ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 627|ตอบกลับ: 3

ม่านราตรี = 1 - 2 =

[คัดลอกลิงก์]

โสด

   ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
ถ้าหากว่าซ้ำต้องขออภัยนะครับและขอโทษเจ้าของเรื่องด้วยนะครับเพราะว่าคัดลอกมาอีกที
บทนำ

    แสงนวลจากดวงจันทร์เต็มดวงที่ลอยเด่นบนท้องฟ้าไร้เมฆสาดเล็ดลอดผ่านตามซุ้มพุ่มดอกเรียวเล็กที่ขึ้นรกทึบปกคลุมไปทั่วบริเวณสวนหน้าบ้านของเรือนทรงยุโรปประยุกต์สีขาวที่บัดนี้กลับดูขุ่นคล้ำราวดังไม่เคยได้รับการใส่ใจดูแล  ปล่อยให้ทรุดโทรมผ่านไปตามกระแสกาลเวลา
   กลิ่นหอมเย็นลอยฟุ้งกระจายไปทั่วแม้อาจจะฉุนไปสักนิดสำหรับบางคน เนื่องจากปริมาณของมันที่มีมากมายด้วยเพราะไม่ได้รับการตัดแต่งและรื้อถอนตลอดหลายปีที่ผ่านมา
ยิ่งโดยเฉพาะคืนนี้ ถึงแม้จะเป็นยามดึกสงัดเงียบงันแทบจะไร้สายลมก็จริง ทว่ากลิ่นดอกราตรีที่แสนจะหอมอบอวล กลับยิ่งส่งกลิ่นรุนแรงไปได้ไกลกว่าทุกค่ำคืน  เสียงสุนัขที่อาศัยอยู่ในบริเวณนั้น หอนรับต่อกันเป็นทอด ๆ ทำให้คนที่ขวัญอ่อนและตื่นง่ายบางคนต้องนอนคลุมโปงผวา ต่างรู้และคาดเดาได้ถึงต้นเหตุที่ทำให้เหล่าสุนัขเห่าหอน ว่ามาจากสิ่งใด
   ‘ม่านราตรี’ คฤหาสน์เก่าแก่ ซึ่งถูกปล่อยร้างทิ้งไว้ไร้คนอาศัย แม้จะตั้งอยู่ห่างไกลจากบ้านพักหลังอื่น แต่กลับเป็นที่เล่าลือโจษจันกันทั่วว่า บ้านหลังนี้ ‘เฮี้ยน’ ยิ่งนัก
   คฤหาสน์หลังใหญ่ที่ไร้คนพำนักมานานแสนนานจนแทบจะลืมไปว่าผ่านมากี่ปี  บัดนี้ กำลังจะมีเจ้าของคนใหม่มาเยือนมันอีกครั้ง
บทที่ 1
    สภาพบ้านเก่ารกร้างซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางดงดอกราตรีที่แน่นขนัดเบื้องหน้า ทำให้ตุลาแทบอยากจะหันหนีกลับ เจ้าภาพถ่ายดูดีที่นางแม้นศรีเจ้าของคฤหาสน์ม่านราตรี ส่งให้เขาดูตอนเซ็นสัญญาเช่าบ้าน มันช่างผิดกับความเป็นจริงที่เห็นอย่างลิบลับ
   “คุณป้าแน่ใจหรือครับ ว่าเป็นบ้านหลังนี้ ...คงไม่ได้พาผมมาผิดที่สินะ”
   ตุลาหันไปถามหญิงร่างท้วมวัยกลางคนที่มาด้วยกัน เจ้าหล่อนแย้มยิ้มหวานแฝงความเจ้าเล่ห์ แล้วรีบจีบปากจีบคอบอก
   “หลังนี้ล่ะจ้ะพ่อคุณ ไม่มีผิดแน่  ถ้าทำความสะอาดสักหน่อยก็ดูดีเหมือนในรูปเองนั่นล่ะจ้ะ”
   แม้นศรีบอกเสียงอ่อนเสียงหวาน แม้จะรู้ว่าต่อให้พยายามทำยังไงมันก็ไม่ดีขึ้นเหมือนในรูปแน่ เพราะรูปถ่ายเหล่านั้นเป็นรูปที่เธอถ่ายไว้ตั้งแต่เมื่อสิบปีก่อนนี่นะ
   “เอ้า! นี่กุญแจบ้านจ้ะ  งั้นป้าไปนะ ...อยู่ให้หลาย ๆ เดือนหน่อยล่ะ”
   ตุลารับกุญแจพวงใหญ่นั้นมาถืออย่างนึกเซ็ง ถ้าไม่เป็นเพราะพินัยกรรมของผู้เป็นอาระบุไว้ให้เขาต้องมาเช่าบ้านหลังนี้อยู่ล่ะก็ ป่านนี้เขาคงเผ่นกลับไปเรียบร้อย
    อาแท้ ๆ ของตุลา ...นายกริช ก้องเดช ที่เสียชีวิตไปเมื่อสิบปีก่อน เขาเป็นนักเขียนนิยายลึกลับที่มีชื่อเสียงมากในอดีต นิยายเล่มแรกของเขาได้รับการโจษจันไปทั่ว ถึงความสมจริง สนุกสนานและตื่นเต้น มีการตีพิมพ์ซ้ำหลายรอบ ทุกคนคาดหวังว่าเขาจะก้าวไปได้ไกลมากกว่านั้น ทว่าชายหนุ่มกลับเสียชีวิตด้วยอายุเพียงแค่ 22 ปี ด้วยอาการหัวใจวายอย่างไร้สาเหตุ  แต่ก่อนหน้านั้นราวกับจะรู้ถึงชะตากรรมในอนาคต กริชได้เขียนพินัยกรรมเอาไว้ทั้งหมดสองฉบับ ฉบับแรกเขายกทรัพย์สมบัติและเงินเก็บทั้งหมด ให้เกรียงไกรพี่ชายคนเดียวของเขา เพราะพ่อแม่ของทั้งคู่เสียชีวิตไปหมดแล้ว  แต่ยังมีพินัยกรรมอีกฉบับที่ถูกเก็บรักษาไว้ในตู้เซฟของธนาคาร
ซึ่งได้รับคำสั่งเสียว่าให้เปิดขึ้นหลังจากตุลาผู้เป็นหลานชายเรียนจบปริญญาตรี
   และเมื่อพินัยกรรมถูกเปิด ก็ทำให้ตุลาถึงกับตกตะลึง เมื่อในนั้นมีบัญชีฝากประจำอีกหนึ่งเล่มเป็นเงินก้อนโต ที่กริชฝากไว้ให้กับเขา แล้วถ้อยคำที่ฝากฝังไว้ในพินัยกรรมว่า หากตุลายังคงต้องการเดินสู่เส้นทางนักเขียนนิยายแนวลึกลับเช่นเดียวกับตน ก็ให้นำเงินก้อนนี้ไปเช่าบ้านหลังหนึ่ง...
    “บ้านอะไรไม่รู้น่ากลัวชะมัด”
   ตุลาพึมพำหลังจากไขประตูบ้านเข้าไป หากเขาก็ยังคงยิ้มออกบ้าง ที่อย่างน้อยในบ้านก็ไม่มีฝุ่นฟุ้ง
หรือหยากไย่รกรุงรังอย่างที่เคยคิดไว้
   “ก็ยังดีที่ยังมาทำความสะอาดบ้างล่ะนะ...”
   ชายหนุ่มบอกขณะที่หิ้วกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตเข้ามาไว้ในบ้าน เพราะแม้นศรีบอกว่าในนั้นมีเฟอร์นิเจอร์ครบ
ทุกอย่าง ตุลาจึงไม่ได้นำอะไรมาจากบ้านเก่า เพราะเขาคิดว่าถ้าขาดเหลืออะไรก็ค่อยมาซื้อเก็บทีละชิ้นใหม่เลยน่าจะดีกว่า
   “ก่อนอื่นก็ต้องเช็คไฟฟ้า กับน้ำประปาก่อน”
    เจ้าตัวคลำหาสวิตซ์ไฟในห้องนั้น ก่อนถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นมันทำงาน และเมื่อเดินไปมุมครัว
เปิดก๊อกน้ำ น้ำสะอาดก็ไหลออกมาอย่างไม่ติดขัด
     จากนั้นชายหนุ่มจึงเดินกลับไปหิ้วกระเป๋าใบโต ตรงไปยังชั้นสอง เขาหยิบกุญแจที่ได้รับจากแม้นศรีขึ้นมาลองไขทีละดอก กระทั่งเปิดเข้าไปได้ในที่สุด ข้างในเป็นห้องกว้างที่ค่อนข้างโล่ง มีประตูกระจกบานใหญ่สามารถเปิดเชื่อมต่อกับระเบียงที่ยื่นออกไปรับแดดด้านนอก มีเตียงนอน  โต๊ะ ตู้ และเครื่องเรือนจำเป็นพร้อม ดังเช่นที่แม้นศรีบอกไว้จริง ๆ
   “วิวดีจังแฮะ... มันก็ไม่เลวร้ายอย่างที่คิดหรอก...มั้ง”
   ตุลาพึมพำ ก่อนจะสะดุ้งแล้วหันไปมองด้านหลัง เพราะรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงกุกกักจากแถว ๆ ทางเดินหน้าประตูห้อง
   “คิดไปเองสินะ”
   ชายหนุ่มที่ตัดสินใจเดินออกไปดูด้านนอก พึมพำอย่างโล่งใจ นี่ยังดีที่เป็นเวลากลางวันแดดเปรี้ยงเช่นนี้
ถ้าเป็นกลางคืน ตุลาก็ไม่คิดว่าเขาจะยังกล้าปลอบตัวเองแบบนี้อยู่หรือไม่
   ตุลาวางกระเป๋าเสื้อผ้าใบโตและเปิดมันออก เขาหยิบโน้ตบุคออกมาต่อสายไฟเสียบกับปลั๊กในห้อง ก่อนจะนึกถึงสัญญาที่ให้ไว้กับบิดาของตัวเอง
   ‘ฉันให้เวลาแกแค่ 1 ปี ถ้ายังออกรวมเล่มไม่ได้ ต้องเลิกคิดจะเป็นนักเขียนแบบอาของแก แล้วกลับมาเรียนต่อ หรือไม่ก็ทำงานกับฉันแทน เข้าใจไหม!’
     เงื่อนไขของเกรียงไกร ทำให้ตุลาต้องถอนหายใจออกมาอีกรอบ แต่ก็นั่นล่ะ ถ้าเขาทำไม่ได้ก็แสดงว่าเขาไม่มีพรสวรรค์จะเป็นนักเขียนอย่างอาของตนจริง ๆ
   “ผมจะพยายามนะครับอากริช ...”
   ตุลาพึมพำ พลางรู้สึกถึงความอบอุ่นในหัวใจเมื่อคิดถึงผู้เป็นอาที่เขาเคารพรัก ถึงแม้พินัยกรรมฉบับนั้น
ของกริช จะทำให้เขากับพ่อต้องทะเลาะกันยกใหญ่เพราะความเห็นที่แตกต่างกัน
    ด้านเกรียงไกรนั้นปักใจเชื่อว่าน้องชายของตนเสียชีวิตเพราะนิยาย เนื่องจากเคยเห็นกริชอดนอน
พิมพ์ต้นฉบับโต้รุ่งมาก่อน แม้หมอจะบอกว่าสาเหตุการเสียชีวิตที่เกิดขึ้น ไม่เกี่ยวข้องกับการพักผ่อน
ไม่เพียงพอก็ตาม
    ส่วนตุลานั้นพอได้อ่านคำสั่งเสียเขาก็ยินดีที่จะทำตามทันที เนื่องจากตุลานับถือกริชมาตั้งแต่เล็กเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว และก่อนวันที่กริชจะตาย ตุลาจำได้ดีว่า วันนั้นชายหนุ่มเรียกเขาไปหา และบอกว่าถ้าตนไม่สามารถเขียนนิยายต่อได้อีกแล้ว ตุลาจะสานต่อความฝันของเขาแทนได้ไหม
    ตุลาในวัย 12 ปี ถึงแม้จะไม่เข้าใจความหมายนั้น แต่เพราะเป็นคำขอร้องของผู้เป็นอา ทำให้เขาออกปากตกลงรับคำไปว่าจะเป็นนักเขียนนิยายเหมือนอาให้ได้ พอได้ยินคำตอบของหลานชายกริชก็หัวเราะ แล้วบอกว่ายังไม่ต้องรีบตอนนี้ เขาจะให้เวลาตุลาอีกสิบปี ถ้ายังไม่เปลี่ยนคำพูด เขาจะมอบของขวัญแสนวิเศษชิ้นหนึ่ง เพื่อให้ตุลาสามารถเขียนนิยายลึกลับได้สมจริงเอง
   จากนั้นวันรุ่งขึ้น ตุลาก็ต้องพบข่าวร้ายจากการเสียชีวิตอย่างกะทันหันของผู้เป็นอา ทุกคนล้วนโศกเศร้ากับการจากไปครั้งนี้ แต่ไม่มีใครสักคนที่ให้คำตอบได้ว่าทำไมกริชถึงหัวใจวายตาย ทั้งที่ก่อนหน้านั้นก็เป็นคนแข็งแรงแท้ ๆ…
    เวลาล่วงเข้าไปบ่ายคล้อย ตุลารู้สึกหิวข้าวขึ้นมาตงิด ๆ  เขาเซฟไฟล์นิยายที่เริ่มต้นร่างเพียงแค่พล็อตไม่กี่บรรทัด ก่อนจะปิดเครื่องคอมของตน เพราะทำยังไงก็นึกไม่ออกเอาเสียเลยว่าจะเขียนสไตล์ไหน ให้มันโดนใจคนอ่านและสำนักพิมพ์ดี
   ตู้เย็นด้านล่างนั้นยังไม่ได้เสียบปลั๊ก แน่นอนว่าข้างในก็ว่างเปล่า ยังดีที่ตู้เย็นนั้นล้างทำความสะอาดไว้เรียบร้อย ไม่เหม็นอับอย่างที่คิดไว้
   “ออกไปซื้อของมาตุนไว้เลยดีกว่าแฮะ”
   ตุลาพึมพำ พลางหยิบกระเป๋าเงินพร้อมกุญแจบ้านติดออกไปด้วย เขาล็อกบ้านเรียบร้อย เตรียมจะเดินออกไปที่ประตูรั้ว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งอีกรอบ ขนลุกชันทั่วกาย เมื่อลมพัดพากลิ่นดอกราตรีอ่อน ๆ ที่มันน่าจะมี
กลิ่นเฉพาะในตอนกลางคืนมาเข้าจมูกของตน
   “ก็นะ...เยอะเสียขนาดนี้จะได้กลิ่นก็ไม่แปลกหรอก...มั้ง”
   ตุลาปลอบใจตัวเองแล้วรีบจ้ำอ้าวออกจากบ้าน เพราะเกรงว่าขืนเขาเลือกซื้อของนานไป คงได้กลับมาที่นี่
ตอนเย็น ๆ แน่  ซึ่งนั่นคงไม่ใช่เรื่องน่าพิสมัยเท่าใดนักสำหรับเขา
   ลับหลังยามชายหนุ่มเดินจากไป สายลมพัดเอื่อยส่งผลให้ใบไม้ไหวไปมา ทว่าหากมีใครลองเงี่ยหูฟังดี ๆ  ก็จะมีเสียงคล้ายเสียงหัวเราะดังตามมาเบา ๆ แม้บริเวณนั้นจะไร้ซึ่งสิ่งมีชีวิตใด ๆ อาศัยอยู่เลยก็ตาม
    ตุลารู้สึกว่าตัวเองตัดสินใจผิด เมื่อเขาเผลอบอกกับเจ้าของร้านซุปเปอร์มาเก็ตย่านนั้นว่า เขาเพิ่งย้ายมาเช่าคฤหาสน์ม่านราตรี ที่ตั้งอยู่ห่างชุมชนออกไปไม่มากนัก ซึ่งพอได้ยินดังนั้น เจ้าของร้านก็รีบสาธยายถึงความเฮี้ยนต่าง ๆ นานา ของคฤหาสน์หลังนี้ให้ฟัง โดยเขาไม่ได้ขอร้องแต่อย่างใด
   “โอ๊ย! ตายล่ะ ๆ อยู่เข้าไปได้ยังไงคุณเอ๊ย! ที่นั่นมันแรงจะตาย ใครมาเช่าอยู่ได้ไม่เกินเดือนทั้งนั้น ต้องแผ่นแน่บออกมาทุกราย นี่คงโดนยายคุณนายแม้นศรีนั่นหลอกเอาสินะ!”
   เจ้าของซุปเปอร์ที่เป็นชายวัยกลางคนบอกกับตุลา ชายหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ แล้วสั่นศีรษะเบา ๆ
   “ไม่หรอกครับ...ผมง่า ...ผมแค่สนใจบรรยากาศของบ้าน ก็เลยเช่าเท่านั้นล่ะครับ”
   คำตอบของตุลาทำเอาเจ้าของร้านชะงัก ก่อนถามต่อมาอย่างสนอกสนใจ
   “แสดงว่าคุณลูกค้าคงมีดีพอตัวล่ะสิ แล้วนี่เข้าไปได้เจออะไรมั่งหรือยังน่ะ”
   “ง่า...ก็ไม่เห็นมีนี่ครับ”
   ตุลาตอบออกไปตามตรง โดยเลี่ยงไม่บอกถึงเจ้าความรู้สึกแปลก ๆ ที่เขารู้สึกได้ในบางครั้งนั่นเอาไว้
   “อืม...งั้นถ้าเห็นอะไรก็มาเล่าให้ฟังบ้างแล้วกันนะ ผมจะได้เอาไว้บอกคนอื่นเขาต่อ!”
   ชายวัยกลางคนบอกแล้วยิ้มกว้างให้ ก่อนจะหยิบของที่วางอยู่ชิ้นอื่นของตุลาไปคิดเงิน ชายหนุ่มยิ้มตอบ
เจื่อน ๆ แล้วจึงหอบหิ้วข้าวของที่จ่ายเงินแล้ว กลับบ้านเช่าของเขาต่อไปเงียบ ๆ   
   เมื่อกลับมาถึงคฤหาสน์ม่านราตรี ตุลาก็ต้องหยุดชะงักฝีเท้า แล้วยืนนิ่งมองมันผ่านรั้วด้านนอก ภาพที่สายตาเขาเห็นยามนี้ ทำให้เขาไม่แปลกใจเลยสักนิด ว่ามันจะถูกชาวบ้านเอาไปเล่าลือกันต่าง ๆ นานา ในหลายรูปแบบ ถึงแม้บางคนจะไม่เคยเห็นกับตาตัวเองว่าเป็นดังเช่นข่าวลือจริงหรือไม่ก็ตาม
   “น่าเสียดายเหมือนกันนะ ...ทั้งที่เคยสวยขนาดนั้นแท้ ๆ”
   ตุลาพึมพำเมื่อคิดถึงรูปถ่ายที่แม้นศรีเคยให้เขาดู ตอนนี้เขามั่นใจแล้วว่า นั่นคงเป็นสภาพบ้านสมัยที่มันยังคงมีคนอยู่อาศัยและดูแลอย่างดีอยู่แน่
   ทว่าหลังจากตุลาพูดจบ สายลมแรงก็พัดมาวูบหนึ่ง บานประตูรั้วเหล็กหน้าบ้านค่อย ๆ เปิดเองอย่างช้า ๆ ชายหนุ่มกลืนน้ำลายลงคอ พยายามนึกเข้าข้างตัวเองอีกครั้งว่า คงเพราะก่อนไปเขาไม่ได้ลงกลอนประตูรั้ว เวลาลมพัดมันก็เลยเปิดแบบนี้เอาได้
    ตุลาก้าวเข้าเขตบ้าน เขาดันรั้วเหล็กปิดและลงกลอนล็อกให้เรียบร้อย ก่อนจะถอนหายใจเบา ๆ แล้วเดินแบกเสบียงซึ่งส่วนใหญ่จะเน้นแต่ของแห้งกินง่าย เข้าไปในบ้าน
   ชายหนุ่มจัดอาหารแห้งเก็บไว้ในตู้กับข้าว ส่วนอาหารสดอย่างไข่ไก่ก็ใส่ตู้เย็นไว้ เขาถอนหายใจเบา ๆ
แล้วคิดถึงชีวิตความเป็นอยู่หลังจากนี้ของตน เพราะยามอยู่บ้านก็มีคุณแม่คนเก่งทำกับข้าวอร่อย ๆ ให้กินอยู่
ทุกวัน จนเขาทำอะไรเองแทบจะไม่เป็นเลยสักอย่าง
   ตุลามองเครื่องครัวในนั้น แล้วก็คิดว่า เห็นทีถ้ามีเวลาว่างเขาคงต้องสั่งซื้อไมโครเวฟเพิ่มมาเสียแล้ว เพราะดูเหมือนจะเป็นอุปกรณ์ครัวอย่างเดียวที่เขาถนัดจะใช้มัน
   มื้อกลางวันและเย็นของวันนั้น ตุลาประทังชีวิตด้วยแซนวิชชิ้นใหญ่ที่ซื้อมาตุนไว้หลายชิ้น แต่พรุ่งนี้เขาคิดว่า เขาคงจะกินกาแฟ และขนมปังปิ้งเป็นมื้อเช้า เพราะที่นี่มีเครื่องปิ้งขนมปังเตรียมไว้ให้เรียบร้อย
   ยังไม่ทันมืดดี ชายหนุ่มก็รีบล็อกประตูหน้าบ้าน ปิดไฟด้านล่างให้เรียบร้อย แล้วขึ้นห้องนอนทันที เขาไม่คิดรอให้มันมืดเสียก่อนแล้วจึงเดินส่องไฟฉายขึ้นไปบนห้องนอน ท่ามกลางความวังเวงเช่นนี้แน่
   ทว่าราวกับฟ้ากลั่นแกล้ง เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นจากชั้นล่าง ในตอนหัวค่ำขณะที่เขากำลังคิดพล็อตนิยายอยู่
ทำให้ตุลาแทบอยากร้องไห้ พลางนึกบ่นในใจว่าคฤหาสน์ใหญ่ขนาดนี้ น่าจะมีโทรศัพท์ภายในพ่วงระหว่างโทรศัพท์ชั้นบนและชั้นล่างบ้าง
   เสียงโทรศัพท์ที่ดังอยู่สักพักแล้วก็เงียบไป ทำให้ตุลาถอนหายใจอย่างโล่งอก แต่ก็ได้เพียงแค่ครู่เดียว
เพราะมันดังขึ้นอีกครั้ง เขาไม่รู้ว่าคนที่โทรเข้ามาเป็นใคร เพราะคนรู้จักของเขาก็ล้วนแล้วแต่มีเบอร์มือถือของเขาทั้งนั้น แม้แต่แม้นศรีเจ้าของบ้านเช่าเอง เขาก็ให้เบอร์มือถือเขาไว้เผื่อฉุกเฉินแล้วแท้ ๆ
   “ใครวะ ถ้าไม่ใช่ธุระสำคัญล่ะก็ พ่อจะด่าให้!”
   ตุลาคาดโทษใส่ปลายสายปริศนาอย่างหงุดหงิด เพราะดูเหมือนว่าทางนั้นจะไม่ยอมแพ้ และยังจะโทรเข้ามาเรื่อย ๆ จนกว่าจะมีคนลงไปรับ
   ชายหนุ่มถือไฟฉายอันย่อมออกมา เขาฉายไฟเพื่อหาสวิตซ์ตรงระเบียง แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเฮือกสุดตัว เมื่อเห็นใบหน้าของใครคนหนึ่งอยู่ที่สุดแสงไฟนั่น ตุลาเกือบจะหลุดปากตะโกนออกมา ถ้าไม่สังเกตว่าใบหน้านั้นดูนิ่งและเรียบเฉย ผิดปกติ เพราะมันคือรูปภาพแขวน ที่เจ้าของบ้านจัดประดับไว้ตามทางเดินนั่นเอง ซึ่งมีทั้ง
รูปภาพวิว รูปภาพคน ของศิลปินมีชื่อในสมัยนั้น
   “บ้าชะมัด”
   ตุลาด่าตัวเองที่ขวัญอ่อนเสียเหลือเกิน เขาเจอสวิตซ์ไฟในที่สุด และพอแสงสว่างถูกแทนที่ความมืด ชายหนุ่มก็พ่นลมหายใจออกจากปากเบา ๆ ก่อนจะเดินลงไปตามบันไดด้านล่าง เพื่อไปรับโทรศัพท์เจ้ากรรมที่ยังคงดังอยู่เรื่อย ๆ
   “สวัสดี...”
   ยังไม่ทันตุลาพูดจบเสียงปลายสายก็แทรกมาก่อน
   “น้องตุ้มจ๋า ยอมรับโทรศัพท์แล้วหรือจ๊ะ  คนดี๊คนดีของพี่  เปิดประตูบ้านให้พี่เข้าไปทีสิจ๊ะ พี่จะโดนยุงกัดลายทั้งตัวอยู่แล้ว”
   เสียงยานคางคล้ายคนเมาที่คุ้นเคยรวมไปถึงประโยคที่ได้ยิน ทำให้เส้นสติความอดทนของตุลาขาดผึง เจ้าตัวตะโกนใส่ปลายสายดังลั่นด้วยความโมโหเต็มที่
   “ตุ้มบ้าตุ้มบออะไรของมึง! โทรผิดแล้วรู้ไหม! หัดแหกตาก่อนจะกดเบอร์หน่อยสิโว้ย แฟนมึงเขาคงเปิดให้หรอก ในเมื่อเบอร์นี้มันเบอร์กู!  ไม่ใช่เบอร์ตุ้ม ได้ยินชัดไหม! ไอ้เก่ง!”
   “หือ? …ไม่ใช่เบอร์ตุ้ม แล้วใครพูดวะนั่น?”
   เสียงปลายสายถามยาน ๆ กลับมางง ๆ ตุลากำหูโทรศัพท์แน่นแล้วตะคอกกลับไปดัง ๆ
   “พ่อมึงพูดอยู่มั้งไอ้เก่ง! นี่เบอร์กูเอง ตุลโว้ย!”
   ปลายสายเงียบไป ก่อนจะมีเสียงหัวเราะกวนประสาทดังตามมาเบา ๆ
   “อ้อ! ไอ้ตุล ฮ่า ๆ เออ...ใช่ ๆ กูเมมไว้เอง ‘บ้านตุล’ เบอร์บ้านเช่าใหม่มึง ...มิน่า กูว่ากูเปิดหาเบอร์ ‘บ้านตุ้ม’ โทรเท่าไหร่แม่งก็ไม่รับสักที แถมไม่ได้ยินเสียงโทรศัพท์ดังในบ้านอีก”
   “เออ! มันมาดังในบ้านกูแทนไงล่ะไอ้เวร! แค่นี้นะ อย่าเสือกโทรผิดมาอีกล่ะ ไม่งั้นพรุ่งนี้กูจะตามไปเตะมึงถึงบ้านแน่!”
   ตุลาตัดบทพลางวางสายกระแทกลงอย่างโมโห เขาเหลือบมองโทรศัพท์เครื่องนั้นสักครู่ แล้วตัดสินใจยกหูออกจากเครื่อง เพื่อกันปัญหาคนโทรมาผิดอีกรอบ ก่อนจะเดินกลับขึ้นห้องนอนไปอย่างหงุดหงิด ความโกรธช่วยกลบความกลัวก่อนหน้าไปจนเกือบหมดสิ้น
    ชายหนุ่มนั่งพิมพ์นิยายต่อบนโต๊ะทำงานในห้องนอนไปได้อีกสักพักใหญ่ พอเหลือบเห็นนาฬิกาบอกเวลาเที่ยงคืนกว่า เขาจึงตัดสินใจปิดคอมเข้านอน  โดยตลอดเวลาที่อยู่ในห้อง ตุลาได้ปิดล็อกบานประตูกระจกบานใหญ่ที่เชื่อมออกไปยังระเบียง แถมยังปิดผ้าม่านไว้อย่างแน่นหนาอีกชั้นหนึ่ง เพื่อมั่นใจว่าตลอดค่ำคืนนี้ เขาจะไม่มีโอกาสได้เห็นอะไรแปลก ๆ ด้านนอกผ่านสายตา แม้ว่ามันจะมีอยู่จริงหรือไม่ก็ตาม
บทที่ 2
    “แค่ก ๆ”
   เสียงไอของร่างเล็กบนเตียงทำให้ชายหนุ่มใบหน้าอ่อนเยาว์ที่กำลังนั่งอ่านหนังสืออยู่เงียบ ๆ ชะงัก เขาวางหนังสือลง แล้วรีบลุกเดินไปดูอาการอีกฝ่ายทันที
   “เป็นอะไรมากไหมตุล ...หิวน้ำไหม เดี๋ยวอารินให้”
   “...อากริชครับ ตุลทรมานจังเลย... เมื่อไหร่ตุลจะแข็งแรงเหมือนคนอื่นเขาบ้างล่ะครับ”
   คำถามจากร่างเล็กที่นอนซมเพราะพิษไข้ ทำให้ผู้เป็นอาชะงัก แล้วฝืนยิ้มเศร้าให้กับหลานชายสุดที่รักของตน
   “สักวันนะตุล ...สักวันหลานต้องแข็งแรง และไม่ต้องทรมานแบบนี้อีก อาสัญญา อาจะหาทางช่วยหลานให้
ได้เอง”
   พอผู้เป็นอาพูดจบร่างเล็กนั้นก็แย้มยิ้มทั้งที่ใบหน้าแดงระเรื่อด้วยพิษไข้ ก่อนจะหลับลงไปอีกครั้ง โดยมีสายตาห่วงใยของอีกคนจับจ้องมองอยู่ไม่ห่าง
    กลิ่นดอกราตรีหอมฟุ้งโชยเข้ามาแตะจมูก แม้เจ้าของห้องจะไม่ได้เปิดประตูกระจกทิ้งไว้ กลิ่นมันแรงเสีย
จนคนไม่คุ้นเคยอย่างตุลาต้องงัวเงียลุกขึ้นมานั่งมองไปที่ผ้าม่าน เขาถอนหายใจเบา ๆ หลังจากลืมตาตื่นขึ้นมาจากความฝันถึงวัยเด็กที่แทบจะลืมไปแล้ว ก่อนจะเหลือบมองนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้บนหัวเตียง ปลายเข็มเรืองแสงในความมืด บ่งบอกว่าเวลานี้เป็นเวลาราวตีสาม แต่ชายหนุ่มนั้นกลับไม่ง่วงนอนอีกต่อไป เพราะกลิ่นฉุนที่ไม่คุ้นเคย และบรรยากาศห้องใหม่ซึ่งยังไม่คุ้นที่คุ้นทางเช่นนี้ มันช่วยทำให้เขาตาสว่างขึ้นมาได้ชะงัด
   “หนาวแฮะ”
   พอตื่นเต็มตัว ชายหนุ่มก็ต้องห่อไหล่ เมื่อเจ้าแอร์เก่า ๆ ที่ยังคงทำงานได้อย่างน่าทึ่ง แม้จะดูอายุการใช้งานน่าจะติดตั้งมาเกือบสิบปีแล้วก็ตาม
   ตุลาตัดสินใจปิดเครื่องปรับอากาศในห้อง แล้วเปิดพัดลมตั้งโต๊ะมุมห้องตัวเล็กแทน พอเสียงมอเตอร์
จากเครื่องปรับอากาศเงียบหายไป ความเงียบงัน และเสียงสายลมพัดกิ่งไม้ใบไม้เสียดสีไปมาก็ดังขึ้นแทนที่
   “แต่งนิยายต่อก็ได้วะ”
   ชายหนุ่มพึมพำ ยังไงก็นอนไม่หลับแล้ว ขืนนั่ง ๆ นอน ๆ เงียบ ๆ ไปแบบนี้ ก็รังแต่จะทำให้วิตกกังวลมากเกินไปเสียเปล่า
   ทว่าระหว่างที่กำลังจะหยิบโน้ตบุคคู่ใจขึ้นมาใช้งาน ตุลาก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อได้ยินเสียงกรอกแกรก ตึงตังเบา ๆ ดังแว่วมาจากชั้นล่าง แวบแรกเขานึกถึงข่าวลือเกี่ยวกับคฤหาสน์หลังนี้ แต่แล้วก็ต้องรีบสลัดความคิดแรกนั้นไป เมื่อหวนคิดถึงสิ่งที่น่ากลัวมากกว่า
   ‘ขโมย?’
   จริงอยู่ แม้ภูตผีปีศาจจะน่ากลัวขนาดไหนก็ตาม แต่สำหรับคนที่ไม่เคยเห็นสิ่งเหล่านั้นมาก่อนอย่างตุลา มนุษย์ด้วยกันเองนั่นล่ะ ที่ยังน่ากลัวกว่ากันอยู่มาก
   ตุลาสูดลมหายใจเข้าปอดรวบรวมความกล้า เขาพกไฟฉายไปกระบอกหนึ่ง ในห้องไม่มีอุปกรณ์อะไรให้ป้องกันตัวได้เลย เขาจึงติดไปแค่โทรศัพท์มือถือ เผื่อถ้าเป็นโจรจริง ๆ ก็ยังโทรเรียกตำรวจได้ทัน  
   “ใจเย็น ๆ ตุลา ...ใจเย็น ๆ”
   ชายหนุ่มปลอบตัวเองระหว่างค่อย ๆ แง้มบานประตู เดินย่องออกไป เขาหรี่ไฟฉายเป็นไฟสว่างน้อยสุดให้เห็นเพียงแค่ทางเดินเท่านั้น ก่อนจะค่อย ๆ ย่องเบาให้เงียบที่สุดเท่าที่จะทำได้ไปยังทางลงตรงบันได ทว่ายิ่งใกล้ เขาก็ยิ่งได้ยินเสียงจากชั้นล่างชัดเจนขึ้นเรื่อย ๆ และเริ่มฟังชัดว่าเสียงนั้นมีเสียงพูดคุยของคนปะปนมาด้วย
   “ขโมยแน่ ๆ ทำไงดีวะ”
   ตุลาเม้มปากนิ่งก่อนจะตัดสินใจกึ่งย่องกึ่งไต่คลานลงบันไดไปให้เบาที่สุดเท่าที่เขาจะสามารถทำได้ แต่เพราะความมืดและความเกร็ง เท้าที่ก้าวลงบันไดของเขาจึงเหยียบพลาด จนเจ้าตัวเกือบเสียหลักกลิ้งลงไปด้านล่าง ทว่า...
     “โฮ่! เกือบไปแล้วไหมล่ะ เธอเกือบเป็นคนเช่าคนแรก ที่ประสบอุบัติเหตุเสียตั้งแต่คืนแรกที่มาพักแล้วนะ ...ขืนเป็นแบบนั้น ที่นี่ก็คงเฮี้ยนหนักขึ้นไปอีกแน่”
   เสียงทุ้ม ๆ ของผู้ชายที่ไม่เคยรู้จักดังขึ้นจากด้านหลัง แขนข้างหนึ่งของคนพูดจับเอวของตุลารั้งเอาไว้ไม่ให้ ร่างนั้นเสียหลักกลิ้งตกไปกับบันไดอย่างที่ควรเป็น แต่คนถูกช่วยนิ่งอึ้งกับการปรากฏกายอย่างกะทันหันและไร้วี่แววมาก่อนของอีกฝ่ายมากกว่า
   “อ๊ะ! พาทิศ ไม่ยุติธรรมนี่นา ไหนตกลงกันแล้วว่าจะไปทักทายคนใหม่พร้อม ๆ กันไงเล่า!”
   เสียงแหลมสูงของหญิงสาวคนหนึ่งดังขึ้นจากชั้นล่าง ตุลามองตามต้นเสียงนั้นไป แล้วก็ต้องพบกับเด็กสาววัยรุ่น หน้าตาสะสวยคนหนึ่งมองขึ้นมา แต่นั่นกลับทำให้ตุลาเบิกตากว้างมากไปกว่าเดิมด้วยความตกตะลึง เพราะร่างเจ้าหล่อนนั้นเรืองแสง จนทำให้เห็นถนัดชัดเจน แม้จะอยู่ท่ามกลางความมืดก็ตาม
   “ก็พวกเธอนั่นล่ะทำเสียงดังจนเขาต้องลุกขึ้นมาดู จนเกือบจะประสบอุบัติเหตุแบบนี้”
   “ไม่ใช่ความผิดของฉันนะ  ปิ่นต่างหาก ที่อยากเจอเด็กคนนี้”
   เด็กสาววัยรุ่นผมสั้นดำขลับคนนั้นชี้โบ้ยไปอีกคนที่อยู่ข้างเธอ อีกฝ่ายเป็นเด็กผู้หญิงผมยาวหยักศกถึงกลางหลัง วัยไล่เลี่ยกัน แต่ดูท่าทางขี้อายผิดปกติ เจ้าหล่อนก้มหน้าก้มตา ดึงแขนเพื่อนให้หยุดพูด ก่อนจะสบตากับตุลาแวบหนึ่งแล้วรีบหลบตาด้วยความอาย
    “พะ...พวกคุณ เป็นใคร?”   
   ตุลาถามเสียงสั่น ทำให้ร่างทั้งสามชะงักเล็กน้อย ก่อนที่ชายหนุ่มผู้ช่วยเขาไว้จะเอ่ยถามขึ้นก่อน
   “เธอจำพวกเราไม่ได้จริง ๆ หรือ ... เราคิดว่าเธอกลับมา เพราะจำพวกเราได้แล้วเสียอีก?”
   ตุลาชะงัก พยายามเอี้ยวกายหันไปมองอีกฝ่าย ผู้ชายที่ช่วยเขานั้นเป็นชายหนุ่มวัยน่าจะราว ๆ สามสิบ หน้าตาคมคายดูดี อีกฝ่ายจ้องมองเขานิ่ง เช่นเดียวกับตุลาที่จ้องตอบ แต่แล้วชายหนุ่มก็ต้องเบิกตาค้าง อ้าปากพะงาบ ๆ เมื่อลูกตาข้างหนึ่งของอีกฝ่ายค่อย ๆ หลุดออกมาจากเบ้า แล้วห้อยหมิ่นเหม่จะหลุดแหล่ไม่หลุดแหล่ ต่อหน้าต่อตาเขา
   “อ๊าก! จ๊าก!  ว๊าก!”
   ตุลาร้องแทบไม่เป็นประสา ผลักร่างนั้นให้ออกห่างด้วยความตกใจ จนลืมนึกไปว่าตอนนี้เขากำลังยืนอยู่ตรงบันได และจากแรงผลักหนีออกมานั้น ก็ทำให้เขาพลัดร่วงตกจากบันไดทันที ท่ามกลางความตกตะลึงของชายอีกคน
   “ระวัง!”
   เสียงนั้นร้องเตือนแล้วพยายามเอื้อมมือมาช่วย แต่ก็สุดปลายมือคว้า ในขณะที่ตุลาคิดว่าเขาคงจะโชคร้ายเข้าให้แล้วแน่ เขาก็รู้สึกถึงความอบอุ่นที่ห่อหุ้มร่างของตนเอาไว้ พร้อมกับเสียงคุ้นเคยของใครบางคนกระซิบข้างหู
   “อย่าใช้ชีวิตที่อาให้ไว้ สิ้นเปลืองแบบนี้สิตุล”
   “อา...กริช”
   ตุลาพึมพำเรียกชื่ออาของเขา ก่อนจะหมดสติไป จากนั้นเขาก็เริ่มเห็นภาพบางอย่างเลือนรางเบื้องหน้า...
   “ที่นี่สวยจังเลยครับอา ผมขอไปวิ่งเล่นนะครับ”
   “ก็ได้ ๆ แต่อย่าซนนักล่ะ เดี๋ยวเกิดไม่สบายอีก อาจะโดนพ่อของตุลว่าเอา”
   ตุลาเห็นตัวเองในวัย 12 ปี กำลังขออนุญาตกริชไปวิ่งเล่นในสวนดอกราตรีอันคุ้นตา และเมื่อเพ่งมองดี ๆ เขาก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกตะลึง ทั้งสภาพสวนและคฤหาสน์ที่ถึงแม้จะดูแตกต่างไปบ้างจากปัจจุบันนี้ แต่มันก็เป็นสถานที่แห่งเดียวกันไม่มีผิดเพี้ยนแน่นอน
     มันคือคฤหาสน์ม่านราตรีที่เขาอาศัยอยู่ในตอนนี้นั่นเอง!
    ตุลาหลับไปนานเท่าใดก็ไม่อาจทราบได้ แต่พอรู้สึกตัวตื่นก็ได้ยินเสียงจ้อกแจ้กจอแจใกล้ ๆ กายเขา
ไม่ห่างนัก
   “เขาจะเป็นอะไรไหมรุ้ง?”
   เสียงหวาน ๆ ฟังดูนุ่มหูดังขึ้น ก่อนจะตามมาด้วยเสียงใส ค่อนข้างโผงผาง
   “เธอถามฉันเป็นรอบที่สิบแล้วนะปิ่น เขาไม่ตายง่าย ๆ หรอกน่า ถ้าใกล้ตายเมื่อไหร่ พวกเราก็ต้องรู้สิ!”
   “แล้วทำไมเขาไม่ฟื้นสักทีล่ะ”
   เสียงเดิมถามขึ้นฟังดูกังวลอย่างเห็นได้ชัด
   “จะไปรู้เหรอ คงช็อกน่ะสิ ใครใช้ให้พาทิศทำตาหลุดใส่ให้เห็นแบบนั้นล่ะ นายก็เหมือนกันพาทิศ บอกแล้วใช่ไหมว่าให้ซ่อมร่างซอมซ่อของนายให้มันดี ๆ สักที!”
   สาวเสียงใสโพล่งขึ้น และดูเหมือนจะแขวะไปยังอีกคน ด้วยประโยคแปลก ๆ ที่ทำให้คนนอนแอบฟังไม่ยอมลืมตาตื่นอย่างตุลาขนลุกซู่
   “ก็อะไหล่มันไม่ค่อยมีนี่ เดี๋ยวนี้คนเขานิยมเผามากกว่าฝัง ฉันก็เลยต้องรักษาร่างเก่านี่ไว้ ทำไงได้ ถ้าไม่มีร่างก็ทำความสะอาดคฤหาสน์หลังนี้ไม่ได้น่ะสิ   ลูกสะใภ้ของคุณจอมเดชน่ะหรือ จะมาลงทุนทำความสะอาดให้ จะทำก็แค่ตอนมีคนมาเช่าล่วงหน้าวันสองวันพอเป็นพิธีเท่านั้นล่ะ”
   “พูดถึงยัยสะใภ้จอมงกนั่นแล้วเจ็บใจไม่หาย นี่ถ้าไม่ได้พินัยกรรมของนายท่านช่วยไว้ ป่านนี้พวกเราโดนไล่ที่หมดแล้ว ...หือ มีอะไรหรือปิ่น?”
   เด็กสาวหันมาถามเพื่อนอย่างสงสัย เมื่อแขนถูกสะกิด และเมื่อมองตามมือของอีกฝ่ายชี้ไป เธอก็เห็นหนังตากระตุก ๆ ของชายหนุ่มที่นอนสลบบนเตียง จึงทำให้เด็กสาวร้องอ๋อเบา ๆ แล้วโน้มใบหน้าลงไปกระซิบข้าง ๆ หูของอีกฝ่าย
   “ถ้ายังแกล้งหลับอีก แม่จะจับแหกอกควักไส้ออกมากินเลย คอยดูสิ ฮิ ๆ ๆ”
   “จ๊าก! อย่าทำผมเลยครับ ผมกลัวแล้ว! พ่อแก้วแม่แก้ว ช่วยลูกด้วย!”
   ตุลาหลับตาปี๋ยกมือไหว้ท่วมหัว จนคนแกล้งแหย่ ต้องระเบิดเสียงหัวเราะหวานใสออกมาอย่างขบขัน
   “บ้า! ใครเค้าจะทำเรื่องป่าเถื่อนแบบนั้น!”
   “พะ...พวกเราไม่ทำร้ายใครหรอกค่ะ...อย่ากลัวเลยนะคะ”
   เด็กสาวที่ชื่อปิ่นบอกขึ้นบ้าง จนตุลาเริ่มใจชื้นขึ้น
   “พวกคุณเป็นผี?”
   คำถามของชายหนุ่มทำให้ทั้งสามมองหน้ากัน แล้วเด็กสาวที่ถูกเรียกว่ารุ้งจึงเป็นคนตอบคำถามนั้นของตุลาพร้อมกับแนะนำตัวเองและพรรคพวก   
“อือฮึ ผีเหรอ? จะเรียกแบบนั้นก็ได้หรอกนะ...เอาเป็นว่าพวกเราเป็นผีที่สิงอยู่ในคฤหาสน์ม่านราตรีแห่งนี้ เพราะที่นี่เป็นบ้านสำหรับพวกผีเร่ร่อนอย่างพวกเราน่ะ... ฉันรุ้งพราย เรียกรุ้งเฉย ๆ ก็ได้  ส่วนนี่ปิ่นสุดา
เรียกเธอว่าปิ่นนะ  แล้วเขา ชื่อพาทิศ เธอจะเรียกเขายังไงก็แล้วแต่”
   ตุลากลืนน้ำลายลงคอ ถึงการแต่งตัวและรูปลักษณ์ภายนอกของทั้งสามจะดูเหมือนคนทั่วไปมากเพียงใด
แต่พฤติกรรมและสิ่งที่เขาเห็นมากับตา มันก็บ่งบอกแล้วว่าเรื่องที่อีกฝ่ายนั้นเล่าเป็นเรื่องจริง
   “อะไรกัน ...แสดงว่าข่าวลือที่ชาวบ้านลือกันนั่นก็จริงน่ะสิ...”
   ตุลาพึมพำด้วยความรู้สึกสับสน เขากลัวมากก็จริง แต่ท่ามกลางความกลัวนั้น มันกลับแฝงไปด้วยความพิศวง และขุ่นข้องใจ ทั้งเรื่องพินัยกรรมที่อาของเขาฝากฝังให้เช่าบ้านหลังนี้ รวมไปถึงเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ด้วย
   “จริงสิ! อาของผมล่ะ! ผมได้ยินเสียงอากริช ก่อนจะสลบไป...”
   ตุลามองซ้ายมองขวาหาคนที่เขาอยากจะพบที่สุด  ถ้าเป็นกริช ผู้เป็นอาที่เขาเคารพรักแล้ว ถึงอีกฝ่ายจะเป็นผี เขาก็ไม่คิดกลัวแต่อย่างใด
   “พูดอะไรของนาย ฉันกับปิ่นเป็นคนช่วยนายก่อนจะหล่นกระแทกพื้นนะ ถ้าพวกฉันไม่ช่วยไว้ เผลอ ๆ นายได้มาเฝ้าบ้านอยู่กับพวกฉันไปแล้ว”
   เด็กสาวที่ชื่อรุ้งพรายบอก ซึ่งคนอื่นก็พยักหน้ายืนยันตามมา ทำให้ตุลานิ่งอึ้ง พร้อมกับใบหน้าที่สลดลง
   “คิดไปเองหรอกหรือ...”
   ทั้งสามพอเห็นสีหน้าของตุลาเป็นเช่นนั้นต่างก็มองหน้ากัน แล้วชายหนุ่มในกลุ่มจึงเป็นฝ่ายพูดขึ้นบ้าง
   “พวกฉันเองก็ไม่อยากทำให้เธอตกใจหรอกนะ ก็แค่อยากทักทายในฐานะคนเคยรู้จักมาก่อน ไม่คิดว่าเธอจะจำพวกเราไม่ได้ ...แต่เอาเถอะ ถึงยังไงเราก็ทำความรู้จักกันใหม่ได้อีกอยู่ดี เพราะเธอยังคงจะเช่าที่นี่ต่อ ...สินะ?”
   พาทิศถามอย่างคาดหวัง ตุลามองชายหนุ่มที่ดูสุภาพอ่อนโยน และสาวน้อยทั้งสองที่น่ารักน่าทะนุถนอม อย่างพิจารณา ก่อนจะย้อนถามกลับไปแทน
   “พวกคุณไล่คนเช่าคนก่อน ๆ ออกไปไม่ใช่หรือ ...แล้วทำไมถึงอยากให้ผมอยู่ต่อล่ะ?”
   “ไม่ใช่นะ! ไม่ใช่ฝีมือเราสักหน่อย!”
   เสียงหวานแหลมสูงของรุ้งพรายดังขัดขึ้น ทำให้ตุลาสะดุ้ง แล้วหันไปมองหล่อน
   “พวกนั้นหนีกันไปเองต่างหาก ขนาดไม่มีเซนส์ทางวิญญาณ ก็พากันกลัวโน่นกลัวนี่ คิดไปเองแท้ ๆ แล้วพอตัวเองประสบอุบัติเหตุในบ้าน ก็มาโทษพวกเรา บ้าชะมัด!”
   เด็กสาวบ่น ๆ แล้วก็ทำหน้ามุ่ย ส่วนพาทิศก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วกล่าวเสริมตามมา
   “นั่นสิ  ความจริงฉันอยากให้มีคนเช่านะ  บ้านหลังนี้จะได้ไม่โทรม แล้วถ้าคนเช่าเขารักบ้านหลังนี้ได้ ก็จะ
ยิ่งดี พวกเราก็จะได้อยู่ร่วมกันกับเขาอย่างมีความสุข เหมือนสมัยก่อน...”
   ชายหนุ่มทำหน้าย้อนคิดถึงความหลัง สีหน้านั้นช่างมีความสุข จนทำให้ตุลาเชื่อในสิ่งที่อีกฝ่ายพูดอย่างไม่คิดระแวง
   “นะ...นั่นสิคะ...ถึงจะมีบางคนที่ถูกทำให้ออกไป เพราะพวกเราบางคนก็ตาม ...แต่ส่วนใหญ่พวกเราจะไม่หลอกหลอนใครนะคะ”
   ปิ่นสุดาพูดขึ้นมาบ้าง ถึงแม้เธอจะพูดตะกุกตะกักและเสียงค่อยด้วยความขี้อาย แต่คำพูดของเธอก็ทำให้ตุลาหันขวับไปมองอย่างตกใจ
   “หมายความว่าไงครับ?”
   “กะ...ก็...”
   ปิ่นสุดาหน้าแดง พูดอะไรไม่ถูกแล้วรีบหลบไปอยู่หลังรุ้งพรายทันที เด็กสาวอีกคนทำท่าถอนหายใจเฮือกใหญ่ สบตากับพาทิศ แล้วจึงตัดสินใจเล่าความจริงออกไป
   “ยังไงก็ต้องรู้อยู่ดี รู้เลยวันนี้ก็ดีเหมือนกัน!”
   รุ้งพรายบอกแล้วเหลือบมองคนฟังที่ยังคงมีท่าทางสนใจไม่เปลี่ยน เจ้าหล่อนจึงเริ่มเล่าต่อ
   “นอกจากพวกเราแล้ว ก็ยังมีวิญญาณในคฤหาสน์นี้อีก 1 ราย ...รายนั้นน่ะ รักคฤหาสน์นี้มาก แล้วเขาก็ไม่ชอบให้ใครหน้าไหนก็ตาม เข้ามาอยู่ที่นี่ ...ถ้าเขาไม่ยอมรับล่ะนะ”
   ตุลากลืนน้ำลายลงคอ ลำพังแค่มีผีโผล่มาสาม เขาก็อยากจะเผ่นกลับบ้านอยู่ใจจะขาดอยู่แล้ว แต่เพราะเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นผีดี ก็ยังพอทำใจยอมรับได้บ้าง แต่ลองมาได้ยินแบบนี้เข้า เขาก็ชักไม่แน่ใจแล้วว่าจะอยู่ที่นี่ดีหรือไม่
   “ไม่ต้องห่วงนะ พวกเราจะดูแลเธอเอง แล้วจะพยายามอธิบายให้คนนั้นเข้าใจ”
   “อือ! อย่างที่พาทิศบอกนั่นล่ะ  นาน ๆ จะเจอมนุษย์ที่มีประสาทสัมผัสที่หกดี มองเห็นวิญญาณได้ เหมือนนายท่านทั้งที”
   “นายท่าน?”
   ตุลาทวนคำถามอย่างสงสัย เพราะสังเกตดูสีหน้าของรุ้งพราย เธอจะยิ้มอย่างอ่อนโยน ยามเมื่อพูดถึงนายท่านที่ว่า
   “เจ้าของคฤหาสน์คนเก่าน่ะ แต่เสียชีวิตไปเมื่อเกือบสิบปีที่แล้ว”
   พาทิศตอบคำถามนั้นให้แทน ทำให้ตุลาชะงัก แล้วพยักหน้ารับอย่างเข้าใจ
   “ขอโทษนะครับ ถ้าจะทำให้คิดถึงเรื่องเศร้า ๆ”
   พาทิศนิ่งเงียบ แล้วจึงยิ้มน้อย ๆ ก่อนเอื้อมมือไปลูบเส้นผมของอีกฝ่ายเบา ๆ
   “เด็กดี ...เธอไม่เปลี่ยนไปเท่าไหร่เลยนะ ตุล”
   ตุลามองชายหนุ่มที่เคยบอกว่ารู้จักเขามาก่อนตาปริบ ๆ เขาจำไม่ได้หรอกว่าเคยเจออีกฝ่ายมาก่อน แต่ในความฝันก่อนหน้านั้น ก็แสดงว่าเขาอาจจะเคยมาที่นี่จริง ๆ ก็เป็นได้
   “ผมเคยเจอพวกคุณจริง ๆ ใช่ไหม?”
   ตุลาถามกลับแผ่วเบา คนอื่น ๆ สบตากันแล้วยิ้มอ่อนโยนให้
   “อืม...อายุของเธอตอนนั้นก็ราวสิบกว่าปีได้ ฉันก็นึกว่าเธอจะจำได้เสียอีก...แต่ไม่เป็นไรหรอกนะ ความทรงจำน่ะ เราสร้างร่วมกันใหม่ได้เสมออยู่แล้ว”
   พาทิศบอกแล้วยิ้มให้ก่อนจะชะงักเมื่อเห็นใบหน้าของชายหนุ่มทีแรกก็ยิ้มตอบ แล้วจึงค่อย ๆ เบิกตากว้าง ก่อนจะหงายผึ่งเป็นลมล้มตึงไปอีกครั้ง
   “กรี๊ด! พาทิศ เอาอีกแล้วนะ! ไปซ่อมลูกตานายให้ดี ๆ เลย! โธ่! นายตุลนี่ก็เหมือนกัน ขวัญอ่อนจริง ๆ  เจอซ้ำอีกครั้งน่าจะมีภูมิต้านทานได้แล้วนะ!  โอ๊ย! บอกแล้วไงปิ่น ว่าเขาไม่เป็นอะไรแน่ไงเล่า!”
   รุ้งพรายโวยวายลั่นเมื่อเพื่อนร่วมชายคาอาศัยแต่ละรายทำให้เธอหัวปั่น ตั้งแต่อีตาซอมบี้ที่ร่างกายผุ ๆ พัง ๆ ไม่ค่อยสมประกอบ รวมไปถึงเพื่อนสาวขี้กลัวและขี้อาย ที่ถูกชะตาเพื่อนร่วมอาศัยคนใหม่คนนี้เข้าให้เต็มเปา
   สงสัยนับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ไป คงจะมีแต่เรื่องปวดหัววุ่นวายตามมาอีกมาก หลังจากที่พวกเธอต้องทน
นั่งแกร่ว  อยู่เฝ้าบ้านร้างหลังนี้มาหลายปีตามลำพังกันเอง จนกระทั่งถึงวันที่ได้เจ้าของบ้านคนใหม่อย่างตุลา
ถึงจะเป็นเพียงแค่เจ้าของบ้านชั่วคราว แต่แค่เพียงวันแรก เขาก็ทำให้พวกเธอหายเหงาเข้าให้เสียแล้ว และในวันถัดไปอีกเล่า...

   รุ้งพรายเฝ้าจินตนาการถึงเรื่องสนุกต่าง ๆในอนาคตอันใกล้ด้วยรอยยิ้ม แม้จะยังหนักใจอยู่บ้าง เกี่ยวกับสมาชิกอีกรายที่แสนจะหัวแข็ง และไม่ยอมเปิดใจให้มนุษย์คนไหนอีกเลยนับตั้งแต่จอมเดชเจ้าของคนเก่า
ตายไป

พี่ว้ากตัวร้าย

กระทู้
0
พลังน้ำใจ
350
Zenny
2218
ออนไลน์
164 ชั่วโมง
โพสต์ 2013-7-13 20:22:23 | ดูโพสต์ทั้งหมด

พี่ว้ากตัวร้าย

กระทู้
19
พลังน้ำใจ
759
Zenny
26757
ออนไลน์
184 ชั่วโมง

สมาชิกจีโฟกาย 100%

โพสต์ 2013-7-15 15:13:13 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณคับ

พี่ว้ากตัวร้าย

กระทู้
19
พลังน้ำใจ
759
Zenny
26757
ออนไลน์
184 ชั่วโมง

สมาชิกจีโฟกาย 100%

โพสต์ 2013-7-15 15:14:28 | ดูโพสต์ทั้งหมด
ขอบคุณคับ
ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-12-22 15:44 , Processed in 0.111370 second(s), 26 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้