ลืมรหัสผ่าน
 สมัครเข้าเรียน
ค้นหา
ดู: 575|ตอบกลับ: 0

ม่านราตรี = 7 - 8 =

[คัดลอกลิงก์]

โสด

   ศาสตราจารย์เอื้ออาทร
อาจารย์พิเศษ
ถ้าหากว่าซ้ำต้องขออภัยนะครับและขอโทษเจ้าของเรื่องด้วยนะครับเพราะว่าคัดลอกมาอีกที
ความเดิมตอนที่แล้ว
   จากนั้นคุยกันอีกสักพัก กริชก็อ้างว่าเหนื่อยและขอตัวไปพักก่อนทำให้ตุลาที่กำลังจะถามชายหนุ่มว่าทำยังไงไปยังไงผู้เป็นอาถึงกลายมาเป็นวิญญาณคุ้มครองเขาได้ต้องผิดหวังแต่ก็ยังคงเฝ้ารอโอกาสจนกว่ากริชจะบอกกับเขาด้วยตนเองในสักวันหนึ่ง  
บทที่ 7
    เช้าวันใหม่อันแสนคึกคักกว่าปกติของคฤหาสน์ม่านราตรีเวียนมาถึง ตุลาได้โทรไปบอกคุณนายแม้นศรีผู้ให้เช่าถึงเรื่องที่เขาจะขออนุญาตปรับปรุงบ้าน  ซึ่งเจ้าหล่อนพอรู้ว่าตุลาจะลงมือปรับปรุงคฤหาสน์ของเธอให้
โดยเสนอออกเงินเองทั้งหมด เธอก็มีน้ำเสียงยินดีเป็นอย่างยิ่ง แถมยังบอกให้ตุลาปรับปรุงไปได้ตามสบายเลยอีกด้วย ไม่ผิดกับที่พวกพาทิศเคยบอกไว้แม้แต่น้อย
    และจากนั้น ตุลาก็ต้องทึ่งอีกครั้ง เมื่ออำนาจเงินที่เขาสั่งจ่ายออกไป มันได้บันดาลความสะดวก เรียบร้อยในชั่วเวลาไม่นานให้กับเขาอย่างน่าอัศจรรย์
   เพียงแค่ครึ่งวัน สวนของคฤหาสน์ก็ถูกเนรมิตให้กลายเป็นสวนสวย แตกต่างจากสวนรกครึ้มดูน่ากลัวของเมื่อวานอย่างสิ้นเชิง สำหรับปิ่นสุดานั้น เงือกสาวได้ย้ายไปอยู่ในบึงใหญ่ชั่วคราว โดยมีรุ้งพรายตามไปอยู่เป็นเพื่อน โดยทั้งคู่ตั้งใจว่า ถ้าสวนและบ่อน้ำทำความสะอาดเสร็จ จึงค่อยกลับมาอยู่ใหม่อีกครั้ง
    ส่วนเรื่องการทาสีบ้านทั้งหลังที่ค่อนข้างเป็นเรื่องยุ่งยากและเป็นงานใหญ่ ตุลาได้จ้างช่างรับเหมาให้มาจัดการทาสีให้เขา ด้วยสีมีคุณภาพและเร่งด่วนที่สุดเท่าที่จะทำได้ แต่เพราะแพ้กลิ่นสีและทินเนอร์ เขาจึงไปกางเต็นท์อยู่นอกบ้านแทน อาหารการกินก็อาศัยซื้ออาหารสำเร็จรูปมากินประทังชีวิตไปก่อน หรือไม่ก็โทรสั่งพวกพิซซ่ามากินแทน
    ครั้นพอตกกลางคืนก็มีพวกพาทิศ ราตรี ปิ่นสุดา และ รุ้งพราย คอยแวะมาเยี่ยมเยียนพูดคุยไม่ให้ชายหนุ่ม
ได้เหงา  แต่นั่นกลับทำให้พวกช่างทาสี รู้สึกหนาว ๆ ร้อน ๆ เมื่อเจ้าของบ้านที่ควรมีแค่คนเดียว แต่บางครั้งพวกเขาก็เห็นเหมือนมีคนอื่นเดินไปมา หรือแม้แต่กระทั่งลอยวูบวาบผ่านไปในสวน  แต่เมื่อตุลายืนยันหนักแน่นว่าไม่มีใครนอกจากเขา ก็ทำให้พวกนายช่างข่มความกลัวแล้วรีบทำงานอย่างขยันขันแข็ง เพื่อให้งานเสร็จโดยไวที่สุดเท่าที่จะทำได้
   และแล้ว คฤหาสน์ม่านราตรี ก็กลับกลายมาเป็นคฤหาสน์หลังใหม่ที่สวยงาม ไม่แตกต่างจากที่ตุลาเคยได้ดูในรูปซึ่งแม้นศรีนำมาให้เขาดูก่อนเซ็นสัญญาแม้แต่น้อย
   “ว้าว! เหมือนเมื่อสมัยก่อน ตอนที่นายท่านยังอยู่เลยเนอะ!”
   รุ้งพรายวิ่งไปมาทั่วสวนอย่างชื่นชม  นับจากที่ได้ออกมาชมผลงานหลังพระอาทิตย์ตกดิน และบรรดาช่างทาสีทั้งหมดกลับไปเรียบร้อย สวนสวยเปิดไฟสว่างทั้งหมด โดยมีตุลาคอยเดินเก็บภาพความประทับใจของคฤหาสน์หลังนี้ ผ่านกล้องวิดีโอที่เขาลงทุนซื้อ
   “เอ้า! มัวแต่ถ่ายวิดีโออยู่ได้ มานี่เร็ว ๆ เข้า นายต้องเป็นเจ้าภาพ เปิดงานเลี้ยงฉลองปรับปรุงคฤหาสน์หลัง
ใหม่นะ ”
   รุ้งพรายตะโกน ทำให้ตุลาวางมือ แล้วเดินมายังโต๊ะยาวที่ทุกคนช่วยกันยกมาจัด มีทั้งเครื่องดื่ม และอาหาร
ที่เตรียมไว้สำหรับตุลา  ปลาสด ๆ สำหรับปิ่นสุดา และนมชามใหญ่ของปีศาจแมวสาว ส่วนพาทิศและราตรีนั้นไม่ได้กินดื่มอะไร แต่ทั้งคู่ช่วยกันเทเครื่องดื่ม และคอยหยิบตักอาหารให้กับตุลา จนชายหนุ่มนึกเกรงใจ
    “ดีจังนะครับ ตอนแรกยังหนักใจอยู่เลยว่าต้องมาอยู่ที่บ้านหลังใหญ่ ๆ แบบนี้คนเดียวตั้งเกือบปี แล้วผมจะทำยังไงดี”
   ตุลาบอกออกไปตามตรงด้วยใบหน้ายิ้ม ๆ จนคนมองแต่ละคนอดนึกสงสารและเห็นใจอีกฝ่ายไม่ได้
   “แล้วทำไมต้องมาเช่าบ้านอยู่ลำพังแบบนี้คนเดียวด้วยล่ะ เขียนนิยายน่ะ เขียนที่ไหนก็ได้นี่”
   รุ้งพรายถามขึ้นอย่างอดสงสัยไม่ได้ ตุลานิ่งเงียบ แต่พอจะบอกความจริง ร่างโปร่งใสของกริชก็ปรากฏกายขึ้นข้าง ๆ ชายหนุ่ม พลางตอบคำถามนั้นแทนหลานชาย
   “ก็ฉันเห็นว่าบ้านหลังนี้ บรรยากาศร่มรื่น เงียบสงบ และอีกอย่างก็มีวัตถุดิบให้ตุลได้ศึกษาแบบตรง ๆ ก็เลยสั่งเสียให้เขาเช่าบ้านหลังนี้ไว้ยังไงล่ะ ความจริงก็ได้คุย ๆ กับคุณจอมเดชไว้บ้างแล้ว  แต่เพราะติดอยู่ตรงที่อยากให้ตุลเรียนให้จบก่อน ก็เลยให้รอเวลาเกือบสิบปีถึงค่อยให้เปิดพินัยกรรมล่ะนะ”
   คนอื่นฟังแล้วก็ทำตาปริบ ๆ เพราะคนที่จะคิดการณ์ไกลก่อนตัวเองตายแบบนี้นั้น ถือว่าหาได้ยาก
เพราะอย่างน้อย ๆ ก็ต้องรู้วันตายตัวเองล่วงหน้าล่ะ ถึงจะวางแผนเตรียมพร้อมได้ออกมาราว ๆ นี้
   “อากริชครับ ...แล้วทำไมอาถึงกลายมาเป็นวิญญาณคุ้มครองผมได้ล่ะครับ ...อาควรจะได้ไปเกิดแล้วนี่ครับ”
   ตุลาลองตัดสินใจถามอีกครั้ง แต่เขาก็เผื่อใจไว้ครึ่ง ๆ ว่าอาจจะไม่ได้รับคำตอบเหมือนเดิม แต่คราวนี้ กริชกลับยิ้มให้เขาน้อย ๆ แล้วจึงตอบคำถามของหลานชายออกไป
   “เพราะอาอยากอยู่ดูแลตุลมากกว่าน่ะสิ บอกตรง ๆ ว่าตอนนี้ก็ยังเป็นห่วงอยู่ กลัวหลานจะอาการกำเริบป่วยหนักเหมือนตอนเด็ก ๆ ขึ้นมาน่ะ”
   กริชบอกแล้วลูบศีรษะของหลานชายของตน ความอ่อนโยนและรอยยิ้มของกริช ทำเอาตุลาพึมพำอย่าง
สำนึกผิด
   “เป็นเพราะผมที่รั้งอาเอาไว้ใช่ไหมครับ...ผมขอโทษนะครับ...ทั้งที่อาน่าจะได้ไปอยู่ในภพภูมิที่ดีกว่าแท้ ๆ”
   วิญญาณหนุ่มยิ้มเศร้า ๆ เมื่อได้ยินคำพูดหลาน
   “มันก็ไม่แน่หรอกนะตุล ว่าถ้าอาไปที่นั่นแล้วจะดีกว่าเดิม ...”
    กริชเปรยเบา ๆ เขาเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยต่อ
    “ช่างเรื่องนั้นเถอนะ เอาเป็นว่า อาสมัครใจจะอยู่แบบนี้ และก็พอใจมากด้วย ที่ตัวอาสามารถปกป้องและคุ้มครองดูแลหลานได้ตลอดไป”
   “อาครับ...”
   ตุลามองหน้าอาของตนอย่างซาบซึ้งระคนเศร้าใจ แล้วก็ต้องชะงักเมื่ออีกฝ่ายชวนเขาเปลี่ยนเรื่องคุย
   “อย่าทำหน้าแบบนั้นสิ พวกเขาจะเสียใจนะ ที่อุตสาห์จัดงานเลี้ยงเพื่อตุล แต่ตุลกลับมานั่งเศร้าแบบนี้แทนน่ะ”
      พอได้ยินกริชพูดเช่นนั้น ตุลาจึงค่อย ๆ พยักหน้ารับรู้ พลางปรับสีหน้าเป็นแย้มยิ้มให้ทุกคนอย่างจริงใจ สมาชิกในคฤหาสน์ม่านราตรีที่เห็นต่างก็ยิ้มตอบอย่างอ่อนโยนไม่แพ้กัน
   และในคืนนั้น ตุลาจึงย้ายที่นอนจากเต็นท์กลับไปบนห้องของตัวเองอย่างเคย เขาเปิดบานกระจกบานใหญ่ และผ้าม่านเพื่อรับลมเย็นจากนอกสวน  โดยปิดแค่เพียงบานประตู้มุ้งลวดเพื่อกันยุงเข้ามากัด แทนที่จะเปิดแอร์นอนเหมือนในคืนแรก   
    ทางด้านพวกรุ้งพราย ปิ่นสุดาและพาทิศ ต่างไปนั่งพัก พูดคุยกับราตรี ที่ซุ้มไม้ซึ่งปรับปรุงใหม่ อันเป็นที่พักเดิมของวิญญาณสาว  บางเวลาพวกเขาและเธอ ก็จะเงยหน้าขึ้นไปเฝ้ามอง ยังระเบียงห้องเจ้าของบ้านคนใหม่ พร้อมกับแย้มรอยยิ้มน้อย ๆ อย่างเป็นสุข จนกระทั่งรุ่งเช้าเวียนมาถึง ต่างฝ่ายก็ต่างแยกย้ายกันกลับที่พำนักของตนต่อไป
   ยามเช้าของตุลานั้นถูกปลุกด้วยกลิ่นอาหารหอม ๆ จากชั้นล่าง ชายหนุ่มบิดขี้เกียจเล็กน้อย เดินงัวเงียแทบไม่มองทางเข้าห้องน้ำไป  ก่อนเปิดน้ำก๊อกแล้ววักน้ำใสล้างหน้า แล้วควานมือจับสะเปะสะปะ เพื่อหาโฟมล้างหน้าที่วางอยู่แถวนั้น โดยไม่ได้เงยหน้ามอง
   “เอ้า ... นี่จ้ะ”
   เสียงหวาน ๆ และโฟมที่ส่งมาให้ถึงมือทำให้ตุลางึมงำขอบคุณตอบรับ ก่อนจะสะดุ้งเฮือก แล้วถอยหลังกรูดไปติดผนังห้อง มองไปก็เห็นราตรี กำลังยืนอยู่ข้าง ๆ อ่างล้างหน้าของเขา
   “คะ...คุณราตรี ...มะ...มาได้ยังไงครับ”
   ราตรีมองชายหนุ่มยิ้ม ๆ แล้วบอกออกไปตามตรง
   “ก็ฉันเห็นว่าเช้าแล้ว ก็เลยมาปลุกเธอน่ะ พอดีเห็นเธอตื่นแล้วก็เลยตามเข้ามาเผื่อจะช่วยอะไรได้บ้างยังไงล่ะ”
   ตุลาหน้าซีดสลับแดง ดีใจที่อีกฝ่ายเอาใจใส่เขาขนาดนี้ แต่ต่อให้อีกฝ่ายเป็นผี  ก็ยังเป็นผู้หญิงอยู่ดี
   “ง่า ...ผมช่วยเหลือตัวเองได้ครับ โดยเฉพาะเรื่องในห้องน้ำ”
   “จริงหรือ? แล้วเกิดเป็นลมล้มไปล่ะ จะทำยังไง ใครจะช่วยเธอล่ะ ให้ฉันเฝ้าดีไหม?”
   ดูเหมือนราตรีนั้นจะไม่ถือสาเรื่องที่ตุลาเป็นกังวล แถมเธอยังยกเหตุผลที่ทำให้ชายหนุ่มแทบกุมขมับ
   “โธ่! คุณราตรีครับ ผมไม่ได้ร่างกายอ่อนแอขนาดนั้นหรอกนะครับ ...ง่า แต่ถ้าไม่ไหวยังไงจะเรียกให้คุณมาช่วยทันทีเลยครับ เพราะฉะนั้น ตอนนี้ขอผมทำธุระส่วนตัวก่อนนะครับ”
   ผีสาวนิ่งคิด ก่อนจะพยักหน้าพร้อมรอยยิ้ม
   “ก็ได้ ถ้ามีอะไรต้องรีบเรียกเลยนะ ฉันจะรออยู่แถว ๆ นี้ล่ะจ้ะ”
   บอกแล้วเจ้าหล่อนก็ลอยทะลุประตูห้องน้ำออกไปรอนอกห้อง ตุลารู้สึกเหนื่อยอกเหนื่อยใจอยู่มาก แต่ลึก ๆ เขาก็ดีใจที่มีคนมาห่วงใย เอาใจใส่คอยประคบประหงมเขา เหมือนสมัยตอนยังเป็นเด็ก ๆ ไม่มีผิด
   “ถ้าไม่อยากให้เธอเฝ้า งั้นอาจะคอยเฝ้าให้แทนดีไหม?”
   เสียงกระซิบอันคุ้นเคย ทำเอาตุลาต้องสะดุ้งเฮือกรอบสอง ร่างโปร่งใสของกริช ปรากฏกายให้เห็น แล้วยิ้มน้อย ๆ ให้กับหลานชาย
   “ง่า...อากริชครับ ...ดีใจหรอกนะครับ แต่จะรบกวนอาเปล่า ๆ”
   ตุลาบอกปฏิเสธแล้วพยายามยกเหตุผล เพราะต่อให้อีกฝ่ายเป็นอาของเขา แถมยังเคยอาบน้ำอาบท่าให้ตั้งแต่เด็ก ๆ ก็ตาม แต่ตอนนี้เขาไม่ใช่เด็กเหมือนเมื่อก่อน แถมอาในตอนนี้ก็ดูอายุพอ ๆ กับเขา มันก็ทำให้ตุลารู้สึกกระดากอายอยู่บ้างพอสมควร
   “เฮ้อ! ทีเมื่อก่อนนี้ อ้อนอยากจะอาบน้ำกับอาตลอด พอโตเข้าหน่อย ก็ขับไล่ไสส่งอาเสียแล้ว”
   กริชทำเป็นแสร้งถอนหายใจ จนคนมองทำอะไรไม่ถูก และมีสีหน้าลำบากใจจนเห็นได้ชัด
   “หึ ๆ อาล้อเล่นน่ะ ...แต่ถ้าอยากให้อาอาบน้ำเป็นเพื่อน ก็เรียกได้ตลอดเวลานะ”
   บอกจบกริชก็หายตัวไป ทิ้งให้ตุลายืนนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจอย่างโล่งอกตามมา แล้วรีบล้างหน้าล้างตาแปรงฟัน ก่อนจะเดินไปหยิบเสื้อผ้ามาเปลี่ยน เขายิ้มเจื่อน ๆ ให้กับราตรีที่ยังนั่งอยู่บนเก้าอี้ทำงานของเขา บนโต๊ะมีรุ้งพรายในร่างแมวมานั่งจ้องทางเขาอีกราย
   “อาบน้ำหรือตุล ฉันอาบด้วยได้ไหม...”
   “ไม่สะดวกหรอกครับ ขออาบคนเดียวดีกว่า!”
   ตุลารีบค้านแล้วหยิบเสื้อผ้าและผ้าขนหนูผลุบหายเข้าห้องน้ำไปโดยไว พร้อมกับล็อกประตูห้องเรียบร้อย กันปีศาจแมวสาวตามเข้ามา ทางด้านรุ้งพรายนั้นขมวดคิ้วยุ่ง แล้วบ่นอุบอิบกับตัวเองเบา ๆ
   “อะไรของเขากัน ขอเข้าอาบน้ำด้วยแค่นี้ ทำเป็นอาย ตัวเองเด็กกว่าเค้าตั้งหลายสิบปีแท้ ๆ”
   “ก็นั่นสินะ”
   ราตรีตอบรับอย่างเห็นด้วย เธอเองก็นึกขำเวลาเห็นสีหน้าและท่าทีลำบากใจของตุลาเช่นกัน จะว่าไปแล้วตอนเล็ก ๆ เด็กคนนั้นก็ค่อนข้างขี้อาย แต่ก็ยิ้มแย้มและเข้ากับคนอื่นได้ง่าย และก็น่าแปลกที่ตุลาจะจำเรื่องที่เคยมาที่นี่ไม่ได้เลย คนที่จะตอบคำถามนี้ได้ก็คงมีแต่กริชเท่านั้น แต่เธอก็พอจะมองออกว่าวิญญาณหนุ่มคนนั้น ดูมีความลับเก็บงำไม่คิดจะบอกใครกับเขาบ้างอยู่เหมือนกัน
   “เสร็จแล้วครับ”
   ตุลาที่เปิดประตูห้องน้ำออกมาบอกเบา ๆ เขาอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เป็นเสื้อยืดลำลองสีขาว กางเกงขาสามส่วนสีเทา ใบหน้าอ่อนเยาว์ยิ้มแย้มทักทายทั้งสองสาวที่นั่งอยู่ตรงโต๊ะทำงานเขา ซึ่งทั้งคู่ก็ยิ้มตอบรับ
   “ไปกินข้าวกันเหอะ วันนี้ฉันได้กลิ่นหอมฉุยจากในครัวแต่เช้า  ถ้าให้เดา ต้องเป็นข้าวต้มเครื่องแน่”
   ตุลาเบิกตานิด ๆ อย่างดีใจ ความจริงเขาชอบอาหารเช้าแบบย่อยง่าย และแม่ของเขาก็มักจะชอบทำโจ๊ก หรือข้าวต้มให้กินในตอนเช้าประจำเสมอ
   “ถ้าเป็นแบบนั้นก็ดีเลยครับ”
   ชายหนุ่มบอกแล้วยิ้มตาหยี จนคนมองอดที่จะยิ้มตามไม่ได้
   “งั้นก็ลงไปกันเลย”
   รุ้งพรายบอกแล้วกระโดดลงจากโต๊ะ เดินส่ายหางนำหน้าชายหนุ่มไปก่อน ตุลานั้นเดินไปพร้อมกับราตรีที่ลอยช้า ๆ เคียงข้างชายหนุ่ม
   “ไง ตุล ฉันว่ากำลังจะขึ้นไปปลุกเธอที่ห้องนอนพอดี แต่รู้สึกว่าจะมีคนรับทำหน้าที่แทนเรียบร้อยแล้วสินะ”
   พาทิศที่เห็นตุลาเดินมาพร้อมกับพวกรุ้งพรายเอ่ยทัก ตุลานั้นแย้มยิ้มให้ แล้วกล่าวทักทายกลับ
   “อรุณสวัสดิ์ครับคุณพาทิศ”
   “อรุณสวัสดิ์ เช้านี้มีข้าวต้มเครื่อง ทานได้ไหม?”
   ซอมบี้หนุ่มถามอีกฝ่าย ขณะที่ช่วยยกเก้าอี้ให้เจ้าตัวนั่ง ทางด้านตุลาหันไปยิ้มให้ แล้วเอ่ยตอบ
   “ของโปรดเลยล่ะครับ ...ขอบคุณมากนะครับ”
   “ดีแล้วที่ชอบ คราวหน้าก็จดเมนูที่ชอบ แล้วก็ไม่ชอบ มาให้ฉันแล้วกัน ส่วนอันไหนถ้ากินแล้วแพ้ ก็จดไว้
ด้วยนะ ฉันจะได้เลี่ยงทำ”
   พาทิศบอกกับชายหนุ่ม ซึ่งคำพูดที่ไร้ผลประโยชน์แอบแฝงเคลือบแคลง ทำให้ตุลารู้สึกซาบซึ้งในน้ำใจที่อีกฝ่ายมีให้เขายิ่งนัก
   “ขอบคุณนะครับ ...ความจริงคุณไม่ต้องลำบากทำอาหารให้ผมแบบนี้ทุกมื้อก็ได้ เวลากลางวันเป็นเวลาพักผ่อนของคุณไม่ใช่หรือครับ”
   พาทิศชะงักมือที่ตักข้าวต้มครู่หนึ่ง ก่อนจะตักมันใส่ชามให้ตุลาต่อ เขายกชามมาวางตรงหน้าอีกฝ่าย ส่วนตัวเขาก็ไปนั่งเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม
   “ฉันน่ะ ทำเพราะชอบและอยากทำ แต่ถ้าเธอเห็นว่ามันน่ารำคาญ หรือรุกรานความเป็นส่วนตัวของเธอเมื่อไหร่ เธอก็บอกฉันได้ทุกเมื่อนะ ไม่ต้องเกรงใจ”
   คำพูดของพาทิศทำให้ตุลาสะดุ้งแล้วรีบแย้งกลับทันที
   “ผมไม่เคยคิดเลยนะครับว่าน่ารำคาญ มีแต่จะขอบคุณเสียมากกว่าที่ช่วยดูแลให้กันขนาดนี้ ...แม้แต่เสื้อผ้าของผม คุณก็ยังเอาไปซักให้เลยไม่ใช่หรือครับ”
   ตุลาบอกกับอีกฝ่ายด้วยความขอบคุณและซาบซึ้งจากใจจริง พาทิศยิ้มตอบอย่างอ่อนโยน ชวนให้ใบหน้านั้นดูหล่อเหลาสะกดสายตามากขึ้น ทำเอาตุลาตกตะลึงก่อนจะเผลอหน้าแดงนิด ๆ ด้วยความลืมตัว แต่แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อเสียงแหลม ๆ ขัดขึ้น
   “ฉันก็ช่วยด้วยนะ ไม่ใช่พาทิศคนเดียวสักหน่อย”
   รุ้งพรายโพล่งขึ้นบ้าง แล้วเชิดหน้ารั้น ๆ มองตุลา ชายหนุ่มเห็นแบบนั้นก็เผลอลูบศีรษะแมวสาวจนเจ้าหล่อนลืมตัวทำตาพริ้มอย่างเป็นสุข แล้วพอนึกได้ ก็รีบสะบัดหน้าแล้วขู่ฟ่อใส่เข้าให้
   “อย่ามาทำกับฉันเหมือนแมวทั่วไปนะยะ!”
   รุ้งพรายบอกอย่างงอน ๆ แล้วนอนหันหลังให้กับตุลา แต่ก็ยังใช้หางแกว่งไปมาตีพื้นเล่น จนชายหนุ่มนึกขำ ก่อนจะหันมาทางพาทิศที่ยิ้มมองเขาอยู่ก่อนหน้าแล้ว
    “รู้ไหมตุล พวกเราก็เปรียบเหมือนครอบครัวเดียวกันแล้ว ...สำหรับฉัน เธอช่วยคืนความสุขให้กับคฤหาสน์ม่านราตรีหลังนี้ ฉันเองก็อยากจะตอบแทนเธอ ในสิ่งที่ฉันพอจะทำได้ มันก็แค่นั้นล่ะ”
   “คุณพาทิศ”
   ตุลาพึมพำเรียกชื่อของอีกฝ่ายด้วยความตื้นตันใจ
   “ฉันก็ด้วยนะ ถ้ามีสิ่งไหนที่ฉันสามารถช่วยเหลือเธอได้ ฉันก็ยินดีช่วยเต็มที่”
   ราตรีบอกขึ้นบ้างด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอ่อนโยน ที่ทำให้ตุลาต้องยิ้มตาม
   “ฉันก็ช่วยได้นะ ทำได้หลายเรื่องด้วย!”
   รุ้งพรายรีบหันมาบอกบ้าง จนคนอื่นพากันอมยิ้ม ส่วนตุลาก็ต้องรีบรับคำ เพราะปีศาจแมวสาวทำท่าจะงอนขึ้นมาอีกครั้ง
    จากนั้นพอทานข้าวเช้าเสร็จ ตุลาก็เปลี่ยนบรรยากาศการทำงาน โดยนำโน้ตบุคไปพิมพ์นิยายที่ซุ้มดอกราตรีในสวนหลังบ้านแทน พร้อมกับฟังปิ่นสุดาร้องเพลงคลอกล่อมเบา ๆ  เนื่องจากเงือกสาวได้รับการขอร้องจากชายหนุ่ม หลังจากได้ฟังมาจากรุ้งพรายว่า ปิ่นสุดานั้นร้องเพลงได้ไพเราะมาก ๆ จนเขาอยากฟังเสียงเธอร้องเพลงบ้าง ซึ่งก็ไม่ผิดหวังเลยสักนิด
   บรรยากาศอันอบอุ่นของคฤหาสน์ม่านราตรี  ผิดจากวันที่เขามาเยือนยังสถานที่นี่ใหม่ ๆ ลิบลับ วันแรกนั้นหากไม่ติดสัญญาที่ให้ไว้กับผู้เป็นอา เขาคงแทบจะเผ่นหนีไปเสียแล้ว
   ตุลานั่งคิดถึงเรื่องที่อยากจะเขียนมากมาย จากนั้นเขาจึงยิ้มน้อย ๆ แล้วจึงเริ่มพิมพ์ข้อความลงไปในโน้ตบุคของตน
   ‘....เบื้องหน้าของผมนั้นคือคฤหาสน์สีขาวทรงยุโรปประยุกต์ ซึ่งตั้งตระหง่านอยู่ท่ามกลางสวนดอกราตรีที่ปลูกแน่นขนัด ผมหันไปถามคุณป้าผู้ให้เช่าว่าเธอพาผมมาถูกที่หรือไม่ แต่ก็ได้รับเพียงรอยยิ้มหวานแทนคำตอบ ...ผมถอนหายใจเบา ๆ มาถึงตรงนี้ก็คงจะถอยลำบาก ค่าเช่าล่วงหน้าก็จ่ายไปแล้วสามเดือน อย่างน้อยก็คงต้องอยู่ให้ครบจนถึงเวลาที่จ่ายเงินไปล่ะนะ...’
   ชายหนุ่มวางมือ เมื่อเขาพิมพ์ไปเรื่อย ๆ จนบทนำของเขาเสร็จเรียบร้อย
   “เอาล่ะ! วันนี้พอแค่นี้”
   “น่าสนใจจัง ขออ่านได้ไหมตุล?”
   รุ้งพรายกระโดดมาใกล้ ๆ โน้ตบุค พลางยื่นหน้ามาใกล้ แต่ตุลารีบยกโน้ตบุคหลบทันที
   “ไม่ได้! ทุกคนห้ามอ่านนะ!”
   “ทำไมล่ะ เธอจะเขียนนิยายไม่ใช่หรือ ความเห็นของคนอื่นเป็นสิ่งสำคัญมากไม่ใช่หรือไง”   
   ราตรีถามขึ้นมาบ้าง ตุลากลืนน้ำลายลงคอ เมื่อคนอื่นเพ่งมองมายังเขาคล้ายจะรอคำตอบ
   “ผมอายนี่นา...”
   พอตุลาพูดจบ เสียงหัวเราะของรุ้งพรายก็ดังแหลมขึ้น ประสานกับเสียงหัวเราะแผ่วเบาของราตรี แม้แต่ปิ่นสุดาที่ฟังอยู่ ยังอดหัวเราะคิกคักเบา ๆ ด้วยความเอ็นดูชายหนุ่มไม่ได้
   “แปลกตรงไหนเล่า...ถ้าลงเน็ตให้คนอื่นที่เราไม่รู้จักอ่าน ก็พอไหวหรอก แต่ถ้าคนรู้จักยิ่งสนิทเท่าไหร่ ก็ยิ่งไม่อยากให้อ่านมากขึ้นนี่นา”
   ตุลาบอกอย่างเริ่มนึกงอนขึ้นมาบ้าง เพราะสาว ๆ รุมหัวเราะเขา ไม่มีใครเข้าใจความอายของเขาสักนิด
   “น่า ๆ อย่างอนสิ ก็เข้าใจนะ แต่ถ้าจะเขียนเรื่องที่นี่หรือเรื่องเกี่ยวกับพวกเรา ฉันว่าพวกฉันน่ะจะแนะนำนายได้ตรงประเด็นมากกว่า”
   ตุลาสะดุ้งโหยงเมื่อได้ยินคำพูดของรุ้งพราย เขานิ่งคิดสักนิด ก่อนจะยอมปล่อยโน้ตบุคของตนให้ปีศาจแมวสาวใช้ ซึ่งตุลาก็ต้องทึ่งซ้ำสองเมื่อเห็นแมวเล่นโน้ตบุคต่อหน้าต่อตาตนแบบนี้
   “มองอะไร เห็นแบบนี้ฉันก็ไฮเทคพอนะยะ ฉันแอบไปเล่นคอมของเด็กแถวนี้บ่อย ๆ นั่นล่ะ ก็แหมตอนกลางคืนฉันเป็นหญิงสาวแสนสวยออกขนาดนั้น หนุ่ม ๆ บ้านไหนก็ยินดีเปิดรับฉันเข้าบ้านทั้งนั้นล่ะ”
   รุ้งพรายเชิดอวด แต่เสียงปิ่นก็ดังขึ้นแทรกมาเบา ๆ
   “ไม่ใช่เพราะไปใช้มนต์สะกดให้เขายอมทำตามหรอกหรือรุ้ง”
   ปีศาจแมวสาวสะดุ้ง ก่อนจะหันขวับไปยังเพื่อนสาว แล้วดุเบา ๆ
   “ใครว่าล่ะ ก่อนหน้าจะถูกสะกด ก็กระดี๊กระด๊า เชิญชวนฉันกันทั้งนั้น!”
   “นี่รุ้ง ถ้าไม่อ่านก็ถอยไป ฉันจะได้อ่านเอง”
   ราตรีบอกอย่างเริ่มรำคาญ เมื่อเพื่อนสาวของเธอไม่ยอมอ่านนิยายของชายหนุ่มให้เสร็จสักที
   “อ๊ะ อ่านก็อ่าน ...ไหน ๆ ก็ไหน ๆ อ่านออกเสียงแล้วกัน”
   ราตรีกับปิ่นสุดาพยักหน้าเห็นด้วย เพราะพวกเธอจะได้ไม่ต้องต่อคิวอ่านต่อในตอนหลัง แต่ตุลานี่สิหน้าซีดสลับแดง เพราะยิ่งอับอายหนัก เมื่อถูกคนรู้จักอ่านนิยาย แถมอ่านออกเสียงให้ได้ยินแบบนี้ เขารอลุ้นจนกระทั่งรุ้งพรายอ่านจบบทนำที่เขียนทิ้งไว้ ทั้งสามนิ่งเงียบ แล้วค่อย ๆ หันมามองชายหนุ่ม
   “ดีนี่ เริ่มแบบนี้ก็โอเค สมจริงดี!”
   รุ้งพรายชม ซึ่งราตรีก็เสริมตามมา
   “นั่นสินะ ประสบการณ์นี่ช่วยในงานเขียนได้จริง ๆ นั่นล่ะ”
   “ฉันอยากอ่านตอนต่อไปแล้วล่ะค่ะ เขียนไว ๆ นะคะ คุณตุล”
   ปิ่นสุดาบอกพร้อมรอยยิ้ม ทำเอาตุลาโล่งอก และเริ่มมีความมั่นใจมากยิ่งขึ้น
   “ครับ! ผมจะพยายาม”
   จากนั้นชายหนุ่มจึงหยิบโน้ตบุคกลับเข้าบ้าน เพราะเขาถือหลักไม่รีบร้อนแต่ง แต่อยากแต่งในช่วงอารมณ์ที่ดีที่สุด เพื่อให้นิยายของตนออกมาดีที่สุดเช่นเดียวกัน
บทที่ 8
    ในวันถัดมา ตุลาก็ต้องพบกับความยุ่งยากที่แวะมาเยือนในชีวิตอีกรอบ เมื่อจู่ ๆ แก๊งเพื่อนสนิท นำขบวนโดยพิชยะ หรือเจ้าเก่ง เพื่อนซี้ตัวกวนของเขา โผล่มาเยี่ยม  แถมพาทิศยังออกไปต้อนรับและเชื้อเชิญพวกนั้นเข้ามาพัก โดยไม่คิดกลัวใครจะรู้ว่าตัวเองเป็นซอมบี้เลยด้วยซ้ำ
   “ต๊าย! ไอ้ตุล ทำไมแกไม่รีบบอกพวกฉัน ว่ามีพ่อบ้านหล่อลากดินแบบนี้คอยรับใช้วะ!”
   แหม่มหรือนางสาวมนฤดี สาวน้อยผูกผมม้าผู้ร่าเริงแจ่มใส รีบหันไปถามตุลาที่ลงมาจากชั้นสอง และยังคงนั่งอึ้ง ๆ ด้วยความมึนงงกับเพื่อนที่ห้องรับแขก ส่วนพิชยะนั้นรีบเอ่ยแซวเพื่อนสาวกลับไปทันที
   “แล้วถ้าตุลมันบอกก่อนหน้านี้ แล้วแกจะทำยังไงวะแหม่ม”
   มนฤดียิ้มหวานหยดย้อยพลางเอ่ยขอบคุณคนที่เอาน้ำเย็นมาเสิร์ฟ แล้วขอตัวกลับไปในครัวเพื่อเตรียมอาหารกลางวันต่อ หญิงสาวหันมาทางเพื่อนชายที่ตั้งคำถาม แล้วตอบออกไปอย่างหนักแน่นจริงจัง
“ฉันจะได้ขอมาเช่าบ้านกับตุลมันด้วยอีกคนยังไงล่ะ!”
   “แชร์ค่าเช่าเดือนละสามหมื่น ถ้าจ่ายได้ก็เชิญตามสบาย”
   ตุลาจิบน้ำเย็นแล้วแสร้งบอกไปเรียบ ๆ เรียกอาการค้อนขวับ จากเพื่อนสาวได้ทันที
   “เชอะ! อีตางก! ใครจะมีปัญญาจ่ายยะเดือนละสามหมื่น”
   คนฟังถอนหายใจ แล้วหันไปอีกสองคนที่นั่งยิ้ม ๆ ไม่พูดไม่จามากมายเหมือนพิชยะและมนฤดี
   “แล้วคิดยังไงถึงได้ยกขบวนมาเยี่ยมกันแบบนี้  ใครต้นคิดล่ะนั่น นายหรือ เอก?”
   ชายหนุ่มมาดเข้มรูปร่างสูงใหญ่เป็นนักกีฬายิ้มน้อย ๆ แล้วสั่นศีรษะ ก่อนจะย้อนถาม
   “ไม่ใช่ฉันหรอก นายลองเดาดูสิ”
   ตุลานิ่งคิด มองอานนท์ แล้วหันไปมองปณาลีที่นั่งใกล้ ๆ  ก่อนจะไล่มองพิชยะ และมนฤดี ที่ยกยิ้มกวน ๆ
ให้เขา
   “อืม...ไอ้เก่ง?”
   “บู่! ผิด! ไม่ต้องทายแล้ว หนูน้ำของเราต่างหากที่เป็นคนเสนอความคิด!”
   พิชยะโพล่งบอกร่าเริง แต่คนถูกกล่าวถึงยิ้มอาย ๆ แล้วพยักหน้าน้อย ๆ รับ
   “ก็เราเป็นห่วงนายนี่ เห็นนายไม่เคยอยู่คนเดียวมาก่อน ก็เลยชวนคนอื่นมา เผื่อจะช่วยอะไรได้บ้าง”
   หญิงสาวผมสั้นประบ่าหน้าตาน่ารักบอกกับตุลา ทางด้านชายหนุ่มยิ้มนิด ๆ แล้วขอบคุณเบา ๆ กับความมีน้ำใจและห่วงใยจากเพื่อนสาวของเขาผู้นี้
   “แต่ดูเหมือนว่าจะไม่ต้องช่วยอะไรแล้วนี่ น่าแปลกนะ ตอนถามทางเข้ามา พวกชาวบ้านบอกว่าบ้านเช่า
นายเป็นคฤหาสน์ผีสิง ไอ้พวกฉันก็เสียวสันหลังวาบ คิดว่านายโดนผีหลอกตายคาบ้านไปละ แต่พอมาดูจริง ๆ นี่มันคฤหาสน์ไฮโซชัด ๆ หรูหราจะตาย”
   อานนท์เปรยขึ้น ขณะที่มองสำรวจไปทั่วบ้านอย่างนึกทึ่ง ไม่คิดว่าเพื่อนจะมีเงินเช่าคฤหาสน์หรูหราขนาดนี้เพื่ออยู่อาศัยได้
   “ถ้ามาก่อนหน้านั้นอีกสักสามสี่วัน ก็คงได้เห็นแบบที่ชาวบ้านบอกนั่นล่ะ”
   ตุลาบอกเบา ๆ เมื่อหวนคิดถึงสภาพบ้านที่เขาได้เห็นในครั้งแรก
   “หือ? แล้วไหงกลายเป็นแบบนี้ได้ล่ะ?”  มนฤดีถามขึ้นบ้าง
   “ก็ฉันสละทรัพย์สมบัติส่วนตัวปรับปรุงน่ะสิ...ช่วยไม่ได้นี่นะ ก็ต้องอยู่อีกเกือบปี ยังไงก็ต้องตอบแทน
กันบ้าง”
   ตุลาเปรยแล้วก็ต้องชะงักเมื่อเห็นคนอื่น ๆ มองเขาอย่างสงสัย
   “ง่า...ฉันหมายถึง ตอบแทนบ้านหลังนี้ที่ให้ฉันอยู่อาศัยไง”
   “แปลก ๆ นะนาย ...ว่าแต่คุณพาทิศนี่เป็นใคร ทำไมถึงมาเป็นพ่อบ้านนายได้ล่ะ นายจ้างเขามาหรือ ค่าตัวแพงมากไหม?”
   มนฤดีกลับมาซักไซ้ในเรื่องของพ่อบ้านหนุ่มที่เธอให้ความสนใจอีกรอบ ตุลายิ้มเจื่อน ๆ แล้วพยายามคิดเรื่องแก้ตัวสด ๆ ขึ้นมาเพื่อหวังกลบเกลื่อน
   “คือ...คุณพาทิศ เขาเป็นคนรู้จักของเพื่อนคุณอาอีกที แบบอากริชฝากฝังไว้ก่อนตายน่ะ ว่าถ้าฉันเช่าบ้านหลังนี้เมื่อไหร่ ก็ให้มาคอยดูแลฉันด้วย”
   คำตอบของตุลาทำให้เพื่อน ๆ ร้องอ๋อ  ก่อนหน้านั้นพวกเขาก็นึกแปลกใจกับพินัยกรรมล่วงหน้าที่ผู้เป็นอาของเพื่อนเขียนทิ้งไว้อยู่บ้าง แต่เพราะรู้ว่าตุลานั้นรักและเคารพอาของตัวเองมาก จึงไม่มีใครโต้แย้งหรือติติงอะไรถึงพินัยกรรมแปลก ๆ ฉบับนั้น เพราะเกรงว่าตุลาจะไม่พอใจนั่นเอง
   “นี่ ๆ ตุล ขอพวกเราเดินสำรวจบ้านหน่อยได้ไหม บอกตามตรงว่ะ ไม่เคยเข้าบ้านหรู ๆ แบบนี้มาก่อน อยากเห็นเป็นบุญตาสักครั้ง...นะ”
   พิชยะหันไปขอร้องเพื่อน ตุลาทำตาปริบ ๆ ครั้นจะไม่อนุญาตก็กลัวโดนว่าใจแคบ เลยต้องถอนหายใจเบา ๆ แล้วอนุญาตให้อย่างเสียไม่ได้
   “ก็ได้...แต่อย่าทำเสียงดังนักนะ เดี๋ยวจะรบกวนพวกเขาเข้า...”
   คนอื่นชะงัก พร้อม ๆ กับตุลาที่เผลอหลุดปาก ต่างคนมองชายหนุ่มนิ่งด้วยสายตาตั้งคำถาม ตุลานิ่งคิด แล้วจึงแสร้งยิ้มน้อย ๆ พร้อมกับบอกไปหน้าตาเฉย
   “ก็พวกวิญญาณเฮี้ยนที่ชาวบ้านบอกยังไงล่ะ”
   พิชยะที่กลัวผีไม่แพ้กับตุลาสะดุ้งเฮือก แล้วเหลือบมองซ้ายมองขวาอย่างลืมตัว
   “มะ...มีจริงหรือวะ”
   “บ้าน่ะเก่ง ไปเชื่อตุลมัน คนขี้กลัวอย่างมัน ถ้ามีผีจริง ๆ ป่านนี้เผ่นไปแล้ว ไม่อยู่มาได้เกือบอาทิตย์
แบบนี้หรอก!”
   มนฤดีบอกขัดคอขึ้นอย่างหมั่นไส้ ทำเอาตุลากลืนน้ำลายลงคอ กับคำพูดแสนจะแทงใจดำของเพื่อนสาว เพราะถ้าพวกพาทิศไม่ใช่ผีใจดีแล้วล่ะก็ เขาก็คงเผ่นไม่ยั้งไปตั้งแต่วันแรก ๆ อยู่เหมือนกันนั่นล่ะ
    และในที่สุด เมื่อเห็นว่าเพื่อน ๆ ยังคงไม่เปลี่ยนใจ ตุลาจึงจำต้องเดินนำเป็นไกด์พาทุกคนทัวร์ภายในคฤหาสน์ม่านราตรีอย่างจำใจทีละห้อง
   ตอนนี้ตุลาย้ายมาอยู่ห้องใหม่ ซึ่งเป็นห้องเก่าของจอมเดช เพราะเวลาออกมาที่ระเบียง จะสามารถเห็นสวนด้านหลัง ซึ่งเป็นที่อยู่ของเงือกสาวและซุ้มดอกราตรีที่วิญญาณสาวอาศัยอยู่ได้ถนัดชัดเจนกว่าห้องที่เขาอยู่ในครั้งแรก
   “โห! ห้องมึงหรูว่ะตุล กว้างก็กว้าง แถมมีระเบียงอีก มองไปเห็นวิวในสวนด้วย... อ๊ะ! เฮ้ย! เงือกนี่นา!”
   เสียงพิชยะเอะอะโวยวาย ทำเอาตุลาสะดุ้งเฮือก ส่วนคนอื่นพากันวิ่งกรูออกไปทางระเบียงอย่างสนใจ
   “ไหน? เงือกที่ไหน ไม่เห็นมีใครเลย ตาฝาดไปเปล่า”
   มนฤดีถามเพื่อนของเธอ คนอื่น ๆ ก็พยายามมองแต่ก็ไม่เห็นมีอะไรนอกจากสนามหญ้าและต้นไม้ รวมไปถึงบ่อน้ำแค่นั้น
   “มีสิ! มีจริง ๆ นะ ผู้หญิงสาวผมยาว ๆ มีหางเป็นปลา มานั่งอยู่ริมบ่อตรงนั้น!”
   พิชยะโวยวายเมื่อเพื่อนคนอื่นพยายามหาว่าเขาตาฝาด
   “หือ? เงือกหรือ ตอนฉันวิดบ่อเปลี่ยนน้ำใหม่ ยังไม่เจอเลยนะ สงสัยจะเพิ่งย้ายมาอยู่มั้ง”
   ตุลาทำหน้าตาแบบไม่รู้สึกรู้สา ยิ่งตอกย้ำให้คนอื่นเข้าใจว่าพิชยะน่าจะตาฝาดไปเองมากกว่า
   “เพราะนายกลัว และคิดว่ามีผี ก็เลยตาฝาดไปน่ะสิ!”
   มนฤดีบ่นใส่ ซึ่งพิชยะก็รีบสวนกลับทันที
   “นั่นมันผี ถ้าฉันตาฝาดก็ควรเห็นผี แต่ที่ฉันเห็นมันนางเงือกต่างหาก! เงือกตัวเป็น ๆ จริง ๆ นะ!”
   “อย่าเถียงกันเลยน่า เอาเป็นว่าเดี๋ยวลงไปดูในบ่อพร้อม ๆ กันเลยดีกว่า จะได้รู้ว่ามีจริงหรือตาฝาด”
   อานนท์สรุป ซึ่งก็ทำให้ทุกคนเห็นด้วย ยกเว้นตุลา
   “ง่า...เหลวไหลน่า แค่นี้ก็ต้องลงไปดูด้วยหรือไง ฉันว่าเราไปสำรวจห้องอื่นแทนดีกว่านะ”
   “แต่เราว่าไปดูเลยก็ดีนะตุล จะได้ไม่คาใจทั้งสองฝ่าย จริงไหมเก่ง”
   ปณาลีบอกกับเพื่อนของเธอ ซึ่งพิชยะก็รีบพยักหน้ารับ
   “นั่นสิ! ไปดูให้รู้แล้วรู้รอดดีกว่า อยากรู้เหมือนกันว่าตาจะฝาดบ้าอะไรเป็นรูปเป็นร่างขนาดนั้น ยังติดตาอยู่เลยเนี่ย!”
   จากนั้นเพื่อนทั้งสี่ก็เคลื่อนขบวนลงจากตึกออกไปยังสวนหลังบ้าน โดยมีตุลาตามไปอย่างกังวล จะขอให้พาทิศช่วยแก้สถานการณ์ ซอมบี้หนุ่มก็ไม่รู้หายไปไหน มีแค่เพียงอาหารกลางวันที่ถูกจัดเตรียมค้างไว้ในครัวเท่านั้น
   “นี่ล่ะ ๆ บ่อนั้นไง ที่มีเงือก!”
   พิชยะบอกแล้วชี้ให้เพื่อนดู แต่ตัวเขาเองกลับไม่กล้าเข้าไปเสียอย่างนั้น
   “มา! ฉันไปดูเอง น้ำใสแจ๋วเห็นก้นบ่อขนาดนี้ มองดูก็รู้ว่ามีอะไรบ้าง...”
   มนฤดีบอกแล้วก็เงียบชะงักไป ปฏิกิริยาของเพื่อนสาว ทำให้ตุลาตกใจและรีบแก้ตัวยกใหญ่
   “เอ่อ... คือนั่นน่ะ ...เธอเป็นเพื่อนฉันเอง ...ไม่ใช่ภูตผีปีศาจอะไรไม่ดีทีไหนหรอกนะ!”
   มนฤดีหันมามองตุลาอย่างงง ๆ ก่อนจะกวักมือเรียกทุกคนเข้าไปดูที่บ่อน้ำกับเธอ
   “นี่ไง เงือกที่นายเห็นน่ะเก่ง”
   ปลาช่อนอเมซอนตัวใหญ่พอ ๆ กับเด็ก ว่ายวนไปมาในบ่อลึก ผิวน้ำบนบ่อมีใบบัวเล็ก ๆ บังร่มเงาให้ร่างใต้น้ำ มันว่ายไปมา เลาะกอบัว ทำให้คนมองยิ้มน้อย ๆ อย่างเพลิดเพลิน
   “แต่ฉันว่าฉันเห็น...”
   “มองผ่าน ๆ ก็นึกว่าเงือกได้เหมือนกันล่ะนะ ตัวใหญ่ไม่ใช่ย่อยเลยนี่ตุล อยู่มานานแล้ว หรือนายซื้อมาลงบ่อไว้น่ะ”
   อานนท์หันไปถามเพื่อน ด้านตุลาซึ่งกำลังมึนงงชะงักเล็กน้อย แล้วรีบตอบตามน้ำไป
   “ง่า ...มันอยู่มานานแล้วน่ะ ก่อนฉันจะมาเช่า บางทีเวลากระโดดเล่นน้ำ ก็ทำให้มองผ่าน ๆ นึกว่าคน  เด็ก ๆ แถวนี้ก็เลยชอบเอาไปลือกัน”
   “ตาฝาดหรือวะ...แต่ที่ฉันเห็นนั่นผู้หญิงชัด ๆ เลยนะ”
   พิชยะยังคงบ่นอุบ มนฤดีกับปณาลีเลยช่วยปลอบเพื่อน แล้วชวนไปนั่งเล่นที่ซุ้มราตรีแทน ตุลาถอนหายใจเฮือกใหญ่ ยังคงมองเจ้าปลาช่อนอเมซอนอย่างแปลกใจ แต่ก็ต้องสะดุ้ง เมื่อได้ยินเสียงเพื่อนสาวเรียก
   “ยืนเหม่ออะไรอยู่ได้ตุล เห็นปลาช่อนเป็นเงือกกับเก่งเข้าอีกคนหรือไง!”
   ตุลารีบหันไปยิ้มแห้ง ๆ แล้วตามเพื่อนไปนั่งที่ซุ้ม ระหว่างนั่งพวกเขาก็คุยกันเรื่อย ๆ ถึงการงาน และเรื่องเรียนของแต่ละคนในช่วงนี้
   “พวกนายสองคนเรียนต่อคณะเดียวกันสินะ”
   ตุลาถามอานนท์กับปณาลี ซึ่งทั้งคู่ก็พยักหน้ารับ
   “น้ำน่ะฉันไม่แปลกใจหรอก แต่นายน่ะสิเอก ไหนบอกไม่อยากต่อบริหารแล้วไง”
   มนฤดีถามต่อ แต่คนถูกถามสะดุ้ง แล้วเหลือบมองไปทางอื่น ส่วนปณาลีนั้นหน้าแดงนิด ๆ แล้วก้มหน้า
น้อย ๆ ทำให้เพื่อนทุกคนชะงัก แล้วหันมาสนใจกับปฏิกิริยาของคนทั้งคู่แทน
   “ต๊าย! อย่าบอกนะว่าคบกันแล้ว!  กรี๊ด! น้ำทำยังงี้ได้ไง มีแฟนตัดหน้าเราแบบนี้อ่ะ!”
   มนฤดีแกล้งทำโวยวายใส่ ยิ่งทำให้ปณาลีและอานนท์เขินหนักยิ่งขึ้น ส่วนพิชยะที่คันปากยิบ ๆ ก็รีบแทรกขัดขึ้นทันที
   “ขืนรอให้เธอหาแฟนได้ก่อน มีหวังหนูน้ำเหี่ยวแห้งก่อนพอดีน่ะสิแหม่ม”
   “ปากเสียนะไอ้เก่ง เดี๋ยวเจอเตะหรอก!”
   มนฤดีหันมาบอกด้วยน้ำเสียงห้วนห้าว เสียจนเพื่อนชายต้องทำคอพับคอย่นแล้วรีบยกมือยอมแพ้ สร้างเสียงหัวเราะให้กับคนอื่นที่เหลือ
   “ก็คิด ๆ อยู่เหมือนกันล่ะนะ ว่าอาจจะเป็นแบบนี้สักวัน ยังไงก็ขอให้มีความสุขนะทั้งสองคน”
   ตุลาอวยพรให้เพื่อน ซึ่งอานนท์กับปณาลีก็หันมายิ้มให้กับชายหนุ่ม
   “ที่เป็นแบบนี้ก็ต้องขอบคุณนายด้วยล่ะนะตุล”
   อานนท์ว่า แต่ก็ต้องสะดุ้งเมื่อถูกแฟนสาวตีแขนเข้าให้เบา ๆ แล้วทำหน้าห้ามให้เขาพูด
   “ฮ่า ๆ น้ำเขาเขินน่ะ ไม่เห็นเป็นไรเลย เรื่องมันผ่านมาแล้วก็เล่า ๆ ไปเหอะ คนบื้อ ๆ มันจะได้รู้ตัวบ้าง จะได้ไม่เผลอไปทำให้สาวไหนอกหักเข้าให้อีก”
   อานนท์บอกอย่างไม่ถือสา ปณาลีหน้าแดงหนักแล้วค้อนขวับให้แฟนของเธออย่างงอน ๆ จนทำให้อานนท์ต้องรีบง้อ  ส่วนคนอื่นนอกจากตุลาพอได้ยินเช่นนั้นก็พอจะเดาเรื่องทั้งหมดได้ออก มีแต่ตุลาที่ยังคงมีสีหน้าสงสัยแล้วถามคนอื่น
   “เอ่อ..ทำไมหรือ เกี่ยวอะไรกับฉันด้วยหรือไง?”
   ทุกคนมองหน้ากันตาปริบ ๆ แล้วจึงถอนหายใจออกมาไล่เลี่ยกันจนตุลายิ่งงงไปใหญ่
   “ตุลเป็นแบบนี้ต่อไปก็ดีแล้วล่ะ น่ารักดีออก”
   ปณาลีบอกแล้วยิ้มให้ ซึ่งอานนท์ก็หัวเราะเบา ๆ คนอื่น ๆ ก็ต่างอมยิ้มน้อย ๆ จนตุลาชักจะไม่สบอารมณ์
   “อีกละ ชอบทำเป็นรู้กันเองเฉพาะกลุ่ม แล้วทิ้งให้ฉันไม่รู้อยู่คนเดียวประจำ!”
   “โอ๋ ๆ  อย่างอนสิคะ น้องตุล มามะ เดี๋ยวพี่เก่งปลอบให้”
   พิชยะแกล้งจีบปากจีบคอล้อเลียน แล้วทำท่าปล้ำกอดตุลา จนคนถูกกอดต้องตะโกนห้าม ส่วนคนอื่น ๆ พากันหัวเราะอย่างสนุกสนาน
   “โธ่โว้ย! บอกว่าอย่าไง! ปล่อยนะโว้ย ไอ้เก่ง!”
   ตุลาบ่นโวยวาย พิชยะหัวเราะร่าเริงไม่ยอมฟัง ยังคงแกล้งกอดเพื่อนของตนอยู่อย่างนั้น ก่อนจะสะดุ้งเฮือก เมื่อรู้สึกถึงสัมผัสเย็นวาบที่ข้อเท้าของตน เขาเหลือบลงมองไปดู แล้วก็ต้องร้องจ๊าก พลางกระโดดหนีออกไปจากซุ้ม พร้อมแหกปากโวยวายยกใหญ่
   “มือ! มีมือจับข้อเท้าฉัน!”
   ตุลาใจหายวาบ แล้วรีบทำเป็นหัวเราะกลบเกลื่อนทันที
   “มือบ้าอะไรวะ คราวเงือกก็ทีนึงละ”
   “อีกละ ๆ มึงนี่นะเก่ง จะแกล้งกันไปถึงไหนวะ หรือเห็นว่าตุลกลัวผี เลยแกล้งทำเป็นเจอผีหลอกให้ตุลมัน
กลัว ฮึ!”
   อานนท์เสริมขึ้นมาบ้าง แต่พอเห็นใบหน้าซีดเผือดของเพื่อน ก็รู้สึกว่าอีกฝ่ายคงไม่ได้แกล้งแหย่เล่นแน่
   “เข้าไปนั่งพักในบ้านสงบสติอารมณ์ก่อนไป นึกว่าตุลมันจะกลัวผีขึ้นสมองคนเดียวเสียอีก มึงนี่ก็ไม่แพ้กันเลยว่ะเก่ง”
   ชายหนุ่มรูปร่างนักกีฬาบ่น แล้วชวนเพื่อนเข้าไปพักในบ้าน เพราะบรรยากาศร่มรื่นของสวนครึ้มแห่งนี้ จะว่าไป ถ้าไม่ใช่ช่วงกลางวัน มันก็ดูวังเวงอยู่ไม่น้อยเลยทีเดียว
   พอทั้งหมดเข้ามาในคฤหาสน์ พาทิศก็ปรากฏกายมาดักรอทุกคนพร้อมรอยยิ้ม
   “ยินดีต้อนรับกลับนะครับนายน้อย อาหารเตรียมไว้เสร็จแล้ว เชิญทุกคนที่โต๊ะได้เลยนะครับ ผมขอตัวสัก
ครู่ก่อน”
   พาทิศบอกแล้วหันไปลอบยิ้มเจ้าเล่ห์ให้กับคนที่ตีหน้ายุ่ง เพราะเวลาเดือดร้อน อีกฝ่ายก็ดันหายตัวไม่ยอมอยู่ช่วยเขาแก้ไขสถานการณ์ ทั้งที่เป็นคนนำเจ้าเพื่อนรักพวกนี้เข้ามาโดยไม่บอกเขาล่วงหน้าแท้ ๆ
   จากนั้นทั้งหมดก็พากันมายังโต๊ะอาหาร บรรยากาศตึงเครียดเมื่อครู่สลายไปเกือบจะหมดสิ้นเพราะสีสันและกลิ่นหอมเย้ายวนบนโต๊ะเหล่านั้น
   “อร่อยชะมัดเลยว่ะตุล น่าอิจฉาจริง ๆ ที่มีของอร่อยแบบนี้ให้กินทุกวัน”
   พิชยะที่อารมณ์ดีขึ้นเพราะของกิน บอกกับเพื่อนสนิท คนอื่น ๆ เองก็เห็นด้วยกับชายหนุ่ม แล้วต่างกินอาหารในมื้อนั้นกันจนหมดเกลี้ยง
   “เดี๋ยวพวกฉันช่วยล้างเอง หนุ่ม ๆ ไปนั่งคุยกันไป!”
   สองสาวไล่หนุ่ม ๆ ที่ยืนเกะกะในครัว  เพราะตุลาบอกว่าพาทิศนั้นร่างกายไม่แข็งแรงนัก ส่วนใหญ่พอถึงช่วงกลางวันพ่อบ้านหนุ่มก็จะเข้านอน และเริ่มจัดการงานบ้านทั้งหมดในตอนเย็น  เพื่อน ๆ ของเขาเลยขันอาสาจัดการเรื่องเก็บกวาดล้างชามเป็นการตอบแทนอาหารมื้ออร่อยดังกล่าว
   “บ้านเช่ามึงน่าอยู่ดีหรอกนะตุล แต่ถ้าให้อยู่คนเดียวกูคงไม่ไหวว่ะ”
   อานนท์บอกกับเพื่อนของเขา  ซึ่งเวลาหนุ่ม ๆ อยู่คุยกันเองก็มักจะส่งภาษามึงมาพาโวยเช่นนี้เสมอ แต่ถ้ามี
มนฤดีหรือปณาลีอยู่ด้วย พวกเขาก็จะพูดคุยกันธรรมดา เพราะมักจะโดนปณาลีเขม่นอยู่บ่อย ๆ ส่วนมนฤดีนั้นเธอเคยชินกับคำพูดสนทนาเช่นนี้เสียแล้ว มิหนำซ้ำยังเผลอพูดเองกับพวกหนุ่ม ๆ ด้วยซ้ำ
   “นั่นสิวะ บ้านหลังใหญ่แบบนี้ ยังไงก็ต้องมี ‘ไอ้นั่น’ อยู่แน่ ทางที่ดี มึงแขวนพระติดตัวไว้ดีกว่าว่ะตุล
เพื่อนขอเตือนด้วยความเป็นห่วงนะโว้ย!”
    พิชยะรีบพยักหน้าเสริมเห็นด้วยตามมาอย่างรวดเร็ว
   “มึงก็ขี้กลัวเกินไปว่ะเก่ง และอีกอย่างถึงจะมีไอ้นั่นจริง ๆ แต่ถ้าเค้ามาดีไม่มาร้าย กูก็ไม่ว่าอะไรหรอก”
   ตุลาบอกกับเพื่อนทั้งสองด้วยสีหน้าจริงจัง จนคนมองต้องนิ่งอึ้ง ก่อนจะถอนหายใจออกมาไล่เลี่ยกัน
  “ก็แล้วแต่มึงล่ะนะ ...อืม จะว่าไปก็จริง ๆ นั่นล่ะ ต่อให้เป็นผี ถ้ามาดี ก็ยังดีกว่าคนที่คิดร้ายเสียอีก”
   อานนท์เปรยขึ้น จากนั้นทั้งสองสาวก็ตามมาสมทบ พวกเขาคุยกันสักพัก พิชยะก็ชักชวนเพื่อนฝูงขอตัวกลับ เพราะบ้านแต่ละคนก็อยู่ไกลจากที่พักของตุลาพอสมควร
   “น่าเสียดายจัง ว่าจะลาคุณพาทิศสักหน่อย งั้นฝากตุลบอกด้วยนะว่าฉันชอบเค้ามาก เอ๊ย! ขอบคุณเขามากสำหรับอาหารมื้อกลางวัน”
   มนฤดีบอกกับเพื่อนชายของเธอด้วยสีหน้าเคลิบเคลิ้มชวนฝัน ซึ่งตุลาก็หัวเราะเบา ๆ แล้วพยักหน้ารับ
   “อือ รู้แล้ว ไว้จะบอกให้”
   “งั้นก็โชคดีนะตุล นิยายคืบหน้ายังไงก็ส่งมาให้อ่านกันบ้างนะ”
   “ได้สิ แล้วจะส่งไปให้ช่วยอ่าน ช่วยวิจารณ์แล้วกัน”
   ตุลาบอกกับปณาลีพร้อมรอยยิ้ม และพอทั้งหมดเตรียมจะกลับ พิชยะก็เกิดปวดปัสสาวะขึ้น จึงบอกให้
คนอื่น ๆ รอเขาก่อน
   “เดี๋ยวไปฉี่แป๊บว่ะ รอหน่อยนะสาว ๆ”
   “เออ ๆ ไปเถอะย่ะ!”
   มนฤดีบอกอย่างรำคาญใจ พิชยะหัวเราะแห้ง ๆ แล้ววิ่งตรงไปยังห้องน้ำชั้นล่าง เขายืนทำธุระแล้วกดน้ำเรียบร้อย ก่อนจะเดินออกไปจากห้องน้ำอย่างสบายตัว
   “อี๋! ล้างมือด้วยสิยะ น่าเกลียดเชียว!”
   เสียงใส ๆ บ่นขึ้น ทำเอาพิชยะสะดุ้งเฮือก หน้าซีด มองซ้ายมองขวา  ก่อนจะกลืนน้ำลายลงคอ เมื่อได้ยินเสียงน้ำจ๋อมแจ๋มดังเบา ๆ หลังประตูกระจกฝ้าที่กั้นระหว่างอ่างอาบน้ำกับห้องน้ำเอาไว้  พิชยะค่อย ๆ เดินไปเปิดบานประตูนั้นช้า ๆ แล้วก็ต้องตกตะลึงตาเหลือกกว้าง เมื่อเห็นแมวดำสองหางกำลังนอนแช่น้ำเล่นในอ่างนั้น แถมยังขู่ฟ่อใส่เขาอีก
   “ทะลึ่ง! มาแอบดูสุภาพสตรีอาบน้ำได้ไง ปิดเดี๋ยวนี้นะยะ!”
   ชายหนุ่มสะดุ้งเฮือก รีบปิดบานประตูกระจกฝ้านั่นอย่างรวดเร็ว แล้วเดินออกจากห้องน้ำตรงไปยังที่เพื่อน ๆ รออยู่
   “เสร็จแล้วหรือวะเก่ง...หือ? เป็นอะไรไป ไหงหน้าซีดเผือดแบบนั้น”
   อานนท์ทักเพื่อนอย่างเป็นห่วง พิชยะไม่ตอบคำถามนั่น แต่กลับหันไปหาตุลาแทน
   “ตุล...บ้านมึงเลี้ยงแมวดำด้วยใช่ไหม ...แมวที่มีหางสองหางน่ะ?”
   ตุลาชะงัก พอจะคาดเดาได้ว่าเพื่อนไปเจอกับอะไรมา เขาแสร้งยิ้มหวานอ่อนโยน แล้วบอกกับอีกฝ่าย
   “ไม่มีนี่ ตาฝาดเห็นอะไรเข้าอีกล่ะ ...อ้อ แต่เคยได้ยินชาวบ้านเล่าว่า เจ้าของคนเก่าเขาเลี้ยงแมวไว้ แต่ก็ตายไปหลังจากเจ้าของที่นี่ตายไม่นานแล้วล่ะนะ”
   พิชยะยิ่งหน้าซีดเผือดขึ้นไปอีก เขาหันไปหาเพื่อนคนอื่นแล้วรีบบอก
   “กะ...กลับกันเถอะว่ะ ขืนอยู่อีก มีหวังได้เจออะไรแปลก ๆ อีกแหง...”
   “เฮ่ย! เดี๋ยวเก่ง อย่าบอกนะว่าเมื่อกี๊เจอแมวอะไรที่ว่าเข้า”
   มนฤดีถามอย่างตกใจ ซึ่งเพื่อนชายของเธอก็รีบพยักหน้ารับหงึก ๆ ทั้งที่หน้าซีดเผือด ทำเอาคนอื่น ๆ เสียวสันหลังวาบตามกัน
   “งั้น...มือนั่นที่ซุ้มก็อาจจะ...”
   อานนท์เอ่ยค้างไว้แค่นั้น แล้วก็ต้องสะดุ้งโหยงพร้อมกับคนอื่น เมื่อได้ยินเสียงแมวร้องแง๊วดังลั่น แล้วก็
เงียบไป ตุลาหน้าซีดตามเพื่อน แต่ก็แสร้งฝืนยิ้มแย้มส่งให้คนอื่น
   “ก็นะ...บางครั้งก็มีอะไรแบบนี้บ้าง แต่ก็ดีไม่ใช่หรือ ได้บรรยากาศเขียนนิยายดีออก”
   คนอื่นยิ้มไม่ออก โดยเฉพาะพิชยะ เขาอยากรีบกลับบ้านเสียเดี๋ยวนี้ จึงดึงแขนอานนท์ยิก ๆ ตลอดเวลา
   “ง่า...งั้นพวกเรากลับล่ะตุล ...ถ้าอยากย้ายบ้านเมื่อไหร่ก็โทรมาตามได้ทุกเมื่อนะ”
มนฤดีบอกพร้อมกับยิ้มเจื่อน ๆ จากนั้น ทุกคนก็รีบขอตัวกลับบ้าน โดยมีพิชยะเดินนำลิ่วๆ ออกไปเป็นคนแรก ทางด้านตุลามองตามไล่หลังเพื่อนไปด้วยความสงสารก่อนจะหันกลับมามองในคฤหาสน์แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาตั้งใจว่า จะไปไล่ถามทีละรายถึงพฤติกรรมที่พวกเจ้าตัวทำในวันนี้โดยเฉพาะรายหลังสุดที่เข้าข่ายหลอกเพื่อนเขาให้ขนหัวลุกไปตาม ๆ กันนั่น

ขออภัย! คุณไม่ได้รับสิทธิ์ในการดำเนินการในส่วนนี้ กรุณาเลือกอย่างใดอย่างหนึ่ง เข้าสู่ระบบ | สมัครเข้าเรียน

รายละเอียดเครดิต

A Touch of Friendship: สังคมจะน่าอยู่ เมื่อมีผู้ให้แบ่งปัน ฝากไวเป็นข้อคิดด้วยนะคะชาวจีโฟกายทุกท่าน
!!!!!โปรดหยุด!!!!! : พฤติกรรมการโพสมั่วๆ / โพสแต่อีโมโดยไม่มีข้อความประกอบการโพส / โพสลากอักษรยาว เช่น ครับบบบบบบบบ, ชอบบบบบบบบ, thxxxxxxxx, และอื่นๆที่ดูแล้วน่ารำคาญสายตา เพราะถ้าท่านไม่หยุดทีมงานจะหยุดท่านเอง
ขอความร่วมมือสมาชิกทุกท่านโปรดโพสตอบอย่างอื่นนอกเหนือจากคำว่า ขอบคุณ, thanks, thank you, หรืออื่นๆที่สื่อความหมายว่าขอบคุณเพียงอย่างเดียวด้วยนะคะ เพื่อสื่อถึงความจริงใจในการโพสตอบกระทู้ และไม่ดูเป็นโพสขยะ
กระทู้ไหนที่ไม่ใช่กระทู้ในลักษณะที่ต้องโพสตอบโดยใช้คำว่าขอบคุณ เช่นกระทู้โพล, กระทู้ถามความเห็น, หรืออื่นๆที่ทีมงานอ่านแล้วเข้าข่ายว่า โพสขอบคุณไร้สาระ ทีมงานขอดำเนินการตัดคะแนน และ/หรือให้ใบเตือนสมาชิกที่โพสขอบคุณทันทีที่เจอนะคะ

รูปแบบข้อความล้วน|โทรศัพท์มือถือ|ติดต่อลงโฆษณา|จีโฟกายดอทคอม

ข้อความที่ท่านได้อ่านในเว็บจีโฟกายดอทคอมนี้ เกิดจากการเขียนโดยสาธารณชน และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ หากท่านพบเห็นข้อความใดๆ ที่ขัดต่อกฎหมาย และศิลธรรม ไม่เหมาะสมที่จะเผยแพร่ ท่านสามารถแจ้งลบข้อความได้ที่ Link “แจ้งลบโพสนี้” ที่มีอยู่ใต้ข้อความทุกข้อความ หรือ ลืมพาสเวิดล๊อกอิน/ลืมชื่อที่ใช้สมัคร หรือข้อสงสัยใดๆแจ้งมาที่ G4GuysTeam[at]yahoo.com ขอขอบพระคุณที่ให้ความร่วมมือ

กรณีที่ข้อความ/รูปภาพในกระทู้นี้จัดสร้างโดยผู้ลงข้อมูลเอง ลิขสิทธิ์จะเป็นของผู้ลงข้อมูลโดยตรง หากจะทำการคัดลอก/เผยแพร่ ต้องได้รับอนุญาตจากผู้ลงข้อมูลก่อนนะคะ หรือลงที่มาไว้ด้วยค่ะ

©ขอสงวนสิทธิ์คอนเซ็ปต์,คำอธิบาย,หัวข้อ/หมวดหมู่เว็บ ห้ามลอกเลียนแบบ คิดเอาเองนะคะอย่าเอาแต่ลอก

GMT+7, 2024-12-22 15:41 , Processed in 0.083745 second(s), 27 queries .

Powered by Discuz! X3.5, Rev.8

© 2001-2024 Discuz! Team.

ตอบกระทู้ ขึ้นไปด้านบน ไปที่หน้ารายการกระทู้