แก้ไขครั้งสุดท้ายโดย tanya เมื่อ 2015-2-20 08:03
ถ้าหากว่าซ้ำต้องขออภัยนะครับและขอโทษเจ้าของเรื่องด้วยนะครับเพราะว่าคัดลอกมาอีกที
ความเดิมตอนที่แล้ว
จ้าวกุมภีล์ผู้ใหญ่ยิ่งนักหนา
ได้ครอบครองแก้ววิเศษเรืองฤทธา
ด้วยเดชาเปลี่ยนกุมภาเป็นรูปคน
สีอำพันสุกใสเป็นนัยน์เนตร
ร่างวิเศษเสมอเหมือนไม่สับสน
สองมือห้านิ้วครบจบในตน
รูปโฉมงามล้นให้พ้นภัย
หากแต่ต้องแตะน้ำจึงหวนกลับ
กายแปลงลับลาสิ้นมิอาจไห้
ผิวกายอ่อนกลับเป็นเกล็ดมิดั่งใจ
ตระหนักไว้เราคือใคร..มิใช่ ‘คน’
ตอนที่ 2
-๒-
ทั่ก ทั่ก ทั่ก
ผมกำลังวิ่งลงจากบันได รู้สึกว่าหัวใจตัวเองเต้นแรงผิดปกติ..แต่ไม่ใช่เพราะผมกำลังออกกำลังกายอยู่ ผมรู้ดี… ว่านี่หมายถึงอะไร…
เมื่อผมกลับมาอีกครั้ง…อีกฝ่ายก็ยังคงนั่งอยู่ที่เดิม…เหมือนกับว่าเขาแทบไม่ขยับตัวเลยสักนิดด้วยซ้ำตั้งแต่ที่ผม วิ่งออกไป พร้อมเงยหน้ามองผม…ด้วยนัยน์ตาสีเหลืองสดคู่นั้น
..มันโดดเด่น ทำให้ใจเต้นแรง..แต่ผมพอรู้ว่านี่ไม่ใช่สิ่งที่เรียกว่า ‘ความหวาดกลัว’แน่ๆ..
สองมือยื่นเสื้อให้เขา อีกฝ่ายกระพริบตาพร้อมถามชัด
“อะไร?”
“ใส่ฮู้ดคลุมไว้สิวะ โง่จริง” ผมด่า “สภาพแบบนี้จะออกไปพบใครที่ไหนรึไง?”
เขาดูตกใจ แต่ก็รับไว้..และขยับกายสวมมันตามที่ผมสั่ง
จากนั้นเราทั้งคู่ก็เงียบลงไป
ผมตั้งคำถามเองและตอบคำถามเองอยู่ในใจประมาณล้านรอบเห็นจะได้แล้วตั้งแต่ที่ออกวิ่งขึ้นไปที่ล็อคเกอร์ตัวเองชั้นสาม และวิ่งลงมาหาเขาอีกรอบในเวลาไม่กี่นาที…คำตอบก็คือ…ว่างเปล่า ใช่..เอ่อ…ผมก็อยากถามคำถามนะ แต่สมองตอนนี้มันว่างเปล่าเกินกว่าจะคิดอะไรอื่นได้
อยากให้ทวนความมั้ยครับ?
เมื่อประมาณชั่วโมงก่อนผมยังช่วยงานอาจารย์คงอยู่หน้าคอมพิวเตอร์ในห้องพักอาจารย์ ฝนตกตั้งแต่แลคเชอร์คาบสุดท้ายยังไม่ทันจบ..และตอนที่ผมกำลังจะกลับมันก็ยังไม่หยุดตก และก่อนผมจะกลับ…ก็มาเจอหมอนี่ ‘ซ่อนตัว’ อยู่ในซอกที่คนปกติแม่งไม่เข้ามาแน่ๆ
….แต่หมอนี่….ดูเหมือนจะ…เอ่อ…มีอะไรที่แตกต่างจากคนปกติไปนิดหน่อย….
….จัดเป็นกรณียกเว้นน่ะนะ…
เมื่อสามชั่วโมงก่อน(ผมจะทวนเป็นตัวเลขทำไม? ถามจริงเหอะ!) ผมยังเห็น ‘ทิวัน’ พูดคุยกับแฟนสาวของเขาอยู่ในห้องเรียนอยู่เลย หมอนั่นในตอนนั้นยังคงปกติดี…ถามว่าตรงไหนน่ะเหรอ? ให้ตายเถอะ ‘คนปกติ’น่ะ.....ถ้าไม่เข้าใจก็ไปส่องกระจกซะไป๊!
ผมสบกับนัยน์ตาสีทองนั่นอีกครั้งหนึ่ง เพราะรู้ว่าการมอง ‘ผิวหนัง’ ที่เปลี่ยนไปของเขามันเป็นเรื่องเสียมารยาทมากๆ…เหมือนกับการมองเอวของคนอ้วนน่ะแหละ หากร่างกายของเรามีอะไรบางอย่างที่ผิดแผกไปจากคนอื่น… เขาก็ไม่อยากให้เรามองหรอกนะ
…แต่ถ้าไม่บอก พวกคุณก็ไม่รู้ใช่มั้ยล่ะ?
สรุปความสั้นๆได้ว่าผิวของเขามันออกสีเขียวนิดหน่อย…แล้วก็หยาบ..เป็นเกล็ดดหยาบๆ…และ…ผมรู้แค่นั้น… มันอยู่ในความมืด และเขาก็สอดมือเข้าไปในกระเป๋าเสื้อฮู้ดของผมเพื่อหลบซ่อนมันอย่างดีซะด้วย
“เอ่อ…”
เราทั้งคู่ชะงักทันที เมื่อเราพูดมันออกมาพร้อมกัน
และเขาผายมือ…อย่างสุภาพบุรุษ…กวนตีนชะมัด!
ผมก็รับเอาไว้งั้นๆแหละ “นายก่อน”
…สุภาพบุรุษกว่าใช่มั้ยล่ะ?
ไอ้วันหลบตาผม “ไกรคงอยากถามอะไรสักอย่าง…”
“ใช่”
“ก็ถามมาสิ”
“…ยังนึกไม่ออก” ผมตอบไปตามตรง “ถ้านึกออกจะถามแน่ๆ”
“แล้วเมื่อกี้จะพูดอะไร?”
ผมกรอกตา “เราจะถามว่า…นายป่วยรึเปล่า?”
เขายิ้ม “ตลกดี”
“…เอ่อ…เราว่านั่นไม่ใช่คำตอบนะ”
“มองดูไม่รู้เหรอ?” เสียงนั้นดังขึ้นเล็กน้อย ถกคอเสื้อให้ผมเห็นผิวหนังเกล็ดๆของเขาใต้ร่มผ้า “ไม่ได้ป่วยหรอก นี่เรียกว่า…ธรรมชาติ”
“ธรรมชาติพ่อ…สิ”ผมย้อน
“พ่อพี่ก็เป็น”
เขาแทนตัวเองว่า ‘พี่’ …มันทำให้ผมชะงัก ตระหนักได้ว่าเขาแก่กว่า และเหมือนตอนรับน้องเมื่อ3 – 4 ปีก่อนนั่นแหละ ‘เข้าก่อนเป็นพี่ เข้าหลังเป็นน้อง เข้าพร้อมเป็นเพื่อน!’ …ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร มันเป็นสัญญาณบอกให้ผมสุภาพลง กว่านี้…ยอมให้นิดหน่อยก็ได้ฟะ
“แล้ว ‘พี่’ เป็นอะไร?”
ตอกคำว่า ‘พี่’หนักๆกลับไปหวังจะให้รู้…แต่อีกฝ่ายไม่สนใจ
“โดนน้ำ” เขาไหวไหล่ “มันก็คืนร่างของมัน”
“ร่างอะไร?”
“จระเข้”
“หะ….”
“ใครน่ะ!?!”
เสียงแหบห้าวแผดก้องมาจากปากทางเดินทำเอาทั้งผมและเขาสะดุ้งด้วยกันทั้งคู่ ผมลุกขึ้นยืนโดยอัตโนมัติ..เหมือนๆกับที่เขาหันหน้าหนีทันทีที่แสงส่องเข้ามา
“ผ..ผมเองครับ!”
จากเหตุการณ์เมื่อครู่ทำให้ผมเรียนรู้ว่าผมต้องลุกขึ้นแสดงตัว พี่ยามฉายไฟเข้ามาจนผมต้องหรี่ตา
“เกรียงไกรปี 3 ครับพี่ยาม!”
ผมภาวนาในใจ..หวังให้อีกฝ่ายจำผมได้ ซึ่งเขาก็ยอมลดแสงลง
“แล้วอีกคนล่ะ?”
“พ-พี่ทิวัน ปี 4 ครับพี่!”
“ทำอะไรกันอยู่ในนั้นน่ะ”
“หาของน่ะครับ” ลีลาพริ้วไหวดุจปลาไหลในโคลนตม “ผมเอางานโปรเจคเทอมที่แล้วมาเก็บไว้ในนี้…ไม่รู้ว่ามันต้องทำพอร์ทฯ…แต่ยังหาไม่เจอเลยครับพี่”
“แล้วทำไมหากันมืดๆ”
“ม-เมื่อกี้เอามือถือส่อง แล้วมือถือผมมันดันตกหายไปไหนก็ไม่รู้อ่ะครับ..”
..พูดแล้วน้ำตาจะตกครับ เพิ่งตระหนักได้ว่ายังไม่ได้มือถือคืนมาเลยนี่หว่าจ๊าดง่าวเอ้ย!
คนฟังดูงงๆครับ แต่ก็พยักหน้าเชื่อ แล้วทำท่าจะเดินเข้ามา “ให้พี่ช่วยหามั้ย?”
…กรี๊ด!… “ไม่ต้องครับพี่!”
“ทำไมละ..มันมืดๆก็………”
“หาเจอแล้วครับ!”
อีกเสียงหนึ่งตะโกนขึ้นมา ทิวันชูไอโฟนลูกรักของผมให้พี่ยามดูเพียงแว่บเดียวก่อนจะเก็บลงไป (ในใจผมกำลัง กู่ร้องทั้งน้ำตาว่า เย้ลูกพ่อเราพลัดพรากกันมาสิบนาทีเลยนะ!)….แล้วหน้าที่ของไอ้เวรตะไลนี่ก็หมดตรงนั้น
ผมหันกลับมาอีกที ยิ้มแหะๆ “ครับ หาเจอแล้ว….”
“อ้อ งั้นเรอะ”พี่ยามหน้าซื่อยังคงเชื่อ “งั้นพี่ไปล่ะ อย่ากลับให้มันดึกนักล่ะ ต่อให้เป็นผู้ชายก็อันตราย”
“ค้าบ”
การยืนยิ้มแฉ่งหน้าบานเป็นจานกระด้งแบบนี้โคตรตลกและมีพิรุธมากครับ แต่ผู้มาเยือนแกก็ยอมเชื่อแล้วล่าถอยไปโดยดี นี่ถ้าไม่ได้ร้อยกระบวนท่าของผมเราคงจบกันไปแล้ว!
…มีแค่ผมคนเดียวก็พอมั้งที่จะเจอเรื่องพิลึกพิลั่นแบบนี้ในคืนวันนี้!
ผมยังคงยืนค้างท่าเดิมไว้จนกว่าเสียงฝีเท้าพี่แกจะหายไปนั่นแหละ ถึงได้หันกลับมาถาม
“แล้วเรา…จะทำยังไงต่อดี?”
อีกฝ่ายเงยหน้า..ดูงุนงงกับคำถามนั้น
…แต่ก็ว่า
“ไกรมีไดร์เป่าผมมั้ย?”
ไดร์เป่าผม…ผู้ชายอย่างผมมีไว้เพื่อเซ็ตผมครับ
แต่ขอบอกเลยว่าเห็นแบบนี้ก็ไม่ได้ใช้มันบ่อยๆหรอกนะ เก็บอยู่ในส่วนที่ลึกสุดของตู้เสื้อผ้าจนผมลืมไปแล้วนะเนี่ยว่าเคยมีไอ้อุปกรณ์ไฟฟ้าเจ้าสำอางขนาดนี้อยู่ด้วยจนกระทั่งอีกฝ่ายถามหา…นั่นแหละ ถึงจำได้
เคราะห์ดี…หอพักของผมอยู่ใกล้กับมหาวิทยาลัยจนอาศัยความมืดใต้ตัวอาคารและร่มเงาไม้ก็พอจะเดินจ้ำๆ ไปถึง และอาศัยความรวดเร็วในการวิ่งขึ้นห้องที่อยู่ชั้น4ทางบันไดหนีไฟ…ไม่เสี่ยงกับลิฟท์หรอกครับในเวลาที่คนเข้าออกเยอะแบบนี้ แหม จะให้บอกกับคนอื่นว่าเพื่อนผมโดนตะไคร้จับรึไงกันครับ…
หลังจากเหตุการณ์ฉุกละฮุกเมื่อครู่…ทุกอย่างก็เหมือนจะเข้าสู่ภาวะสงบนิ่งได้ในไม่ช้า วิมานสวรรค์ที่มีชื่อว่า ห้อง 407 (ห้องผมนั่นเอง) ปกติแล้วผมจะเปิดเพลงทันทีที่เข้าห้องเพราะความเงียบมันทำให้เกิดมโนภาพแปลกๆ แต่ครั้งนี้ไม่ครับ..ผมลืมไป
และถึงต่อให้เปิดไปก็ไม่ได้ยินสักเท่าไหร่หรอกตราบใดที่เสียงไดร์เป่าผมยังร้องวี้ๆอยู่แบบนี้
ผมถือโอกาสมองภาพตรงหน้าชัดๆอีกครั้งในที่ต้องแสง
ผิวหนังของเขาเป็นเกล็ด…แต่ไม่ถึงกับเป็นพื้นผิวที่เด่นชัดอะไรมากนัก ที่น่าจะเห็นมากที่สุดคือสีครีมเลื่อมเขียวซีดๆซึ่งเป็นสีของมันมากกว่า แม้จะมีบางส่วนที่สีอ่อนกว่าบ้างอย่างเช่น..เอ่อ..ท้องแขน..ล่ะมั้ง แต่ก็มีบางส่วนที่เข้มขึ้นมาอย่างตรงที่ผมคิดว่าเป็น ‘คิ้ว’ ของเขา แต่แน่นอน..เรือนผมสีดำสนิทนั่นยังอยู่ดี ยังคงสลวยสวยประบ่า น่าหมั่นไส้ล่ะเกิน
อีกฝ่ายเหลือบสายตามามองผม และยิ้มให้..ตอนที่ผิวหน้าของเขาค่อยๆเปลี่ยนกลายเป็นผิวหนังมนุษย์ธรรมดา เป็นปาฏิหาริย์
“ไม่เคยเห็นเหรอ? จ้องใหญ่เชียว”
ดูมันพูดเข้าครับ เหมือนกับว่าผมจะเดินออกจากห้องไปหามนุษย์กลายพันธุ์ได้ตามเซเว่นงั้นแหละ!
“จะไปเห็นที่ไหนวะ..สิ่งมหัศจรรย์ที่ 8 ของโลกเลยนะว้อย!” “แล้วเธอจะรู้…ว่าโลกนี้มีอะไรมากกว่านี้อีกเยอะ”
เขายิ้มอยู่..เหมือนมันเป็นเรื่องตลก แต่อะไรบางอย่างในดวงตานั่นบอกผมว่ามันไม่ใช่ ‘เรื่องตลก’ แบบนั้น การที่เขาเปลี่ยนกลับคืนเป็นเหมือนเดิมต่อหน้าผมก็เป็นเรื่องตลก…เช่นกัน
“ตาของนาย” ผมไม่ชอบความเงียบ “สีทอง”
“ใช่” คู่สนทนารับคำ “กรรมพันธุ์น่ะ…จะว่าไปก็กรรมพันธุ์ทั้งหมดน่ะแหละ ทั้งตัวเลย”
…บทสนทนาแม่งดำเนินมาถึงจุดที่ยากที่สุดแล้วล่ะครับ…
ผมลังเล..แต่ก็เพียงไม่นานนักหรอก มันถึงจุดที่ผมต้องถามแล้วล่ะครับ ไม่งั้นไอ้ความอยากรู้อยากเห็นแม่งคงทำผมจุกอกตายอยู่ตรงนี้แน่ๆ
“….นาย…เป็นตัวอะไร?”
แม้จะเลือกใช้คำผิดไปบ้าง แต่คนถูกถามก็ดูไม่สนใจกับคำปรามาสนั้น
แล้วตอบชัดถ้อยชัดคำ
“จระเข้”
…เหมือนเมื่อครู่เด่ะๆ
คำตอบที่ทำเอาผมต้องกระพริบตาปริบๆ มองเขาตั้งแต่ศีรษะจรดเท้า…พิจดูให้แน่ว่าไอ้บุรุษรูปงามตรงหน้าผมมันดูละม้ายคล้ายคลึงสัตว์เลื้อยคลานสปีชี่ส์นั้นตรงไหน และชัดเลย…สองมือสองขา สองหูสองตา…ไม่ต่างอะไรจากผมเลยสักนิด
เวลาเหมือนจะผ่านไปนานมาก ทั้งๆที่แค่สองอึดใจไม่ขาดไม่เกิน
“จระเข้?” ผมทวนคำ “จระเข้?”
“ใช่”
“จระเข้เนี่ยนะ?”
“ใช่” เขาเลิกคิ้ว “ทำไมล่ะ?”
“เป็นอะไรที่เท่ห์กว่านั้นหน่อยไม่ได้รึไง?”
“…นี่เธอข้องใจตรงนั้นเรอะ?”
“เปล่า” ผมพยายามควบคุมสติ “จระเข้น่ะมันเป็นสัตว์ที่…..เอ่อ…น่า…ขนลุก…”
เขาวางไดร์เป่าผมลงทันที “เรื่องนั้น…พี่ไม่เถียง”
.. ‘พี่’ อีกแล้ว! ให้ตายเถอะ..!
“ผมก็ยังไม่เข้าใจอยู่ดี” สุภาพเต็มที่ครับ “จระเข้คืออะไร? แล้วพี่เป็น ‘จระเข้’ เหรอ? นั่นหมายถึง..เอ่อ…จระเข้ทุกตัวทำได้แบบ…..”ผมมองเขาตั้งแต่หัวจรดเท้า “…ทำได้…แบบ…นี้…ด้วยรึเปล่า?”
เขากรอกตา “ก็..ไม่เชิงนะ”
“ยังไง?”
“ขี้เกียจอธิบายจัง…”
….ผมบอกแล้วใช่มั้ยครับว่า ‘นายทิวัน’ นี่แม่งโคตรกวนประสาท!
ผมอยากจะเงื้อหมัด แต่ก็ข่มอารมณ์ให้ใจเย็นเอาไว้(และมันช่างลำบากเหลือเกินนน) แต่ท่าทางหมอนี่จะรับรู้ได้ถึงรังสีอำมหิตที่แผ่ซ่านออกมากระมัง ถึงได้ยกมือห้ามผมแบบนั้น
“ไม่ใช่แบบนั้น คือ…พี่แค่ไม่เคยต้องมานั่งอธิบายให้ใครฟังมาก่อน”
“ทำไมล่ะ?”
“ก็ไกรเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้นี่”
ผมชะงัก “คนแรก?”
“ใช่”
“แล้วแก้วล่ะ? ไม่…เอ่อ…แก้วไม่รู้เรื่องด้วยเหรอ?”
เขายิ้ม “แก้วจะรู้ได้ไงล่ะ”
“แก้วเป็นแฟนพี่นี่”
“พี่ไม่ใช่แฟนแก้ว”
..ชะงักรอบที่…สามร้อยสิบแปดเห็นจะได้..
อีกครั้งที่ผมมองตาเขียวปั๊ด “อย่ามาขี้จุ๊ คนเค้ารู้กันทั้งคณะว่าแก้วแฟนพี่”
เขาไหวไหล่ “ก็นะ จะคิดงั้นก็ตามใจ”
..ไอ้กวนส้นนี่..
“แล้วเห็นพี่บอกว่าพี่จะกลับกับแก้ว”
“พี่ไม่ได้จะกลับกับแก้ว” เขาตอบ “แก้วยืมชีทเรียนเก่าๆของพี่ ก็เท่านั้น”
..ไอ้ขี้เก๊กนี่..!
“เออ เรื่องแก้วไว้ก่อน”ผมคิดว่าตัวเองใจเต้นตูมตามตอนคุยเรื่องผู้หญิงคนนี้ครับ และมันทำให้ผมไม่มีสมาธิเท่าไหร่ “สรุปก็คือผมเป็นคนแรกที่รู้เรื่องนี้ใช่มั้ย?”
“ใช่”
“พี่อายุเท่าไหร่?”
“22”
“…เกิดมา 22 ปี…ความเสือกแตกกับผมคนเดียวเนี่ยนะ!?”
“ใช่”
“พี่เก็บความลับเก่งเนอะ”
“งั้นมั้ง”
“พี่วัน” ผมต้องฝึกเรียกให้ชินปาก “เวลาพี่ตอบคำถามเนี่ย…ช่วยตอบแบบ เอ่อ ประโยคยาวกว่านี้นิดนึงได้ปะ? ผมจะได้ไม่ต้องมานั่งยิงคำถาม ใส่แบบนี้”
“แล้วจะให้พี่ตอบว่าไงล่ะ?”
..ยังจะย้อน.. “แค่อยากให้อธิบายว้อย!”
“….พี่ไม่ใช่แฟนแก้ว แต่อยู่ด้วยแล้วสบายใจดี..แก้วไม่เรื่องมากเหมือนผู้หญิงคนอื่น แล้วก็น่ารักด้วย”
“ไม่ใช่คำถามนั้นเฟ้ย!”
“แล้วคำถามไหน?”
ผมกัดฟันกรอด “จระเข้ไง!”
เขาเลิกคิ้วขึ้นข้างหนึ่ง ขยับยิ้มมุมปาก..ยิ้มแบบที่ผมรับรู้ได้โดยสัญชาติญาณว่าแม่งตั้งใจกวนส้นตีน!
“แม่งเอ้ย! ขออัดสักทีหนึ่งค่อยพูดก็ต่อก็แล้วกัน!”
อีกฝ่ายยกมือห้ามทันทีที่เห็นผมลุกพรวดพราดพร้อมกำหมัดแน่น แต่ยังไม่วายกลั้นขำไว้อย่างสุดพลัง..เออ เอาเข้าไป กวนประสาทเข้าไป!อย่าทำอีกนะมึง…พ่อจะถลกหนังมาทำกระเป๋า เอาเนื้อมาทำลูกชิ้นให้หมด!
…….ว่าแต่จะถลกได้จริงป่ะวะ?
“ไกรรู้จักพวก…คาถาอาคมมั้ย?”
ดูเหมือนอีกฝ่ายจะยอม ‘เข้าเรื่อง’ ได้สักที ผมเลยสงบข้อสงสัยไว้ตรงนั้น
มือใหญ่ล้วงเข้าไปดึงสร้อยคอสีทองของตัวเองออกมา..สีทองน่ะครับ ผมยังไม่อาจฟันธงได้ว่านี่เป็นทองรูปพรรณแท้รึเปล่า…แต่ใจความสำคัญอยู่ที่ผลึกแก้วใสขนาดเท่าลำนิ้วโป้งที่ห้อยอยู่เสียมากกว่า
..ภายในนั้นส่องแสงสีอำพันเรืองรอง..เดี๋ยวหรี่เดี๋ยวจ้าตลอดเวลา..
ผมขยับตัวเข้าไปมองใกล้ๆเขาอย่างลืมตัว
“นี่อะไร?”
“บอกจะให้พี่อธิบาย แต่ถามเป็นเจ้าหนูจำไมเลยนะ”
“บ๊ะ ก็พูดเร็วๆเข้าสิครับ!”
เขายิ้ม “ส่วนหนึ่งของลูกแก้ววิเศษ เป็น…สิ่งที่ทำให้ ‘เรา’มีรูปร่างเหมือนมนุษย์”
คำพูดนั้นทำให้ผมนิ่งเงียบไป มันฟังดูตลก…แต่ผมรู้..สถานการณ์ตอนนั้นมันไม่ตลก
“นานแสนนาน…นานเป็นร้อยเป็นพันปี”เขาเก็บมันเข้าไปในคอเสื้อ และผมเพิ่งสังเกตว่าสีของไฟเรืองรองในนั้นมันช่างคล้ายกับไฟในดวงตาของเขาเหลือเกิน“บรรพบุรุษของพี่ครั้งหนึ่งเคยเป็นจระเข้ แต่มันก็นานมากแล้วล่ะ…พวกเราส่วนใหญ่ตอนนี้ไม่ใช่จระเข้สักทีเดียว เราอยู่กินเหมือนมนุษย์ ใช้ชีวิตเหมือนเป็นเช่นมนุษย์เป็นมนุษย์… มานานมากแล้ว…”
“พ่อแม่พี่ก็เหมือนกัน..งั้นเหรอ?”
“ใช่”
ผมขมวดคิ้ว “….มีมนุษย์..เอ่อ…จระเข้แบบพี่…อยู่เยอะรึเปล่า?”
“ไม่มากหรอก” เขากรอกตา “เรา ‘เหลือ’ กันอยู่ไม่มาก”
ผมติดใจคำตอบนั้น แต่ก็ไม่ได้ถามออกไป..ข้อมูลที่เพิ่งได้รับเริ่มทำกระบวนการวิเคราะห์อยู่ในสมอง มันมากมายจนเริ่มสับสน แน่นอน..ถ้าเป็นคนปกติแม่งคงตกใจกรีดร้องสิ้นสติไปตั้งกะเหตุการณ์ในคณะแล้วล่ะ
…เออ สงสัยผมก็ไม่ได้ปกติเท่าไหร่มั้ง…
“แล้วทำไมโดนน้ำถึงกลายร่างล่ะ?”
“พวกมนต์คาถาน่ะ…มักจะมีจุดบกพร่องเสมอแหละ ในกรณีนี้ก็แค่กลับคืนร่างเดิม”
“เป็น…จระเข้น่ะนะ?”
“อา…ที่เห็นน่ะผิวก็เปลี่ยนไปใช่มั้ยล่ะ? นั่นน่ะแค่ ‘ฝนปรอยๆ’ นะ”เขายิ้ม..เหมือนเคย ยิ้มแบบสุภาพบุรุษที่ทำให้ผมหน่ายล่ะเกิ๊นนน“ถ้าโดนจังๆนี่กลายร่างเต็มไปแล้ว แบบนั้นที่มหา’ลัยวุ่นวายแน่”
ผมนึกภาพออกเลย เห็นจระเข้ตัวใหญ่ฟาดหัวฟาดหางอยู่กลางตึกคณะมันคงตลกพิลึก
“แล้วก็ต้องทำให้แห้งน่ะนะ?”
“ใช่”
“แล้วเวลาอาบน้ำล่ะ?”
“….ก็อาบในร่างจระเข้”
“จริงเด่ะ!?!”
“แล้วให้ทำไงล่ะ พี่ก็เหม็นเหงื่อตัวเองเป็นนะ”
“ขัดขี้ไคลล่ะ?”
“ถามถึงรายละเอียดเลยเหรอ?”
“คนมันอยากรู้….”
อีกฝ่ายหลิ่วตา “ลองอาบให้พี่มั้ยล่ะ?”
“ตลกมั้ย?” ผมชูกำปั้น “แค่นึกภาพก็สยองแล้ว! บรื๋อ อาบน้ำให้จระเข้เนี่ยนะ”
“ทำไมล่ะ?”
“ผมเคยไปฟาร์มจระเข้” ผมขมวดคิ้ว พยายามทวนความทรงจำตอนเด็กๆ “ก็เห็นมีฉีดน้ำรดน้ำให้พวกจระเข้บ้างนะ เวลาร้อนๆไรงี้…เอ้อ แล้วจระเข้พวกนั้นกลายร่างได้เหมือนพี่รึเปล่าอ่ะ?”
“ไม่ได้หรอก คนละเชื้อสายกันน่ะ”
“แล้วพี่เคยคุยกับจระเข้ในสวนสัตว์บ้างมั้ย?”
“พี่ไม่เคยไปสวนสัตว์”
“จริงดิ!?!”
เขาหัวเราะนิดหน่อย “มีคำถามอีกมั้ย?”
ผมลังเล “มี”
“อ่าฮะ”
“คำถามเดียว”
“ว่ามาเลย”
วันนี้เป็นวันที่ประหลาดมากครับ ผมได้เจอกับ..เอ่อ..มนุษย์จระเข้ตัวเป็นๆครั้งแรก คิดว่าคงไม่มีใครบังเอิญมีวันพิเศษแบบนี้นักหรอก…นี่ถ้าผมเริ่มจับมัดเขาแล้วเอาไปออกข่าวกะพี่ศรยุ-ปิ๊บ-นี่ผมคงดังไปรอบโลกแน่ๆ และน่าแปลกที่ผมไม่แสดงสันดานเดิมออกมาอย่างนั้น ผมคงไม่อยากให้คนทั้งโลกตายจากอาการช็อค..แหม เป็นพระเอกจริงๆ
มีคำถามมากมายลอยละล่องอยู่ในสมองครับ ไม่ว่าใครก็คงต้องมีด้วยกันทั้งนั้นแหละ…และจะให้หยิบยกออกมาถามทั้งหมดแม่งก็ดูแบบ สู่รู้มาก และผมไม่ได้มีความคิดที่จะถามซ่อกแซ่กจนสนิทกับอีกฝ่ายนักหรอก บอกแล้วใช่มั้ยว่าผมเกลียดนายทิวัน..ในร่างคน..เป็นอย่างมาก
..ทั้งน่าหมั่นไส้ กวนส้นตีน ขี้เก๊ก..เอ้อ แถมเรื่องนาลซิสต์มาอีกหนึ่ง
..แต่พระเจ้า…ถ้าไม่ถามคำถามนี้ออกไปน่ะผมนอนไม่หลับแน่ๆครับ..
ผมกลืนน้ำลาย รู้สึกมันเหนียวหนืดชอบกล
“จระเข้เนี่ย….ออกลูกเป็นไข่ใช่มั้ย?”
ลูกเอย…จงจำไว้ให้แม่นมั่น
แต่ก่อนนั้นเราเป็นใหญ่ในลำหนอง
เจ้าปลาเล็กปลาน้อยมิได้จอง
ถือศีลจับปกครองผองกุมภา
ครั้นมนุษย์มาเยือนแปดเปื้อนถิ่น
จากเคยมองรินรินอยู่แยกหล้า
ถือมีดดาบพายเรือรี่ตรงเข้ามา
ฟันเข่นฆ่าไล่ล่าเป็นอาจิณ
เพื่อนข้าตายพ้องข้าเจ็บใคร่ทนไหว
โผล่ขึ้นไปเอาคืนให้จบสิ้น
รบกันไปร้ายกันมาแค้นกลบกิน
ท้องวารินเจือแต่ง…แต้มแดงโคลน
|