คัดลอกมาครับ
-๔-
วันนี้ฝนตกหนักตั้งกะเช้า
นักศึกษาหลายคนตัวเปียกมะล่อกมะแล่กเข้าห้อง และพออาจารย์บอกว่าจะไม่เช็คชื่อ…ทุกคนที่มาก็โอดครวญกันยกใหญ่ ไม่เว้นแม้แต่ผม ที่ลงทุนฝ่าฝนมาเพื่อเก็บคะแนนเข้าห้องเรียนเนี่ยแหละ!
ไอ้โป๊ยโดดเรียน…ตามเคย มันเป็นมนุษย์ผู้มีความสามารถในการโดดเรียนขั้นสูง เพราะไม่ว่ามันจะโดดคาบไหนวิชาอะไร คาบนั้นอาจารย์ต้องลืมเอาใบเชคชื่อมา หรือไม่ก็ขี้เกียจเช็ค…แบบครั้งนี้น่ะแหละ และผมแอบอิจฉามัน
ฉิบหาย ตอนที่ผมตั้งใจจะโดดเรียนน่ะนะ อาจารย์ต้องมีควิซเก็บคะแนนทู๊กกกกที!….ผมคือชายผู้มากับความ
โชคร้ายครับ
เอิ่ม นั่นอาจจะเป็นคำบรรยายที่น้อยไป
แต่ภายใต้ความโชคร้ายนั่น…วันนี้ผมถือว่าผมโชคดีครับ…
…เพราะผมได้นั่งข้างแก้วยังไงล่ะ!
“ไกรตัวเปียกหมดเลย เดี๋ยวไม่สบายนะ”
เสียงนางฟ้าเอ่ยด้วยความเป็นห่วงเช่นนี้ทำเอาผมตัวลอย แต่ก็ต้องเสยผม..แล้วเก๊กเสียง
“ไม่เป็นไรหรอกแก้ว ขอบใจที่เป็นห่วงนะ”
“แอร์เย็นด้วยแน่ะ”
“นั่งใต้แอร์ ไม่เป็นไรหรอกครับ”
ผมยิ้ม(ที่มั่นใจว่า)หวาน(สุดชีวิต) แก้วยิ้มตอบกลับมา…แค่นั้นก็เป็นกำลังใจในการร่ำเรียนของผมแล้วล่ะครับ!
เอ้อ เห็นแบบนี้คุณอาจจะไม่รู้…ว่าผมเป็นเด็กเรียนพอสมควรเลยล่ะ!
น่าน อย่าตกใจไปครับ อย่ามองแค่หน้าตากับทรงผมเกรียนๆของผมแค่นั้นล่ะ ในคาบนี่ผมจดชิบหายเลยนะครับขอบอก เวลาสาวๆมาขอยืมซีร็อกซ์ชีทนี่มันตื้นตันนักแล…ถึงคณะผมจะไม่ค่อยมีสาวๆมาให้ชื่นหน้าชื่นตาเท่าไหร่
ก็ตาม แถมที่สำคัญ..สุดท้ายแลคเชอร์แต่ละวิชาของผมแม่งก็มีจำหน่ายที่ร้านซีร็อกซ์อีก!พับผ่าสิ!
…แต่อย่าถามเรื่องผลการเรียนนะครับ
คนบางคนเกิดมาก็เก่งชิบหายโดยการอ่านแลคเชอร์เพื่อน บางคนก็หัวดีชิบหายแค่ฟังในคาบก็เข้าใจ หรือบางคนขยันตั้งใจแล้วก็ได้เกรดดีๆ…
ยิ่งพูดยิ่งชีช้ำ แน่นอนว่าผมไม่ใช่หนึ่งในคนพวกนั้นหรอกครับ ผมเรียนได้กลางๆน่ะ…(อยากจะผูกคอตายใต้ต้นถั่วงอกจริงๆ!) แต่ก็ไม่ท้อนะครับ คนเราเกิดมามีความสามารถไม่เท่ากัน อย่างผมนี่ก็อาจจะเด่นไปที่การ………….เอ่อ………….ไว้นึกออกผมจะมาบอกนะ
แต่วิชาที่กำลังเรียนอยู่นี่มีชีทให้ครับ เราไม่ต้องจดอะไรมากมายนักเหมือนวิชาอื่น
เพราะงั้นผมเลยใช้เวลาส่วนใหญ่ฟังบ้างไม่ฟังบ้าง ควงปากกาเล่นให้หมดคาบไปก็เท่านั้นแหละ…
“เฮ้อ…”
แล้วผมก็ได้ยินเสียงถอนหายใจสั้นๆจากคนข้างตัว ผมเหลือบสายตาไปมอง..นางฟ้าของผมกรีดปลายนิ้วยกเรือนผมสีน้ำตาลเข้มนั่นขึ้นไปทัดหู จนผมเห็นเค้าความ…เซ็ง...จากใบหน้าน่ารักนั่นได้อย่างชัดเจน
“เป็นอะไรเหรอแก้ว?”
เธอสะดุ้งเล็กน้อย หันมายิ้มให้ผม
“ไม่มีอะไรหรอกไกร”
ผมมองเธอ หันไปมองอาจารย์ที่กำลังอ่านสไลด์ให้พวกเราฟัง แล้วขยับเก้าอี้เข้าไปชิดเธอนิดหน่อย
“มีอะไรปรึกษาเราได้นะแก้ว ถึงเราจะ..เอ่อ..เป็นที่ปรึกษาที่ไม่ดีเท่าไหร่ แต่เรารับฟังได้นะ”
คนฟังยิ้มเศร้าๆ ปลายนิ้วเรียวสวยประคองโทรศัพท์มือถือของเธอเอาไว้…ชั่งใจ แล้วบอกผมเสียงเบา
“…พี่วัน..เอ่อ..พี่ทิวันน่ะ เค้าไม่มาเรียน”
ผมเลิกคิ้วขึ้นนิดหน่อย ได้ยินเสียงฝนจางๆจากหน้าต่างชัดเจน..นั่นคือคำตอบ..ที่ผมบอกออกไปไม่ได้
เลยต้องถามซื่อ
“ทำไมล่ะ?”
“ไม่รู้เหมือนกัน” เธอส่ายหน้า
“วันนี้ตอนบ่ายเราตั้งใจจะไปหาอะไรทานด้วยกัน แต่…พอพี่เค้าไม่มาแบบนี้เราก็….”
“เดี๋ยวบ่ายๆเค้าก็คงมามั้ง” ผมพยายามปลอบ แม้จะรู้สึกแปลกๆกับความรู้สึกตัวเองก็ตาม
“มาหาแก้วไง”
“ไม่หรอกไกร ไกรไม่เข้าใจ”เธอก้มหน้าลง
“พี่วันเบี้ยวนัดประจำอย่างงี้แหละ”
ผมชะงัก..นึกภาพ ‘ไอ้พี่วันที่ยิ้มหวานๆเหมือนไม่คิดอะไร’ ในหัว…ผมไม่คิดว่าปกติแล้วเค้าเป็นคนไม่รับผิดชอบหรืออะไรหรอกนะครับ ท่าทางไม่ใช่คนแบบนั้น…อีกอย่าง…วันนี้ ‘ฝนตก’ …..นั่นคือทั้งหมดที่ผมรู้
…แต่เอ่ยออกไปไม่ได้
“ไม่เป็นไรหรอกแก้ว พี่วันเค้าคงมีธุระ”
“แฟนกันเค้าไม่ทำแบบนี้กันหรอกนะ”
คำพูดนั้นดูเหมือนหลุดออกมาเพราะความหงุดหงิด
…แต่ไอ้ที่ผมตะลึงน่ะเพราะคำว่า ‘แฟน’ มากกว่า
“แก้วเป็นแฟนไอ้พี่วันเหรอ?”
ผมอยากจะตบปากตัวเองสักร้อยรอบที่หลุดถามออกไปซื่อๆแบบนั้นครับ!
อีกฝ่ายถึงกับหันควับมามองผม
“ทำไมถามแบบนั้นล่ะไกร?”
“……….ป-ป่าว…” …ก็คนที่เธอบอกว่าเป็นแฟนบอกผมว่าไม่ใช่ยังไงล่ะ…
“เราก็พอรู้มาบ้าง แต่คือ..เราอยากรู้ความจริงจากปากแก้วน่ะ……”
เธอเม้มปาก ก้มหน้าลงไปอีกครั้ง
“ความจริง..พี่วันก็ไม่เคยบอกเราหรอก”
“เอ๋?”
“เราถึงกังวลไง เราอยากรู้ว่าเค้าคิดยังไงเหมือนกัน”
พอจบคำพูดนั้นเสียงโทรศัพท์ของเธอสั่นก็ดังขึ้นเบาๆ ผมเผลอก้มมองตามทั้งๆที่รู้ว่าเสียมารยาท หน้าจอขึ้นเป็นไอคอนสีเขียวของโปรแกรมแชทชนิดหนึ่ง กับคำพูดง่ายๆที่ว่า
ทิวัน : ขอโทษครับ
ผมเงียบ เธอก็เงียบ..เธอรู้ว่าผมมองอยู่…แล้วเธอก็พิมพ์ตอบกลับไปเป็นคำง่ายๆว่า ‘ไม่เป็นไรค่ะ ไว้ครั้งหน้านะ’ กับสติ๊กเกอร์ยิ้มง่ายๆเหมือนไม่ติดใจอะไร แต่ผมรู้จากมือที่กำลังสั่นเทานั่น…ว่าเธอทั้งโกรธ ทั้งน้อยใจ
และหลากหลายอารมณ์แบบที่ผู้หญิงทั่วไปเป็น
แก้วไม่ใช่นางฟ้าหรอกครับ
..เธอเป็นแค่ผู้หญิงตัวเล็กๆธรรมดา ที่มีหัวจิตหัวใจเหมือนผู้หญิงทั่วไป
“นี่ไง” ในที่สุดเธอก็พูดขึ้น ยื่นโทรศัพท์ให้ผมดู..ทั้งๆที่เธอรู้อยู่แล้วว่าผมเห็นทุกอย่าง
“พี่เค้าก็เป็นแบบนี้ทุกที”
และให้ตาย…ผมเกลียดแทนเธอชะมัด… ผมหยิบมือถือเธอมา แล้วสวนกลับเข้าไปง่ายๆว่า
แก้ว : ไอ้ชั่ว!
เธอตกใจมาก แต่ก็ทำได้แค่เบิกตาโพลงขึ้นเพราะไม่อาจส่งเสียงดังอะไรได้ระหว่างที่อาจารย์ยังสอนอยู่
ผมเงยหน้ามอง..พยักหน้าให้เธอ และนั่นทำให้เธอคลายไหล่ที่เกร็งลง ก่อนจะใส่ไฟแทนความในใจของเธอทั้งหมด
แก้ว : เลวมากไอ้พี่วัน รู้มั้ยว่าแก้วตั้งหน้าตั้งตารอวันนี้แค่ไหน
แก้ว :ผิดนัดมากี่ครั้งแล้วเคยสำนึกบ้างมั้ย
แก้ว :อย่าคิดว่าแค่คำขอโทษแล้วจะพอนะว้อย
พอพิมพ์เสร็จ ก็ส่งมือถือคืนให้เธอ…เธออ่านข้อความทั้งหมด แล้วหัวเราะ
“ขอบใจนะ”
…เธอไม่นึกโกรธผม และเธอนั่นแหละที่เป็นนางฟ้า…
ผมยิ้มให้
“กับไอ้พี่วันน่ะ ถ้าไม่พูดตรงๆไปมันก็ไม่รู้หรอก”
“แก้วไม่รู้จะพูดยังไงเหมือนกัน”
“ขอโทษนะแก้ว ที่เราใช้ชื่อเธอพิมพ์หยาบคายไปหน่อย”
“ไม่เป็นไร” เธอมองช่องแชทของตัวเอง ปลายทางขึ้นว่า ‘อ่านแล้ว’ แต่ไม่มีอะไรตอบกลับมา
“ทำแบบนี้แก้วค่อยโล่งขึ้นหน่อย ขอบใจนะไกร”
ผมกำลังพะงาบปากจะพูดอะไรต่อไปอีกสักหน่อย ก็เป็นมือถือผมเองนั่นแหละที่สั่นครืดๆอยู่ในกระเป๋ากางเกง…และความเหี้ยก็คือวันนี้ผมใส่ยีนส์ คุณเข้าใจใช่มั้ยว่าเวลาใส่ยีนส์แล้วจะล้วงหยิบมือถือในกางเกงแม่งเป็นอะไรที่สุดปลายนิ้วมาก แล้วหน้าจอของผมก็ขึ้นโปรแกรมแชทแบบเดียวกับเธอ
ทิวัน : วันนี้ฝนตก
ผมเหลือบสายตามองแก้ว เธอไม่ได้มองผมอยู่..ผมเลยเขยิบเอนตัวไปอีกด้านของเธอแบบเนียนๆ เพื่อกรอกข้อความกลับไป
ไกร : จระเข้เล่นไลน์ได้ด้วยเหรอ?
อย่าว่าแต่มันเลยครับ…ขนาดผมยังไม่รู้เลยว่ามีชื่อไอ้หมอนี่อยู่ในไลน์ตัวเองด้วย เพื่อนเยอะน่ะครับ
เลยไม่ทันเช็ค คนมันฮอตก็เงี้ย ฮ่าๆ แถมไอ้ที่มันทักมาชัดเจนแบบนี้น่ะแปลว่ามันรู้ว่าผมเป็นคนพิมพ์ให้แก้ว!
แหม..จระเข้มีญาณทิพย์ครับ
ทิวัน : คนบ้าเล่นไลน์ได้ด้วยเหรอ?
……..แม่งย้อนครับ แม่งย้อน!
ไกร : ไอ้พี่วัน
ไกร :ถ้าไม่รักษาแก้วไว้ดีๆผมจะสอยไปนะครับ
ทิวัน : ขอบใจที่เป็นห่วง
ทิวัน : แก้วไม่ใช่สิ่งของ ถ้าเค้าอยากไปก็ให้เค้าไป
ผมรู้สึกประหลาดในอก เหลือบสายตามองแก้วอีกครั้ง..เธอเก็บมือถือและกำลังตั้งใจเรียนอยู่ และผมมีคำถาม…คำถามที่ถามแก้วไม่ได้
ไกร :พี่กับแก้วไม่ได้เป็นแฟนกันจริงๆเหรอ?
ทิวัน : ใช่
ทิวัน : แก้วบอกไกรเหรอ?
ไกร :ถ้าไม่ได้รู้สึกอะไรก็อย่าทำให้ผู้หญิงเค้าคิดไปเองสิ
ไกร : ทำอะไรให้มันชัดเจนหน่อย
หมอนั่นอ่านข้อความผม แต่ไม่ได้ตอบ
ยอมรับครับว่าเขาหน้าตาดี..อาจจะดีมาก..แต่ก็นั่นแหละ ถึงจะไม่เคยมีข่าวไม่ดีเกี่ยวกับตัวเขามาเข้าหูผมก็เถอะ
ไม่เคยได้ยินว่าทะเลาะกับเพื่อนหรือมีปัญหากับอาจารย์ แถมยังเฮฮาปาร์ตี้กับเพื่อนๆ อยู่ท่ามกลางผู้คนมากมาย
จนอยากนำไปประพันธ์เป็นละครโทรทัศน์เรื่อง….จระเข้ที่รัก…หรืออะไรสักอย่าง
แต่ก็ช่างแม่งเหอะ พอได้ฟังจากที่แก้วบอก(ผนวกการมโนด้วยตัวเองไปส่วนใหญ่) ผมก็อดคิดไม่ได้จริงๆว่า…
แก้วทนอยู่กับคนแบบนี้ไปได้ยังไงฟะ?
หลังจบคาบ(ที่ยอมรับว่าผมแทบไม่ได้เรียนเลย) ฝนก็หยุดตกตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ พวกเราทยอยกันเดินออก
จากห้อง ผมยังไม่ได้เก็บของ เหมือนเดิมครับ..แค่ปากกากับสมุดก็ไม่รู้ว่าจะรีบเก็บไปทำไม ส่วนแก้วก็กวาดปากกาสีทั้งหมดของเธอลงกระเป๋า แล้วผมก็กลั้นใจ
“แก้ว ถ้าพี่วันไม่มา แก้วไปกับเราก็ได้นะ”
เธอชะงัก เงยหน้ายิ้มให้ผม
“ขอบใจนะไกร ไกรไม่ต้องไปไหนเหรอ?”
“ไม่อ่ะ เราไม่มีเรียนคาบบ่าย”
“งั้น…แก้วรู้จักอยู่ร้านนึงที่ท่าพระอาทิตย์”เธอดูสดใสขึ้นเล็กน้อย
“ไกรไปด้วยกันนะ”
..อา..ชุ่นชื้นหัวใจจริงๆ.. ผมยิ้ม พยักหน้าให้เธอ แล้วเราก็เดินออกจากห้องพร้อมกัน
อ๊ะ จะบอกว่าผมฉวยโอกาสช่วงที่ผู้หญิงเค้ามีบาดแผลทางใจก็ได้นะครับ และถึงผมจะดีใจเล็กน้อย แต่ไม่รู้ทำไมผมไม่รู้สึกตื่นเต้นอย่างที่ผมคิด…ผมกำลังไปออกเดทกับดาวในดวงใจสองต่อสอง ทว่าเมื่อนึกย้อนกลับไปตอนที่ผมพูดชวนเธอ ผมกลับไม่ประหม่าสักนิด…ไม่เหมือนอย่างที่จินตนาการ
…นี่ดีแล้ว…รึเปล่านะ…?
ยอมรับว่าผมรู้สึกไม่สบายใจเท่าไหร่ แต่มันคงดีกับแก้วมากกว่าถ้าผมจะชวนเธอในเวลานั้น ในฐานะเพื่อนที่ดี
น่ะนะ……
และตอนที่ผมกำลังชั่งใจอยู่นั่นเอง
‘ไอ้หมอนั่น’ ก็ปรากฏตัวขึ้นที่หน้าตึกคณะ
แก้วหยุดเดิน ผมก็เหมือนกัน…ที่กำลังอ้าปากค้าง คือในอกนี่ไม่ใช่อาการช็อคแต่อย่างใดนะครับ! นี่คือการตกตะลึงมากกว่า
อีกฝ่ายมาในชุดไปรเวทที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน(ปกติก็เจอกันในชุดนักศึกษานี่นะ…หรือเขาอาจจะเคยใส่มาแต่ผมจำไม่ได้ก็เหอะ) เสื้อยืดสีเข้มกับกางเกงยีนส์และรองเท้าแตะ เออ จะบอกว่าแม่งเป็นชุดธรรมดาที่คนทั่วไป
เค้าใส่กัน……..แต่ไอ้เวรนี่แม่ง……..หล่อ……เหี้ยๆ…….
ช่างเรื่องรูปโฉมแม่งไปก่อน ไอ้ที่ผมตกตะลึงน่ะ! เพราะดอกกุหลาบดอกเล็กๆกำนึงห่อใบตองมาในมือของเขาต่างหาก!
เขาเดินตรงมาทางเรา..หรือพูดให้ถูกก็คือทางแก้ว ยื่นช่อดอกไม้ให้ ด้วยรอยยิ้มหวานจนผมจะอ้วก
“พี่ขอโทษครับ”
และขนาดผมเป็นผู้ชาย…ผมยังรู้ได้เลยครับว่าแม่งไม่มีสาวหน้าไหนกล้าปฏิเสธไอ้มากลวดลายคนนี้หรอก!
แก้วยกมือปิดปาก น้ำตาคลอ
“พี่วัน…”
เจ้าของนามกระพริบตาช้าๆ
“ดีกันนะ”
“ค่ะ”
..เดี๋ยวๆ พวกเอ็งลืมข้าไปแล้วใช่มั้ย?..
ผมอยากจะยกมือทักอยู่หรอกนะ แต่ในอกไม่มีความเจ็บปวดหรือผิดหวังเลยสักกะนิ๊ดดดเดียว ปกติแล้วเห็นคน
ที่ชอบเค้าไปได้ดีกับแฟนเขาก็น่าจะเจ็บปวดไม่ใช่เรอะ…ซึ่งอันนั้นน่าประหลาดนัก
แก้วหันมาขอโทษผม ซึ่งแน่นอนผมไม่เป็นไรหรอก ถึงจะยังงงๆอยู่ก็เถอะ….โถนางฟ้าของป๋ม…ไปซะล่ะ…
ทั้งสองคนเดินไปด้วยกัน รักษาระยะห่างไว้หนึ่งคืบ…แล้วฝ่ายชายก็เป็นคนหันมามองหน้าผม แรกทีเดียวผมคิดว่าเขาจะยักคิ้วกวนส้นตีนให้ผมเสียหนึ่งทีเหมือนที่เคยๆ แต่เปล่าเลยครับ เขาไม่ได้ทำอะไร แค่มองผม..หันกลับ
แล้วเดินจากไปเงียบๆไม่ทักไม่ทายอะไร……..และตอนนั้นเอง…ที่ผมหงุดหงิดขึ้นมา
ผมหยิบมือถือ โทรหาไอ้โป๊ยทันที
((ฮัลโหล)) มันรับ เสียงยังไม่ตื่นดีนัก ((คลาสเลิกแล้วเหรอ…?))
“สัสโป๊ย มึงโงหัวขึ้นมาเดี๋ยวนี้”
((เหี้ยไรเนี่ย แปปนึง ขอกูอีกห้านาที……))
“ร่างกายกูต้องการแอลกอฮอลล์”
ผมพูด ไม่มีการเกริ่นเด็ดขาด
“เดี๋ยวนี้!”
“แล้วแม่งก็พากันเดินจากกูไปเฉยเลยเว้ย! แม่งแบบ…โอย หมั่นไส้มากสัส”
“เออ กูรู้แล้ว มึงพูดเรื่องนี้มากี่รอบแล้วเนี่ย”
“อะไรวะ? กูเพิ่งพูดเอง…แค่นี้ฟังกูหน่อยไม่ได้รึไง?”
“เออ กูรู้แล้ว ฟังก็ฟัง”
“มึงต้องเห็นหน้าไอ้พี่วันนั่น” ผมเรอหนึ่งที
“แม่งแบบ กวนประสาทเหี้ยๆอ่ะมึง”
“มึงก็ด่าพี่เค้าทุกทีอ่ะ”
“ไม่ว้อย! คนปกติแม่งไม่รู้รึไงวะว่าไอ้พี่วันแม่ง..บ้าบอคอแตก”
“บ้ายังไง?”
“แม่งเป็นX-menเว้ย”ผมเดินเซ ชี้ขึ้นไปบนฟ้า
“แม่งมาจากดาวนาเม็ก”
“โอ้ย นาเม็กเหี้ยไร มึงเมาใหญ่แล้ว!”
“เป็นไอ้นั่นไง ไอ้ตัวเขียวๆ”
“พิคโคโล่อ่ะนะ?”
“ตาแม่งสีทองเว้ย ยังกะลูกแก้ว”
“มึงใจเย็น…”
“ใจเย็นเหี้ยอะไร มึงต้องมาเป็นกู…” ผมเดินกลับมาโอบไหล่ไอ้โป๊ย
“แล้วมึงจะรู้ว่าโดนไอ้ขี้เก๊กนั่นกวนตีนยังไงบ้าง…..”
“เออ เออ..จะถึงหอมึงแล้วพวก คีย์การ์ดมึงอยู่ไหน………..อ……….”
ไอ้โป๊ยหยุดเดิน ผมเลยหยุดตามแล้วก็เซชนมัน
“หยุดเดินทำห่าไรวะ” ผมว่า เดินอ้อมไปด้านหลังพยายามตะกายขึ้นหลังมัน
“ไปเลยเจ้าม้าของข้า!”
“ไอ้เหี้ยไกรมึงหุบปาก แล้วฟังกู….โน่น”
ไอ้โป๊ยเซียนฟาดหัวผมจนผงก
“ชาวดาวนาเม็กมึงมาโน่นแล้ว”
ผมปรือตา..รู้สึกตาพร่าๆแต่ก็เห็นทางเข้าหอตัวเองตรงหน้าชัดเจน พร้อมๆกับพิคโคโล่..เอ่ย..ใครสักคนที่กำลังเดินตรงเข้ามา และผมรู้ว่ามันคือใครครับ เลยพยายามมุดตัวซ่อนอยู่ด้านหลังของไอ้โป๊ยที่ตัวเท่าๆกัน แต่ดูเหมือนจะไม่เป็นผลเท่าไหร่
“หวัดดีฮะพี่วัน”
เสียงไอ้โป๊ยครับ มันทักทายอย่างสุภ๊าพสุภาพ
“ไงโป๊ย แล้วนั่นตัวอะไร?”
“คนเมาครับพี่” มันตอบ ..เดี๋ยวๆ อะไรเมาๆวะ…
“แม่งมีปัญหาไรไม่รู้ชวนผมดื่มตั้งกะหัววัน นี่ถ้าผมไม่ลากกลับมาก็ไม่เลิกหรอกนะครับ…อ่ะ พี่รอไอ้ไกรมันอยู่ใช่มั้ยฮะ?”
“…อา…ก็ไม่เชิงแหะ”
“ยังไงก็เอาไปเลยครับพี่”
ไอ้โป๊ยทำหน้าที่เพื่อนรักได้ดีมากครับ มันผลักไสผมให้คนตรงหน้า..แน่นอนว่าปัจจุบันตอนนี้ไม่มีแรง
ขัดขืนหรอก เลยเซซัดไอ้พี่วันเข้าไปเต็มรัก
“ไอ้สัสจำไว้เลยนะมึง!”
ผมชี้นิ้วคาดโทษงัวเงีย ตัวยังพิงกับอีกคนอยู่
เพื่อนรักผมโบกมือ
“อย่าอ้วกใส่พี่เค้าล่ะมึง เคลียร์กันให้เรียบร้อย”
“เคลียร์ห่าไรวะ?”
“ฝากเพื่อนผมด้วยนะฮะพี่วัน ไอ้ไกร กูไปก่อนนะ”
“เออ ไปเลย จะไปไหนก็ไปเลยไอ้เวรเอ้ย..!” ผมกร่นด่า มองมันเดินเร็วๆ(จนเกือบวิ่ง)จากไป
“ไอ้พี่วันดูมันดิ เพื่อนผมเป็นงี้ตลอดอ่ะ ทิ้งกันตลอดอ่ะ ดูมันเด่!”
“เมาแล้วเรื้อนนะเรา”
“เรื้อนไร” ผมผละออกจากอกอีกฝ่าย
“แล้วนี่ไร เที่ยวกับแก้วเสร็จละหรา?”
“นานแล้วล่ะ”
“สนุกมั้ย?”
“ก็ดี”
“ดีแล้ว” ผมถอยหลังออกมา รู้สึกตัวเองยืนเซๆ
“แก้วมีความสุขก็พอแล้ว”
อีกฝ่ายหลุดขำ
“ตอนแรกพี่ว่าจะมาคุยกะไกรสักหน่อย แต่จากสภาพแล้วส่งขึ้นห้องนอนไปเถอะ”
“อะไร? นี่พี่จะบอกว่าผมเมาอีกคนเหรอ?”
“ไม่บอกหรอก มันเห็นๆกันอยู่”
“ไอ้พี่วัน!”
“ครับๆ มา”เขาอ้าแขนออก
“เดี๋ยวพี่พาขึ้นห้อง ขอคีย์การ์ดกับกุญแจด้วยครับ”
ผมหมุ่นคิ้ว
“ไม่เอา จะขี่หลัง”
“ขี่หลังเหรอ?”
“ใช่ ไปเลยเจ้าม้าศึก!…อ่ะ ไม่สิ จระเข้สินะ” ผมงึมงำในลำคอ กำคีย์การ์ดกับกุญแจไว้ในมือแล้วตะกายขึ้นหลังอีกฝ่าย
“ได้ขี่หลังจระเข้แล้วรู้สึกแปลกๆว่ะ นี่ผมเป็นคนแรกของโลกเลยรึเปล่านะ วู้วกูได้ขี่หลังจระเข้แล้วพวก!”
“อย่าโวยวายสิเจ้าขี้เมานี่”
เขาหัวเราะ แต่ผมไม่ติดใจอะไร
“เอ้อ แล้วพี่จะคุยเรื่องไร ว่ามาเลย”
“นี่ยังคุยรู้เรื่องอีกเหรอ?”
“รู้เรื่องสิ เกรียงไกรซะอย่าง”
“โอเค” เขาขยับตัวกระชับผมขึ้นหลังดีๆ
“ก็เรื่องของพี่น่ะแหละ”
“เรื่องจระเข้น่ะนะ”
“ใช่”
“เออ ไอ้พี่วันรู้ป่ะ”ผมว่า
“ไอ้เข้มันเป็นสัตว์ตระกูลเดียวกับไอ้เหี้ยนะ”
“อ้อหรา”
“ไอ้เข้เอ้ย”
“ครับ ไอ้เข้ก็ไอ้เข้”
“ทำไมไม่โกรธหน่อยวะ กวนประสาทว่ะ ปกติด่าขนาดนี้ต้องด่ากลับแล้วดิ”
“ไม่อ่ะ” เขาไหวไหล่ กดลิฟท์
“ตลกดี”
“ตรงไหน”
“ไกรเป็นคนตลกนะ”
“อีกล่ะ คนว้อยไม่ใช่ตัวตลก..รำคาญชะมัดเลย”
“โป๊ยไม่ได้อยู่หอเดียวกันเหรอ?” เขาเปลี่ยนเรื่อง..อย่างเนียนๆ
“ไม่อ่ะ มันอยู่บ้าน…บ้านมันใกล้” และผมก็ไม่ติดใจอะไรซะด้วย
“แล้วบ้านไกรล่ะอยู่แถวไหน?”
“นนท์ฯ”
“อ้อ”
“อยู่หอก็สบายดี ไม่โดนพ่อแม่บังคับ…แล้วพี่อ่ะ?”
“อยู่บ้านสิ”
“มาอยู่หอสิ ใจแตกง่ายดี”
“อยู่หอได้ที่ไหนล่ะ อย่างพี่น่ะนะ”
“อ้อ ลืมไป”ผมซุกหน้าลงกับไหล่เขา ได้กลิ่นคล้ายน้ำ..แต่หอมกว่า
“แล้วนี่กลับดึกขนาดนี้ได้เหรอ? พ่อแม่ไม่ว่ารึไง?”
“ฮะๆ พวกเค้าไม่ว่าพี่หรอก”
“ทำไมอ่ะ ใจดีจัง”
“ก็ไม่เชิงนะ”
ผมทุบเขา
“ตอบกำกวมอีกล่ะ”
“เปล่า พี่บอกแล้วไงว่าไม่ถนัดอธิบาย มันยุ่งยาก…”
ผมถึงห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ รู้แต่ว่าอยู่บนเตียงเรียบร้อยแล้ว
ได้ยินเสียงเปิดแอร์ดังมาไกลๆ คิดว่าตอนนี้ตัวเองคงเมามากไปแล้ว จริงอยู่ที่ผมชวนไอ้โป๊ยดื่มตั้งกะเที่ยง แต่ก็ใช่ว่าจะไปทันที ร้านเหล้าที่ไหนมันเปิดตั้งกะหัววันกันล่ะ เลยหนีไปนอนเล่นเกมบ้านมันจนถึงหกโมง ออกมาหาไรกินแล้วฟาดเบียร์ไป5 กระป๋องใหญ่…แล้วก็เป็นแบบนี้แหละ
…ไม่ได้คออ่อนนะ แต่มันก็มีใช่มั้ยล่ะ อารมณ์อยากเมาน่ะ…อยากเมาทั้งๆที่ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ
ผมปรือตา..มองไฟบนเพดานตัวเองอย่างเบลอๆ..รู้สึกนึกถึง‘ไฟสีเหลืองๆ’ ที่เคยเห็นขึ้นมา แล้วก็อยากเห็นอีก…ทั้งๆที่ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ
“ไอ้พี่วัน ไอ้พี่วัน”
เรียกทั้งที่ยังนอนแผ่อยู่บนเตียง แถมยังกวักมือเร็วๆจนกระทั่งอีกฝ่ายยอมเดินเข้ามา
“อะไร หิวน้ำเหรอ?”
“เปล่า”
ผมแตะมือที่อกเขา…กระชากคอเสื้อให้อีกฝ่ายเข้ามาใกล้..แน่นอนว่าคนถูกกระทำตกใจ แต่ก็ไม่ได้ขัดขืน…ตอนที่ผมคลำหาสร้อยคอสีทองเส้นที่ผมเคยเห็น..ดึงมันขึ้นมาจนผลึกแก้วสีเหลืองห้อยต่องแต่งอยู่ตรงหน้า
ในเวลานั้นผมมองเห็นไม่ชัดเจนนัก แต่แสงสีทองนั่นก็ติดตาเหลือเกิน
และเมื่อผมเงยหน้าขึ้นมองเขา…
“…ตาพี่วัน..เป็นสีทองอีกแล้ว”
รู้ว่าที่พูดออกไปมันสะกดไม่ค่อยชัดนักหรอก แต่อีกฝ่ายก็ยิ้ม
“ตาของไกร...ก็เป็นสีน้ำตาลเข้ม”
ผมขมวดคิ้ว
“ก็ไกรเป็นมนุษย์นี่”
“ก็เพราะไกรเป็นมนุษย์นั่นแหละ”
“หมายความว่าไง?”
พี่วันค่อยๆแกะมือผมออกจากสร้อยคอของเขา
“พูดตอนนี้ก็ไม่รู้เรื่องหรอก เดี๋ยวพี่จะกลับแล้ว”
“ไม่เอา พูดให้จบสิ..ไกรฟังอยู่ไง”
ผมไม่ได้ดึงรั้งเขาไว้นะครับ แค่แตะที่แขนอีกฝ่ายเบาๆเท่านั้น อีกฝ่ายนั่งอยู่บนเตียงข้างๆผม เขามองผม..ด้วยนัยน์ตาสีทองแวววาวนั่น
“…ไกรไม่กลัวพี่เหรอ?”
คำถาม…ที่ทำให้ในอกชาวาบ
ผมรู้สึกว่าเบื้องหลังคำถามนั้นมีอะไรบางอย่างแฝงอยู่ ผมรู้ว่ามันลึกมากกว่านั้น…มันทำให้ผมต้องดันตัวเองขึ้นมาพยายามจะลุกขึ้นนั่ง แต่อีกฝ่ายกลับโบกมือ
“ช่างเถอะ…ถามไปก็เท่านั้น…”
“...พี่วันน่ากลัวตรงไหนล่ะ?”
พอสวนควับไปแบบนั้น คนตรงหน้าถึงกับขมวดคิ้วมองผม
…เลยต้องเสริมอีกสักหน่อย
“โอเค พี่วันอาจจะขี้เก๊กไปนิดนึง น่าหมั่นไส้ไปบ้าง แล้วก็เอ่อ..กวนประสาท…มาก แล้วไง? พี่วันน่ากลัวตรงไหน…ไหนลองยกตัวอย่างให้ไกรรู้สึกกลัวบ้างเด่ะ”
“พี่เป็นจระเข้นะ”
“ไกรก็เป็นมนุษย์ แล้วพี่วันกลัวไกรมั้ยล่ะ?”
“แต่พี่แปลงกายได้นะ”
“ไกรก็แปลงกายได้” ผมลุกขึ้นยืนบนเตียง
“ดูนะ ไกรจะแปลงร่างเป็น…อุลตร้า…………….!!”
เขาหัวเราะ ดึงผมลงมา
“พอเลย พอ! ยืนยังไม่ไหวยังจะกระแดะอีก”
ผมนั่งขัดสมาธิ เอนหลังพิงกองหมอน
“ไหนบอกเด่ะ พี่วันทำอะไรได้อีก”
“ไม่ได้แล้วล่ะ”
“งั้นเราก็ไม่ต่างกันหรอก” ผมโบกมือ
“อาจจะตกใจ แต่ไม่กลัวหรอก”
“ไกรแปลกนะ”
“ยังไง?”
“…พี่โดนสอนมาทั้งชีวิต ว่ามนุษย์กลัว ‘เรา’…” เขาพูด มองไปทางอื่น
“แล้วสิ่งที่มนุษย์ทำจากความกลัว…มันน่ากลัวกว่านั้นอีก”
ผมเลิกคิ้ว อีกฝ่ายเงียบ
เลยต้องพูด “ก็ถูกของพี่ แต่ไกรไม่กลัวไง”
“แล้วคนอื่นล่ะ?”
“ไกรจะไปรู้มั้ย? ไม่ใช่ชาร์ล เซเวียร์ หรือจีน เกรย์นะ”
“ถ้าให้เดาล่ะ?”
“ส่วนใหญ่ก็..กลัวมั้ง” ผมพึมพำ หลับตาลง
“จระเข้ไม่ใช่สัตว์ที่น่ารักน่าชังอะไรนักนี่…”
“เพราะงั้นพี่ถึงจริงจังกับผู้หญิงคนไหนไม่ได้ไงล่ะ”
“หมายถึง..แก้วอ่ะนะ?”
“ก็ไม่เชิง”
“ตอบกำกวมอีกล่ะ” ผมถีบเขา
“จะมาโรมิโอจูเลียตอะไร ไม่มีใครห้ามสักหน่อย”
“ก็จริงก็ไกร”
“นอกจากเสียว่า…พี่ไม่ได้ชอบแก้ว…..”
“อืม พี่ว่าพี่ไม่ได้ชอบ…”
“อือฮึ”
“ไกร”
“อืม?”
“หลับแล้วเหรอ?”
“เปล่า”
“…จะนอนก็นอนดีๆสิ”
โลกหลังเปลือกตามันดำมืด และผมก็รับรู้ว่าตัวเองอ่อนเปลี้ยมากพอจะปล่อยตัวเองให้อีกคนเป็นฝ่ายขยับ
ตัวผม บังคับให้นอนในท่วงท่าที่ถูกต้อง เอาหมอนรองหัวให้ ห่มผ้าให้เรียบร้อยจนปลายเท้าอุ่นสบาย
เฮ้อ เป็นจระเข้แท้ๆ รู้ว่าคนนอนยังไงได้ยังไงกันวะ…งืมๆ…
ผมได้ยินเสียงคนกดปิดไฟ…..และก็ไม่ได้ยินอะไรอีกเลย
จงล่อหลอกจงล่อลวงให้คนหลง
แต่ก็จงระวังใจให้แน่นหนา
หากเผลอรักปักดวงใจให้ชีวา
ความเจ็บล้าพาหนักกลับ..รับเข้าตัว
|