คัดลอกมาครับ
-๑๐-
ผมไม่ได้ตอบไปหรอกครับ อย่าตกใจไป
สาเหตุน่ะหรือ?
ประการแรกก็คือ..ผมค่อนข้างมั่นใจว่ากระดาษคำตอบใบนั้นไม่ศูนย์แน่ๆ ถึงแม้จะเขียนน้อยแต่พออ่านดูดีๆ
แล้วก็สรุป(แบบรวบรัดฉิบหาย)ไว้แล้วครับ
สาเหตุประการที่สอง..ถึงจะพลาดตรงนี้แต่ปลายภาคก็ทำใหม่ได้ครับ
และอย่างว่า..ผมค่อนข้างถนัดวิชาดังกล่าว ปกติก็ได้ A เสมอดังนั้นไม่กลัวว่าจะติดF เท่าไหร่
สาเหตุประการที่สาม..ผมไร้ซึ่งทักษะในการเขียนแผนที่โดยสิ้นเชิง ไม่มีทางจรดปากกาบอกอาจารย์คงให้รู้เรื่อง
ได้แน่ๆ สาเหตุประการ
ที่สี่…ผมคิดว่าเรื่องนี้มันเป็นความลับระหว่างเรา..ซึ่ง…ถึงคำว่า ‘ระหว่างเรา’มันจะไม่มีความหมายแล้วก็ตาม…
แต่ความลับก็คือความลับครับ
และสาเหตุที่สำคัญที่สุด ที่เป็นปัจจัยหลักที่ผมปฏิเสธอาจารย์คงมาก็คือ….
…..จะอะไรซะอีก….
……..อย่างผมเนี่ยนะ….จะไปจำทางเข้าบ้านมันได้?
เออ หยุดหัวเราะ แล้วฟังสิ่งที่ผมจะทำให้ดีได้แล้วครับ
เพราะว่าคำถามที่ถูกถามราวจะบดขยี้ผมเมื่อวานมันช่างน่าสงสัยนัก..สงสัยจนผมอดสงสัยไม่ได้ ครับใช่ งงกับประโยคเมื่อครู่กันใช่มั้ย? ผมแค่อยากจะแทนมันว่าผมงงชิบหายเลยน่ะครับ
..อาจารย์คงจะอยากรู้เรื่องบ้านพี่วันไปทำซากอ้อยอะไร?
ถามตัวเองจะได้อะไรครับ ถามอาจารย์คงก็ไม่ได้แน่ๆ และถ้าถามไอ้พี่วัน…บอกเลยว่าถึงได้คำตอบแต่ผมก็ไม่หน้าด้านไปถามครับ ไม่แน่ๆ…ถ้าคุณไม่เคย ‘อกหัก’คุณอาจไม่เข้าใจ ถึงกรณีของผมจะไม่สามารถเรียกแบบนั้นได้เต็มปากแต่มันก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก…สิ่งเดียวที่เราทำได้คือ ‘การตัดใจ’
คำรักของเขาทำให้ผมนอนไม่หลับ
และคำตอบของเขายิ่งทำให้ผมห่อเหี่ยวหนักกว่า
‘…ถ้ามึงชอบเค้าจริงๆ มึงทนไม่ได้หรอกที่จะเห็นเค้ามีคนอื่น...’
คำพูดของไอ้โป๊ยวิ่งเข้ามากระแทกอกผมอีกครั้งหนึ่ง
‘...ไอ้ความรักที่ไม่ต้องการสิ่งตอบแทนถึงจะเรียกว่า‘รักแท้’ น่ะ..มันงี่เง่าสิ้นดี รู้ป่ะ? สุดท้ายมันก็เจ็บที่เห็นเค้า
มีใคร สุดท้ายมันก็ทนไม่ได้หรอก และสุดท้าย..แม้แต่หน้าเค้ามึงก็ยังไม่อยากเห็นด้วยซ้ำ...’
เดี๋ยวนะโป๊ย กูว่ามีบางอย่างในคำพูดมึงที่ผิดๆอยู่อ่ะ
…เพราะกูว่า…กูยังอยากเห็นหน้าแม่งอยู่
………อนาถกว่าเดิมอีกครับ
แต่วันนี้ผมไม่ได้จะเครียดเรื่องเขาครับ ไม่เด็ดขาด..ผมต้องลบเขาออกจากสมอง แม้จะแอบคิดถึงคำพูดเมื่อวานของเขาทุกสิบวินาทีก็ตาม…และแม้ว่าผมกำลังพยามยามรื้อฟื้นความจำแล้วเดินทางไปบ้านเขาก็ตาม
..ไปทำไมน่ะรึ?
เพราะลางสังหรณ์ของผมมันบอกว่า..เรื่องนี้มันมีกลิ่นแปลกๆ…
ผมต้องบอกเขาว่าอาจารย์คงพูดเรื่องอะไร ต้องบอกว่าอาจารย์ถามผมเรื่องอะไร..ก่อนที่เรื่องราวจะแย่ไปกว่านี้
ผมชักกลัวอาจารย์คง..กลัวแทนพวกจระเข้ทั้งหมดในบ้านนั้น(ถึงผมจะรู้จักแค่2 – 3 ตัวก็เหอะ…)
โทรศัพท์หรือ? ไม่ล่ะ..ไม่อยากได้ยินเสียงด้วยซ้ำ
ไลน์? ไม่เอา..ผมว่าการโต้ตอบมันไวเกินไปหน่อย ผมยังไม่พร้อม
จดหมาย? ใช่ครับ..ทางเลือกที่ถูกกับจดหมายน้อยๆฉบับนี้ที่อยู่ในมือผมนี่!
และนั่นแหละคือปัญหา ..ผมไม่รู้บ้านเลขที่มัน..
เพราะงั้นมันคงจะดีกว่าถ้าผมหาบ้านเขาให้เจอ แล้วไปหย่อนไว้เงียบๆที่ตู้จดหมาย เขียนจ่าหน้าถึงนายทิวัน
จากบุคคลนิรนาม(และสาบานได้เลยว่าเขาต้องไม่รู้แน่ๆว่าใคร…) ภายในมีเนื้อหาที่ควรระบุไว้อย่างครบถ้วนและ..ออกจะเป็นพิธีรีตรองมากเกินไปหน่อย ถึงกระนั้นผมก็จะส่งครับ
ไม่ได้อยากจะเห็นหน้าเลยสักกะติ๊ด
…จริงๆนะ! ใครมันจะอยากไปเห็นหน้าคนที่เพิ่งสลัดรักตัวเองมากันล่ะ? บ้าฉิบ!
ผมสวมหมวกคลุมฮู้ดใส่แว่นกันแดดปิดบังหน้าตามาเรียบร้อยครับ ไม่ต้องห่วงว่าจระเข้แถวนี้ตัวไหนจะจำผม
ได้หรอก…ถึงจะประหลาดนิดหน่อยเพราะเวลานี้ไม่มีแดด แถมฟ้าครึ้มคล้ายฝนจะตกอีก เอาน่า อย่าได้แคร์
ว่าแล้วก็สาวเท้าดุ่มๆข้ามถนนใหญ่ที่ผมจำได้ครับ ต่อจากนี้แหละที่อยาก..ตรอกซอกซอยไหนห่าเหวอะไรวะ...
ครั้นจะเดินไปถามคนแถวนี้ว่ารู้จักบ้านจระเข้มั้ยก็เห็นจะใช่เรื่อง ดังนั้นต้องอาศัยความคุ้นตาเอาละ!
สิ่งเดียวที่ผมจำได้แน่ๆคือละแวกนั้นเป็นบ้านร้างที่ไม่มีคนอยู่เลย ไม่มีใครเลย..และเท่าที่ผมเดินมาทั้งหมดนี่คนแอบจะพลุกพล่านทีเดียวครับ เป็นย่านร้านค้าติดถนนใหญ่…ไม่มีซอยไหนสักซอยที่เปลี่ยวร้างแบบที่ผมเจอ แต่พอมาคิดๆถึงเรื่องเวลากลางวันกลางคืน กับความลึกที่ผมต้องเดินเข้าไปแล้วก็พอจะเข้าใจอยู่
ต่อให้แปลงร่างเป็นโคนันตอนนี้ ก็หาเบาะแสไม่ได้หรอกครับ…
...กูทำบ้าอะไรอยู่!
“เอาไรจ๊ะหนู”
“โค้กใส่ถุงฮะ”
“จ้า”
หลังจากสั่งน้ำดื่มมาดับกระหายเสร็จสรรพผมก็ทิ้งตัวลงที่เก้าอี้พลาสติกหน้าร้าน จ้องมองไปรอบๆหวังจะเจอสักที่พึ่งที่ผมพอจะได้เค้าลาง
ว่าแล้วกลิ่นหมูตุ๋นร้านข้างๆก็ลอยมาแตะจมูกครับ ประหนึ่งจะบอกให้ผมแวะพักตรงนี้สิจ๊ะก็มิปาน
“นี่จ้ะ”
“อ๊ะ เท่าไหร่ครับป้า?”
“15 บาทลูก”
ผมรับถุงโค้กมาถือดูด นี่คือนวัตกรรมอัจฉริยะที่ไทยแลนด์โอนลี่ครับ มันสดชื่นและดับกระหายได้ดีกว่าดื่มจากขวดแบบในโฆษณาเป็นไหนๆ น่าจะมีบรรจุภัณฑ์แบบนี้ขายบ้างนะ..
“เอ้อป้าครับ” ผมทักในที่สุด
“…แถวนี้…มีบ้านไทยบ้างป่ะครับ?”
ป้าขายน้ำกระพริบตาปริบๆ
“เอ บ้านไทยเหรอจ๊ะ?”
“ครับ หลังใหญ่ๆ”
“ป้าเองก็ไม่รู้เหมือนกันนะ” เธอตอบ “ป้าไม่เคยเดินเข้าซอยเลยลูก…อาจจะมีก็ได้นะ ข้างในๆน่ะ”
“ขอบคุณครับป้า”
“จ้า แล้วหนูมาหาบ้านไทยแถวนี้หรือ?”
ผมหัวเราะ
“ทำรายงานอ่ะฮะ นี่ก็หลงทางอยู่เหมือนกัน”
แกทำท่าเหมือนจะตะโกนถามร้านข้างเคียงให้ครับ ผมเลยปฏิเสธเป็นพัลวัน แล้วกราบขอบพระคุณไปหนึ่ง
ทีเต็ม แกเลยให้ลูกอมโอเล่ย์มาเม็ดนึง…เอ่อ…เห็นผมกี่ขวบแล้วครับป้า…แต่ก็ดีครับ เติมน้ำตาลเข้ากระแสเลือด
สักหน่อยก็ไม่เลว…….
“อ้าวหนูมาลา ว่าไงจ๊ะวันนี้เอาอะไรเอ่ย?”
ผมหยุดเดินทันทีครับ
แล้วจึงกลับหลังหัน…เผชิญหน้ากับใครคนหนึ่งที่เขาไม่รู้จักผมแต่ผมรู้จักเขาดี
คนถูกเรียกหมุ่นคิ้ว “เลิกเรียกมาลาว่า ‘หนูมาลา’ เถอะฮะ ดูเด็กชะมัดเลย”
“ก็ไม่ยอมโตสักทีนี่นา ฮ่าๆ”
“มาลาโตแล้วนะ!”
“เอ้า! งั้นเด็กตัวโตวันนี้อยากได้อะไรคะ?”
“ผัดซีอิ๊วสามห่อครับ ห่อนึงไม่ใส่ผัก”
“ไม่กินผักเดี๋ยวก็ไม่โตหรอกจ้ะ”
“อันนั้นไม่ใช่ของมาลา!แค่ผักคะน้ามาลากันได้เหอะ!”
อีกฝ่ายตัวเล็ก..ใช่ครับ มาถึงจุดนี้ถึงได้รู้ว่า ‘มาลา’ ที่ว่านั่นเป็นเด็กอายุไม่น่าเกิน 13 – 14 ปี ซึ่งยังไม่ถึงช่วงเจริญเติบโตอย่างเต็มที่ของวัยหนุ่ม ทำให้เขาดูตัวเล็ก..และแขนผอมๆที่หิ้วของเต็มมือนั่นยิ่งทำให้อีกฝ่ายดูตัวเล็ก
เข้าไปอีก
ครั้งที่แล้วผมเห็นเขาแค่ผ่านๆครับ ครั้งนี้ในระยะไม่เกิน2เมตรแบบนี้ทำให้ผมอดคิดไม่ได้จริงๆว่า..
…หน้าตาน่ารัก…
ตาโตคิ้วเข้มจมูกรั้นๆ จิ้มลิ้มน่ารักในแบบเด็กชาย..แต่สาบานได้เลยว่าถ้าโตขึ้นก็คงหล่อเหลาเอาการ และถึงตรงนี้ผมก็อยากหยิบกระจกขึ้นมาส่องเลยล่ะครับว่าจะเอาที่ไหนไปสู้ได้วะ!?
…เดี๋ยว หยุดเลยไอ้ไกร
…แกจะไม่สู้ เพราะแกบอกจะถอย ดังนั้นข้ามประเด็นนั้นไปก่อน………..
“มีอะไรรึเปล่าครับ?”
ผมสะดุ้ง เมื่อเด็กมาลานั่นขมวดคิ้วมองผม
..เล่นเอาเปิดสกิลแถแทบไม่ทัน..
“เปล่าครับ เอ่อ..พอดีพี่แค่คุ้นหน้าน้องน่ะ”
“หน้าผม?”
..กูแค่พูดไปเรื่อยไม่ต้องถามต่อได้ป่ะวะ!..
“เราเคยเจอกันที่ไหนมาก่อนรึเปล่าครับ?”
อีกฝ่ายขมวดคิ้วจ้องเป๋ง “นี่จีบมาลาเหรอ?”
“เจ้ย เปล่า!”
“เสียใจนะ พี่ก็หน้าตาไม่เลวหรอกครับ แต่มาลาชอบเข้มๆมากกว่า”
..ชะงัก..ช่างเป็นคำปฏิเสธที่แบบ..เล่นหูเล่นตามากครับ..
ผมกำลังนึกย้อนไปว่าไอ้ลีลาคำพูดแบบนี้มันคลับคล้ายคลับคลาเหลือเกินครับ ที่จริงแล้วไม่ได้ต่างกันสักเท่าไหร่กับไอ้พี่วันนั่น…แล้วก็อดอุทานในใจไม่ได้นะครับว่า ‘ไอ้เข้เอ้ย...’กับคำว่า ‘อย่างงี้นี่เอง…’
..จระเข้ก็คือจระเข้ครับ สำนึกในการเป็นมนุษย์เลยต่ำเตี้ยเรี่ยดินไปเสียหน่อย..
“ขอบคุณที่ชมนะ” ผมยิ้มเจื่อน
“แต่พี่ไม่ได้จีบนะ…พี่แค่คุ้นหน้าเราเฉยๆ”
“ครับๆ ก็พูดกันอย่างนี้ทุกคนแหละ”
“น้องเป็นคนแถวนี้เหรอ?”
“ฮั่นแน่ จะหลอกถามบ้านมาลาน่ะสิ ไม่บอกซะให้ยากหรอก” แถมด้วยการแลบลิ้นตอบแบบหนุ่มน้อยขี้เล่นมาทีนึงครับ
“พี่ชายเถอะ..ไม่คุ้นหน้าเลย มาเที่ยวเหรอ?”
ผมเลยแลบลิ้นกลับ
“ฮันแน่ จะหรอกถามทำความรู้จักกับพี่เหรอ? ไม่บอกซะให้ยากหรอก”
“ว้อย! อย่ามายียวนนะ!”
ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังส่องกระจกชอบกลครับ
“ชื่อมาลาเหรอครับ?”
“ถามชื่อคนอื่น..บอกของตัวเองมาบ้างรึยังครับ?”
“พี่ชื่อ ก-………” ผมชะงัก แล้วเลื่อนคำ
“กายครับ ชื่อกาย”
“ชื่อประหลาดจัง”
“ประหลาดตรงไหน..เรานั่นแหละ มาลา ชื่อโบร๊านโบราณ”
“อะไรฟะ! ชื่อนี่นายมาลาตั้งให้เลยนะ! อย่ามาดูถูกชื่อมาลานะ!”
ผมแกล้งทำเป็นขมวดคิ้ว
“นาย..ของมาลาเหรอ?”
“เจ้านายไง แค่นี้ก็ไม่รู้เรื่อง..โง่ป่ะครับ?”
“บ๊ะ คนถามดีๆนะเนี่ย”
“แล้วมาลาตอบไม่ดีตรงไหน?” อีกฝ่ายทำหน้าเหรอหราส่ายไปส่ายมา
“มาลาออกจะพูดเพราะ~”
“เออ เพราะก็เพราะครับ”ผมโคลงศีรษะ
“มาลาเป็นเด็กแถวนี้เหรอ?”
“ม่ายบอก”
“ไอ้เด็กนี่…”
“ถ้าจะจีบมาลาน่ะไปเกิดใหม่สักสิบปีนะฮะ…มาลามีนายอยู่แล้ว ไม่มองใครหรอก แบร่ๆ”
ผมอ้าปากค้าง
“พี่บอกว่าไม่ได้จีบไง!”
“มาลาก็แค่บอกว่าไม่ได้สนใจเฉยๆ ไม่ได้ว่าสักหน่อย”
มันเป็นจังหวะที่ผมอยากจะจับอีกฝ่ามาตีก้นมากๆครับ แต่เพราะผัดซีอิ๊วที่คนตรงหน้าสั่งไว้เสือกได้ซะก่อน มันก็เลยแยกยิ้มยิงฟันให้ผมแล้วหันไปจับจ่ายเงิน ก่อนจะเดินระริ่วหายไป แน่นอนครับว่าผมไม่รอช้า มองซ้ายมองขวาไม่เห็นว่ามีใครอยู่..ก็แอบสะกดรอยเดินตามไปทันที
เคราะห์ดีที่อีกฝ่ายค่อนข้างเป็นจุดเด่น ผิวขาวๆสะท้อนแสงได้นั่นมองหาได้ไม่ยากนัก..เขาแวะซื้อของที่ร้านสะดวกซื้อครั้งหนึ่ง ซื้อชานมไข่มุกด้วย…แถมยังยืนมองการ์ตูนหน้าร้านหนังสือตาละห้อย…พอสังเกตไปสักพักผมเริ่มคิดว่านี่จะได้อะไรไหมหนอ ทำตัวเหมือนสตอล์คเกอร์โรคจิตแอบตามหนุ่มน้อยหน้าตาดีหลังจากคุยกันได้ไม่กี่ประโยคชอบกล…
…แล้วนี่จะใช่ ‘มาลา’คนเดียวกันป่ะวะ……แต่แก่แดดแก่ลมขนาดนี้คงมีไม่กี่คนล่ะมั้ง…
ในที่สุดผมก็มาถึงปากทางเข้าที่เริ่มคุ้นตาบ้างแล้วครับ..
..หลังจากจุดนี้เป็นจุดที่ยากแล้วล่ะ เพราะยิ่งเดินเข้าซอยลึกมากเท่าไหร่คนก็เริ่มน้อยลงเรื่อยๆ..จนในที่สุดก็ไม่มีใครเลยนอกจากผมกับเด็กมาลา(ที่กำลังกระโดดโหยงเหยงไม่สนใจจะมองข้างหลัง…จะว่าไปมันก็ดีแล้วล่ะ) แต่เพราะผมเริ่มกังวล..กลัวไอ้เด็กมาลาจะจำได้ เลยถอดเสื้อนอกที่เป็นฮู้ดออกเก็บใส่กระเป๋า เลิกใส่แว่นกันแดด แล้วก็ทำทีเหมือนเด็กวัยรุ่นมาเที่ยวบ้านเพื่อนแบบเนียนๆครับ แหม..แดดร้อนใช่เล่นฮะประเทศไทย อีกฝ่ายก็ยังกล้าใส่เสื้อกล้ามกางเกงขาสั้นอีกหนอ…เสียดายผิวขาวๆชะมัด
ผมเอาแต่ตามเขาจนลืมจำทางเดิมไปเสียชิบ…เพราะฉะนั้นอย่าให้เดินกลับออกไปเองเลยครับ ผมคงนอนแห้งตายกลางแดดแบบนี้แน่ๆ…โชคดีที่โค้กถุงยังเหลืออยู่ ไม่งั้นตาย กระหายจนตาย
สิ่งที่ทำให้ผมหยุดเดิน ก็คือกำแพงรั้วบ้านที่มีอยู่เสี้ยวหนึ่งในความทรงจำครับ
และเมื่อผมเริ่มจะจำได้บ้างแล้ว ผมก็หยุด และเลิกที่จะเดินตามเด็กมาลาเพื่อแอบมองเข้าไประหว่างร่องไม้
กำแพงบ้าน….บ้านเรือนไทยหลังนั้น…ในมุมมองที่แตกต่างจากเดิม…
ผมกำลังใช้สมองอย่างหนัก กำลังพิจารณาว่าแต่ละส่วนเสี้ยวพวกนั้นมันเป็นเรือนหลังที่ผมเคยมาจริงรึเปล่า? แต่ก็ยากอยู่ครับ ตอนนี้มันเวลากลางวัน…แตกต่างจากตอนกลางคืนอย่างเห็นได้ชัด และขอบอกเลยว่าความกว้างของขอบเขตพื้นที่มันบอกผมว่าเราไม่อาจรู้ได้เลยว่ากำลังส่องเข้าไปตำแหน่งไหน!
ผมยังคงใช้สายตามองเข้าไประหว่างที่ค่อยๆเดินไปด้านข้างอย่างช้าๆ หวังว่าจะมีสักบางจุดที่ผมพอจะจำได้..บ้าง…
นั่นครับ…นั่นคือบ่อน้ำ!
เย้! ในที่สุดผมก็หามันเจอ..เออ..จะว่าไปมันกว้างไปป่าววะบ่อน้ำอันนี้……………………………
และเมื่อผมเห็นอะไรบางอย่างที่ริมสระ…ผมก็ต้องยกมือปิดปาก..กันไม่ให้เผลอปล่อยเสียงร้องอุทานด้วยความตกใจนั้นดังออกไป
ผมเคยเห็นสิ่งมีชีวิตประเภทนี้หลายต่อหลายครั้งผ่านลูกกรง ผ่านหน้าจอทีวี ผ่านอินเตอร์เน็ต หรือผ่านอะไรก็ตามที่ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองปลอดภัย แต่ครั้งนี้มันไม่ใช่…
พวกมันทั้งหลายอยู่ในระยะไม่ไกลเกินห้าเมตร บางตัวกำลังคืบคลานขึ้นมาจากสระน้ำขนาดใหญ่นั่น บางตัวก็อ้าปากระบายความร้อนแบบที่ผมเห็นพวกมันทำในสวนสัตว์ บางตัวอยู่เฉยๆคล้ายรูปปั้น บางตัวมีขนาดใหญ่กว่าตัวผมสามคนรวมกัน บางตัวก็เล็กจิ๋วเท่าต้นขา…แต่ไม่ได้ดูน่ารักเลยสักนิด
จระเข้จำนวนหนึ่งไม่ต่ำกว่าสิบตัว….รวมตัวกันอยู่ข้างสระน้ำนั่น
มันทำให้ผมระลึกได้อีกครั้งว่าจุดที่ผมกำลังยืนอยู่นี่คืออะไร…นี่คือ….รังจระเข้…
ผมถอยหลังช้าๆ คิดว่าตัวเองกลัวเกินกว่าจะกล้าทำอะไรนอกจากการหนีไปให้เร็วที่สุด…
ปึก!
แต่ก็ต้องหยุดทันทีเมื่อชนกับอะไรบางอย่างที่อยู่ด้านหลัง…ในระยะประชิดที่ผมสามารถได้ยินเสียงลมหายใจ
ใกล้จนรับรู้ถึงสัมผัสของผิวหนังที่คล้ายมนุษย์ แต่ตอนนั้นผมรู้ดี…มันแค่คล้าย แต่ไม่ใช่
ถ้าสามารถบังคับให้หัวใจหยุดเต้นได้ ผมคงทำไปแล้ว
ผมยืนนิ่ง ปล่อยให้ร่างกายลดอุณหภูมิของตัวมันเองช้าๆ สมองที่แสนชาญฉลาดประมวลไม่ออกว่าควรจะทำยังไงต่อไป และระหว่างที่ผมกำลังสับสน..ลมหายใจก็เร่งจังหวะเร็วขึ้นด้วยตัวมันเอง…
…มันเป็นความรู้สึกที่เรียกว่า…หวาดกลัวจนจะร้องไห้…แต่ผมไม่ได้ร้อง เพราะเสียงหลุดขำอันคุ้นเคยแม่งดัง
ขึ้นมาก่อน
ผมหันกลับไป เผชิญหน้ากับเขาที่ก่อนหน้านี้แม้แต่หน้าผมก็ยังไม่อยากจะเห็น..แต่เมื่อเสี้ยววินาทีที่แล้วผมกลับกำลังนึกถึงอย่างเอาเป็นเอาตาย มองหน้ามันที่กำลังพยายามกลั้นขำอย่างสุดชีวิตแล้วก็อดที่จะหงุดหงิดขึ้นมาไม่ได้
“ไอ้พี่วัน”ผมเค้นฟัน แล้วเอากำปั้นทุบเขา
“ไอ้พี่วัน ไอ้พี่วัน ไอ้พี่วัน!”
“อะไรเล่า? พี่ก็รอดูอยู่ว่าไกรจะทำยังไง”
“ตลกเหรอ?”
“เปล่า!”
“ขำมากป่ะ ขำมากใช่ป่ะ?”ผมยังทุบเขาอยู่ และเริ่มถลึงตาใส่
“กลัวแทบตายนะเว้ย”
“เออ กลัวซะบ้างก็ดี…รู้ใช่มั้ยว่าถ้าคนที่มาเจอไม่ใช่พี่จะเป็นยังไง?”
“รู้!”
เขายิ้ม จูงมือผม
“งั้นก็เป็นเด็กดี แล้วตามมาทางนี้นะครับ”
หัวใจบอกให้ผมสะบัดมือทิ้งครับ ต้องสั่งสอนซะหน่อยว่าอย่าทำอะไรแบบนี้! แต่ความกลัวแม่งมากกว่าครับ
เลยเลื่อนจากการจับมือเป็นเกาะแขนเขาแทน แล้วเดินตามดุกๆๆว่าง่ายขึ้นมาทันที
เขาพาผมมาที่กำแพงเดิมครับ
ผมเลยต้องรั้งเขาไว้ก่อนที่อีกฝ่ายจะปีนขึ้นไปก่อน
“เดี๋ยว!”
“หืม? อะไรล่ะ?”
“ไกรไม่ได้จะเข้าไป!”
“อ้าว? งั้นมาทำไมล่ะ?”
ผมชะงัก แล้วรีบๆหยิบจดหมายน้อยฉบับนั้นยื่นให้เขา
“นี่!”
ร่างสูงเลิกคิ้ว
“จดหมายรัก?”
“ตลกป่ะ! ใครจะไปเขียนให้คนที่เพิ่งปฏิเสธตัวเองมากันวะ!”
“เข้าใจผิดแล้ว”
เขาหัวเราะ รับจดหมายนั้นไป..แล้วพูดต่อด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่รู้สึกอะไร
“คนที่ไม่เคยพูดคำว่ารัก…คือไกรต่างหาก”
ผมเงียบทันที รู้สึกเหมือนโดนน้ำร้อนสาดหน้า
“มาแค่นี้ใช่มั้ย?” เขายังไม่เปิดอ่าน..แต่ถามผมแบบนั้น
“อื้อ” ผมตอบ..เสียงเบาลง รู้สึกประหลาดในอก
“เอ่อ…พี่วัน……”
“แต่ถ้าไม่มีธุระอะไรต่อก็…เข้าบ้านเถอะ..นะ” เขาบอกก่อนที่ผมจะทันได้พูดอะไรซะอีก
“พี่หมายถึง..ถ้าไกรสะดวกใจน่ะนะ และก็…..”
ผมเลิกคิ้ว
“อะไร..?”
เขายิ้ม
“…อยู่ด้วยกันอีกนิดเถอะ..นะ?”
ผมปฏิเสธคำขอร้องจนเหมือนจะร้องไห้แบบนั้นไม่ได้ครับ
…ไม่ได้…จริงๆ…
การปีนครั้งนี้ไม่ยากเหมือนครั้งที่แล้ว สิ่งเดียวที่กังวลคือไอ้เข้ที่ไหนจะมาโผล่แถวๆนี้รึเปล่าหนอ..แต่ครั้งนี้ผมก็ปีนขึ้นบันไดไม้ไผ่ไปอย่างว่าง่ายด้วย ทุกอย่างดำเนินอย่างเงียบกริบ..อาจเพราะผมเพิ่งรู้สถานะของตัวเองกระมัง..
เพราะงั้นครั้งที่แล้วจึงโชคดีมากที่ไม่เจอใครสักตัว..
ไอ้พี่วันเอาบันไดไปซ่อนไว้เหมือนเดิม แล้วเขาก็เดินอ้อมไปเข้าทางตัวบ้านโดยตรง
และผมก็นั่งกับพื้นรอเขาอยู่เงียบๆ
ในสมองผมปั่นป่วนไปหมด ไม่กี่สัปดาห์ที่ผ่านมาหลายเรื่องมันประดังประเดเข้ามากันเกินไปแล้ว ทั้งๆที่ผมเคยคิดว่าตัวเองเป็นคนง่ายๆอะไรก็ได้ไม่เรื่องมากแท้ๆ แต่กับเรื่องของไอ้พี่วัน…มันเริ่มทำให้ผมประสาทเสียขึ้นไป
ทุกที และที่แย่กว่าก็คือผมเลิกยุ่งกับเขาไม่ได้!
ผมยังดีใจที่ได้ยินเสียงเขาอยู่
..ผมยังหวั่นไหวเสมอที่เขายิ้มให้ ที่เขาแหย่ผม ที่เขาสัมผัส หรือเขาจะทำห่าอะไรให้ก็ดีใจไปเสียหมด..
ถ้าโป๊ยรู้ มันคงบอกว่าผมอาการหนัก..และผมไม่ปฏิเสธครับ ผมอาการหนักมาก พอนึกๆย้อนไปแล้วถามหาเหตุผลว่าทำไมผมถึงถลำลึกกับเขามาได้ขนาดนี้ และผมตอบไม่ได้…
เสียงเปิดประตูดังขึ้น ผมลุกขึ้นคุกเข่าหันไปมอง
พี่วันชะโงกหน้าถาม
“กินอะไรมารึยัง?”
ผมส่ายหน้า อยากจะตอบต่อว่าไม่เป็นไร..แต่อีกฝ่ายก็ผลุบหายออกไปจากบานประตูเสียแล้ว
ก็เลยตัดสินใจกลับมานั่งรอที่เดิม ที่ข้างๆเตียง
ไม่นานก็ได้ยินเสียงเปิดประตูอีกครั้ง ผมเลยทำเรื่องเดิมๆคือการ……….
“วางไว้ที่โต๊ะเลย”
“ขอรับ”
……มุดเข้าไปซ่อนใต้เตียง
ไอ้พี่วันครับ! จะเอาใครเข้ามาเสิร์ฟอาหารในห้องนั่งเล่น(ถัดไปน่ะครับ ผมอยู่ห้องนอน) ทำไมไม่บอกกัน
แต่แรกครับ! กูนี่เสียวไส้นึกว่าจะได้ไปเป็นอาหารในจานซะละ!
“ไกร ทำอะไรน่ะ?”
เสียงนั่นเป็นสัญญาณบอกผมว่าคนอื่นไปแล้ว นั่นทำให้ผมค่อยๆคลานออกมา
“เล่นซ่อนแอบไง”
เขาหัวเราะ
“ใต้เตียงมันเห็นชัดไปนะ”
“ก็ตกใจหมด นึกว่าจะโดนกินซะแล้ว”
“ใครจะยอมให้กินไกรกัน” เขายื่นมือมาช่วยพยุงผมให้ลุกขึ้น
“พี่ไม่ยอม…ไม่ว่าใครทั้งนั้นแหละ”
ผมใจเต้น..และมันแย่มาก..
พี่วันจูงมือผมเดินมาที่อีกห้องครับ ประตูลงกลอนเรียบร้อยปลอดภัยเชียว…และอย่างน้อยอาหารที่ถูกยกมาก็ไม่ได้หรูหราอะไรเหมือนที่ผมกลัว ก็เป็นแค่อาหารสองจานธรรมดา……………คือผัดซีอิ๊ว
ผมกลืนน้ำลาย รู้ถึงที่มาที่ไปของมัน..แล้วถาม
“บ้านพี่ทำกับข้าวกันเองเหรอ?”
คนถูกถามเลิกคิ้ว
“ปกติก็ใช่ มีคนครัวอยู่..แต่นี่ให้เด็กไปซื้อมา”
“มาลาเหรอ?”
ผมโพลงออกไปอย่างลืมตัว อีกฝ่ายกระพริบตา
“ถามทำไม?”
“…..เปล่า”
“..ก็มาลาน่ะแหละ” เขาตอบ เป็นฝ่ายนั่งลงก่อน
“นึกว่าไม่อยากได้ยินชื่อนั้น…พี่ก็เลยไม่ได้พูด”
“ก็ไม่ได้ว่าอะไรนี่”
“ไกร”
“ครับ”
“มานั่งนี่สิ ข้างๆพี่”
“ถ้าไม่ทำตามจะโดนกินมั้ย?”
ผมพยายามพูดติดตลก แต่อีกฝ่ายไม่ได้ยิ้ม..และไม่ได้ตอบอะไรเลย
เขาก้มหน้าก้มตาทานอาหาร ปล่อยให้ดวงตาตัวเองกลายเป็นสีทอง..และก็ไม่ได้เงยหน้ามองผมอีกยันคำที่ 3
(ซึ่งมันเร็วมากๆ..) และความเงียบแบบนั้นมันทำให้ผมอึดอัด เลยย้ายที่นั่งไปนั่งข้างๆเขา
“ขอโทษ” ผมบอก
“แค่ล้อเล่น…”
เขาผ่อนลมหายใจ “มันไม่ขำนะ”
“จะไม่เล่นแล้วครับ”
“อืม”
“พี่วัน…”
“กินก่อนเถอะ” เขายิ้มให้
“เดี๋ยวเย็นหมดนะ”
..และผมคิดว่าเขาก็ยิ้มไปอย่างนั้นเอง..
เส้นใหญ่ผัดซีอิ๊วตรงหน้าจืดชืดไปเลยหลังจากบทสนทนานั้น แต่ผมก็ยอมนั่งทานให้หมด(ถึงแม้จะช้ากว่าเขาเท่านึงก็ตาม) ท้องเริ่มอิ่มนิดๆหลังจากเดินทางไกล(ทางไกลบ้าไรวะในกรุงเทพฯชัดๆ!) เสียงกิ่งไม้จากหน้าต่างด้านนอกเสียดสีกันเป็นแบคกราวน์..บอกให้ผมรู้ว่าที่นี่บรรยากาศดีแค่ไหน
พอเงยหน้าหา อีกฝ่ายมองผมอยู่…ด้วยรอยยิ้มที่มุมปาก
ผมหยิบทิชชู่มาเช็ดปากทันที
“อะไร?”
“เปล่า”
“ยิ้มอะไรเล่า!”
“เปล่านี่”
“ตะกี้ขอโทษ” ผมชิงบอก ก่อนเขาจะเปลี่ยนเรื่องให้ผมไม่ได้มีโอกาสพูด..ในสิ่งที่ควรจะพูด
“ไม่ได้ตั้งใจจะ…กัดพี่แบบนั้น แค่ล้อเล่น”
เขาลูบหัวผม
“พี่รู้น่า..”
“อย่าโกรธนะ”
“ไม่ได้โกรธครับ”
“จริงนะ?”
“จริงสิ” เขาผละมือออกไป..แต่ยังมองหน้าผมอยู่“แค่อย่าล้อเล่นแบบนั้นอีกก็พอ”
“ครับ..”
“วันนี้ว่าง่ายจังนะ”
“อะไรเล่า!”
“นึกว่าจะไม่ยอม…เจอหน้าพี่แล้ว…ซะอีก”
เขาปรือตา..เบือนสายตาไปทางอื่นขณะเอนหลังไปกับเบาะโซฟา..ผมมองเขาที่เพิ่งพูดด้วยเสียงเบาขนาดนั้นออกมา แล้วขยับเข้าไปใกล้อีกนิด…เขย่าขาสะกิดเรียกร้องความสนใจ ซึ่งเขาก็หัวเราะ…ก่อนจะวาดแขนมาโอบผมเอนศีรษะพิงไหล่เขาไว้…ราวกับว่านี่เป็นเรื่องปกติ
ผมหลับตา “ตอนแรกก็ไม่อยากเจอหรอก…”
“หืม?”
“…แต่มันช่วยไม่ได้นี่นา…”
“อ้อ” เขาหยิบจดหมายขึ้นมา“เพราะไอ้นี่เหรอ?”
“อื้อ”
“มีอะไรทำไมไม่บอกพี่ตรงๆล่ะ? หืม?”
“ก็เพราะไม่อยากเจอหน้าไง” ผมหลุบตาลง “เจ็บ”
“…แล้วตอนนี้เจ็บไหม?”
“เจ็บ”
เขาเงียบไป “พี่ขอโทษ…”
“ช่างเถอะ” ผมตัดบท ซุกหน้าลงกับไหล่เขา “ไกรเข้าใจ”
“แล้วมีอะไรล่ะ?”
“เมื่อวานอาจารย์คงเรียกผม”
สิ้นคำอีกฝ่ายก็นิ่งไปจนสัมผัสได้ แต่เพราะผมยังไม่อยากเปลี่ยนโพสิชั่นตอนนี้เลยไม่ยอมขยับดูเขา…
มันเสียดาย และผมบ้าที่อยากให้ช่วงเวลานี้อยู่กับเรานานๆ…
และในที่สุด..เขาก็ถามย้ำ
“ว่าไงล่ะ?”
“ว่าไงอะไร?”
“อาจารย์คงไง”
“อ้อ” ผมดันตัวเองออกมา ถึงเวลาจะต้องพูดเรื่องนี้จริงจังแล้วสินะ “อาจารย์คงถามเรื่องพี่”
“เรื่องอะไร?”
“ถามว่าไกรสนิทกับพี่มากแค่ไหน…” ผมคิดว่าตัวเองสั่นตอนที่กำลังพูด..อาจเพราะดวงตาสีทองคู่นั้นดูน่ากลัว
กว่าทุกที
“…ถาม….ว่าบ้านพี่อยู่ที่ไหน…”
เขาเงียบ
ผมเอง..ก็เช่นกัน
แต่เราเงียบด้วยคนละเหตุผลกันครับ ผมเงียบเพราะผมรอให้เขาพูดอะไรสักอย่าง แต่เขาเงียบ..เงียบเหมือนอึ้งทึ่งไป
ก่อนจะถามต่อ
“แล้วไกรบอกไปรึเปล่า?”
“เปล่า ไกรบอกว่าจำไม่ได้”
“เพราะตอนนั้นแน่เลย…”
“ตอนไหน? อะไร?”
“ตอนที่พี่แกล้งไกร แล้วตะโกนดังๆว่าพี่เป็นจระเข้” เขาผ่อนลมหายใจ…ยกมือเสยผมสุดคูล
“ให้ตายเถอะ…พี่ผิดเองเรื่องนี้ หมอนั่นต้องรู้แล้วแน่ๆ”
“อาจารย์คงรู้ว่าพี่เป็นจระเข้เหรอ?”
“น่าจะ”
“ล-แล้ว..แล้วยังไง? เราต้องทำยังไง?”
“ทำอะไรมากไม่ได้หรอก” เขายิ้ม ขยี้หัวผมเพื่อบอกเป็นนัยว่าผมไม่ได้ผิดอะไร
“ได้แต่ระวังตัวเท่านั้น”
ใจผมน่ะมีคำถามว่า..ระวังทำไม..อยู่ครับ แต่ก็เสนอตัวเองออกไปก่อน “งั้นให้ไกรไปคุยกับอาจารย์คงให้ไหม? บอกว่าอย่าบอกใคร บอกว่าพี่ไม่ได้อันตราย…หรือบอกไปว่าตอนนั้นเราแค่ล้อเล่นกันก็ได้! บอกว่าคนตรงหน้าเป็นจระเข้ใครมันจะไปเชื่อกันล่ะ จริงมั้ย?”
“ถ้าเป็นรายนั้นน่ะเชื่อแน่..”
“ทำไมล่ะ?”
“พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าจระเข้กับมนุษย์เป็นศัตรูกันน่ะ…”เขาผ่อนไหล่ที่เกร็งจนถึงเมื่อครู่ลง แล้วมองออกไป
นอกหน้าต่าง
“เราไม่ได้จองล้างจองผลาญมนุษย์ทั่วไปหมดหรอกนะ แค่คอยระวังตัวเอาไว้เท่านั้น..ศัตรูจริงๆน่ะคือเจ้าพวก
นั้นแหละ”
“อาจารย์คงน่ะเหรอ!?”
“ใช่”
“เดี๋ยวก่อนนะ” ผมยกมือขึ้น
“ไกรไม่เข้าใจ…ทำไมถึงเป็นอาจารย์คง…อาจารย์เนี่ยนะ!?”
“ตกใจทำไม ก็อารมณ์เดียวกับจระเข้ไปเรียนมหา’ลัยน่ะแหละ”
..จริงของมันครับ..
“พี่เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าพ่อแม่พี่เสียแล้ว?”เขาถาม ผมพยักหน้า
“ถึงยังไม่มีหลักฐานอะไร..แต่ก็เป็นฝีมือพวกนั้นน่ะแหละ จระเข้อย่างเรามีอำนาจมากเกินกว่าที่มนุษย์ธรรมดา
จะฆ่าได้….”
สงสัยผมยังทำหน้ามึนอยู่กระมังครับ เขาถึงได้ยิ้มเอ็นดูแบบนั้น
“ไกรเคยได้ยินเรื่อง…หมอปราบจระเข้รึเปล่า?”
กูจักอยู่ยืนยั้งยืนยง
สืบเผ่าต่อคงชั่วลูกหลาน
ตามเข่นฆ่าไล่ล่าแต่บรรพกาล
เพียงต้องการให้มึง…สูญเผ่าพันธุ์
|