ถ้าหากว่าซ้ำต้องขออภัยนะครับและขอโทษเจ้าของเรื่องด้วยนะครับเพราะว่าคัดลอกมาอีกที
ความเดิมตอนที่แล้ว มนฤดีบอกพร้อมกับยิ้มเจื่อน ๆ จากนั้น ทุกคนก็รีบขอตัวกลับบ้าน โดยมีพิชยะเดินนำลิ่วๆ ออกไปเป็นคนแรก ทางด้านตุลามองตามไล่หลังเพื่อนไปด้วยความสงสารก่อนจะหันกลับมามองในคฤหาสน์แล้วถอนหายใจเฮือกใหญ่ เขาตั้งใจว่า จะไปไล่ถามทีละรายถึงพฤติกรรมที่พวกเจ้าตัวทำในวันนี้โดยเฉพาะรายหลังสุดที่เข้าข่ายหลอกเพื่อนเขาให้ขนหัวลุกไปตาม ๆ กันนั่น… บทที่ 9
ตุลายืนจ้องบรรดาวิญญาณประจำคฤหาสน์ม่านราตรีอย่างเงียบ ๆ หลังจากที่ฝากพาทิศให้ช่วยเรียกทุกตน
ให้มารวมตัวกันในตอนค่ำของวันนั้น เพราะแต่ละรายเหมือนจะรู้ตัวว่าต้องเผชิญกับอะไร จึงแสร้งทำเป็นไม่ยอมออกมาพบชายหนุ่มตามปกติ จนตุลาต้องฝากให้พาทิศไปบอกอีกครั้งว่า เขาจะกลับบ้านและเลิกเช่าถ้าแต่ละตนไม่ยอมออกมาพบเขาภายในคืนนี้
“โอ๊ย! เลิกจ้องสักที คนไม่ได้ตั้งใจจะหลอกสักหน่อย ก็อาบน้ำอยู่ดี ๆ อีตาบ้านั่นเข้ามาเองทำไมเล่า ห้องน้ำในคฤหาสน์นี่ ก็มีตั้งหลายห้อง ดันมาเข้าห้องที่ฉันอาบน้ำอยู่เองทำไมกัน!”
รุ้งพรายที่ทนความกดดันเงียบ ๆ ที่ตุลาใช้กับตนไม่ไหว โพล่งขึ้นมาอย่างเหลืออด ชายหนุ่มถอนหายใจเบา ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อเรียบ ๆ
“แล้วที่ร้องเสียงดังส่งท้ายนั่นล่ะครับ?”
รุ้งพรายชะงัก เธอหน้าแดงนิด ๆ แล้วทำเป็นเมินไปอีกทางไม่ยอมตอบ
“จงใจแกล้งสินะครับ”
ตุลาย้ำถามต่อ ทำให้คนฟังสะดุ้งแล้วรีบแก้ตัว
“เปล่าสักหน่อย ฉันแค่ก้าวพลาดลื่นตกจากขอบอ่าง เลยตกใจแล้วเผลอร้องไปก็เท่านั้นเอง!”
พอบอกจบรุ้งพรายก็หน้าแดงก่ำด้วยความอาย ตุลาเห็นดังนั้นจึงถอนหายใจแผ่วเบา ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาได้
“เอาเถอะครับ ผมก็แค่อยากรู้ว่าเหตุการณ์มันเป็นยังไงมายังไง ถ้าเรื่องราวเกิดลามปามออกไป ผมจะได้หาวิธีช่วยแก้ไขไว้ล่วงหน้าได้ทัน”
คำพูดของตุลาทำให้วิญญาณและภูตผีทุกตนยิ้มออก แต่แล้วอีกสองสาวก็ต้องสะดุ้งโหยง เมื่อตุลาหันมาทางพวกเธอต่อ
“แล้วคุณราตรีกับคุณปิ่น...”
“ฉันไม่ได้ตั้งใจนะ ก็เธอร้องขอให้ช่วย ฉันก็เลยช่วยจับขาให้ผู้ชายคนนั้นหยุดแกล้งเธอ อุตสาห์ตั้งใจปรากฏให้เห็นแค่มือแท้ ๆ เชียวนะ”
ราตรีรีบบอก ทำให้ตุลาลอบถอนหายใจเบา ๆ ก่อนจะยิ้มให้
“ขอบคุณครับ ก็ช่วยผมได้จริง ๆ นั่นล่ะนะ”
เพราะอีกฝ่ายตั้งใจและหวังดี ตุลาจึงไม่อยากต่อว่าหรือบ่นอะไรมาก ราตรีเห็นดังนั้นก็โล่งอกแล้วยิ้มออก ทว่าปิ่นสุดาที่ยังไม่ถูกซักฟอกเป็นตนสุดท้าย ตอนนี้กำลังยืนหน้าซีดนัยน์ตาคลอวิบวับด้วยหยดน้ำใส ๆ จนตุลาไม่กล้าบ่นใส่เจ้าหล่อนเรื่องที่ออกมานั่งเล่นตรงปากบ่อให้คนเห็น ทำได้แต่กระแอมเบา ๆ แล้วเลี่ยงถามเรื่องที่สงสัยอีกอย่างไปแทน
“เอ่อ คุณปิ่นครับ ไม่ต้องกังวลนะครับ ผมไม่ได้จะว่าอะไรคุณ เพียงแต่ผมสงสัยเรื่องปลาช่อนอเมซอนตัวนั้น ว่ามาได้ยังไงก็แค่นั้นล่ะครับ”
คำพูดของตุลาทำให้ปิ่นสุดายิ้มออก เธอบอกกับชายหนุ่มด้วยเสียงเบา ๆ อันเป็นเอกลักษณ์ประจำตัวออกไป
“นั่น...ก็ฉันเองล่ะค่ะ เป็นร่างแปลงเอาไว้หลอกตามนุษย์ไม่ให้จับได้ค่ะ”
คำตอบของเงือกสาวทำให้ตุลาเข้าใจสถานการณ์ทั้งหมดได้ดี เขาถอนหายใจอีกครั้ง แล้วจึงหันไปทางพาทิศ
“วันหลังช่วยให้พวกเขายืนรออยู่นอกบ้าน ก่อนจะปล่อยให้เข้ามานะครับ วันนี้ผมตกใจแทบแย่แน่ะ ที่คุณออกไปรับพวกเขาเข้ามาน่ะ”
พาทิศยิ้มน้อย ๆ ก่อนจะจับมือของตุลาขึ้นมาจูบหลังมือเบา ๆ แล้วยิ้มให้ด้วยสีหน้าเจ้าเล่ห์
“ผมจะจำไว้นะครับ นายน้อย”
“คุณพาทิศ!”
ตุลาเรียกชื่ออีกฝ่ายด้วยความอาย ที่เจ้าตัวยังคงล้อเลียนเขาโดยการแสดงเป็นพ่อบ้านไม่เลิก แถมเท่าที่เขาเคย
รู้มา ก็ไม่เคยเห็นมีพ่อบ้านที่ไหนจูบหลังมือเจ้านายเหมือนที่อีกฝ่ายทำด้วย โชคดีที่รุ้งพรายมัวแต่อายเรื่อง
ก่อนหน้านั้นจึงไม่ได้สนใจการกระทำของพาทิศเท่าใด ส่วนราตรีกับปิ่นสุดา ทั้งสองเองก็ไม่ได้ใส่ใจกับภาพที่
เห็นนัก จึงไม่ได้คิดโวยวายอะไรให้มากความ
พอเห็นหน้ามุ่ย ๆ งอน ๆ ติดอายของตุลา ก็ทำให้พาทิศต้องหัวเราะเบา ๆ ในลำคอ แล้วลูบศีรษะของอีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“พอดีฉันเห็นว่าเป็นเพื่อนของเธอ แล้วเท่าที่สังเกต ก็ไม่น่าจะใช่มนุษย์ที่ก่อปัญหาเท่าใดนัก ก็เลยพาพวกเขาเข้ามาให้รอในบ้านน่ะ”
“ยังดีนะครับ ที่เป็นพวกนั้น ถ้าเป็นพ่อกับแม่ ผมคงโกหกลำบากแน่”
ตุลาบอก แล้วถอนหายใจเบา ๆ เมื่อคิดถึงพ่อกับแม่ของตน
“อ้อ! วันสิ้นเดือนผมคงกลับบ้านนะครับ สัญญากับพ่อแม่ไว้แล้วว่าจะกลับไปพักที่บ้านเดือนละครั้ง”
ชายหนุ่มบอกอย่างนึกขึ้นได้ ทำให้สมาชิกในคฤหาสน์ที่เหลือต่างหันขวับมายังเขา
“ค้างหลายคืนหรือเปล่า?”
รุ้งพรายถาม พลางทำตาละห้อยมองมา จนทำให้ตุลาต้องอมยิ้ม
“คืนสองคืนเองครับ ไม่กล้าทิ้งบ้านที่นี่ไว้นาน ...กลัวพอไม่อยู่ เดี๋ยวจะกลายเป็นบ้านผีสิงอีกรอบ”
ชายหนุ่มบอกแล้วก็นึกถึงเมื่อวันสองวันที่ผ่านมา ที่มีชาวบ้านมาด้อม ๆ มอง ๆ ที่คฤหาสน์ซึ่งเปลี่ยนไปด้วยความสนอกสนใจ รุ้งพรายก็เลยร่วมมือกับราตรี แสดงอภินิหารเล็ก ๆ น้อย ๆ เช่นเสียงหัวเราะของผู้หญิงลอยมาตามลม กลิ่นดอกราตรีที่หอมแรงในตอนกลางวัน ตบท้ายด้วยแมวดำกระโจนมาจากกำแพงบ้าน ทำให้ชาวบ้านที่อยากรู้อยากเห็นวิ่งเผ่นหนีป่าราบ เดือดร้อนเขาที่เวลาไปซื้อกับข้าวมาตุนไว้ ต้องมานั่งฟังพวกนั้นกรอกหูว่าที่นี่มีผีจริง ๆ แล้วย้ำถามเขาว่าเจอบ้างไหมเสียทุกครั้งไป
“เฮอะ! เรารึอุตสาห์ไล่พวกสอดรู้สอดเห็นพวกนั้นไปให้ ดันกลายมาเป็นเราผิดซะอย่างนั้น ทำคุณบูชา
โทษแท้ ๆ”
ปีศาจแมวสาวบ่นอุบอย่างนึกงอน เพราะรู้ดีว่าประโยคนั้นของตุลาจงใจว่าพวกเธอโดยเฉพาะ
“ถึงจะเปิดใจยอมรับมนุษย์บ้าง ...แต่บางครั้งเราก็ไม่ชอบให้คนนอกมาก้าวก่ายกับพวกเรา เธอน่าจะเข้าใจ
นะตุล”
ราตรีบอกขึ้นบ้าง ซึ่งตุลาพอฟังก็ถอนหายใจเบา ๆ แล้วยิ้มให้ผีสาวแล้วบอกต่อ
“ผมเข้าใจครับ แต่ผมกลัวว่าถ้ามีข่าวลือหนักเข้า พวกนี้จะใช้กฎหมู่เข้ามาพิสูจน์ไล่ผีในบ้านเข้าให้น่ะสิครับ”
“ก็ลองสิ! ถ้าพวกมันทำอย่างนั้นจริง ฉันจะไล่พวกมันกลับให้กระเจิงไปคนละทิศละทางเลย!”
รุ้งพรายแทรกขัดอย่างหงุดหงิด จนตุลาต้องปราม
“ใจเย็นครับ นั่นแค่เป็นการคาดเดาของผมเท่านั้น และที่สำคัญสมัยนี้ การที่จะบุกรุกพื้นที่ส่วนตัวเข้ามาได้
ก็ไม่ใช่นึกอยากทำก็ทำกันได้ง่าย ๆ นักหรอกครับ”
“ก็ใครใช้ให้นายยกตัวอย่างแบบนั้นเล่า!”
รุ้งพรายว่าต่อ ยังคงหงุดหงิดไม่หาย
“สมัยก่อนมันมีเรื่องคล้ายแบบนี้นั่นล่ะตุล ใช้กฎหมู่ไล่บีบพวกที่แตกต่างจากตนเข้าว่า จนพวกเราต้องหนีกระเซอะกระเซิงมาเรื่อย ๆ จนสุดท้ายก็ได้มาอยู่ที่นี่นั่นล่ะ”
พาทิศอธิบายให้ชายหนุ่มฟัง ซึ่งพอได้ฟังตุลาก็มีสีหน้าสลดลง เพราะเขาลืมคิดไปว่า แต่ละตนในที่นี้ ล้วนมีอายุยืนยาวมากกว่าเขาหลายเท่าตัว รวมทั้งได้ผ่านประสบการณ์อันเลวร้ายมามากทีเดียว
“ขอโทษครับ ผมลืมคิดไป”
“ไม่ใช่ความผิดของตุลหรอกน่า อีกอย่างระวังไว้ก็ดีแล้ว ใครจะรู้ว่าพวกนั้นจะไม่บ้าเลือด บุกรุกพื้นที่เข้ามาในคฤหาสน์ได้ล่ะ สันดานพาลของมนุษย์ ถึงเวลาจะผ่านไปไม่ว่ากี่ปีต่อกี่ปี มันก็ไม่มีวันหายไปได้หรอก”
พาทิศบอกกับทุกตนเพื่อเป็นการตัดบท และย้ำว่าไม่ควรแสดงตัวตนออกไป ให้ตุลาผู้เป็นเจ้าของบ้านต้องลำบากใจกว่านี้ จากนั้นตุลาจึงขอตัวไปแต่งนิยายต่อ เพราะวันนี้เขายังไม่ได้เขียนสักบท เนื่องจากมัวแต่ยุ่งวุ่นวายกับเพื่อน ๆ ที่มาเยี่ยมบ้านนั่นเอง
รอบด้านที่มองเห็น มีแต่หมอกควันสีขาวขุ่นอยู่ทั่ว ตุลาเดินไปเรื่อย ๆ อย่างไม่รู้จุดหมาย ยิ่งอยู่ในหมอกนั้นนานเท่าใด เขาก็รู้สึกถึงอาการหายใจไม่ออก แน่นหน้าอก ครั่นเนื้อครั่นตัว และสติที่เริ่มลางเลือน แต่แล้วทันใดนั้น เขาก็ได้เห็นแสงสว่างอยู่ปลายทางลิบ ๆ ตุลารีบเร่งฝีเท้าไปเบื้องหน้าด้วยความดีใจ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เขาก็รู้สึกถึงความสบายตัวอย่างน่าประหลาด ทว่าก่อนจะถึงแสงนั้น เขาก็รู้สึกเมื่อถูกใครบางคนฉุดมือดึงเขาเอาไว้ แล้วตะโกนห้าม
“ตุล! อย่าไปนะ!”
“อากริช...”
ตุลาพึมพำ ก่อนจะเห็นใบหน้าของผู้เป็นอาค่อย ๆ ลางเลือนไปอย่างรวดเร็ว เปลือกตาหนากระพริบถี่ ภาพแรกที่เห็นคือเพดานห้องสีขาวที่ตอนนี้มองไม่ออก เพราะอยู่ในความมืด ร่างกายของเขาเต็มไปด้วยเหงื่อ ทั้งที่อากาศตอนกลางคืนภายนอกนั้นเย็นสบาย มีลมพัดตลอดเวลาแท้ ๆ
“อากริช...อาอยู่ไหมครับ?”
ตุลาพึมพำเรียกชื่ออาของเขา แล้วมองซ้ายมองขวา มองแขนข้างที่อาของตนดึงไว้ เขายังรู้สึกได้ถึงสัมผัสนั้นอยู่เลย แม้กระทั่งตอนนี้
“ฝันหรือ...ทำไมถึงฝัน เหมือนเมื่อตอนนั้นเลยนะ...”
ตุลาหวนคิดถึงตอนที่เขาอายุ 12 ในคืนที่เขาป่วยหนัก เขาก็ฝันแบบนี้ แล้วกริชก็มาช่วย พอวันรุ่งขึ้นเขาก็หายป่วยเป็นปลิดทิ้งจนพ่อแม่และหมอยังแปลกใจ แต่แล้วหลังจากนั้นอีกสองวัน กริชก็เสียชีวิต
“อาครับ...ผมคิดถึงอา...”
เมื่อหวนคิดถึงเรื่องในวัยเด็กก็ทำให้ตุลาต้องหลั่งน้ำตาออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ ก่อนจะชะงักเมื่อมือโปร่งใสของใครบางคนช่วยกรีดซับน้ำตาของตนแผ่วเบา
“โตแล้วนะ อย่าทำตัวขี้แยเหมือนตอนเด็ก ๆ นักสิ ตุล...”
“อากริช!”
ตุลาเรียกชื่อของอีกฝ่ายที่ปรากฏกายขึ้นอย่างดีใจ กริชแย้มยิ้มน้อย ๆ อย่างอ่อนโยนให้หลานรัก
“อาก็อยู่ด้วยกับหลานตลอดเวลาแท้ ๆ ยังร้องไห้เรียกหาอาแบบนี้อีกทำไมกัน หือ?”
“ก็อาไม่ได้ปรากฏตัวขึ้นทุกครั้งที่ผมเรียกนี่ครับ ...บางครั้งที่ผมอยากให้อาอยู่ข้าง ๆ อยากพูดคุยกับอา แต่อาก็จะหายไปไม่ยอมมาปรากฏตัวให้ผมเห็นสักที”
ตุลาแย้งเขาอยากกอดร่างโปร่งใส อยากให้อีกฝ่ายปลอบใจ แต่เขาก็ต้องกลั้นความปรารถนานั้นไว้ แค่เพียงกริชแสดงตัวให้เขาเห็น สำหรับชายหนุ่มก็มากเพียงพอแล้ว
“อาครับ ผมฝันแปลก ๆ”
ตุลาบอกขึ้นหลังจากที่นิ่งเงียบไปสักพัก
“ฝันมันก็คือฝัน”
กริชเปรยเรียบ ๆ ทั้งที่ยังไม่ได้ฟังความฝันของอีกฝ่าย ทำให้ตุลายิ่งแปลกใจ
“อากริช ...อาปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ”
กริชชะงักแล้วหันไปทางหลานชายของตน
“ตุลสงสัยอะไรอาหรือ”
“...ปะ...เปล่าครับ”
สีหน้าและแววตาเย็นชาที่มองมา ทำให้ตุลาต้องรีบปฏิเสธ กริชเห็นแบบนั้นแล้วก็นึกสงสารหลาน จึงจำต้องลูบศีรษะอีกฝ่ายปลอบโยนเบา ๆ
“ตุลจำไว้นะ ไม่ว่าจะมีอะไรเกิดขึ้น ทุกสิ่งทุกอย่างที่อาทำ อาทำเพื่อหลานเท่านั้น”
“อากริช...”
“นอนพักเถอะ นี่ยังดึกอยู่เลย”
ตุลามองนาฬิกาที่บอกเวลาตีสอง เขาทำสีหน้าลำบากใจแล้วเอ่ยขึ้น
“ผมกลัวจะฝันแบบเดิมอีก...”
“อาจะอยู่ข้าง ๆ ถ้าตุลฝันร้าย อาจะปลุกตุลเอง...นะ”
กริชบอกอย่างอ่อนโยน ทำให้ตุลาแย้มยิ้มออก แล้วจึงหลับตาลง ก่อนจะหลับไปในไม่ช้า วิญญาณหนุ่มยิ้มออกมาน้อย ๆ เมื่อเห็นหลานชายของตนหลับลงในที่สุด เขาลูบไว้เส้นผมของอีกฝ่ายอย่างอ่อนโยนสักพัก แล้วจึงนิ่งคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่ตนเคยกระทำไว้เมื่อสิบปีก่อน
“อาทำเพื่อหลานนะตุล ...ถ้าตุลรู้ คงเสียใจที่อาเลือกทางแบบนี้ ..แต่ต่อให้เลือกอีกกี่ครั้ง อาก็ยังจะเลือกทางนี้อยู่ดี”
จากนั้นกริชก็มีสีหน้าที่เริ่มเย็นชา เขามองไปด้านนอก แล้วจึงหายตัวไปปรากฏกายอยู่ที่ซุ้มราตรี จนวิญญาณสาวที่กำลังนั่งเล่นอยู่สะดุ้งโหยง
“ราตรี คืนนี้ฉันฝากตุลหน่อยได้ไหม ไปช่วยเฝ้าเขาหน่อย ถ้าเขาฝันร้ายก็ช่วยปลุกด้วย”
ผีสาวมีสีหน้างุนงง แต่ก็ยังคงพยักหน้ารับแต่โดยดี
“ก็ได้อยู่หรอกค่ะคุณกริช แล้วคุณจะไปไหนหรือคะ”
เพราะรู้ดีว่าอีกฝ่ายเป็นวิญญาณคุ้มครองของตุลาและคอยปกป้องดูแลชายหนุ่มมาโดยตลอด การที่วิญญาณหนุ่มจะออกปากไปไหนห่างร่างของตุลา จึงเป็นเรื่องที่น่าแปลกพอสมควร
“ฉันจะแวะไปหาเพื่อนเก่าสักหน่อย...ฝากด้วยล่ะ”
กริชตัดบทแล้วหายตัวไป ทิ้งให้ราตรียืนงุนงงอยู่ลำพัง แต่หล่อนก็ยังคงทำตามคำขอนั่น ไปนั่งเฝ้าชายหนุ่มที่หลับไปแล้วโดยไม่นึกลำบากหรือเกี่ยงงอน แถมยังเอ็นดูเมื่อเห็นใบหน้านอนหลับและละเมอน้อย ๆ ของอีกฝ่ายอีกด้วย
บ้านไม้สองชั้นสภาพเก่าแก่ ที่ดูด้วยตาน่าจะปลูกมาเกินสามสิบปี ชานกว้างบนชั้นสอง มีชายวัยกลางคนอายุราว 35 - 40 ผมเผ้ายุ่ง ๆ หนวดเคราครึ้ม ใส่เสื้อกางเกงม่อฮ่อม กำลังนั่งสูบบุหรี่อยู่เงียบ ๆ ก่อนจะยิ้มน้อย ๆ เมื่อสัมผัสถึงสายลมพัดวูบใหญ่ พร้อมบรรยากาศชวนเสียวสันหลังวาบตามมา
“ไม่ได้เจอกันนานนะนายกริช... เกิดอะไรขึ้น ถึงได้ยอมอยู่ห่างหลานสุดที่รักของนาย แล้วแวะมาหาฉันถึงบ้านได้แบบนี้ล่ะ...หรือจะเปลี่ยนใจขอให้ฉันหาวิธีส่งให้นายสู่สุคติ หมดเวรหมดกรรมกับเขาบ้างสักที หือ?”
ชายวัยกลางคนเอ่ยถามด้วยใบหน้ายิ้มแย้มอารมณ์ดี หากแต่วิญญาณหนุ่มนั้นกลับมีสีหน้าเคร่งเครียด
แล้วบอกออกไปอย่างขุ่นเคือง
“ทำไมตุลมีอาการเหมือนตอนนั้นได้... อายุขัยเขาควรจะเหลืออีกหลายสิบปีไม่ใช่หรือไง!”
คนฟังเลิกคิ้วน้อย ๆ ก่อนจะอมยิ้มเมื่อรู้ถึงสาเหตุที่ทำให้อีกฝ่ายรีบแจ้นมาหาเขาอย่างเดือดดาลเช่นนี้
“ฉันก็เคยบอกนายเมื่อสิบปีก่อนแล้วนะกริช ว่าอวิชาพวกนี้น่ะ มันมีผลข้างเคียงหรือผลกระทบมากมาย ...
จริงอยู่อายุขัยที่ว่า มันควรจะเหลือหลายสิบปีก็จริง แต่นั่นหมายถึงมันอยู่กับเจ้าของที่แท้จริง ...ไม่ใช่ได้รับการถ่ายเทหรือยกให้แบบที่หลานนายมีอยู่”
กริชกัดฟันกรอด เขานิ่งเงียบไปสักพัก แล้วจึงเอ่ยต่อ
“แล้วมีวิธีช่วยเหลืออะไรเขาได้บ้าง...ถ้าฉันทำได้ ฉันยินดีทำทุกอย่าง”
“แม้แต่ฉันจะบอกว่า ให้เอาวิญญาณนายไปใช้ จนนายจะต้องสลายไปตลอดกาลอย่างนั้นหรือ”
ชายอีกคนแทรกขัดขึ้น แต่ก็ต้องถอนหายใจยาว เมื่อเห็นสีหน้าจริงจังเช่นนั้นแทนคำตอบ
“ปล่อยวางได้แล้วกริช ...มนุษย์น่ะ ถ้าถึงที่ตายก็ต้องตาย หลานของนายใช้ชีวิตต่อมาจากที่ควรดับสูญมาแล้วสิบปี เท่านั้นมันก็มากพออยู่แล้ว”
“แต่ตุลยังเด็ก! เขายังควรได้สนุกกับชีวิตให้มากกว่านี้!”
กริชขัดขึ้น ทำให้คนฟังสั่นศีรษะอย่างระอา
“สำหรับนายต่อให้ผ่านไป จนหลานของนายมีผมหงอกขาวโพลน นายก็คงหาเรื่องมาอ้างได้เรื่อย ๆ ... ยอมรับเถอะกริช ชะตาชีวิตของแต่ละคนน่ะถูกขีดเส้นมาแล้ว พวกเราทำยังไงก็หนีความตายไม่พ้นหรอก แม้แต่ฉัน
สักวันก็ต้องตายเหมือนกัน”
วิญญาณของชายหนุ่มนิ่งอึ้ง เขากำมือของตัวเองแน่น แล้วถามเสียงแผ่ว
“หมายความว่านายไม่มีวิธีที่จะช่วยตุลใช่ไหม ...ถ้าอยากนั้นบอกได้ไหมว่าเขาจะอยู่ได้อีกกี่ปี”
ชายวัยกลางคนเงียบไปสักพัก รู้สึกสงสารอดีตเพื่อนเก่า เขาจึงถอนหายใจออกมาเบา ๆ แล้วเปรยขึ้น
“เรื่องแบบนี้บอกเลยไม่ได้หรอก ถึงจะเห็นว่าเหมือนจะอายุขัยกำลังจะดับสูญ แต่บางทีอาจจะไม่เป็นแบบที่แสดงให้เห็นเสมอไปก็ได้ มันเกี่ยวพันกับหลายอย่าง ต้องไปดูด้วยตาตัวเองถึงจะบอกได้”
กริชชะงัก เริ่มรู้สึกมีความหวังขึ้นมาจนฉายออกทางสีหน้าให้อีกคนเห็น ชายวัยกลางคนยิ้มแย้มน้อย ๆ แล้วจึงเอ่ยต่อ
“พรุ่งนี้ฉันจะไปดูให้ นายก็บอกหลานนายล่วงหน้าแล้วกัน เขาจะได้ไม่คิดว่าฉันเป็นโจรไปปล้นบ้าน”
“ได้สิ ฉันจะบอกตุลไว้ให้ ... ขอบใจนายมากนะอธิป”
กริชบอกขอบคุณกับเพื่อนต่างวัย ที่เขารู้จักและคบหามาตั้งแต่สมัยมีชีวิต อีกฝ่ายคอยช่วยให้ข้อมูลด้านผีสางและไสยศาสตร์ต่าง ๆ ยามเมื่อกริชเขียนนิยาย ด้วยเพราะเจ้าตัวมีความรู้และได้รับการถ่ายทอดเรื่องทางนี้ผ่านบรรพบุรุษที่ทำอาชีพหมอผีกันมาช้านานตั้งแต่สมัยก่อน
และการที่กริชต้องมาเสียชีวิตก่อนวัยอันควร ก็เพราะการตัดสินใจของเขาที่ให้อธิปช่วยใช้อายุขัยของเขาไปต่อชีวิตให้กับตุลาผู้เป็นหลาน แม้จะได้รับการคัดค้านอย่างหนักจากอธิปก่อนหน้านั้นก็ตาม แต่สุดท้ายเพราะทนที่กริชก้มหัวขอร้องจนถึงกระทั่งขู่ว่าจะฆ่าตัวตายตามหลานไม่ไหว อธิปจึงจัดการดำเนินพิธีกรรมให้
เพราะคิดว่าช่วยไว้สักหนึ่งชีวิต ก็ยังดีกว่าต้องเสียถึงสองชีวิตในครั้งนั้น
แน่นอนว่าการตายแบบผิดธรรมชาติ จึงทำให้วิญญาณของกริชไม่ได้รับการปลดปล่อยให้ไปสู่ภพภูมิ อย่างที่ควรจะเป็น แต่ชายหนุ่มก็ไม่เคยนึกเดือดร้อนแต่อย่างใด และยังพอใจอย่างมาก ที่ได้มีโอกาสคอยดูแลปกป้องช่วยเหลือหลานชายของตัวเองมาตลอด โดยอธิปที่เฝ้ามองอาหลานคู่นี้อยู่ห่าง ๆ นั้น ได้แต่ภาวนาว่า สักวันหนึ่ง กริชนั้นจะได้พบกับปลายทางสุดท้ายของชีวิตอันถูกต้องเหมาะสมสักที
บทที่ 10
เช้าวันรุ่งขึ้น ตุลาก็ได้รับฟังข้อความจากอาของตนสั้น ๆ ว่าจะมีคนรู้จักมาเยี่ยม และแม้อีกฝ่ายจะอ้างว่าเป็นเพื่อนสนิทของกริช แถมยังเอ่ยทักทายเขาอย่างสนิทสนมทันทีที่เห็นหน้า แต่ตุลาเองนั้นมองยังไงก็นึกไม่ออกว่าเคยเจอกับชายผู้นี้มาก่อนตั้งแต่เมื่อไหร่ อีกฝ่ายเป็นหนุ่มใหญ่หน้าตาคมเข้ม แต่มีหนวดเคราขึ้นเขียวรกครึ้ม เขาสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวแขนยาว กางเกงผ้าสีดำเข้ารูป ตุลาคิดว่าถ้าเจ้าตัวใส่แว่นดำด้วยแล้ว ก็คงแลดูเหมือนพวกนักเลงโตได้เลยทีเดียว
“ไม่ได้เจอกันนานเชียวนะเจ้าหนู โตเป็นหนุ่มแล้วนี่ แถมเป็นหนุ่มหล่อไม่แพ้อาเธอเสียด้วยนะ”
อธิปกล่าวทักทายแล้วก็ต้องเลิกคิ้วเล็กน้อย เมื่อเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย
“จำฉันไม่ได้หรือไง เราเจอกันตอนเธออายุ 12 ยังไงล่ะ ...”
ชายวัยกลางคนเอ่ยค้างไว้แค่นั้น แล้วก็ต้องชะงักเหมือนนึกขึ้นได้
“อ้อ ๆ ขอโทษทีฉันเองก็ลืมไป ...ผลข้างเคียงของพิธีกรรมนั่น มันอาจทำให้ความทรงจำของเธอบางส่วนหายไปบ้าง อืม... ก็ไม่แปลกหรอกนะ”
“อธิป!”
เสียงของกริชดังขึ้น จากนั้นร่างโปร่งใสของชายหนุ่ม ก็ปรากฏกายขึ้นข้าง ๆ หลานชาย พร้อมกับจ้องอีกฝ่ายด้วยแววตาดุ ๆ
“เออ ๆ รู้แล้วน่า ฉันก็เผลอบ้างสิ...ถ้าอย่างนั้นเรามาว่าธุระกันเลยดีกว่า”
จากนั้นชายที่ชื่ออธิปก็ถือวิสาสะจับมือของตุลาขึ้นมาพลิกหน้าพลิกหลังดู ก่อนจะชะโงกหน้าเข้ามาใกล้ใบหน้าของชายหนุ่มจนน่าหวาดเสียว เขาขมวดคิ้วยุ่งเล็กน้อย แล้วจึงหันไปทางร่างโปร่งใสที่ยืนมองอย่างเป็นกังวล ก่อนจะหันมาบอกกับตุลาที่นั่งอึ้งอยู่
“อืม...เธอช่วยพาฉันเดินชมบ้านหน่อยสิ”
“อะ เอ๋ คะ...ครับ ได้ครับ”
ตุลารีบรับคำแม้จะงุนงงอยุ่บ้างก็ตาม ส่วนกริชนั้นยิ่งมีสีหน้ากังวลหนักขึ้น เมื่อเห็นเพื่อนยังไม่ยอมบอกในสิ่งที่เขาอยากรู้สักที
ตุลาเดินพาอธิปชมสวนนอกบ้านก่อนอันดับแรก พลางลุ้นว่าขออย่าให้พวกสาว ๆ ออกมาปรากฏกายให้อธิปเห็นเลย แม้จะแปลกใจว่าทำไมอธิปถึงรู้จักกริชในร่างวิญญาณได้ก็ตาม
“เป็นสถานที่น่าอยู่จังเลยนะ ...ในหลาย ๆ ด้านน่ะ”
อธิปหันมาบอกกับชายหนุ่มอายุน้อยกว่าตนแล้วยิ้มน้อย ๆ อย่างแฝงความนัยจนคนมองต้องกลืนน้ำลายลงคอ
“เป็นบ่อที่กว้างดีจังเลยนะ”
จู่ ๆ อีกฝายก็หยุดยืนแถวบ่อน้ำบ่อใหญ่ในสวน มองไปในบ่อตอนนี้ ก็เห็นเป็นปลาช่อนอเมซอนตัวโตกำลังว่ายหลบ ๆ อยู่ห่าง ๆ ทำให้ตุลาที่ตกใจในคำเอ่ยทักตอนแรกของอธิป เผลอยิ้มน้อย ๆ อย่างลืมตัว
“นี่รู้ไหมเจ้าหนู บ่อน้ำนี่นะ มันค่อนข้างต่างจากบ่อน้ำธรรมดาทั่วไปสักหน่อย”
คำพูดของอธิปทำให้ตุลาสะดุ้ง จากนั้นชายหนุ่มก็ดึงกลุ่มหญ้าแถวนั้นขึ้นมาเล็กน้อย แล้วจ่อแถวปาก
พลางพึมพำอะไรบางอย่างที่ตุลาฟังไม่ทัน
“ถ้าเป็นบ่อน้ำปกติ โยนหญ้านี้ลงไปจะไม่เกิดอะไรขึ้น ...แต่ถ้ามีภูตผีปีศาจสิงอยู่ มันจะกลับสภาพเป็นสีแดง แล้วเกิดความร้อนราวกับน้ำเดือดจนปีศาจตนนั้นอยู่ไม่ได้เลยทีเดียว...จะลองดูไหม”
ตุลาเบิกตากว้าง หันไปมองกริชที่ตามมาด้วย ก็เห็นอีกฝ่ายมีสีหน้าเคร่งเครียดไม่พูดไม่จา เขาหันกลับไปมองอธิป ก็เห็นว่าเจ้าตัวทำท่าจะปล่อยหญ้าในมือ ส่วนปลาช่อนอเมซอนในบ่อ ก็ว่ายพล่านไปมาอย่างตื่นตระหนก
“อย่านะครับ!”
ตุลารีบร้องห้าม เมื่อเห็นอีกฝ่ายปล่อยหญ้าลงไป เขาพุ่งไปหมายจะจับหญ้ากลุ่มนั้นไม่ให้ลงไปในบ่อ แต่ก็ต้องพลัดตกลงไปในบ่อตูมใหญ่จนเปียกปอนไปทั้งตัว ส่วนอธิปนั้นยืนอึ้งในทีแรก ก่อนจะระเบิดเสียงหัวเราะยกใหญ่ตามมา
“อธิป! นายมัน...”
กริชเตรียมจะเล่นงานเพื่อนที่หลอกหลานชายของเขาจนตกบ่อน้ำแบบนั้น แต่พอเห็นสีหน้าไม่รู้สึกรู้สา
ของอีกฝ่าย เขาก็ต้องกัดฟันกรอด แล้วจึงหันมาทางตุลาแทน
“ตุล! รีบขึ้นมา แล้วไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าซะ!”
สีหน้าเกรี้ยวกราดของผู้เป็นอาอย่างที่ไม่ค่อยได้เห็นนัก ทำให้ตุลาตกใจ ส่วนปิ่นสุดาในร่างปลาใหญ่เองก็เช่นกัน เพราะเธอจำสีหน้าแบบนี้ของชายหนุ่มได้ดี เมื่อสิบปีที่แล้วเหตุการณ์ก็คล้าย ๆ แบบนี้ แล้วกริชก็โกรธมากเหมือนเดิมเช่นกัน
“อาครับ...ผมไม่เป็นไรหรอกครับ”
ตุลาบอกขณะที่ยันกายขึ้นจากบ่อ แล้วมองไปทางอธิปด้วยสายตาตั้งคำถาม เพราะแม้หญ้ากลุ่มนั้นจะตกลงไปในบ่อแล้วก็ตาม แต่ก็ไม่เห็นเกิดอะไรขึ้นเลยสักนิด
“ฉันแหย่เล่นน่ะ ไม่คิดว่าเธอจะเชื่อ”
อธิปเฉลยทำให้ตุลาต้องขมวดคิ้วยุ่ง
“แต่แสดงว่าในบ่อนี้มีอะไรจริง ๆ ที่ทำให้เธอยอมให้หญ้าพวกนั้นหล่นลงไปไม่ได้สินะ”
คำถามที่ตามมาทำให้คนฟังสะดุ้ง แล้วมองหน้าคนถามเลิ่กลั่ก
“อธิป! นายจะทำอะไรกันแน่ บอกสิ่งที่ฉันต้องการรู้มาได้แล้ว!”
กริชขึ้นเสียงด้วยความโมโห แต่ชายวัยกลางคนนั้นยักไหล่แล้วจึงหันมาทางร่างโปร่งใสของชายหนุ่ม
“จะให้ฉันบอกจริง ๆ หรือ ต่อหน้าเด็กคนนี้นี่นะ”
กริชชะงักกึก เขาเหลือบมองตุลาที่ยืนจ้องมาทางตัวเองอย่างสงสัย แต่พอเห็นหลานชายหลุดจามเบา ๆ
ชายหนุ่มก็มีสีหน้าเปลี่ยนไป แล้วบังคับไล่ตุลาให้ไปเปลี่ยนเสื้อผ้าทันที
“อาบอกแล้วไงตุลว่าให้รีบไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า ถ้าป่วยหนักขึ้นมาอีกจะทำยังไง!”
“อากริช...แต่นั่นมันเมื่อก่อนนะครับ ตอนนี้ผมไม่ได้ร่างกายอ่อนแอเหมือนตอนเด็ก ๆ อีกแล้ว”
ตุลาเถียงกลับ ทำให้อีกฝ่ายนิ่งไป แล้วจึงมีสีหน้าเจ็บปวดจนตุลาตกใจ
“ตุล...อาขอร้องล่ะ ไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เช็ดผมให้เรียบร้อย ...อย่าประมาทกับเรื่องพวกนี้นักได้ไหม
อาอยากให้ตุลสดใส แข็งแรงตลอดไปแบบนี้เรื่อย ๆ ไม่อยากให้กลับไปเป็นเหมือนตอนเด็ก ๆ อีกแล้ว”
กริชขอร้องเสียงแผ่ว ทำให้คนฟังเม้มปากน้อย ๆ อย่างสำนึกผิด แล้วจึงยิ้มรับฟังแต่โดยดี
“ครับอา...ผมเข้าใจแล้ว งั้นสักพักผมจะมาใหม่นะครับ ...เอ่อ เชิญคุณอธิปเดินสำรวจบ้านไปก่อนได้ตามสบายเลยนะครับ”
“อื้อ! ได้ เดี๋ยวให้หมอนี่เป็นไกด์แทนเอง”
อธิปบอกอย่างยิ้มแย้ม แล้วไล่มองตามแผ่นหลังของชายหนุ่มที่อายุน้อยกว่าเขาเกือบรอบ อย่างเอ็นดูแกมเวทนา
“เขาดูเข้มแข็งกว่าที่นายคิดนะกริช ...ถึงแม้วันนั้นเขาจะรู้ว่าตัวเองจะตาย และอาจจะนึกกลัวบ้าง แต่ถ้าให้
เขาเลือก ฉันว่าเขาจะไม่มีวันเลือกแบบที่นายเลือกแน่นอน”
ชายวัยกลางคนหันมาบอกกับกริชที่นิ่งเงียบไปสักพัก แต่ก็ยังคงจ้องหน้าอีกฝ่ายนิ่งแล้วย้ำถามในสิ่งที่ตนเองสงสัย
“บอกเรื่องที่ฉันอยากรู้มาได้แล้ว”
“เฮ้ ๆ อย่ารีบร้อนนักสิ ขอเดินดูให้ทั่วบ้านก่อน ...ตอนนี้รู้แค่ครึ่ง ๆ เอง แต่ถ้าสำรวจหมด ก็คงบอกได้”
คำตอบของอธิปทำให้กริชชะงัก แล้วจึงหวนคิดถึงบางสิ่งบางอย่างขึ้นมาได้
“นายจะบอกว่าอาการของตุลน่าจะเกี่ยวข้องกับคฤหาสน์หลังนี้ด้วย?”
“อือฮึ ...คิดว่างั้น”
อธิปตอบแบบเผื่อ ๆ ทำให้คนฟังนิ่งเงียบ แล้วจึงเหม่อมองไปยังทิศที่ตั้งของห้องหลานชาย แล้วพึมพำแผ่วเบา
“ถ้ามีวิธีช่วยให้ตุลอยู่ต่อได้อีกก็คงดี”
ทางด้านอธิปมองเพื่อนต่างวัยของเขาอย่างนึกเวทนา แล้วจึงมองไปรอบ ๆ อย่างช้า ๆ
“อืม...มิน่าล่ะ เป็นที่ดินที่พิเศษจริง ๆ ...อ้อ สาวน้อย ไม่ต้องกลัวฉันแบบนั้นหรอกน่า แล้วก็ไม่ต้องซ่อนร่างไว้หรอก ร่างจริง ๆ ของเธอน่ารักกว่าร่างเจ้าปลานี่ตั้งเยอะ”
ท้ายประโยคอธิปหันไปพูดกับปลาในบ่อเสียงดัง ทำให้ร่างนั้นสะดุ้ง แล้วจึงค่อย ๆ กลับคืนสู่ร่างเงือกเหมือนเดิม
“คุณเห็นร่างจริงฉันด้วยหรือคะ?”
ปิ่นสุดาโผล่พ้นมาจากผิวน้ำ เอ่ยถามอย่างกึ่งกล้ากึ่งกลัว ซึ่งอธิปก็ยิ้มน้อย ๆ แล้วตอบตรง ๆ
“หญ้าเมื่อครู่นี้ ถ้าฉันปลุกเสกจริง ๆ ก็จะออกฤทธิ์แบบที่ฉันบอกเจ้าหนูตุลนั่นไปล่ะนะ แต่สำหรับเงือกสาวน่ารัก ๆ ที่ไม่เป็นอันตรายต่อมนุษย์อย่างเธอ ฉันทำแบบนั้นไม่ลงหรอก”
อธิปบอกแล้วยักคิ้วให้พร้อมรอยยิ้มกระเซ้า ทำเอาปิ่นสุดาหน้าแดงแล้วรีบหลบไปอยู่ใต้บ่อของเธอ
“อย่ามัวแต่เล่นอยู่ จะเดินสำรวจไม่ใช่หรือไง รีบ ๆ เข้าสิ!”
กริชบอกอย่างร้อนใจ ทำให้คนฟังหัวเราะเบา ๆ
“ไม่เปลี่ยนเลยนะ พอเป็นเรื่องหลานนี่ได้เป็นแบบนี้ทุกที เอ้า ๆ ไม่ต้องทำตาดุแบบนั้น งั้นฉันไปสำรวจดู
ให้ก็ได้”
บอกแล้วอธิปก็เดินเรื่อย ๆ ไปรอบสวน และพอผ่านซุ้มราตรี เขาก็แหงนมองไปที่บนซุ้มแล้วยักคิ้วทักทายวิญญาณสาวที่ปกปิดซ่อนตัวเองไม่แสดงตัวตนออกไป เพราะเกรงว่าจะทำให้ตุลาเดือดร้อน
“สวัสดีสาวสวย แหม เจ้าหนูตุลนี่ช่างโชคดีจริงนะ แวดล้อมไปด้วยวิญญาณและภูตผีสวย ๆ มองแล้วเจริญตาจริง ๆ”
ราตรีสะดุ้งเฮือก ที่อีกฝ่ายมองร่างวิญญาณของเธอเห็น หญิงสาวลอยมาอยู่เบื้องหน้าของอีกฝ่าย แล้วมอง
จ้องเขม็ง
“คุณเป็นใคร...ฉันสัมผัสได้ถึงพลังไสยเวทย์จากคุณ ...อย่าบอกนะว่าจะมาปราบพวกเรา”
“เขาเป็นเพื่อนฉันเองราตรี ถึงจะเป็นหมอผี แต่ก็ไม่มีอันตรายอะไรนักหรอก”
กริชเอ่ยขัดขึ้น ซึ่งพอได้รับการรับรองจากกริช ก็ทำให้ผีสาวยอมเปิดทางให้อีกฝ่ายผ่านไป แม้จะยังคงระแวดระวังอยู่มากก็ตาม
“อืม ...ตำแหน่งนี้มัน”
อธิปเงยหน้าขึ้นไปมองยังระเบียงห้อง ซึ่งปัจจุบันนั้นเป็นห้องพักของตุลานั่นเอง
“มิน่าล่ะนะ...เอาล่ะ ไปเดินสำรวจในบ้านกันแทนเหอะ”
อธิปพึมพำแล้วจึงหันกลับมาชวนกริชเข้าไปในคฤหาสน์ ซึ่งวิญญาณหนุ่มก็พยักหน้าแล้วตามไป เพราะอยากทราบเรื่องที่ต้องการโดยไว
พอเข้ามาในเขตคฤหาสน์ อธิปก็ต้องเผชิญหน้ากับพาทิศที่กำลังเตรียมอาหารกลางวันให้กับตุลาตามปกติ
“มีแขกมาเพิ่มหรือครับคุณกริช”
พาทิศหันไปถามกริช ดูไม่ค่อยแปลกใจสักนิดที่เห็นอีกฝ่ายเดินมาด้วยกัน
“อือ แต่อยู่สักพักก็จะไปแล้ว ไม่ต้องเตรียมอะไรให้กินหรอก”
กริชบอกตัดบท แต่อธิปกลับหันไปมองเพื่อนตาปริบ ๆ
“มากไป ๆ ค่าจ้างก็ไม่ได้ แล้วยังไม่มีน้ำใจเลี้ยงดูปูเสื่ออีก ...อืม ถ้าไม่ลำบากนัก ผมขอทานข้าวกลางวันที่นี่ด้วยคนแล้วกันนะครับ”
พาทิศยิ้มให้กับคำพูดของอีกฝ่าย แล้วจึงพยักหน้ารับ
“ไม่มีปัญหาครับ งั้นเดี๋ยวผมเตรียมอาหารเพิ่มให้อีกชุดแล้วกัน”
จากนั้นซอมบี้หนุ่มก็ขอตัวไปเตรียมอาหารต่อ ด้านอธิปมองตามไล่หลังอีกฝ่ายไป พร้อมกับยิ้มน้อย ๆ
อย่างชื่นชม
“เป็นผีดิบร่างสมบูรณ์ แถมยังมีวิญญาณอีก ไม่ค่อยได้เห็นแบบนี้เท่าไรเลยนะ เชื่อแล้วว่าที่นี่อาถรรพ์แรง
จริง ๆ ไม่งั้นคงไม่สามารถคงสภาพอยู่แบบนี้ได้ตลอด แม้เวลากลางวันก็ตามหรอก...”
อธิปพึมพำกับตัวเอง แล้วก็ต้องสะดุ้งเมื่อได้ยินเสียงแมวร้อง พร้อมกับมีแมวสองหางกระโจนจากระเบียงชั้นสอง ลงมาหาเขา
“นี่ลุง! นายเป็นใครกันแน่ ทำไมถึงรู้เรื่องพาทิศไม่ใช่คนได้!”
เพราะแอบฟังและแอบดูอยู่อย่างสนใจมาได้สักพัก ทำให้รุ้งพรายได้ยินสิ่งที่อธิปบอกอย่างชัดเจน แม้ว่าจะอยู่ห่างกันไปไกลหลายเมตรก็ตาม
“หืม? ปีศาจแมว? แหม…บ้านนี้มันช่างครึกครื้นดีแท้ น่าย้ายมาอยู่ที่นี่จริง ๆ แฮะ ...นายว่าไงกริช คิดว่าหลานนายจะยอมแบ่งห้องพัก ให้ฉันไหม?”
“อธิป...”
กริชเอ่ยชื่ออีกฝ่ายด้วยสีหน้าและน้ำเสียงที่เริ่มหงุดหงิด เพราะดูเหมือนชายหนุ่มจะดูเอื่อยเฉื่อย และไม่ค่อยสนใจเรื่องของหลานชายเขาเท่าใดนัก
“น่า ๆ นายจะร้อนรนไปให้มันเกิดอะไรขึ้น ถ้าช่วยไม่ได้ จะรีบยังไงก็ช่วยไม่ได้ ...แต่ถ้าไม่รีบไม่ร้อน บางทีมันอาจจะเป็นแค่ปัญหาเส้นผมบังภูเขา ที่เรามองผ่านไปโดยไม่ได้สังเกตก็ได้นะ”
กริชชะงักแล้วจึงเงียบไป ถึงแม้จะหงุดหงิด แต่ก็ทำอะไรไม่ได้นอกจากรออธิปเท่านั้น
“นี่ลุง! ลุงยังไม่ตอบคำถามฉันเลยนะ!”
รุ้งพรายขู่ฟ่อตามมา เพราะโดนเมินไม่สนใจ ทำให้อธิปหันกลับมามอง แล้วยิ้มให้อีกฝ่ายอย่างเอ็นดู
“ฉันน่ะอายุน้อยกว่าเธออีกนะ แม่เหมียว มาเรียกว่าลุงแบบนี้ ฉันก็เสียหายหมดสิ”
“ก็หน้าแก่นี่ เรียกลุงก็เหมาะแล้ว!”
รุ้งพรายบอกแล้วค้อนขวับ ทำให้อธิปหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี
“เออนะ ก็ถูกของเธอ เอาล่ะ ฉันจะตอบคำถามเธอก่อน จะได้ไปสำรวจบ้านต่อ ไม่งั้นมีหวังหมอนี่คงหงุดหงิดใส่ฉันไม่เลิกแน่”
จากนั้นอธิปก็ทรุดนั่งลงแล้วเอื้อมมือไปจับศีรษะของแมวสาวแผ่วเบา ทว่าพออีกฝ่ายสัมผัส รุ้งพรายก็ขนลุกซู่ แล้วกระโดดหลบออกมาทันที
“นายเป็นหมอผี!”
“ถูกต้อง สมแล้วที่อยู่มานาน ประสาทสัมผัสคมกริบใช้ได้”
อธิปบอกยิ้ม ๆ แล้วก็ต้องถอนหายใจเบา ๆ เมื่อเห็นท่าทางกลัวจนตัวสั่นของแมวสาวตรงหน้า
“ไม่ต้องกลัวหรอก ฉันเป็นเพื่อนกับหมอนี่ แล้วที่มาที่นี่ก็แค่มาดูอาการของหลานชายเขาก็แค่นั้น”
“อธิป ไม่จำเป็นต้องพูดมาก ไปได้แล้ว!”
กริชขัดขึ้น เพราะไม่อยากให้รุ้งพรายรู้เรื่อง เนื่องจากกลัวว่าจะทำให้ตุลาพลอยรู้ถึงเรื่องนี้ไปด้วย
“รุ้ง...มาช่วยฉันในครัวหน่อย ส่วนทางนั้นปล่อยพวกเขาไปเหอะ อย่าไปกวนเขานักเลย”
เสียงของพาทิศตะโกนขัดมาจากมุมครัว ทำให้รุ้งพรายที่เตรียมซักถามด้วยความสงสัยสะดุ้งโหยง ปีศาจแมวสาวลังเล ก่อนจะทำเสียงฮึในลำคอ แล้วจึงสะบัดหน้าเดินตรงไปที่ครัว ตามที่เพื่อนชายเรียก
อธิปนั้นมองตามร่างของปีศาจแมวสาวไป เขาหัวเราะเบา ๆ แล้วจึงหันมาทางกริช
“เอาล่ะ คราวนี้ไปห้องนอนของหลานชายนายเลยแล้วกัน”
กริชขมวดคิ้วยุ่ง แต่ก็ยังทำตามที่อีกฝ่ายบอก เขาพาอธิปมาที่ห้องซึ่งตุลาพักอยู่ และพอเดินมาถึง ประตูห้อง
ก็เปิดออกมาพอดี
“อะ...อ้าว ผมกำลังจะลงไปหาพอดีเลยครับ ...มีอะไรหรือเปล่าครับ?”
ตุลาถามอย่างสงสัย ซึ่งอธิปก็ยิ้มแล้วตอบกลับ
“พวกเราก็มีธุระกับห้องของเธอพอดีนั่นล่ะ” คนฟังขมวดคิ้วยุ่งอย่างงุนงงแต่ก็ยังคงปล่อยให้ทั้งคู่เข้ามาในห้องของตัวเองทางด้านอธิปพอก้าวเท้าเข้ามาในห้องของชายหนุ่ม ไม่กี่ก้าว เขาก็มองไปรอบ ๆพลางยกยิ้มน้อย ๆ แล้วหันไปบอกกับกริช “ถ้านายปล่อยให้เขานอนห้องนี้ต่ออีกสักอาทิตย์ นายคงได้เขามาอยู่ร่วมเป็นก๊วนผีกับพวกนายไปแล้วล่ะ กริชเอ๋ย”
|