คัดลอกมาครับ
-๕-
ผมรู้สึกตัวอีกทีตอนฟ้าสว่างแล้ว
คอแห้ง..ปวดหัวนิดหน่อย..แถมยังรู้สึกพะอืดพะอมจนอยากเป็นเพื่อนกับชักโครก นั่นคืออาการเมาค้าง…เมาค้างจนอยากนอนต่อก็นอนไม่ได้ แถมท้องยังร้องโครกคราก..สงกะสัยว่าเวลาคงจะบ่ายๆเป็นแน่แท้
ให้ตายสิ…เกลียดจังตอนแฮงค์ปวดหัวทุกเช้า ตกเย็นกินเหล้าไม่หยุดเลย…
ท่วงทำนองเพลงฮิตเก่าๆลอยอยู่ในหัว ผมพลิกตัว ฟาดแขนไปที่เตียงอีกฟาก
…แล้วก็เจออะไรบางอย่างนอนอยู่
ผมลืมตาขึ้นทันที เจ้าก้อนวัตถุแปลกปลอมในห้องอยู่ใกล้ในระยะแขนโอบได้ยังคงนอนหลับตาพริ้ม หายใจเป็นจังหวะ แถมทำเนียนสนิทเหมือนกับว่าเป็นห้องของตัวเอง!
แต่แน่นอน สมองผมนึกทวนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนทันที....
..ใช่ครับ ถึงผมจะเมามาก…แต่ก็จำได้ทุกกระบวนท่าเลยทีเดียว..!
ผมถอนหายใจอย่างช่วยไม่ได้…เมื่อคืนผมคงจะหนักมือมากไปหน่อย ไอ้ครั้นจะโวยวายด่าอีกฝ่ายว่ามาทำอะไรในห้องชาวบ้านก็ดูจะไม่ใช่เรื่อง และถึงจะตกใจ..แต่เหตุการณ์แบบนี้ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยคาดการณ์มาก่อน…
จึงได้แต่พลิกตัวนอนหงายแบบเดิม
“ไอ้พี่วัน ไอ้พี่วัน”
ผมเรียก อีกฝ่ายยังไม่กระดิก..เลยขยับขาไปถีบๆ
“ไอ้พี่วัน ตื่น ไอ้พี่วัน ไอ้พี่วัน”
อีกฝ่ายยอมขยับตัวจนได้
“หืม? อะไร?”
“หิว…”
“อืม”
“ไอ้พี่วัน ไอ้พี่วัน”
“ครับๆ”
“ตื่นเร็ว หิวแล้ว”
“อื้อ”
“เร็วเข้า”
“…ไกรตื่นก่อนสิ”
“พี่วันตื่นก่อน ผมถึงจะตื่น”
“ไกรต้องอาบน้ำแต่งตัวนะ ถึงจะออกไปหาไรกินได้”
“แล้วพี่ไม่อาบรึไง?”
“ไม่เอา” เขาซุกหน้าลงกับหมอน ส่งเสียงอู้อี้
“ห้องน้ำไกรเล็กไปสำหรับพี่”
ผมกระพริบตาสองที
“.....อาบน้ำแล้วเป็นจระเข้สินะ”
“ใช่ ลืมแล้วเหรอ?”
“ตัวใหญ่แค่ไหนอ่ะ?”
“ไม่รู้สิ ไม่เคยวัด”เขาว่า
“ไปอาบน้ำไป”
“ไม่เอา”
“ไหนบอกว่าหิวไง พี่ก็หิว”
“ไกรขี้เกียจอ่ะ”
“เร็วเข้า พี่อาบให้ไม่ได้นะ”
ผมยอมแพ้ในที่สุด แล้วกลิ้งลงจากเตียงได้สำเร็จ..นึกภาพจระเข้อาบน้ำให้ตัวเองไม่ออกเหมือนกัน
พอยืนเท่านั้นแหละก็ต้องพุ่งไปกอดคอห่าน อ้วกไปหนึ่งรอบ..ค่อยหายพะอืดพะอมหน่อย ได้ยินเสียงหมอนั่นตะโกนถามว่าเป็นไรมั้ย สงสัยจระเข้คงไม่เคยเมาแล้วอ้วกละมั้ง จะจับมอมสักรอบก็ดูจะเป็นอันตรายเกินไปแหะ
หลังทำธุระส่วนตัวเสร็จผมก็เดินบ็อกเซอร์ตัวเดียวเข้ามาแต่งตัวในห้อง บรื๋อออ แอร์เย็นชิบ…ทำไมพี่วันถึงนอนไม่ห่มผ้าได้วะ…หรือเพราะจระเข้เป็นสัตว์เลือดเย็น? เออช่างมันเหอะ คิดไปก็ป่วยการ..ใช่เด็กวิทย์ที่ไหนกัน
พอแต่งตัวเสร็จ ก็หันกลับไปมองที่เตียง…แขกผู้น่ารักก็ยังคงนอนคว่ำอยู่ท่าเดิมครับ
“ไอ้พี่วัน ตื่นว้อย!”
“ครับ ครับ ห้านาทีนะ”
“ไม่เอา หิว”
“กินเนื้อจระเข้ไปก่อนไป”
“ไกรไม่กินเนื้อดิบ”
พอเห็นผมตอบแบบนั้น อีกฝ่ายก็พลิกตัว
“จะกินจริงดิ?”
“เขาว่ากินได้นะ อร่อย”
“อร่อยไม่เท่าเนื้อคนหรอก”
คำนั้นทำให้ผมชะงักและเงียบไป อีกฝ่ายก็เช่นกัน เขาลุกขึ้นทันที
“โทษที..พี่ล้อเล่นแรงไปหน่อย กลัวสินะ”
“เปล่า” ผมบอก
“หิว กินไรดี?”
“แล้วแต่ ไกรล่ะ?”
“ขอหนักๆ”
“ป่ะ ป่ะ”
“พี่วันต้องกลับไปอาบน้ำที่บ้านก่อนมั้ย?”
“ไม่อ่ะ”
“…เน่าตายเลย”
หมับ!
อีกฝ่ายก็เอามือใหญ่ยักษ์นั่นจับหัวผม ดึงมาซุกจั๊กกุแร้ตัวเองแล้วหนีบไว้
“สูดดมไปซะ”
“ว้าก ปล่อยนะ หายใจไม่ออก จะตายแล้ว!…ไอ้พี่วัน…ไอ้-พี่-วัน-!”
เราใช้เวลาไม่นานในการกัดกัน(!?)เหมือนเช่นเคย
…แต่ลึกๆแล้วมันมีบางอย่างที่แตกต่างจากทุกที…
พวกคุณอาจจะคิดว่าแปลก..เออ ผมก็รู้สึกว่าแปลกครับ แต่ก็เข้าใจความจริงที่ว่า..เวลาที่ใครสักคนมี‘ความลับ’ ร่วมกันนั้น…ความสัมพันธ์แม่งจะรุดคืบหน้าไปได้เร็วมาก และผมว่าความเร็วในระดับนี้ไม่ดีเท่าไหร่นัก..
เออ นอกจากหลงตัวเอง ขี้เก๊ก น่าหมั้นไส้ แล้วก็กวนส้นตีน…เรื่องอื่นๆของเขาก็ไม่แย่มากอะไร…
….จะบอกว่าเป็นผู้ชายเกรด AAA ก็ใช่….
ภาพตอนหมอนั่นนอนยังคาอยู่ในลูกกะตา มันมีคนไม่กี่คนหรอกครับที่เวลานอนจะหน้าตาดี..และหมอนี่เป็นหนึ่งในนั้น ไม่สิ เขาไม่ใช่คนสินะ งั้นผมต้องบอกว่าเขาเป็นจระเข้ที่รูปงามพอควร แถมยังรูปร่างดี…ทำอะไรก็ดูดี
ไปซะหมด…
…นี่แหละเป็นเหตุผลหลักที่มนุษย์เพศผู้ทุกคนควรจะหมั่นไส้ผู้ชายคนนี้!
แต่เรื่องนั้นช่างมันก่อน…
วันนี้วันเสาร์ครับ พวกเราทั้งคู่ไม่มีคลาสเรียน
เพราะอะไรไม่รู้เราถึงชิวมากพอที่จะนั่งรถเมล์ฟรีต่อมาถึงสยาม ใช้เวลาเลือกร้านอยู่ไม่เกินสามนาที…กระเสือกกระสนเข้ามาหาของกินราวกับไม่ได้กินอะไรมาสามวัน สิ่งที่เหมือนกันระหว่างเราคือฟาดไม่ยั้งกินไม่เลือกนี่แหละ…และผมก็เพิ่งรู้วันนี้ด้วย!
และเป้าหมายของเราในวันนี้ก็คือซูชิทั้งหมดของสายพาน! ด้วยปณิธานที่ว่าพวกอยู่ท้ายแถวอย่าหวังจะได้
ลิ้มลอง! แต่เอาเข้าจริงๆก็กินไม่ทันหรอกครับ……ไม่ทันไอ้ตะเข้ที่มันเขมือบเอาๆตรงหน้านี่แหละ!
ผมมองคนที่นั่งฝั่งตรงข้ามของตัวเองตาแทบถลน ที่จริง..เขาก็ไม่ได้กินมูมมามน่าเกลียดน่ากลัวอะไรหรอก
นะครับ ก็กินปกติเหมือนที่เรากินเนี่ยแหละ(เผลอๆยังดูสุภาพกว่าผมเองด้วยซ้ำ..)แต่เคยมั้ย..เวลาเราก้มหน้าลง
มากิน แล้วเงยหน้าขึ้นไปใหม่…ก็เห็นว่าไอ้ที่มันวางๆอยู่เมื่อครู่แม่งหายไปหมดแล้ว!
…มันใช้คาถาเสกของให้หายไปเรอะ!นี่มันไม่ใช่ฮอกวอตต์นะว้อย!
“เฮ้ย กินแต่จานทอง มีปัญญาจ่ายรึไงครับพี่?”
ผมแซวอย่างเหลืออด(กึ่งๆหาเรื่อง) เมื่อเห็นอีกฝ่ายฟาดข้าวปั้นปลาไหลย่างเป็นจานที่3แล้ว!
คนถูกถามหยุดเคี้ยว แล้วยักคิ้วให้ผม
“บ้านพี่รวยน่ะ”
“จระเข้เนี่ยนะ?”
“เรารวยกันมานานแล้ว” พูด พร้อมใช้ตะเกียบคีบจัดการชิ้นสอง
“…เป็นตระกูลจระเข้เก่าแก่ ผู้ดีจากเมืองพิจิตร”
น้ำเสียงนั้นฟังติดตลก และถึงมันจะตลกแต่ก็ดูจะเป็นเรื่องจริง
…เพราะงั้นไอ้สร้อยทองที่โผล่แวมๆตรงคอเสื้อนั่น..ก็เป็นของจริงสินะ..
ผมไม่กล้าตีมูลค่าของมันหรอก..แต่ก็อดที่จะมองไม่ได้ เมื่อคืนที่ผมถือวิสาสะกระชากดู ‘แก้ววิเศษ’ที่คอของเขา…ถึงจะทำไปเพราะความเมาแต่มันก็ยังติดตา…สีทองเรืองรองที่ยิ่งใหญ่กว่าแสงตะวันแบบนั้น…..
….สวย….เหมือนกัน ดวงตาคู่นั้นที่เปล่งแสงอำพันก็..สวย……
ตาของอีกฝ่ายในตอนนี้เป็นสีน้ำตาลอ่อน ผมอยากจะถามออกไปว่าทำไมมันถึงเปลี่ยนสีได้..แต่ไม่ได้พูดออกไป เพราะท่าทางการกินอย่างเอร็ดอร่อยนั่นทำให้ผมไม่กล้าขัดน่ะสิ!
..จนในที่สุดเขาก็เงยหน้าขึ้นมา
“อิ่มแล้วเหรอไกร?”
..เพื่อถามคำถามซื่อๆนั่น
“เออเด่ะ นี่ฟาดไปยี่สิบจานแล้วนะ”ผมว่า
“พุงแตกตายพอดีสิครับ”
“ตัวนิดนึงยังจะกินน้อยอีก”
“ใครจะไปสวาปามแล้วคุณพี่กันล่ะฮะ! แล้วผมก็ไม่ได้ตัวเล็กด้วย!”
“ครับๆ” มือใหญ่หยิบกระดาษทิชชู่มาเช็ดปาก…ด้วยท่วงท่าระดับ A
“พี่ก็ว่าจะอิ่มแล้วล่ะ”
“ถ้ายังไม่อิ่มจะกินต่อก็ได้นะ”
“ไม่เป็นไร ถ้าจะเอาให้อิ่มพี่ว่าคงอีกสักพัก”
ผมเลิกคิ้ว มองจานกองพะเนินนั่น
“ปกติพี่กินเยอะขนาดนี้เลยเหรอ?”
“อ่า…มากกว่านี้นิดหน่อย”เขากรอกตา
“สัก 2 – 3 เท่า”
..เมื่อพิจารณาจากหุ่นนั่นดูไม่น่าเป็นไปได้..
“พี่เอาที่กินๆนี่ไปยัดตรงไหนกันวะ!?”
อีกฝ่ายยิ้มกว้าง ไม่ได้ตอบคำถามนั้น
“แล้วนี่จะไปไหนต่อ?”
“แล้วแต่พี่ล่ะกัน ผมเป็นคนเลือกร้านแล้วอ่ะ”
“เดินเล่นมั้ย?”
“ห๊ะ? เดินเล่นเรอะ!?!”
“ทำไมล่ะ?”
“เดินเล่นเนี่ย…มันเป็นคำที่สาวๆเค้าใช้กันว้อย!”
“เอ้า แล้วหนุ่มๆใช้บ้างไม่ได้เหรอ?”
“ไม่ว้อย! ไกรไม่‘เดินเล่น’ เด็ดขาด!”
เขาหัวเราะ
“งั้นของหวานเป็นไง?”
“นี่ยังจะกินอีกเหรอ!?!”
“หรือว่าอยากดูหนัง?”
“ไม่อ่ะ” ผมทำหน้าแหยออกไป
“ไม่ค่อยชอบ”
“เกมเซ็นเตอร์มั้ย?”
“เสียงดัง คนเยอะ”
“ร้านหนังสือ?”
“มาสยามเพื่อร้านหนังสือเนี่ยนะ!?”
“งั้นจะทำไร?”
“…….แล้วแต่พี่วัน”
“โถน้องไกรครับ ไอ้โน้นก็ไม่เอา ไอ้นี่ก็ไม่เอา…แล้วจะบอกว่าแล้วแต่พี่เนี่ยนะ”
คำพูดนั้นดูหน่ายนัก แต่อีกฝ่ายกลับเท้าคางยิ้มอยู่..เหมือนไอ้ที่พูดค่อนแคะมาน่ะไม่ได้คิดอะไรหรอก หนำซ้ำยังดูมีสเน่ห์สุดๆอีกต่างหาก! (แต่ไม่ใช่กับผมแน่นอนครับ!!)
ผมมองเขาตาเขียวปั๊ด
“เอ้า ไอ้คุณพี่วันก็เลือกกิจกรรมให้มันดีๆหน่อยสิวะครับ”
“งั้นไกรอยากทำอะไร? ไหนลองยกตัวอย่างสิ”
“หา?”
อีกฝ่ายยิ้มกว้าง
“ไม่ได้จะทำจริงๆนะ แค่ยกตัวอย่างให้พี่ฟังเฉยๆ”
..จนมุมจนได้..รู้สึกเหมือนยิ่งพูดยิ่งแพ้ครับ ผมยังคงจ้องตาอีกฝ่ายอยู่ นาน..ก่อนจะก้มหน้าลงมา
“เดินเล่น…”
..คำนั้นดูแย่ไปนิด เลยต้องเติมเข้าไป..
“เดินย่อยอาหารแปปนึงค่อยไปกินของหวาน จากนั้นก็ไปหาหนังดู…แล้วก็ไปเล่นยิงผีสักเกมสองเกม ก่อนกลับอยากได้หนังสือสักเล่มไปอ่าน….แค่นั้นแหละ”
เขาเลิกคิ้ว
“นี่จัดคิวยาวตลอดทั้งวัน อยากอยู่กับพี่นานขนาดนั้นเลยเหรอครับ?”
“ไม่ใช่!! นี่แค่ยกตัวอย่างว้อย!”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรสักหน่อย”
“ถ้าไม่ว่างจะกลับไปก่อนก็ได้ไม่ว่าครับ”ผมแลบลิ้นใส่ ลุกขึ้นยืน
“เช็คบิลว้อย เช็คบิล!”
“เอ้า งอนไปได้นะเรา”
“ใครงอนฟะ”
“เดินเล่นก่อนครับเดินเล่น” เขาย้ำ
“ตามใจเด็กหน่อยก็แล้วกัน”
ผมหมุ่นคิ้วอยากจะต่อยไอ้หมอนี่ให้หน้าหงาย ถึงกระนั้นก็ได้แต่ข่มใจเอาไว้…ตอนจ่ายเราก็ออกของตัวเอง
ก็ดีครับ ถ้าหากหมอนั่นบอกจะเลี้ยงคงใจใหญ่เกินไปล่ะ(แล้วผมคงจะหงุดหงิดมากด้วย!)
“แล้วปกติเวลาไปกับแก้วพี่ทำอะไรบ้าง?”
“แก้วชอบชอปปิ้ง” พี่ทิวันยิ้ม
“พี่ก็ถือของให้ เพลินดีนะ”
“หว่าย เป็นแฟนกันต้องทำแบบนี้ทุกคนเลยรึเปล่าอ่ะ”
“พี่ยังไม่เคยบอกสักคำเลยนะว่าเป็นแฟนแก้ว”
“อีกล่ะ มามุขนี้อีกแล้ว!”ผมว่า
“จะรักหรือจะกั๊กก็เลือกสักทางได้ป่ะ คิดว่าตัวเองหล่อมาจากไหน”
คนข้างตัวไม่ได้สนใจคำพูดนั้น
“แล้วไกรล่ะ ไม่มีแฟนเหรอ?”
“ไม่มีหรอก” ผมไหวไหล่ ชักเริ่มชินกับการปุบปับก็เปลี่ยนเรื่องคุยของอีกฝ่าย..อย่างรู้ตัว
“ผมชอบเด็ดดอกฟ้าน่ะ แต่ดอกฟ้าไม่ค่อยชอบผมนักหรอก”
“หืม? เกรดสูงว่างั้น?”
“ก็ไม่เชิง มนุษย์ทุกคนก็ชอบคนเกรดดีๆทั้งนั้นน่ะแหละ”
“แล้วอย่างพี่ล่ะ?” เขาชะโงกหน้าลงมา
“ผ่านมั้ย?”
ชั่ววูบนั้นผมไม่ค่อยเข้าใจนัก แต่ก็เลือกที่จะตอบไป
“บ้าป่ะ พี่วันไม่ใช่คนไม่ใช่เรอะ”
“ฮะๆ จริงสินะ”
“….และก็บอกเลยนะว่าไม่ต้องมาหยอดว้อย ไม่ได้ใจง่าย”
“อ้าวเหรอ?”
“อย่ามากวนประสาทสิวะ!?!”
“ไม่ได้กวนสักหน่อย”
เขายิ้มอีกครั้บ เป็นรอยยิ้มที่ไม่เหมือนทุกทีนัก..ผมอธิบายไม่ถูกแหะ…แต่ก็ช่างมันเถอะ
“แล้วเมื่อคืนพี่จะพูดเรื่องอะไร? เหมือนเราจะยังคุยกันไม่จบนะ?”
“จำได้ด้วยเหรอ?”
“ได้ดิ”
“พี่พูดถึงไหนแล้วล่ะ?”
พอโดนย้อนถามกลับแบบนั้นก็ทำเอาต้องหยุดเดินไปวูบเดียว แล้วรีบสาวเท้าตามมาหลังจากคิดออก
“พี่พูดถึง..เอ่อ..เอ่อ…ใช่ อะไรสักอย่างเกี่ยวกับแก้ว”
“อ้อ จริงสินะ”
“อย่าถามคำตอบคำแบบนั้นได้มั้ย?” ผมแยกเขี้ยว
“บอกแล้วไงว่าพูดยาวๆหน่อย”
เขาหันมามองผม แล้วกระแอมกระไอ
“โทษที พี่ก็ติดนิสัย..เอ่อ..เรื่องแก้ว..?”
“ใช่”
“เหมือนพี่จะพูดคล้ายๆกับว่า…พี่ไม่ได้ชอบแก้ว? ใช่มั้ย?”
ผมกรอกตา พยายามทวนความจำ
“เหมือนจะเป็นแบบนั้นนะ”
“ก็แค่นั้นแหละ”
“เดี๋ยวเด่ะ!”
“อะไร?”
“แล้วถ้าพี่ไม่ได้ชอบแก้วพี่จะทำแบบนั้นกับแก้วทำไม!?”
“ทำอะไร? จระเข้กับมนุษย์สืบเผ่าพันธุ์ด้วยกันไม่ได้หรอกนะ”
“ว๊าก ไอ้พี่วัน!” ผมเตะเขาทันที รู้สึกหน้าร้อนๆทั้งๆที่อีกฝ่ายไม่มีท่าทีกระดากอายเลยสักนิด!
“ใครเค้าหมายถึงเรื่องนั้นกันละวะ เวรเอ้ย!!”
“แล้วไกรหมายถึงเรื่องไหนล่ะ?”
“อย่างเมื่อวานไง ดอกไม้น่ะ…”
ผมเกริ่นให้เขา คิดว่าถ้าตัวเองไม่เป็นฝ่ายเริ่มก่อนเรื่องนี้คงไม่ได้เข้าประเด็นสักทีเป็นแน่ บางทีก็อดคิดไม่ได้จริงๆว่าไอ้หมอนี่มันโง่ มันบื้อ มันมึน มันเมา หรือแม่งทุกอย่างรวมกัน…หรือข้ามไปที่ข้อสันนิษฐานถัดไปคือ…
การกวนส้นตีนคนโดยเจตนา!
“ดอกไม้”
เขาทวนคำ เดินนำลงบันไดเลื่อนแล้วหมุนตัวมาเผชิญหน้ากับผม..ที่เดินลงบันไดขั้นถัดไปตามมา…จากระยะนี้ทำให้ผมรู้ว่าเขาสูงแค่ไหน เพราะขนาดคนละขั้นบันได..ยังก้มมองเขาเพียงเล็กน้อยเท่านั้นเอง
“พี่ได้ยินมาว่าผู้หญิงชอบดอกไม้ ก็เลยเอามาให้แก้ว”
ผมขมวดคิ้วจ้องกลับ
“แล้วจะทำเอาใจแก้วทำไมล่ะ?”
“ไม่ได้เอาใจ” เขาเอียงคอ ปรือตาช้าๆ
“พี่แค่ไม่อยากให้แก้วเกลียด หรือว่าไกรอยาก?”
“ผมอยากไม่อยากแล้วมันเกี่ยวอะไรด้วย”
“ถ้าเลือกระหว่าง ‘ชอบ’ กับ ‘เกลียด’ ….ไกรอยากให้อีกฝ่ายรู้สึกยังไงกับเรามากกว่าล่ะ..?”
จังหวะนั้นบันไดเลื่อนก็ลงมาถึงขั้นสุดท้าย พี่ทิวันเหลือบสายตามองผม..ก่อนจะหมุนตัวก้าวลงจากบันไดเหมือนเป็นท่วงท่าสบายๆ
…แต่คำถามง่ายๆแบบนั้นกลับทำให้ผมนิ่งไปนาน…จนเกือบสะดุดหัวทิ่ม
“ก็ต้อง..ชอบ..สิ”
…และคำตอบแม่งง่ายกว่าคำถามซะอีกครับ…
“ใช่” อีกฝ่ายพยักหน้า..แต่ไม่ได้หันมามองผม
“พวกเราน่ะ…โดนเกลียดมามากพอแล้วล่ะ”
คำอธิบายนั้นดูงุนงง..แต่กระแสเสียงที่เบาแผ่วนั้นทำให้ผมใจสั่น
อะไรบางอย่างลดอุณหภูมิในอก รู้สึกประหลาด…ประหลาดเสียจนน้ำตาจะไหล ผมไม่ได้ถามอะไรเพิ่มเติมอีกหรอกครับ..เพราะทุกครั้งที่เขาอธิบายอะไรออกมาสักอย่าง…เหมือนกับข้างในนั้น…เจ็บปวดเหลือเกิน…และผม
ไม่ชอบความรู้สึกแบบนี้เลย
“ไกร มึงดูเทรลเลอร์หนังใหม่ยังวะสัส!โคตรเจ๋ง!”
“เรื่องไร?”
“เรื่องนี้ไง เรื่องนี้”ไอ้โป๊ยเบียดตัวมานั่งข้างผม สไลด์มือถือเลือกหนังที่มันเกริ่นไว้ข้างต้นโชว์ผม
“ไปดูกันเหอะว่ะ ชอบโคตร”
“มึงชอบนมนางเอกป่ะวะสัส เหี้ยมาก”
“โอ้ย ไรวะ เนื้อเรื่องก็น่าดูนะ….”
ผมท้าวคาง
“โทษทีว่ะโป๊ย กูดูมาแล้วอ่ะ”
“ห๊า!?! มึงเนี่ยนะดูหนังเข้าใหม่ก่อนกู!?!”มันผลักผม แรงจนเกือบตกเก้าอี้ “ไอ้เหี้ยไปดูมาวันไหน สัส ไหนบอกไม่ชอบดูหนัง…คนเยอะ…กลิ่นอับชื้น…บลาๆ” ..ประโยคพวกนั้นผมเคยบอกกับมันน่ะครับ..
“แล้วเป็นไงวะ หนุกป่ะ ดีป่ะ? อ๊ะ..กูถามเฉยๆนะ ห้ามสปอยล์กู!”
“ก็ดี ฉากสวยดี”
“แค่นั้นเหรอ…”
“นมนางเอกตู้มด้วย โอเคยัง?”
เพื่อนรักผมฉีกยิ้มกว้าง วางมือถือไว้บนโต๊ะ
“มึงไปดูกะใครมาวะ?”
ผมเดาะลิ้น กะแล้วมันต้องเผือก
“เรื่องของกู”
“ใคร ใคร ใคร? บอกกูหน่อย”
“เรื่องของกู”
“ไอ้เหี้ยไกร มึงกระตุ้นต่อมเสือกกูแล้วมึงจะทิ้งไปง่ายๆงี้หรา”
“ก็เรื่องของกูน่า”
“ให้กูเดานะ”
“มึงไม่ต้องเดาเลย”
“แตงโมป่ะ? วันก่อนที่มาชวนอยู่กลุ่มด้วยกันกูแอบคิดว่าเค้าชอบมึงว่ะ”
“ไม่ใช่ว้อย แตงโมนั่นเพื่อน..เคยทำงานด้วยกันก็เลยมาชวนว่ะสัส”
“หรือว่าน้องเกลวะ? กูเห็นมึงคุยกะน้องเค้าบ่อย”
“ค*ย นั่นน้องรหัสกู”
มันเบิ่งตาโต
“เฮ้ย อย่าบอกนะว่า…แก้ว?”
“อย่างแก้วจะลดตัวลงมาหากูเหรอวะ?”
โป๊ยเซียนกระพริบตาปริบๆ หันไปมองซ้ายมองขวา..ที่หน้าคณะ นอกจากเราสองคนแล้วก็มีกลุ่มเด็กปีหนึ่งนั่งห่างไปอีกสองโต๊ะครับ แล้วก็มีพวกเพื่อนๆนั่งกันริมบ่อปลาบ้าง หน้าคานูปปี้บ้าง ซึ่งตอนนี้พวกเรานั่งรอเรียนคาบบ่ายกันอยู่ คนเลยจะพลุกพล่านเป็นพิเศษทีเดียว ในที่สุดมันก็ตัดสินใจป้องปาก ชะโงกหน้าเข้ามาถามผม
“….พี่วันใช่มั้ย?”
…มันยิงปืนโดนได้ในนัดสุดท้าย แถมนัดนี้เปรี้ยงเดียวจอดด้วยครับ!
ผมเผลอลื่นจากการเท้าคางจนหน้าแทบจะทิ่มลงไปกับโต๊ะ แต่ก็รีบเงยพรวดขึ้นมา แล้วส่ายหน้าส่ายตาแสดงอวัจนภาษาว่าไม่รู้เรื่อง…ทั้งๆที่รู้อยู่เต็มอกว่าไอ้ท่าทางที่ตัวเองแม่งโคตรมีพิรุธ!
..นั่นไง ไอ้สัสโป๊ยมองหน้าผมแปลกๆอีกแล้วครับ..
“ทำไมช่วงนี้มึงสนิทกะพี่เค้าจังวะ เมื่อคืนโน้นก็ไปรอกันหน้าหอ”
เพื่อนผมมันจอมสอดรู้ครับ…สอดรู้แบบไม่บันยะบันยัง
“ก็เปล่านี่” ผมไหวไหล่ อ้างเหตุผลเดียวกับบุคคลที่สามนั่น
“พี่เค้าเอาชีทเรียนเก่าๆมาให้กู”
“ชีทเรียนเตี่ยไร วันนั้นพี่เค้ามาตัวเปล่า ไม่มีกระเป๋าสักใบ”
..มึงจะมาฉลาดและช่างสังเกตอะไรวันนี้วะสัสโป๊ย!!..
“กูยังพูดไม่จบ เค้ามาเอาที่กูเคยยืมเขาอ่ะ”
“มึงเคยยืมชีทเรียนพี่วันตั้งกะเมื่อไหร่ กูไม่ยักกะรู้”
“มึงไม่ต้องรู้สักเรื่องก็ไม่มีใครหาว่าโง่ว่ะ”
“อย่ามาตอแหล” มันดีดหน้าผากผม..เพี๊ยะ!
“ก่อนหน้านี้มึงเกลียดเค้าจะตาย เจอหน้าจ้องจะกัด..นี่ถ้ากูไม่ดึงปลอกคอไว้พี่เค้าคงโดนหามส่งโรง’บาลไปล่ะ
แล้วนี่อะไร…แปปเดียวกลับมารักกันดีล่ะ หรือว่าไอ้ที่มึงบอกเกลียดๆเค้าเนี่ยปากดีไปงั้น?”
…อูย! โดนมันหยามครับ! เจ็บไปถึงทรวง!
“กูไม่ได้ปากดี เกลียดก็เกลียดสิวะ คนอะไรไม่รู้กวนประสาท”
“แน่ใจ?”
“แน่ดิ”
“เกลียดแล้วทำไมไปดูหนังกับเค้าวะ?”
“…ก็มันไม่มีอะไรทำ..เอ้ย ไม่ใช่ กูบอกตอนไหนว่ากูไปดูกับเค้า!?”
“ไม่ต้องมาแถเว้ย!! หางโผล่แล้วไอ้เหี้ย!!”
“เออ เรื่องของกูน่า!”
“เดี๋ยวมึงได้ไปอยู่ดาวนาเม็กกับพี่เค้าแน่เลยว่ะ”มันว่า ก่อนจะโพล่งขึ้นมา “เฮ้ย!? หรือว่ามึงใช้พี่วันเป็นสะพานไปหาแก้ววะ!?”
“จะบ้าเรอะ!”
“ไม่ดีนะเว้ยมึง เค้าเป็นแฟนกัน….”
“ไม่ได้เป็น!”
คำนั้นทำเอามันผงะ…และผมที่เพิ่งตะโกนใส่หน้าอีกฝ่ายก็ถึงกับตะลึงด้วยความตกใจไม่ต่างกันนัก
และแรงตะโกนเมื่อครู่ทำเอาหัวใจผมแทบจะหล่นไปกองกับพื้น แถมยังอยากเอาเท้าทั้งสองข้างขยี้มัน
ให้จมดิน ด้วยเหตุผลง่ายๆที่เรื่องแค่นี้จะต้องยืนกรานชัดเจนขนาดนั้นไปเพื่ออะไร
…แก้วบอกผมว่าหมอนั่นทำอะไรไม่ชัดเจน ซึ่งก็ถูกของเธอ…และเขาบอกผมว่าเขาไม่ได้ชอบแก้ว แค่ไม่อยากให้ใครเกลียด ซึ่งก็ถูกของเขา…..แล้วตัวผม…มันทำไม…?
“ไกร?”
หลังจากเงียบไปนาน ในที่สุดไอ้โป๊ยก็จับไหล่ผม
“มึงเป็นอะไรวะ? อย่าทำหน้าซีเรียสแบบนั้นสิ”
“เปล่า” ผมบอกมัน ก้มหน้าลง
“โทษทีว่ะ กูก็เยอะไปหน่อย”
“ทำไมวะ?”
“ก็แค่พวกเค้าไม่ได้เป็นแฟนกัน ก็เท่านั้นแหละ”
น่าแปลกที่โป๊ยเซียนไม่เถียงคำนั้น
“แล้วมึงจะเอายังไง?”
“อะไรยังไง?”
“มึงชอบแก้วไม่ใช่เหรอ?”
คำถามนั้นทิ่มลงมากลางใจ และทำให้ผมต้องนึกทบทวนคำตอบอยู่ประมาณสามล้านครั้งต่อหนึ่งนาทีทั้งๆที่ตัวผมเองน่ะรู้คำตอบนั้นดีอยู่แล้วแท้ๆ
“กูว่ามันไม่ใช่…” ในที่สุดผมก็พูดออกมา
“…กูคงแค่ปลื้มเค้าเฉยๆ”
“..กูก็ว่างั้น”
“อะไรของมึง”
“ถ้ามึงชอบเค้าจริงๆ มึงทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นเค้ามีคนอื่น”
มันอธิบาย มองไปทางอื่น
“ไอ้ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนถึงจะเรียกว่า‘รักแท้’ น่ะ..มันงี่เง่าสิ้นดี รู้ป่ะ? สุดท้ายมันก็เจ็บที่เห็น
เค้ามีใคร สุดท้ายมันก็ทนไม่ได้หรอก และสุดท้าย..แม้แต่หน้าเค้ามึงก็ยังไม่อยากเห็นด้วยซ้ำ”
คำพูดนั้นทำให้ผมเลิกคิ้ว
“โป๊ย มึงพูดอย่างกะว่ามึงมีความรักงั้นแหละ?”
มันหัวเราะ
“แล้วพี่วันว่าไง?”
“พี่วันทำไม?”
“กูบอกตามตรงนะมึง” อีกฝ่ายหันมาตบบ่าผม แล้วจ้องหน้าเขม็ง
“ถ้ามึงชอบพี่วันก็เลิกซะ”
ผมเบิกตาโพลง
“ไอ้เหี้ย! กูไม่ได้เป็นเกย์!”
“เออ กูรู้ว่ามึงไม่ได้เป็นเกย์”
“..แล้วพูดงี้วอนตีนเหรอวะครับ?”
“กูแค่พูดเฉยๆว้อย ก่อนที่มึงจะถลำลึก” โป๊ยมันว่า ลดเสียงลงนิดหน่อยเมื่อมีกลุ่มรุ่นพี่มานั่งโต๊ะข้าง
“กูสืบมาหมดแล้ว ทั้งผู้ชายผู้หญิงเลย..ไอ้หมอนั่นทำเจ็บมานับต่อนับ”
ผมเลิกคิ้ว
“สืบ? ผู้ชายผู้หญิง?”
“พี่ชายกูจบโรงเรียนเดียวกับพี่วัน”มันขยายความ..แต่ก็เพียงเล็กน้อยน่ะครับ
“พี่วันเค้าก็หยอดไปทั่วน่ะแหละมึง เอาใจไปทั่ว จีบไปทั่ว ทำให้คนอื่นเค้าหลงไปทั่ว..แต่เจ้าตัวน่ะไม่คิดอะไร แบบนี้เค้าเรียกว่าหน้าม่อโดยกมลสันดาน”
พอพูดแบบนั้นผมก็พอเข้าใจนะครับ ทั้งท่าทางการกระทำแบบนั้นที่เขามีให้ผมก็ไม่ได้คิดว่าอีกฝ่ายจะรู้สึกพิเศษอะไรหรอก แต่ไอ้เรื่องที่น่าสงสัยกว่านั้นมันเป็นอีกเรื่อง
“ทำไมมึงพูดงั้นวะ? ก่อนหน้านี้มึงดูชอบดูชมพี่เค้าจะตาย หล่ออย่างนี้ แสนดีอย่างนั้น”
“เอ้า ก็เค้าหล่อแล้วก็ดีจริงๆนี่หว่า…คนแบบนี้นี่แหละที่จะม่อได้โดยไม่มีคนด่า”
“แต่นี่มึงกำลังด่าเค้าอยู่นะ?”
“กูไม่ได้ด่าเว้ย กูแค่เตือนมึง…ลึกๆในใจกูก็นับถือเค้านะ ถ้ากูได้ระดับเค้ากูก็คงทำแบบนั้นเหมือนกัน..สันดานผู้ชายว่ะ เหี้ยเหมือนกันทั้งโลก”
มันยักคิ้วเลียนแบบพี่วันให้ผมดู..แต่กวนตีนน้อยกว่าเท่านึง…และผมก็แอบคิดว่าไอ้ที่มันพูดมามีเค้าความน่าจะเป็นอยู่
“มึง..เกลียดพี่เค้าเหรอวะ?”
ผมรู้ว่าคำถามนั้นมันค่อนไปทางงี่เง่านิดหน่อยครับ เพราะทุกครั้งที่ผมด่าไอ้พี่วันก็มีไอ้โป๊ยเนี่ยแหละคอยปราม..หรือที่มันเรียกว่าดึงปลอกคอนั่นแหละ เลยไม่มีความคิดว่ามันจะเกลียดพี่เค้าจนกระทั่งวันนี้แหละ
“ไม่ได้เกลียด” มันหัวเราะร่วน ฟาดหลังผมป้าบ
“แต่ก็ไม่ได้ชอบว่ะ เฉยๆอ่ะ”
“อ้อ”
“แล้วมึงอ่ะ?”
“อะไร?”
“เกลียดพี่วันเค้า..จริงรึเปล่า?”
ครั้งนี้ผมคิดหนัก คิดนานกว่าตอนที่ตอบคำถามเรื่องแก้วซะอีก
แต่ก็ตอบไป
“ไม่ได้เกลียด”
..โชคดีที่อีกฝ่ายไม่ได้คาดคั้นเอาคำตอบ..
“พี่วันน่ะเค้าใสๆเว้ย ยังไงดีวะ..คือ..เค้าดูเหมือนผู้ชายที่หลุดออกมาจากจินตนาการ” มันว่า เหมือนจะพยายามอธิบายให้ผมฟังมากกว่า
“ดูเหมือนคนไม่มีเบื้องหน้าเบื้องหลัง และนั่นแหละเป็นเหตุผลที่ว่าทำไมไม่ค่อยมีใครนินทาเค้า..นอกจากมึงอ่ะนะ”
“เออน่ะ”
“…แต่กูก็ยังไปแอบได้ยินข่าวลือมาเรื่องนึง”
“อะไร?”
โป๊ยหันมามองผมอีกครั้ง
“กูได้ยินมาว่าเค้ามีลูกมีเมียอยู่ที่บ้านแล้วว่ะ”
คำบอกเล่านั้นทำให้คิ้วผมกระตุกขึ้นข้างหนึ่ง ในใจไม่ได้มีคำถามมากมายอย่างที่เคยเป็น..ไม่ใช่เพราะไอ้โป๊ยย้ำนักย้ำหนาว่ามันอาจจะเป็นแค่‘ข่าวลือ’ ด้วยนะครับ แต่อะไรบางอย่างมันทำให้ผมท่องได้คำเดียว
…ไม่มีทาง…ทั้งๆที่…ไม่รู้เหตุผลด้วยซ้ำ…
บางคนเกิดมาเพื่อเป็น ‘ข้า’
บางคราเกิดมาเพื่อเป็น ‘จ้าว’
ชะตาฟ้ากำหนดจนถึงคราว
ประกาศกร้าวเจ้าเป็นใหญ่เหนือผู้ใด
บรรดาผู้รับใช้ถวายศักดิ์
สวามิภักดิ์คอยรับเอาใจใส่
ลูกหลานมียกเทอดทูนคอยรับใช้
ด้วยหวังให้เจ้ายิ่งรักร่ายรางวัล
แต่กระนั้นต้องพฤติตัวให้ถ้วนถี่
อย่าเร่งรี่รีบรักยิ่งถวัลย์
พวกลูกข้านางบำเรอเพียงกำนัล
ดวงใจนั้น..ห้ามใครแตะเข้ากร้ำกราย
|