่าเป็นดินศักดิ์สิทธิ์จาก Golgotha อันเป็นสถานที่ที่พระเยซูถูกตรึงกางเขนกลับมาด้วยและก็ได้นำดินเหล่านั้นมา โปรยไว้ในสุสานของหมู่บ้าน Sedlec สถานะของสุสานจึงเปลี่ยนไป ผู้คนพากันเชื่อว่าสุสานนี้กลายเป็นสุสานศักดิ์สิทธิ์และต้องการให้ตัวเอง หรือญาติพี่น้องมาอยู่ที่สุสานแห่งนี้ เพราะจะทำให้ใกล้ชิดกับพระเจ้า และเป็นหนทางที่จะทำให้ได้ขึ้นสวรรค์ 
ในช่วงเวลานั้นเมือง Kutna Hora เป็นเมืองที่อุดมสมบูรณ์ด้วยแร่เงิน แร่เงินที่ได้จากเมืองนี้เป็นแร่เงินที่มีคุณภาพดีมาก หลายประเทศในยุโรปนำไปใช้ทำเงินตรา จึงทำให้มีผู้คนจำนวนมากเข้ามาอยู่ เข้ามาทำงาน และเสียชีวิตที่นี่ มีข้อมูลว่าในปี ค.ศ. 1318 มีศพที่ฝังไว้ในสุสานแห่งนี้กว่า 30,000 ศพ ศพเหล่านี้มาจากทั่วทุกสารทิศในประเทศ และมีบางศพที่มาจากประเทศข้างเคียง เช่น Poland, Belgium จึงมีการขยายสุสานออกไปอีก เพราะพื้นที่เดิมมีขนาดเล็ก นอกจากการขยายสุสาน ก็มีการล้างสุสานเพื่อให้พื้นที่กับผู้มาใหม่ด้วย 
ใน ปี ค.ศ. 1400 มีการสร้างโบสถ์ขึ้นที่กลางสุสาน มีการสร้างห้องใต้ดินไว้ใต้โบสถ์เพื่อใช้สำหรับเป็นที่เก็บกระดูก (ossuary) ที่มาจากการขุดสุสานตอนก่อสร้างโบสถ์และจากการล้างสุสาน ต่อมาเมื่อมีการล้างสุสาน กระดูกทั้งหมดที่ขุดขึ้นมาก็ถูกนำไปเก็บเอาไว้ในห้องใต้ดินของโบสถ์ กองทับถมกันอยู่หลายร้อยปี

จนกระทั่งในปี ค.ศ. 1870 ช่างแกะสลักไม้ชื่อ Frantisk Rint ได้รับมอบหมายจากขุนนางแห่งตระกูลSchwarzenberg ซึ่งเป็นเจ้าของที่ดินที่เป็นสุสาน ให้ตกแต่งห้องเก็บกระดูกใต้ดิน และโบสถ์ Frantisk Rint ก็เลยถือโอกาสแสดงฝีมือและแสดงความเป็นศิลปิน ด้วยการนำเอากระดูกมนุษย์ที่มีอยู่ในห้องเก็บกระดูก มาใช้ตกแต่งภายในโบสถ์ และห้องเก็บกระดูกใต้ดินอย่างวิจิตรพิสดาร โดยผลงานออกแบบมาสเตอร์พีช คือ โคมไฟระย้าจากกระดูกมนุษย์ ซึ่งตั้งอยู่ศูนย์กลางของห้อง คิดได้ไงเนี่ย?! 

เห็นสยองน่ากลัวเช่นนี้ แต่สามารถดึงดูดนักท่องเที่ยวท้องถิ่น และทั่วโลก ให้ไปชื่นชม (ชวนอาเจียน) มากกว่า 200,000 คนต่อปี เลยทีเดียว ว่าแต่สมาชิกแฟนๆ Travel MThai ท่านใดไปเที่ยวชม ชวนขนแขนสแตนอัพ กันมาแล้วบ้าง มาช่วยแชร์ประสบการณ์ (ไม่ใช่อวดผีกันนะ!?) โบสถ์นี้กันทีครับ ^___^” 

|