แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย vboy เมื่อ 2013-10-24 11:34
สายลมพัดผ่านต้นไผ่ไหวเอนเสียดสีกันเอียดอ๊าด ดังผ่านเข้ามาทางหน้าต่าง ทำให้ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมากลางดึก แสงจันทร์สาดส่องเป็นเงารางๆ เด็กหนุ่มกับเด็กน้อยทั้ง 2 คนยังคงนอนหลับสนิท ขนาบข้างผมอยู่ ไอ้ตัวเล็กนี่ก็นอนแหกแข่งแหกขาได้ใจจริงๆ เห็นไอ้ตัวเล็กมันแบบนี้ มันทำให้ผมก็รู้สึกทนไม่ไหว ผมต้องปลดปล่อยอะไรออกมา จะอยู่เฉยๆแบบนี้ไม่ได้ แต่ไม่สามารถ มันจะต้องปล่อยออกข้างนอกอย่างเดียว จะปล่อยข้างในไม่ได้ เพราะข้างในมันไม่มี จริงๆแล้วในตอนนี้ผมรู้สึกปวดฉี่มาก ห้องน้ำในบ้านก็ไม่มี ห้องน้ำที่นี่อยู่นอกตัวบ้าน ถ้าผมจะฉี่ผมต้องออกไปนอกบ้าน ถ้าปล่อยข้างในนี้มันไม่ดีแน่นอน ผมเลยไม่สามารถปล่อยออกข้างในได้ (ผมแค่อยากจะเล่าว่า ผมตื่นมากลางดึกเพราะปวดฉี่ แค่นี้แหละ เล่าซะยาวเลย...เนอะ..!!!) ผมจึงต้องมุดมุ้งออกมาด้วยเสียงอันเบาที่สุด ด้วยความเกรงใจไม่อยากทำอะไรให้เสียงมันดัง ถ้าผมจะออกหลังบ้านผมต้องเดินผ่านมุ่งของพี่สมรกะน้าชู ก็กลัวเขาจะตื่น ผมเลยตัดสินใจออกมาหน้าบ้าน นอกชานบ้าน ทำไมมันช่างมืดได้ขนาดนี้ ถ้าเป็นกรุงเทพไม่มีวันมืดเป็นอันขาด อย่างน้อยก็ยังมีไฟถนน แต่ที่นี่ไม่มีไฟอะไรซักอย่าง นอกจากแสงจันทร์ ที่ยังพอนำทางผมไปสู่ห้องน้ำได้ พอเข้าห้องน้ำเสร็จความรู้สึกโล่งที่ได้ปลดปล่อยนี่มันมีความสุขจริงๆ พอฉี่เสร็จความคิดพิเรนมันก็ผุดขึ้นมาในสมอง ผมอยากเดินแก้ผ้าอาบแสงจันทร์ กลางลานหน้าบ้าน ทามกลางต้นไม้ใบหญ้า ดังนั้นผมจึงถอดกางเกงมาถือไว้ เดินกางขาแก่วงหำตัวเองไปทางคอกวัว (ของข้าก็ใหญ่ไม่แพ้ใคร จะแพ้ก็แต่เอ็งแหละว๊ะ ไอ้เจ้าวัว..) ผมได้ยินเสียงแกกๆมาจากบนบ้าน ผมเลยต้องรีบวิ่งไข่แกว่งเข้ามาใต้ถุนบ้านอย่างเร็วที่สุด แล้วใส่กางเกง ทันที ทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้ เดินขึ้นระเบียงบ้านมา แล้วเดินเข้ามาในบ้าน น้าชูเอาไฟฉายส่องออกมาจากในมุ่ง ผมเลยรีบบอก “ผมเองครับ...ไปห้องน้ำมา” น้าชูเลยว่า“อ่าว...นึกว่าใคร” ผมเลยต้องรีบมุดเข้าไปในมุ้งนอนต่อ วันที่ 4 ความลับ ผมตื่นมาพร้อมกับแสงไปนิออนกลางบ้าน น้าชูกับพี่สมร เตรียมจัดข้าวของจะไปวัด ดูบรรยากาศออกไปทางหน้าต่างฟ้ายังมืดอยู่ ก็คงหน้าจะประมาณซักตี4 ตี5 เจ้าอ้นกะเจ้าน้องอาร์มยังนอนหลับสนิท มันเป็นหลักแห่งอภิมหาสากลโลกที่ตอนเช้าตื่นมาต้องกระเจี๊ยวโด่ ถ้าไม่โด่ถือว่ามีความผิดปกติทางเพศต้องรีบหาทางแก้ไข เช่นเดียวกับเจ้าน้อง 2 คนที่นอนข้างผม โด่ทิ่มออกมา กางเกงแทบจะปริขาด ของผมเองก็โด่สู้ไม่แพ้เจ้า 2 คนนี่ มือขวาผมใช้3นิ้วปั่นกระเจี๊ยวของเจ้าอาร์ม มือซ้ายผมใช้มือกำชักของเจ้าอ้น ใช้มือชักได้ไม่เท่าไหร่เจ้าอ้นมันก็ตื่นยกเข่าดันมือผมออกจากกระเจี๊ยวมันแล้วนอนพลิกตะแคงหันหลังให้ผม ผมเลยหันมาเล่นกระเจี๊ยวเจ้าน้องอาร์มที่ยังหลับสนิทอยู่ ผมสอดมือเข้าไปในกางเกง แม้มปากใช้มือปั่นกระเจี๊ยวเจ้าอาร์มด้วยความหมั่นเขี้ยว เจ้าน้องอาร์มันก็ตื่นบิดขึ้เกียดแอ่นเอวรับการปั่นกระเจี๊ยวมันจากผม แล้วมันก็พลิกตัวมาเอามือกอดเอาขาก่ายผม โดยที่มันไม่ได้สนใจมือผมที่ปั่นกระเจี๊ยวมันอยู่ จากนั้นก็มีเสียงปลุกจากน้าชู “อ้าว...ตื่นๆๆๆๆ...ไปวัดกัน..ไปวัดกัน...” ผมเลยต้องรีบลุกขึ้นนั่งแล้วปลุกเจ้า 2 คนนี้ ผมต้องนั่งอยู่ในมุ้งซักพัก เพื่อให้ไอ้สิ่งที่อยู่ในกางเกงผมสงบลงซะก่อน ไม่งั้นขืนเดินออกไปทั้งอย่างงี้ มันจะชี้หน้าใครต่อใครชวนทะเลาะเค้าไปทั่ว แล้วพวกเราก็ลงมาทำธุระส่วนตัว อาบน้ำอาบท่า แกล้งเจ้าอาร์มมันเล่นชวนเจ้าอ้นมันคุย เจ้าอ้นมันก็พยายามมองหน้าผม ผมก็ทำเป็นไม่รู้ไม่ชึ้ ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเมื่อคืนนี้ ที่ทำน้ำมันแตกคาปากผม ทำตัวตามปกติ แล้วก็ขึ้นมาเปลี่ยนเครื่องแต่งตัว กินอะไรรองท้องคนละนิดละหน่อยแล้วพวกเราก็ออกเดินทางไปทำบุญที่วัดกัน วัดนี้ก็อยู่เลยออกไปจากตลาดปากคลอง ที่ผมเคยมาซื้อของกัน วัดนี้ก็เป็นวัดธรรมดาๆในชนบท ก็มีชาวบ้านมาร่วมทำบุญกันมากมาย แล้วผมก็เจอพวกน้องๆนักศึกษาก็มาทำบุญกันด้วย บริเวณวัดและรอบๆนอกวัดก็มีการจัดเต้นมีร้านอาหาร ข้าวของยังวางกันอยู่อย่างระเกะระกะ หลังจากทำกิจกรรมที่วัดกันเสร็จ เราก็เดินทางกลับมาที่โรงเรียน พร้อมๆกับพวกนักศึกษาและไอ้ชาติ วันนี้เราเริ่มงานก่อสร้างกันสายหน่อย แต่ก็เริ่มงานด้วยกับความอิ่มบุญ ผมชวนเจ้าอ้นให้มาช่วยงานที่โรงเรียนด้วย แต่มันก็ปฏิเสธ ผมก็ไม่ลดความพยายาม ตื้อมันจนมันใจอ่อนบอกผมว่าขอไปเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนเดี๋ยวมา ผมเลยตามมันไปด้วยเพื่อไปเก็บเสื้อผ้าที่ซักเอาไว้ และมันก็เป็นไปอย่างที่ผมคิด ผมไม่ได้กลับไปที่บ้านกับเจ้าอ้นแค่ 2 คน คือมันมีเจ้าน้องอาร์มที่เป็นเงาตามผม ตามมาด้วย ในที่สุดผมก็ลากเจ้าอ้นมาช่วยงานที่โรงเรียนได้ การก่อสร้างห้องน้ำนั้นเสร็จไปเกินกว่า70%แล้ว หลังคาเสร็จแล้วกำลังก่อกำแพงกั้นห้องน้ำเป็นห้องๆและมีบางห้องที่ช่างเขากำลังฉาบปูบ วันนี้เราช่วยงานทำห้องน้ำกันทั้งวันจนเย็น ครูใหญ่ขับรถเข้ามาดูงาน ไอ้ชาติก็เลยออกไปต้อนรับ ครูใหญ่ไม่ได้มาคนเดียว มีลูกสาวกะลูกชายมาด้วย ลูกชายที่วัยเดียวกับเจ้าอ้น พอเห็นเจ้าอ้นก็เลยเดินมาหา แล้วร้องทัก “เฮ้ย..ไอ้แหย!..มึงมาช่วยงานกะเค้าที่นี่ด้วยเหมือนกันหรอ” เจ้าอ้นก็ไม่ได้ตอบอะไรก็ได้แต่ยิ้มและมองหน้าแบบเจื่อนๆ แต่ผมดันมาสดุจที่คำพูด ที่ลูกครูใหญ่เรียกเจ้าอ้นว่า ไอ้..แหย.. คงเป็นเพราะความที่เป็นคนเงียบๆติ๋มๆไม่สนใจใครเจ้าอ้นมันเลยได้ฉายานี้กระมัง... จากความใกล้ชิดจากการสังเกตพฤติกรรมบุคลิกท่าทาง ของเจ้าอ้น มันเหมือนมีอะไรหลบซ้อน และปิดบังอยู่ ด้วยกับเซ้น!และสติปัญญาแบบจีเนียส (ที่แปลว่าอัจฉริยะอ่ะ แต่สะกดภาษาอังกิดไม่ถูก แล้วมันอัจฉริยะตรงไหนว๊ะกู สะกดไม่ถูกเนี่ย งงตัวเองเหมือนกัน) เอาเป็นว่า ผมรู้ว่าเจ้าอ้นเนี่ยไม่ใช่ผู้ชายเต็มร้อยเปอร์เซ็น มันมีเชื้ออยู่ แต่ไปในทิศทางไหนนั้นผมไม่แน่ใจ จะด้วยกับอะไรไม่ทราบ ครอบครัว สังคม สิ่งแวดล้อม ที่เป็นชนบท การยอมรับ มันเลยมีส่วนที่ทำให้เจ้าอ้น เป็นคนเงียบ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครและเก็บความรู้สึกของจิตใจที่แท้จริงเอาไว้ อีกอย่างหนึ่งที่เจ้าอ้นเริ่มที่จะสนิทกับผมเพราะเจ้าอ้นอาจจะมองเห็นอะไรในตัวผมเหมือนกับที่ผมมองเห็นอะไรในตัวมัน (ที่เขาเรียกว่า ผีย่อมมองเห็นผีด้วยกัน) วันนี้หัวหน้าโครงการ(ไอ้ชาติ)อนุญาตให้เลิกงานไวจะได้ไม่เหนื่อยมาก เพราะคืนนี้พวกเราจะไปเที่ยวงานวัดกัน ไอ้ชาติมันถามผมว่าจะไปเที่ยวงานวัดด้วยกันไหม ผมเลยบอกมันว่าผมจะไปกะน้าชูกะพี่สมร ไอ้ชาติมันก็เลยไม่ได้ว่าอะไร แต่ใจจริงผมอยากไปกะเจ้าอ้นมากกว่าแต่ก็มีเจ้าน้องอาร์มพ่วงท้ายไปด้วยแน่ๆพอตกเย็นผมก็ไปเตรียมตัวที่บ้านน้าชู น้าชูกะพี่สมรจะออกไปวัดกันก่อน ผมกะอ้นบอกกะน้าชูว่าจะไปกันค่ำๆรอคนเยอะหน่อยแล้วค่อยไป ใจจริงเราอยากจะแยกกันไปอยู่แล้ว จะได้เอารถไปคนละคัน เผื่อคืนนี้จะได้กลับดึกได้ เจ้าน้องอาร์มก็ไม่วายจะตามผม ไม่ยอมไปกะน้าชู พอใกล้ค่ำเราก็เอารถออก เราไปกันด้วยรถมอร์ไซต์คนแถวนี้ส่วนใหญ่จะมีมอร์ไซต์กันทุกหลัง ผมเป็นคนขับเจ้าอ้นซ้อน เจ้าอาร์มนั่งข้างหน้าผม แต่เราต้องไปเติมน้ำมันกันก่อน แถวนี้ไม่มีปั้มน้ำมัน เราเลี้ยวเข้าไปในบ้านของชาวบ้านหลังหนึ่ง ใต้ถุนบ้านเขาจะมีถังน้ำมัน เอาไว้ขาย เขาเรียกน้ำมันหลอด มีถังน้ำมัน มีที่หมุนปั้มดูดน้ำมันขึ้นมาที่หลอดแก้ว ที่หลอดแก้วจะมีขีดราคาบอก 20 50 100 ไม่ยักกะบอกปริมาณ ว่า 20 เนี่ยได้ปริมาณเท่าไหร่ แล้วก็มีสายยางปล่อยน้ำมันใส่ถังรถเรา
จากนั้นเราก็บึ่งรถไปที่งานวัด ฟ้าเริ่มมืด แสงสีเสียงของงานวัดสว่างราวกับตอนกลางวัน มหรสพดังสนั่นตั้งแต่ยังไปไม่ถึงวัด พอมาถึงมันช่างแตกต่างจากเมื่อเช้าที่มาทำบุญกัน งานนี้มีทั้งในวัดและบริเวณรอบนอกวัดแต่งานจะอยู่โดยรอบวัดซะส่วนใหญ่ ในวัดก็จะมีพวกงานปิดทองฝังลูกนิมิตอะไรอย่างงั้น งานใหญ่มากๆไม่นึกว่าวัดเล็กๆจะจัดงานได้ใหญ่ขนาดนี้ และคนก็เยอะมากด้วย ไม่รู้มาจากไหนกัน ผมก็พยายามจะเดินดูให้ทั่วรอบๆบริเวณงานก่อน แล้วค่อยมาเริ่มต้นว่าเราจะเริ่มกันที่จุดไหน ข้าวเย็นเราก็ไม่ได้กินกันมา ก็กะจะมาซัดกันที่นี่แหละ กองทัพเดินด้วยท้อง เราเลยเริ่มหาอะไรกินกันก่อน เจ้าอาร์มมันก็เดินจูงมือผมไม่ได้ปล่อยเลย ปากมันก็พูด มือมันก็ชี้โน้นชี้นี่ไปเรื่อย เราเริ่มกันที่ร้านก๋วยเตี๋ยว แล้วก็นั่งมองดูคนที่มาร่วมงาน และมองบริเวณโดยรอบ ก็มีชิงช้าสวรรค์ 2 วง มีรถไฟเหาะ แต่ก็ไม่ได้เหาะถึงขนาดของสวนสยามหรอกน๊ะ เหาะแค่พอสนุก มีรถบ้ำ หลังจากเรากินกันแล้วก็ไปเริ่มกันที่ชิงช้าสวรรค์ เป็นคำรีเควส( แปลว่าไรหว่า...? ) มาจากน้องอาร์ม และผมก็เห็นด้วย จะได้มองเห็นมุมสูงของบริเวณงานจากข้างบน มันก็ได้บรรยากาศที่แตกต่างไปอีกแบบ ราคาก็ไม่แพงเขาคิดแค่คนละ5บาท นั่งวน2รอบ
หลังจากลงจากชิงช้า เราก็ลงมาเล่นเกมส์เกือบทุกเกมส์ ไม่ว่าจะเป็นปาโป่ง ยิงปืนด้วยจุกก๊อก โยนห่วงครอบปากแก้ว โบว์ลิ่งลูกมะพร้าว ช้อนปลาทองด้วยที่ตักที่ทำจากกระดาษ ทุกกิจกรรมที่เราเล่น ก็จะมีการท้าทายกัน แข่งกัน คุยข่มกัน หยอกล้อกันอย่างสนุกสนาน ตอนที่เราเล่นรถบ้ำชนกันนี่สุดยอด บริเวณโดยรอบมันก็จะมีกลิ่นควันเหมือนกลิ่นอ๊อกเหล็ก เสียงดนตรีจะดังสนั่น จะมีดีเจจะคอยพูดยั่วยวนท้าทาย ผมกะเจ้าอ้นเล่นกันคนละคัน น้องอาร์มจะนั่งอยู่กับผมเขาไม่ให้เด็กเล่นคนเดียวเพราะมันอันตรายเกินไป ที่รถมันจะมีสายคล้องที่ไหล่2ข้างเพื่อเวลาชนกันแล้วจะได้ไม่กระเด็นตกนอกรถ ผมกะเจ้าอ้นนี่ซัดกันต็มที่ ยิ่งมีสาวๆมาอยู่ในก้วนด้วยนี่ ผมจะส่งซิกกะเจ้าอ้น ให้ชนแบบอัดก๊อบปี้หน้าหลัง กระเด็งกระเด็นกันมันส์มาก ดูท่าทางเจ้าอ้นจะมีความสุข รวมทั้งเจ้าอาร์มที่เกาะผมอยู่ไม่เคยห่าง หลังจากสนุกและเหนื่อยกันมาแล้วเราก็หาอะไรเล่นแบบซอฟๆ ยิ่งตอนนั่งช้อนปลาทองกัน เจ้าอาร์มก็จะมานั่งที่ตักผมอีก ก็มีแอบกอดแอบหอมแก้มมันไปบ้าง ซึ่งทุกสิ่งที่ผมทำก็จะอยู่ในสายตาของเจ้าอ้นมันตลอด
กิจกรรมเกมส์เล่นที่นี่ไม่แพงเลย เริ่มต้นที่ 5 บาท 10บาท แพงสุดก็ 20 บาท ระหว่างที่เราเล่นเกมส์กันก็จะหาของกินเล่นกันไปด้วย เพราะอยู่ในงานนี้เราคุยกันแบบธรรมดาไม่ได้ ต้องพูดกันแบบกึ่งตะโกน เพราะเสียงในงานนี้ดังมาก ทั้งเสียงเพลงเสียงดนตรี เสียงของโฆษกประกาศเชิญชวนต่างๆนาๆหลายเจ้า เราเลยต้องหาน้ำอัดลมดื่มกันแก้คอแห้ง ไม่ว่าจะเป็นสายไหม ข้าวโพดคั่ว ปลาหมึกย่างที่เอามาบดเป็นแผ่นยาวๆ มาจิ้มกับน้ำจิ้มที่มีถั่วลิสงป่นโรยอยู่ในถ้วยใบตองแห้ง แล้วเราก็มาเจอขนมที่หน้าสนใจ อยู่อย่างหนึ่ง หน้าร้านเขาเขียนว่าขนมโป๊งเหน่ง ผมเลยเดินเข้าไปดู มันเป็นลูกชิ้นเสียบอยู่ปลายไม้แท่งใหญ่แล้วเอามาชุบแป้งทอด พอสุกเหลืองเขาก็เอามาชุปแป้งแล้วก็เอาไปทอดซ้ำอีกที ทำอย่างนี้อยู่3-4ครั้ง จากขนาดตอนแรกลูกเท่าปิงปอง ชุปแล้วทอดซ้ำไปมาขนาดเท่าลูกเบสบอลได้(ใหญ่กว่าลูกเทนนิสหน่อยนึง) ขายอันละ 15บาทเอง รสชาดก็อร่อยดีเหมือนกินแป้งทอดน่ะแหละมาตบท้ายด้วยลูกชิ้นหมูด้านในสุด
|