แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย tanya เมื่อ 2014-12-4 09:20
คัดลอกมาครับ
-๓-
รู้แล้วล่ะ….
…สรุปง่ายๆสั้นๆก็คือ…ไอ้วันก็แค่ X-men เมืองไทยดีๆนี่เอง…
ผมยังไม่รู้หรอกครับว่านอกจากกลายร่างแล้ว‘นายทิวัน’ รุ่นพี่ของผมคนนี้ทำอะไรได้บ้าง…และถึงพอจะรู้มาบ้างว่าจระเข้มีขากรรไกรที่ยาวใหญ่และกว้างมาก มันแข็งแรงมากพอจะฆ่าอะไรก็ได้ด้วยแรงงับปากนั่น นอกเหนือจากนั้นก็เป็นผิวหนังแข็งๆ กับหางที่ฟาดทีแผ่นดินสะเทือน…
…เออ ผมจะจินตนาการไปทำซากอ้อยอะไรวะ คงไม่มีคนอย่างแมคนีโตโผล่มาหรอก
ตราบใดที่เขายังอยู่ใน ‘ร่างคน’ ก็คงไม่มีอะไรแบบนั้นให้เห็นง่ายๆ…จริงมั้ย?
“มึง เย็นนี้แดกหมูกระทะกันมะ?”
ผมมองไอ้โป๊ยด้วยสายตาเฉยเมยนัก
“มีเนื้อจระเข้ให้กูแดกมะ?”
“…..99 บาทมันจะมีมั้ยวะไอ้สัส! กินป่าว…กูจะได้ชวนคนอื่นด้วย”
“ไม่ล่ะ มึงไปกินกับคนอื่นไปๆ”
“แล้วทำไมอยากกินเนื้อจระเข้วะ?”
ผมเดาะลิ้น
“เปล๊า”
“โคตรมีพิรุธ”
“เออน่ะ!”
“เป็นเหี้ยไรเนี่ย”
“กูกำลังสำเหนียกตัวเองว่าเป็นแค่…มนุษย์ตัวเล็กๆในโลกที่กว้างใหญ่…..”
ผมงอแงแล้วไถหน้าไปกับโต๊ะตัวหนึ่งในหน้าคณะ โป๊ยถือโทรศัพท์คาไว้ท่าเดิมเมื่อเห็นผมปฏิเสธ…แหงอยู่แล้วครับ ปกติสำหรับผมเนี่ยเรื่องกินขอให้บอกเถอะ แต่วันนี้ไม่รู้เป็นอะไรท้องไส้มันปั่นป่วนไปหมด รู้สึกไม่ค่อยอยากอาหารเท่าไหร่
…สงสัยตื่นเต้นเกินไปกับเรื่องเมื่อคืน
“โป๊ย ไกร”ใครอีกคนตะโกนถาม ผมไม่ทันเงยหน้ามองหรอกครับ
“วรรณคดีมีกลุ่มยัง?”
ผมปล่อยให้โป๊ยเป็นคนตอบ “กลุ่มไร?”
“รายงานไงเจ้าบื้อ อยู่ด้วยกันมั้ย? กลุ่มเราขาดสองคน”
โป๊ยหันมามองผม ผมพยักหน้าให้มันเป็นคนตัดสินใจ..ซึ่งไม่ต้องเดาไกลเลยครับ พวกเราตกลงทันที…เวลาอยู่
กลุ่มเดียวกับสาวๆนี่สบายฮะ อ้าปากรับงานมาทำอย่างเดียวไม่ต้องเสียเวลามาถกเถียงตัดสินใจ ผมเชื่อว่าใครๆก็เป็น
แล้วในที่สุดเพื่อนรักของผมก็ถามโง่ๆออกมา
“วรรณคดีมีรายงานด้วยเหรอวะ?”
“เออเด่ะ ต้องเลือกหัวข้ออีก”ผมตอบอ้อแอ้
“น่าเบื่อจริง…”
“มึงไม่ตื่นเต้นเลยเหรอวะ?”
“ตื่นเต้นเหี้ยอะไร เบื่อหน้า’จารย์คงจะตายห่าล่ะเนี่ย!”
อีกฝ่ายกระพริบตาปริบๆ
“กลุ่มเดียวกะแก้วนะเว้ย”
“เฮ้ยจริงดิ!?!”
ผมลุกพรวดขึ้นมาทันที หูผึ่งหางกระดิกระริกระรี้มองตามไปที่ยัยแตงโม..ที่ตะโกนถามเรื่องกลุ่มกับผมเมื่อกี้
เห็นว่าแก้วยืนอยู่ด้วย…หล่อนหันมาหาผมพอดี แล้วยิ้มให้
…การโบกมือกลับทั้งร่างกายกำลังเหลวแป๋วแบบนี้ไร้สาระมากจริงๆครับ…
“โธ่….แม่นางฟ้าของพี่”
“ละเมอไรวะ? มึงอายุเท่าแก้วไม่ใช่เรอะ…”
“กูศึกษามา” ผมชักมือกลับมา หรี่ตาลูบเคราตัวเอง
“เวลาเรียกแทนตัวเองว่า‘พี่’ มันหล่อดีไง…”
กึก
แก้วน้ำปั่นแก้วนึงวางต๊อกไว้เบื้องหน้า ทั้งผมทั้งโป๊ยชะงัก เงยหน้ามอง
ร่างสูงยักคิ้วให้ผม..การกระทำแบบเดิมๆที่ทำให้ผมรู้สึกเหมือนมีรังมดคันไฟมาอยู่ในรองเท้า..แถมยังฉีกยิ้มหวานละไมบาดใจสาวๆ(แต่บังเอิญพวกที่อยู่ตรงนี้น่ะตัวผู้ทั้งน้าน)
ผมอ้าปากจะถามว่าอะไร อีกฝ่ายก็สวนก่อน
“พี่ซื้อมาฝาก”เขายิ้ม
“ตอบแทนเรื่องเมื่อคืน”
…แหม่ะ ทำมาใจดีเป็นสุภาพบุรุษ บอกเลยว่าไม่หลงกลซะหรอก!
“น้ำอะไร?”
“ใบบัวบก แก้ช้ำรัก”
…แม่งยังกวนตีนอีกครับ!
“ช้ำรักพ่อ………….”
ยังไม่ทันจะด่าให้จบประโยค มันก็สวนควับ
“น้ำฝรั่งครับ ดื่มให้อร่อยล่ะ…ห้ามทิ้งด้วย พี่อุตส่าห์ซื้อมาฝาก”
แล้วหมอนั่นก็เดินบิดตูดระริ่วจากไปประหนึ่งพระเอกMVเพลงก็มิปาน ผมมองตามไหล่กว้างๆนั่นจนกระทั่งเขาไปสมทบกับรุ่นพี่คนอื่นๆ แล้วก้มกลับมามองแก้วน้ำตรงหน้าอีกครั้งหนึ่งด้วยประโยคคำถามง่ายๆ
“เหี้ยไรวะเนี่ย…”
“กวนตีนนะไอ้สัส”
“เอ้า ก็พี่เค้าหล่อจริงๆ”
“ตรงไหน?”
“ถ้าไม่ติดว่าเค้ามีแฟนอยู่แล้วและมึงไม่ได้เป็นเกย์น่ะนะ กูเกือบคิดว่าเค้าจีบมึงล่ะสัส เอ้อ..แล้วตอบแทนเรื่อง
เมื่อคืนไร กูไม่เห็นรู้เรื่อง”
ไอ้โป๊ยใช้หน้าบื้อๆของมันจ้องผมด้วยแววตาอยากรู้อยากเห็นเต็มที่ แน่นอนผมหลบตา แสร้งทำเป็นจีบนิ้วหยิบแก้วน้ำพลาสติกนี่ขึ้นมาแล้วสนองมุขโคมเขียวนั่นเพื่อเบี่ยงประเด็น
“ค่าตัวกูเมื่อคืนมั้ง แหม”
…ก่อนจะลิ้มรสน้ำฝรั่งช้ำรักไปหนึ่ง……………..
พรูด!
รสเกลือแบบเต็มๆหลอดทะลักเข้าปากผมยิ่งกว่าน้ำเค็มในทะเลแถวเอเชียกลาง แถมไอ้เม็ดๆเล็กๆยังกระจายแผ่ซ่านทั่วทั้งปากจนผมสำลักออกมาราวๆสามครั้งเป็นจะได้ ไอ้โป๊ยเซียนก็รับกรรมไปเต็มๆครับทั้งน้ำฝรั่งทั้งเศษเกลือกระเด็นใส่หน้ามันแบบไม่มีสักหยดที่เสียเปล่า แต่ผมไม่มีเวลาจะมาขอโทษขอโพยอะไรมันนักหรอก…
ได้แต่แผดเสียงลั่นคณะ
“ไอ้พี่วัน!”
..ฆ่าจระเข้สักตัวแม่งคงบาปไม่มากหรอกใช่มั้ยล่ะครับ..!
“ทำไรมาวะเอ็ง”
นั่น…คือประโยคที่อาจารย์พูดกับลูกศิษย์ครับ
ผมถอนหายใจ
“ก็ทำงานให้’จารย์อยู่ไงก๊าบ”
“ไม่ใช่ว้อย เห็นท่าทางหงุดหงิดงุ่นง่านชอบกลว่ะ เป็น’ไร?”
อาจารย์คงใส่ใจนักศึกษาเสมอครับ แกยังคงนั่งเท้าคางสบายอารมณ์อยู่บนโซฟาตัวนิ๊มนิ่มแล้วปล่อยให้ผมนั่งหลังขดหลังแข็งอยู่หน้าจอคอมพิวเตอร์ พิมพ์งานต่อกๆๆตามที่แกสั่งทั้งๆที่เวลามันก็จะทุ่มแล้ว(เวลาเดิมเลยให้ตายเถอะโรบิน!)
…และไม่บอกก็รู้ตอนนี้แกกำลังอู้!
“เปล่าา” เกาแก้มหนึ่งที
“ช่วงนี้เจอแต่คนประหลาดฮะ’จารย์ เลยยังสับสนอยู่ว่า...บางที ผมอาจจะไม่ใช่มนุษย์ก็ได้”
อีกฝ่ายหรี่ตามองผ่านแว่นกรอบกลม
“ไหงคิดงั้นวะ? มีเขางอกออกมารึไง?”
“ไม่มีครับ!”
“อ้าว ก็เห็นว่า…”
“เมื่อคืนผมดู X-menย้อนทุกภาคน่ะครับ เลยคิดไปเรื่อย”
ผมหัวเราะ บอกปัดไป…เทคนิคการแถสดแถเปื่อยแถไฟไหม้ของมันนี่คือยอดวิทยายุทธ์จริงๆ
อีกฝ่ายดูไม่ติดใจเอาความอะไร แล้วก้มลงมองหนังสือในมือเพื่ออ่านออกเสียงให้ผมพิมพ์ต่อกๆๆอีกครั้ง..
และอีกครั้ง แกคงถามไปงั้นแหละ และผมก็ตอบๆไปงั้นแหละ จะมีสักกี่ร้อยกี่พันคนที่เชื่อว่าโลกเรามีสิ่งประหลาดอย่างเช่น..เอ่อ..จระเข้ที่กลายร่างเป็นมนุษย์ได้..จริงๆ
ศาสตราจารย์ ดร.คงเดช…หรือที่เราเรียกกันว่า ‘จารย์คง น่ะแหละ…เป็นชายวัยใกล้เกษียณ(มาหลายปีแล้ว)ที่พวกเราทุกคนในมหา’ลัยรู้จักกันดี แกมีบุคลิกที่ประหลาดจนใครๆก็จำได้ ตั้งแต่ผิวกร้านแดดจนแดงทั้งๆที่สอนวรรณคดีในห้องแอร์ เรือนผมเลื่อมเทายาวรุงรังมัดไว้รวกๆที่ท้ายทอย แว่นตาทรงกลม หนวดเคราหนาๆสั้นๆถูกจัดแต่งทรงอย่างดี ถ้าจะบอกว่าเป็นอาจารย์ที่อินดี้ก็ไม่แปลกใจ
เพราะบุคลิกนั้นแหละ..ถ้าคนที่กลัวแก ก็จะกลัวแบบหัวหดตดหาย เพราะแกชอบพูดติดตลกผสมคำหยาบทุกสามคำ เรียกแทนตัวว่า ‘ข้า’ กับ‘เอ็ง’ ด้วยสำเนียงประหนึ่งหลุดออกมาจากยุคสุโขทัยก็มิปาน(ผมว่าถ้าแกพูด‘กู’ กับ ‘มึง’ได้แกก็คงทำไปล่ะ) และเพราะความหยาบๆแบบนั้นเอง ถ้าเซี้ยวๆหน่อยก็จะรักแก แต่ถ้าติ๋มๆก็ดิ้นไม่พ้นความรำคาญ
สำหรับผม..ก็..เอ่อ..เหมือนจะไม่ใช่ทั้งสองอย่าง
อาจารย์คงปล่อยผมกลับทั้งที่งานยังไม่เสร็จดี แกบอกให้กลับดีๆระวังอันตราย…แถบนี้มันอันตราย
ย้ำอยู่นั่นแหละ ดูท่าจะเป็นห่วงผมจริงอะไรจริง ผมเองก็ไม่ปฏิเสธความหวังดีครับ เก็บของกลับเดินออกจากห้องในสิบวินาทีทีเดียว
“โว้ย ทีจะกลับน่ะเร็วจริงนะ…พอจะใช้งานเข้าหน่อยก็อิดออด”
แกโวยวายตามหลังมา
ผมไม่ทันใส่ใจ หันไปยกมือไหว้แกแล้วปิดประตูห้องพักอาจารย์ เพื่อหันมาเผชิญหน้ากับโถงทางเดินสลัวๆ
นี่อีกครั้ง..
ได้ยินเสียงฝนลางๆจากหน้าต่าง ฝนแม่งคงตกอีกล่ะ…อยู่ในห้องพักอาจารย์ไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยด้วยซ้ำ
เห็นโทรทัศน์ประกาศว่าพายุกำลังเข้า ช่วงนี้เลยจะตกทุกวัน…ท่าเรือข้ามฝากก็คงจะท่วมในไม่ช้านานนี้ละ ช่วงนี้ของทุกปีจะต้องมีคนมาเกณฑ์ให้ไปขนทรายกันน้ำครับ ผมก็ไปบ้างบางครั้งนะ ปีหลังๆนี้ชักแก่ล่ะไม่ไหว…
เออ ผมแค่จะบอกว่าความมืดและเสียงฝนแบบนี้ สถานการณ์แม่งโคตรเดจาวู
จึงได้ให้สัตย์สาบานกับตัวเองไว้ว่าไม่ว่าจะได้ยินเสียงอะไรออกมาก็จะไม่หันหลังกลับไปมองอีกเด็ดขาด!
“อ้าว ไกร”
ผมไม่ต้องหันหลังหรอกครับ…อีกฝ่ายแม่งยืนอยู่ตรงหน้าเลย!
ร่างสูงโปร่งยืนอยู่หน้าประตูทางเข้า..เขาไม่ได้หันมาทางผมทั้งตัวหรอก เพียงแต่หันศีรษะมาเท่านั้น…มือข้างหนึ่งหิ้วกระเป๋าสะพายปล่อยให้มันลากพื้น ส่วนอีกข้างก็ล้วงกระเป๋ากางเกง…ท่าทางสบายๆเหมือนไม่ได้จงใจจะรอผมอยู่หรอก และขอบอกว่าเก๊กเหมือนพระเอกซีรี่ย์เกาหลีฉิบหาย
…นี่เป็นแค่เรื่องบังเอิญ…ล่ะมั้ง?
และผมคงจะอ้าปากค้างยืนตัวแข็งนานไปหน่อยกระมังพี่ทิวันถึงได้หัวเราะก่อน จึงค่อยถามต่อ
“ทำอะไรอยู่น่ะ”
“เรื่องไรของพี่ล่ะ”
ผมสวนควับทันที อีกฝ่ายเลิกคิ้ว
“ยังเคืองเรื่องน้ำฝรั่งช้ำรักอยู่อีกเหรอ?”
“โว๊ะ! จะจำไว้แก้แค้นชาติหน้าเลยล่ะ บอกเลย!”
“เอาให้จริงน่ะ”
“….งั้นชาตินี้เลยล่ะกัน!”
ผมแยกเขี้ยวใส่เขา ชูกำปั้นขึ้นขู่..แน่นอนว่าไม่กล้าทำจริงหรอกครับ แต่ที่น่าหมั่นไส้ที่สุดก็คืออีกฝ่ายไม่ได้
หลบครับ แถมยังยักคิ้วข้างเดียวแบบที่มันชอบทำอีกด้วย!
“แล้วนี่ทำไรอยู่วะ?” ผมถามกลับบ้าง
“ทำไมยังไม่กลับ?”
“เรื่องอะไรของไกรล่ะ”
…ดู๊ว ดูมันย้อน!
“บ๊ะ! เออ ได้ จำไว้นะ”
“ล้อเล่นน่ะ”
“ไม่ต้องพูดแล้ว ไม่ได้อยากรู้!
“ฝนตกไง ไม่เห็นเหรอ?”
ผมเลิกคิ้ว
“อ้อ ‘มนุษย์กลายพันธุ์’ สินะ”
“ผิดแล้ว” คนตรงหน้าหันกลับออกไปมองสายฝนที่โปรยปรายนั่น
“…พี่ไม่ใช่มนุษย์”
…คำพูดที่เจ็บปวด…และน้ำเสียงที่เบาลง…
วูบหนึ่งที่ในอกมันร้อนๆ มันคือเสี้ยวกระแสที่เรียกว่า ‘ความรู้สึกผิด’เกาะกุมอยู่เต็มใจ…อย่างที่ผมหาเหตุผลมาอธิบายมันไม่ได้ เหมือนกับว่าคำพูดเมื่อครู่นั้น…จี้ใจดำ…อย่างจังเบอร์
ระหว่างที่ผมกำลังอ้อมแอ้มคิดหนักว่าจะเอ่ยอะไรดีอยู่นั่นแหละ อีกฝ่ายก็เปิดประเด็นใหม่
“เมื่อกี้ยังไม่ตอบคำถามพี่เลย ทำอะไรอยู่..ทำไมกลับค่ำจัง”
“ช่วยงานอาจารย์อ่ะ” ผมไหวไหล่ รู้สึกโล่งอกนิดหน่อยที่มันไม่ได้ถือสาอะไรกับคำพูดเมื่อครู่
“เมื่อวานก็อยู่ช่วยแกไง เลยกลับค่ำเหมือนกัน”
“อ้อนั่นสินะ ปี3 ไม่มีเรียนตอนหัวค่ำนี่”
เขาคงรู้ตารางเรียนของผมจากแก้ว เราลงวิชาไม่ต่างกันมากเท่าไหร่
…แหม ยิ่งคิดยิ่งหมั่นไส้จริงๆ…
“อาจารย์ไรอ่ะ?”
“…’จารย์คง”
ผมตอบไปเรื่อยๆตามประสา จะไม่คิดอะไรเลยถ้าหากว่าคนตรงหน้าไม่หุบยิ้มฉับลงมาทันตาแบบนั้น เขามองผมด้วยสายตาประหลาด..แต่มันก็เป็นเพียงแว่บเดียวเท่านั้นแหละก่อนที่เขาจะยิ้มใหม่อีกครั้งหนึ่งราวกับว่าตัวเองไม่ได้รู้สึกอะไร
“สนิทกันเหรอ?”
คำถามนั้นทำให้ผมเลิกคิ้ว “นิดหน่อย แกชอบเรียกใช้ผมอ่ะพี่”
“เหนื่อยหน่อยนะ”
“ไม่หน่อยอ่ะ มากเลย”
…ผมเลือกที่จะไม่ใส่ใจอาการประหลาดของอีกฝ่ายเมื่อครู่…
คิดไปเองว่าแม่งยิ้มนานคงเมื่อยน่าดู คงหุบยิ้มให้ตะคริวที่แก้มหายไปกระมัง
แล้วก็กลายเป็นว่าผมยืนแกร่วอยู่ตรงนั้นด้วยอีกคน แถมเขายังปล่อยให้เสียงฝนจางๆเป็นตัวคั่นกลางระหว่างเรา
ทั้งคู่อีก ผมก้มหน้าลง..ขยับขาเขี่ยๆฝุ่นที่พื้นเล่นฆ่าเวลา…
“กลับไปก่อนก็ได้นะไกร”
คำพูดหวังดีแบบนั้นทำให้ผมเงยหน้าฉับ
“อะไร? ผมไม่ได้รอสักหน่อย” ..เออ กูก็งงเหมือนกันว่าทำไมถึงยังไม่กลับ..แถเหตุผลแปป..
“แค่..เอ่อ ไม่ได้เอาร่มมา ตากฝนแล้วตัวเปียกเหนียวเหนอะหนะ จะไม่สบายอีก”
“ไม่ต้องกังวลหรอก” อีกฝ่ายหัวเราะ
“เขาว่ากันว่าคนบ้าไม่เป็นหวัด”
“ไอ้พี่วัน…!”
“ล้อเล่นน่า”
“ว้อย ล้อเล่นตลอดอ่ะ!”ผมแยกเขี้ยวใส่
“จระเข้ก็ไม่เป็นหวัดงั้นสิ!?”
ไอ้ที่ตั้งใจจะตอกกลับไปหวังจะให้เจ็บแค้นน่ะ..ไม่มีผลหรอกครับ เพราะอีกฝ่ายเสือกยิ้มออกมา
“ขอบใจนะ”
“อะไร?”
“ที่เป็นห่วง”
“…!?!?! ไม่ได้เป็นห่วงว้อย!”
ผมอยากจะลิสต์รายการ ‘สันดานที่ต้องแก้ของนายทิวัน’ ออกมาเสียเหลือเกิน แน่นอนว่าต้องมี ‘โปรดรักษาโรคหลงตัวเองด่วนๆ’อยู่ในข้อสองเป็นแน่!(ส่วนข้อแรกก็ขอให้มันเลิกยักคิ้วกวนส้นตีนแบบนั้นสักที รู้หรอกว่า
คิ้วเข้ม แต่ไม่ต้องอวดมากก็ได้!)
“แต่พี่ก็ขอบใจไกรจริงๆนะ”
“อะไรอีก?”
“เรื่องที่…ไม่บอกใคร”
ผมมองตาเขาอีกครั้ง ลึกลงไป…เอาบางอย่างสะท้อนอยู่ในดวงตาทั้งๆที่ไม่ได้ต้องแสง ผมรับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าไอ้ ‘ผลึกแก้ววิเศษ’ห่าอะไรนั่นกำลังเรืองรองอยู่หลังคอเสื้อของเขา ส่องสว่างเหมือนดวงตาของเขาในตอนนี้
เพียงชั่ววูบเดียว…แต่อะไรบางอย่างมันบอกผมว่านี่เป็นช่วงเวลาที่ยาวนานเหลือเกิน
“ตาพี่” ผมเอ่ย..เสียงแผ่วเบา
“เป็นสีน้ำตาลแล้ว”
เขายิ้ม
“อย่างนั้นเหรอ?”
“อื้อ น้ำตาลอ่อนๆ”
“เหรอ..”
“เมื่อวานยังเป็นสีทองอยู่เลย”
“กลัวเหรอ?”
ผมส่ายหน้าช้าๆ
“เปล่า”
“แล้วชอบแบบไหนมากกว่ากัน ระหว่างสีน้ำตาลกับสีทอง”
คำถามนั้นทำให้ผมชะงัก
“สีน้ำตาลก็โอเค สีทองก็แปลกดี”
“อ่าฮะ”
ผมเงียบไปแปปนึง..รู้สึกสงสัยอีกแล้ว แต่ก็หลุดปากไปก่อนจะทันได้คิด
“เวลากลายร่าง มันเจ็บมั้ย?”
เขาเลิกคิ้ว
“ถามอะไรแบบนั้น?”
“ก็เมื่อวาน…” ผมกรอกตา เริ่มตระหนักได้ว่าตัวเองชวนคุยเรื่องลึกซึ้งมากเกินไป
“จากไอ้ที่นุ่มๆเป็นเกล็ดๆแข็งๆ มันจะเจ็บเหมือนแบบ..เอ่อ..น้ำแข็งกัดผิว ไรงี้มั้ยอ่ะ?”
“ไม่เจ็บหรอก คันๆน่ะ”
“คันๆ?”
“แบบว่า…ยิบๆ”เขาหัวเราะ
“สงสัยอะไรละเอียดจริงนะเราน่ะ”
“ก็คนมันอยากรู้นี่ ถามไม่ได้เหรอครับ”
“….พูดจาดีๆก็เป็นกับเขาเหมือนกันเหรอ?”
“ไอ้พี่วัน…”
“เออ อย่างน้อยก็มีคำว่า‘พี่’ ละวะ”
“หรืออยากให้เรียก ‘ไอ้วัน’ เฉยๆล่ะ”
เขายิ้ม
“เรียก ‘พี่วัน’ เฉยๆดีกว่านะ”
ผมหุบปากฉับ
“โอย จะอ้วก นี่พี่หยอดแบบนี้กับทุกคนรึเปล่าเนี่ย?”
“หยอด?” คู่สนทนาทวนคำ
“เปล่านี่? ทำไมล่ะ?”
..แม่งหน้าม่อโดยสัญชาติญาณ..
เมื่อตระหนักได้ถึงความจริงข้อนั้นผมก็ถอนหายใจ โบกมือปัด แล้วเดินวนกลับไปนั่งบนบันได…พี่ทิวัน
ดูสงสัย จนกระทั่งผมกวักมือเรียกให้มานั่งด้วยกัน
“วันนี้ผมว่าง จะช่วยนั่งรอเป็นเพื่อนให้ก็แล้วกัน”
…เป็นไงล่ะ คำพูดคำจาอยู่เหนือกว่าชัดๆใช่มั้ยล่ะ!โหะๆ
“แหม่ะ ใจดีจังนะ”
“ไกรเป็นสุภาพบุรุษอยู่ล่ะ”
เขาหัวเราะกับคำตอบนั้น…ยิ้มจนตาหยี แล้วเดินลากกระเป๋ามานั่งข้างๆผมด้วย
“แต้งกิ้ว”
“แล้วก็ระวังอย่าไปตากฝนที่ไหนก็แล้วกัน”
“ฮะๆ”
“แล้วตลอดชีวิตที่ผ่านมา เวลาฝนตกพี่ทำไง?”
“เอ่อ..ไกร…”
พี่แกเอ่ย เงยหน้ามองขึ้นไปตามบันไดที่มืดสลัว ไร้ผู้คน..แล้วหันกลับมาพูดกับผมด้วยเสียงแผ่วเบา
“พี่ไม่ค่อย…อยากพูดเรื่อง....จระเข้…เท่าไหร่”
ผมอ้าปาก
“ทำไมล่ะ? อ..มันเป็นความลับสินะ แต่ถ้าเป็นตอนนี้ล่ะไม่มีใครมาแอบฟังหรอก”
“ไม่เชิง พี่หมายถึง…ถ้าเป็นที่นี่น่ะ”
“ที่นี่ทำไม?”
เขายิ้ม
“ไว้วันหลังจะบอกนะ”
คำพูดนั้นทำให้ผมรู้สึกตัวเองเป็นเด็กเล็กๆชอบกล และถึงผมไม่ชอบ..ก็ต้องมานั่งปลอบใจว่าอย่างน้อยมันก็ไม่ยื่นมือมาลูบหัวกูล่ะวะ…
“แล้วโป๊ยล่ะ?”
“ถามทำไม?”
“อ้าว ก็เห็นปกติอยู่ด้วยกัน”
“ไม่ได้ตัวติดกันสักหน่อย” ผมว่า
“มันไปกินหมูกระทะอ่ะ”
“แล้วทำไมไม่ไปด้วยกันกับล่ะ?”
“เบื่อแล้ว” ..โกหกสุดตีนครับ ตอนนี้อยากแดกเนื้อจระเข้มากกว่าเนื้อหมูน่ะสิ…
“อีกอย่าง’จารย์คงเรียกด้วย เลี่ยงไม่ได้หรอก”
“อ้อ”
“แล้วพวกเพื่อนพี่อ่ะ?”
“กลับกันไปแล้วล่ะ ฝนมันตกตั้งกะพี่ยังเรียนอยู่เลย”
“อ้อ”
..แล้วเราก็เงียบ..
ผมเบือนหน้าออกไปทางอื่น แกล้งทำเป็นชมนกชมไม้ไปเรื่อย…รู้สึกอึดอัดอย่างน่าประหลาด เมื่อวานตอนกลางวันผมยังเห็นไอ้คนที่นั่งอยู่ข้างๆนี่เป็นศัตรูอยู่เลยแท้ๆ มาวันนี้เสือกนั่งคุยสนิทสนมมันก็จะกระไรอยู่
เลยไม่กล้าถามอะไรมาก..
…ทั้งๆที่อยากจะคุยเหมือนปกติแท้ๆ…
อีกฝ่ายก็เงียบเหมือนกัน เขาอาจจะคิดแบบผมอยู่รึเปล่า..เออ ก็ช่างมันเถอะ…..
“ถ้าฝนตกตอนเช้าพี่ก็หยุดเรียน ถ้าตกตอนเย็นพี่ก็รอจนกว่ามันจะหยุด”
จู่ๆคนข้างตัวก็พูดขึ้นมาซะงั้น ผมขมวดคิ้วหันไปมอง
“อะไร?”
“ก็ไกรถามว่าตอนฝนตกปกติพี่ทำยังไง”
“…ก็เห็นพี่บอกว่าไม่อยากพูดเรื่องจระเข้”
“พูดก็ได้” เขาไหวไหล่ มองไปทางอื่น
“…ดีกว่าให้ไกรนั่งเงียบแบบนี้”
“ไม่ต้องพูดก็ได้” ผมสวน
“เดี๋ยวคนอื่นได้ยิน”
“อย่างที่ไกรว่าแหละ ไม่มีคนมาแอบฟังหรอก”
“แล้วถ้ามีล่ะ”
นายทิวันยักคิ้วพร้อมขยับยิ้มกว้าง ก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นนิดหน่อย
“พี่เป็นจระเข้”
“….หา”
“พี่เป็นจระเข้” เขาพูดเสียงดังอีก
“พี่เป็นจระเข้!”
“เงียบน่า เดี๋ยวคนอื่นได้ยินนะ”
คนฟังไม่หยุดหรอกครับ เขาป้องปากเงยหน้าตะโกนขึ้นไป
“ได้ยินมั้ยค้าบ ผมเป็นจระเข้ค้าบ!”
“ไอ้-พี่-วัน-!”
ผมร้องลั่น เอาเข่ากระแทกเข่าเขาให้เงียบเสียงลง พออีกฝ่ายหัวเราะ..ผมถึงได้รู้ว่าไอ้บ้านี่แม่งแค่แหย่ผมเล่น!
…..แล้วกูจะช่วยมันปิดความลับทำไม..บ้าเอ้ย!
“ไม่ตลกนะเฟ้ย! เดี๋ยวคนอื่นที่มาได้ยินก็หาว่าพี่เมาแล้วเพี้ยนหรอก…ใครมันจะเชื่อเรื่องเหนือธรรมชาติ
แบบนั้นกัน!”
“มันก็…ไม่ตลกเท่าไหร่หรอก”เขายิ้ม เอนศีรษะไปพิงราวบันไดแล้วหันมามองหน้าผม
“แต่อย่างน้อยก็ทำให้ไกรอารมณ์ดีขึ้นล่ะนะ”
“บ้าเด่ะ อารมณ์ดีตรงไหนกัน”
“งั้นพี่เองที่อารมณ์ดี”
“ยังไง?”
“แหย่ไกรแล้วสนุก”
“ห๊า!” ผมแยกเขี้ยวใส่
“เดี๋ยวปั๊ดเสยเลย จะกวนประสาทไปถึงเมื่อไหร่เนี่ย?”
“ก็ไม่รู้สินะ”
“ไอ้พี่วัน”
“ครับน้องไกร?”
ผมมือสั่น อยากจะเพ่นกบาลอีกฝ่ายสักสามทีให้หายคั่งแค้น
“ผมจะเอาไปประจานให้หมดเลยว่าพี่เป็นจระเข้”
“แล้วใครจะเชื่อ”
“ต้องมีสักคนล่ะ!”
“อา จริงด้วยสินะ”เขาขยับมานั่งหลังตรง
“บอกเสียทุกคนก็ไม่ปลอดภัยเท่าไหร่”
“ใช่ รู้ไว้ซะ..ตอนนี้ผมกุมความลับพี่เอาไว้”ผมกรีดนิ้วรวบมือเข้ามาด้วยท่วงท่าที่สวยงามนัก แล้วยักคิ้วคืนกลับไป “จะเอาไปโพทะนาบอกคนอื่นให้จับพี่ไปเป็นหนูทดลองซะให้เข็ด จะให้ผ่าแยกส่วน หนังเอาไปทำกระเป๋า เนื้อเอาไปทำลูกชิ้น ส่วนไอ้นั่นก็เอาไปตุ๋นยาจีน”
เขายังคงยิ้มอยู่
“ไกรนี่ตลกดีนะ”
..ไกรนี่ตลกดีนะ..
..ไกรนี่ตลกดีนะ..
..ไกรนี่ตลกดีนะ..
ให้ตาย…คำพูดเดียวกับแก้วเมื่อวานก้องอยู่ในหัวผม แต่ครั้งนี้ผมไม่คลั่งเคลิ้มเหมือนครั้งที่แล้วครับ เหมือนเส้นอะไรบางอย่างในสมองแม่งกำลังปวดตุบๆอยู่มากกว่า..!
“ไกรพูดจริงทำจริงนะว้อย!”
“ค้าบๆ เข้าใจแล้ว”เขาโบกมือ เอียงหน้ามองผม
“ที่พี่กังวลน่ะ..ไม่ใช่เรื่องผ่าแยกส่วนอะไรสักหน่อย”
ผมหรี่ตา
“งั้นอะไร?”
“เรื่องอะไรจะบอกล่ะ เดี๋ยวไกรก็อยู่เหนือกว่าพี่อีก”
“อะไรวะ?! ก็พูดมาสิ”
อีกฝ่ายยิ้ม ยื่นหน้าเข้ามาใกล้จนผมต้องผงะ ใช้ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนนั่นมองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า มันทำให้ผมหุบปากฉับลงมา..ด้วยกลัวว่าหัวใจตัวเองจะกระดอนออกมาทางปากได้…ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมไอ้โป๊ยถึงบอกว่า
พี่วันหล่อ ซึ่งเอ่อ..ผมไม่เถียงอย่างน้อยระยะแค่นี้กับดวงตาคู่นี้ก็แทบจะฆ่าผมได้ล่ะครับ…ฆ่าด้วยความรู้สึกที่ว่าต่อจากนี้เวลาที่ผมส่องกระจก ผมจะรู้สึกเสียชาติเกิดที่เป็นมนุษย์เพศชายขึ้นมา
...แต่ไอ้สิ่งที่ฉุดให้ผมได้สติคือคิ้วเข้มๆนั่น
เขายักคิ้วแบบเดิมๆให้ผม กับประโยคที่ทำให้สติขาดผึง
“ม่าย-บอก”
..กูจะฆ่ามัน!
ผมเงื้อกำปั้นขึ้น รู้สึกว่าอยากหักจมูกโด่งๆนั่นสักครั้งให้มันรู้แล้วรู้รอด! แต่เขาก็หลบวืด เป้าหมายพลาดครับ!
แต่ไม่ยอมหรอก! พอจะเงื้อขึ้นมาเตรียมถลกหนังไอ้เข้ เขาก็ลุกพรวดหมุนตัวแล้วเดินถอยหลังไปที่หน้าประตู…
ด้วยท่วงท่าพริ้วไหวทำผมหมั่นไส้จนอยากเอาฟันงับแล้วกระชากเป็นท่วงท่าไอ้เหี้ยฆ่าไก่…
…จนกระทั่งเขาบอก
“ฝนหยุดแล้ว..ไปกินข้าวกัน”
แน่นอน คำนั้นมันไม่ทำให้ผมรู้สึกอยากอาหารขึ้นมาหรอกครับ
“…พี่เลี้ยงเอง”
เออ….
….ที่ไปเนี่ยเพราะว่าท้องร้องหรอกนะ….บ้าจริง
เก็บรู้ซ่อนความไว้อย่าได้เผย
อย่าละเลยระวังภัยให้แน่นหนา
หากชาติชนใดรู้เรากุมภา
จักได้มาทำลายหมดสิ้นกัน
พ่อพร่ำสอนความไว้ให้ตระหนัก
จงรู้รักษารูปกายอย่าบิดผัน
อย่าเผอเรออย่าไว้ใจจนเสียทัน
ไอ้พวกมันคือคน…คือศัตรู
|