ผมหัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มาทาดอร์ที่ควบคุมวัวกลับกลายเป็นคนที่ต้องมาดิ้นเพราะผม ตอนนี้ผมควบคุมเขาไว้ได้ทั้งหมดผมเริ่มขยับตัวรุนแรงอีกครั้ง ผมอาศัยแรงตัวเองและแรงสะท้อนของเตียงนุ่มๆผมกระแทกตัวลงไปสุดแรง ผมนั่งขย่มแฟนวาจนเขาร้องไม่หยุดเขาดูเหมือนอยากจะกระชากผ้ามัดแขนเขาเต็มทีแล้วกล้ามที่แขนเกร็งออกมาตอนเขาออกแรงกระชากผ้าผมก้มลงไปจัดการดูดหน้าอกเขาสลับกันทั้งสองข้างจนเขาร้องไม่เป็นเสียง ผมผ่อนแรงลงเมื่อรู้สึกว่าเขาเกร็งตัวผมไม่อยากปิดเกมรักของเราเร็วเกินไป คราวนี้ผมแก้มัดผ้าผูกข้อมือเขาออกแฟนวารอเวลานี้อยู่แล้ว เขารีบสลัดผ้าออกแล้วก็ชันขาขึ้นมา เขาจับสะโพกของผม เคล้นไปมาแล้วเขาก็กระแทกแท่งขึ้นมาจากด้านล่าง ผมก้มลงไปหาเขาในท่านั่งผมถูกจับกระแทกจากด้านล่างอย่างรุนแรง ผมจ่อยอดอกตัวเองไปให้เขาดูด เสียงกระแทกกันของท้องน้อยและสะโพกดังไปลั่นห้องแฟนของวาร้องมีความสุข เขาพลิกตัวขึ้นมาคร่อมผมแล้วก็แทงแท่งใหญ่เข้ามา ปากเขาก็ไซ้คอกับดูดผมไปทั่วผมมีความสุขจนไม่รู้จะบรรยายยังไง แฟนวาผ่อนแรงลงแล้วก็จับขาผมแหวกออกเขากระแทกตัวลงมาแรงๆ ต่อเนื่องจนผมต้องเกร็งรูรับผมจิกเล็บลงไปแผ่นหลังของเขาด้วยความเสียว ผมกำลังจะถึงจุดสุดยอดไม่น่าเชื่อเลยว่าจากเกมบนเตียงที่ผมเป็นคนคุมได้ ตอนนี้กลับกลายเป็นผมต้องอยู่วงแขนของเขาเขามีตัวหนาและกว้างกว่าผมมาก หรือจะพูดให้ถูกต้องบอกว่า เขาตัวหนากว่าวามาก ผมจินตนาการตอนที่เขาทำแบบนี้กับวาแล้วแทบทนไม่ได้จากนี้ไป ผมจะแย่งผู้ชายคนนี้มาจากวาให้ได้ ผมจะสารภาพว่าวาคนนี้คือผมเองเขาจะต้องติดใจผมจนทิ้งวาแน่นอน ผมเลื่อนมือไปตามกล้ามเนื้อปีกตรงหลังกับถูฝ่ามือไปตามแนวเนินอกล่ำสันของเขาด้วยความหลงใหลเขายังกระหน่ำแรงลงมาต่อเนื่อง เสียงต่ำๆในลำคอเขาบอกว่าเขาก็กำลังใกล้ถึงแล้วเหมือนกันผมเกร็งกล้ามเนื้อรอบรูรัดแท่งเขาสุดแรง เขาอ้าปากร้องแบบไม่มีเสียงแล้วหลับตา จากนั้นก็กระแทกถี่ๆผมกลั้นเอาไว้ไม่อยู่ ผมรู้สึกว่ารูผมตอดเขาไปหลายครั้งก่อนผมจะแตกออกมาเขาเองก็กระแทกต่อเนื่องไม่กี่ครั้งก็ระเบิดน้ำเข้ามาในรูผมมันชุ่มฉ่ำเต็มช่องทางจนสัมผัสได้ ผมหลงใหลเขาจริงๆ มาทาดอร์รูปหล่อนอนแผ่ข้างๆผม ผมนอนหลับไปโดยไม่สนว่าจะต้องตื่นมาในรูปร่างและหน้าตาตัวเองผมไม่สนใจอะไรอีกแล้ว ผมมั่นใจว่าเขาจะต้องเห็นใจผม เขาจะต้องติดใจผม เขาอาจจะตกใจและแปลกใจไปบ้างแต่ไม่นานเขาจะต้องเลือกผมและทิ้งวา ผมไม่กลัวพี่วิทย์เพราะผมรู้ว่าพี่วิทย์กลัวแฟนวา ผมเห็นแฟนวายกพี่วิทย์ลอยขึ้นได้ในคืนนั้น ผมก็รู้ทันทีว่าเขาแข็งแรงกว่าพี่วิทย์ ผมได้สิ่งสุดยอดในชีวิตของผมแล้วผมจะไม่ยอมปล่อยเขาไปแน่ เขาดีกว่าพี่วิทย์ทุกอย่าง ผมก้มลงจูบเขาแล้วก็หลับตาลงขณะที่ซุกเข้าไปเนินอกของเขาเราสองคนจะตื่นขึ้นมาในเช้าของอีกวันด้วยกัน ถึงตอนนั้นผมจะสารภาพผิดกับเขาเอง ผมตื่นขึ้นมาในร่างของตัวเองสายตากลับมาพร่ามัวเหมือนคนสายตาสั้นดังเดิม ผมมองกองผ้าข้างๆตัวด้วยความรู้สึกหลายอย่างในใจ ทั้งรู้สึกถึงชัยชนะ ผมชนะพี่วิทย์ ชนะแฟนวาและผมชนะวา ผมเปลี่ียนใจจากการควานหาแว่นตาในกระเป๋ามานั่งอยู่หน้าโทรทัศน์ผมไม่อยากปลุกเขาขึ้นมาด้วยตัวเอง ผมเปิดโทรทัศน์ในห้องพักเร่งเสียงไปในระดับที่ดังพอสมควร ผมอยากให้เขาตื่นขึ้นมาเล่นเกมรักกับผมอีกรอบ ผมอยากร่วมรักกับเขาในสภาพร่างกายของตัวเองผมอยากลองใช้สายตาตัวเองเพ่งมองดูร่างกายที่สมบูรณ์แบบของเขา กลิ่นคาวจัดในปากยังกรุ่นอยู่ในปากของผมผมนึกภาพที่เขาปล่อยน้ำออกมาเมื่อคืนก็ยังตื่นเต้นไม่หาย ผมอยากจะเดินไปกระชากผ้านวมที่เขาห่มอยู่ใจจะขาดแต่ก็อยากให้เขาตื่นขึ้นมาเจอผมเองมากกว่า ผมอยากรู้ว่าเขาจะทำตัวยังไงเขาจะตอบตัวเองยังไงในเมื่อเกมรักของเราเมื่อคืนมันมีความสุขขนาดนั้น ข่าวในโทรทัศน์เป็นเรื่องเศรษฐกิจแล้วก็ข่าวของหายผมนั่งๆนอนๆ อยู่บนเก้าอี้บุนวมหน้าโทรทัศน์จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมง ข่าวกำลังนำเสนอเรื่องงูหลามยักษ์หายออกไปจากกรงเหล็กในคณะโชว์ของสวนสัตว์ผมไม่ได้สนใจอะไรมากนักจนกระทั่งพิธีกรที่ทำหน้าที่เล่าข่าวได้พูดถึงป้ายห้อยคองู ป้ายโลหะบนคองูสลักชื่อของมันเอาไว้ว่า "matador" ผมไม่ได้นึกเดือดเนื้อร้อนใจไปกับข่าวไร้สาระเรื่องงูหายมันไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม และงูมันก็คงเลื้อยไปได้เรื่อยๆถ้าเจ้าของไม่ปิดกรงมันก็หนีไปตามนิสัยงู แต่พอข่าวเอาภาพป้ายโลหะนั้นขึ้นมาบนหน้าจอผมก็ต้องตกใจ ป้ายนั้นเหมือนกับป้ายที่เป็นจี้ห้อยคอของแฟนวาไม่มีผิด เป็นเรื่องบ้าบอที่เกิดขึ้นมาในเช้าวันใหม่ของผม ผมคงเป็นบ้าไปแล้ว ผมคิดเรื่องไม่เป็นเรื่องเรื่องที่ไม่น่าเป็นไปได้ ผมรีบเดินไปกระชากผ้านวมบนเตียงออก ผมร้องสุดเสียงรู้สึกว่าขนตามตัวลุกชันตั้งแต่หัวลงไปถึงขา งูหลามตัวใหญ่มันนอนขดอยู่บนที่นอนของแฟนวางูตัวใหญ่ขนาดขาผู้ชายมันเข้ามาในห้องตั้งแต่เมื่อไหร่ งูตื่นขึ้นมามันแลบลิ้นสองแฉกแล้วก็ร่อนคอสูดกลิ่นมาทางผม มันเลื้อยเข้ามาช้าๆ ผมร้องสุดเสียงอีกครั้งแล้วก็ไปกดหมายเลขฉุกเฉินลงไปข้างล่าง เหมือนมีคนเล่นตลก โทรศัพท์ใช้การไม่ได้เลยผมควานหาแว่นตามาได้ ภาพของงูชัดเจนจนผมเข่าอ่อนและแทบหมดแรง งูตัวนั้นงูที่อยู่ตรงหน้าผมมันมีป้ายห้อยคอเหมือนของแฟนวาไม่มีผิด!!! ผมไม่เชื่อ นี่มันต้องเป็นเรื่องโกหกต้องมีคนเล่นตลกกับผมแน่ ครุฑรูปหล่อแฟนของวาต้องออกจากห้องไปแล้วมีคนอุ้มงูมาแทน ผมวิ่งเข้าไปในห้องน้ำ มองกระจกใสข้างหน้าคราบขุ่นออกเขียวกลิ่นเหม็นคาวคละคลุ้งปรากฏอยู่บนปากและคอผมอย่างชัดเจน ผมก้มลงไปถึงหว่างขาและรูก้นของผมมันมีสีขุ่นออกเขียวเหมือนกันไม่ผิด นี่มันไม่ใช่น้ำอสุจิของคน? ผมไม่อยากเชื่อเลยว่ามันเป็นน้ำเชื้อของงูตัวนั้นผมเอาฝักบัวฉีดล้างคราบนั้นออกไปจากตัว มันติดแน่นและเหม็นคาวจัดผมขัดมันอยู่หลายครั้ง ผมทั้งกลัวและขยะแขยงแต่ผมก็ยังไม่ปักใจเชื่อว่าผมนอนกับงูจริงๆ ผมออกมาหยิบกล้องบันทึกวิดีโอเข้าไปเปิดดูในห้องน้ำ สิ่งนี้จะพิสูจน์ได้ว่าผมนอนกับใคร ผมกดเปิดไฟล์ในเครื่องย้อนไปถึงตอนที่ผมกับแฟนของวาเริ่มเกมรักกัน ภาพหน้าของผมปรากฏขึ้นผมเป็นคนถ่ายหน้าตัวเองก่อนที่จะวางกล้องลงไปบนโต๊ะข้างเตียง . . . . . ผมแทบหมดแรงอยากจะอาเจียนของเหลวที่มีทั้งหมดในท้องออกมาให้หมด ผมนั่งลงไปบนงูใหญ่ผมนั่งลงบนเดือยที่ยื่นออกมาจากงู ผมนั่งขย่มเดือยนั้นไปมา . . . เสียงเลื้อยของสัตว์ไม่มีตีนดังอยู่นอกห้องน้ำมันเลื้อยไปมาบนพื้นพรมเหมือนอยากเข้ามาข้างใน มันอยากเข้ามาหาผม!!! ผมร้องไห้อารมณ์แห่งชัยชนะหมดไปเหลือแค่อารมณ์กลัวและขยะแขยง ผมจำกลิ่นของธันวาได้ เขาไม่มีกลิ่นสาบเหมือนมนุษย์ทั่วไปและตรงหน้าอกซ้ายของเขาก็จะมีแสงสีน้ำเงินอ่อนๆเปล่งออกมาตลอดเวลา แสงนี้ต้องใช้สายตาเพ่งมองผมรู้ว่านาคเจ็ดหัวตัวนั้นก็มองเห็นแสงนี้ของธันวาด้วยเช่นกัน ส่วนนาคตัวอื่นนั้นผมไม่ทราบว่านาคตัวใดมีบารมีพอที่จะมองเห็นแสงนี้บ้าง แม้ชาติภพนี้ธันวาจะเกิดเป็นคนแต่อดีตของเขาก็เคยเป็นถึงเทพบุตรบนดาวดึงส์ ดังนั้นบารมีเขายังมีติดตัวมาด้วยกลิ่นเหงื่อไคลเหม็นสาบดังสัตว์โลกทั่วไปจึงไม่ปรากฏ ธันวาเป็นเทพบุตรที่ทำหน้าที่ตักน้ำมันประทีปใส่ลงไปในเตาบูชาพระเจดีย์จุฬามณี เราเจอกันเมื่อคราวพระพุทธองค์เสด็จขึ้นดาวดึงส์คราวนั้นพระอินทร์หัวหน้าเทวดาชั้นดาวดึงส์ได้ขึ้นไปเชิญเทพบุตรบนชั้นดุสิตลงมาฟังพระธรรมที่ลานกว้าง เทพบุตรองค์นั้นคืออดีตพระมารดาของพระพุทธเจ้า ลานแสดงธรรมจัดขึ้นบนสวรรค์ชั้นดาวดึงส์พวกสัตว์กึ่งเทพเช่นผมก็ได้รับโอกาสให้เข้าร่วมฟังธรรมด้วย แม้ปกติแล้ว ผมไม่มีสิทธิ์ขึ้นมาถึงสวรรค์ชั้นนี้ ดินแดนภพภูมิของผมอยู่ในสวรรค์ชั้นต่ำกว่าดาวดึงส์ลงไป ธันวาเมื่อครั้งเป็นเทพบุตรได้ทำหน้าที่รับใช้นางสุชาดาพระชายาของพระอินทร์จนเป็นที่ถูกใจ เมื่อครั้งเขาใกล้ตายต้องจุติลงมาเป็นมนุษย์คราวหมดบุญบนสวรรค์ นางสุชาดาได้ประทานมณีสีน้ำเงินจากหัตถ์ให้ธันวา มณีนี้อยู่ในลานแสดงธรรมใกล้ฉรรพรังสีของท่านผู้แสดงธรรมทำให้มีอำนาจวิเศษ มีครุฑหลายตนที่ฟังธรรมจนบรรลุแต่ผมนั้นได้อานิสงส์เพียงครึ่งเดียวมองนั่งมองเทพบุตรองค์นั้นจนฟังธรรมไม่รู้เรื่อง ผมมารู้ทีหลังว่าธันวาต้องลงมาเก็บผลไม้ไปถวายชายาพระอินทร์ที่เชิงเขา เชิงเขานี้อยู่ในเขตภพภูมิของผมเราทั้งสองมีโอกาสปราศรัยกันครั้งแรก เขาไม่มีท่าทีรังเกียจความเป็นสัตว์กึ่งเทพอย่างผมแม้เขาจะมีโอกาสเลือกมากมาย ผมจะนั่งรอที่เชิงเขาทุกวันที่เทพบุตรลงมาเราสองคนสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ เทพบุตรบอกกับผมว่า รังสีรอบตัวเขาอ่อนลงทุกวันผิวพรรณก็ไม่สดใสเหมือนเดิม อีกไม่นานเขาจะต้องลงไปจุติบนโลกมนุษย์ หากเขาทำบุญและทำความดีก็อาจจะได้กลับมาบนสวรรค์นี้อีก ผมรู้สึกใจหาย รู้สึกเสียดายและรู้สึกเศร้าใจเราสองคนรู้จักกันช้าเกินไป วัฎจักรการตายของเทพบุตรและเทพธิดาไม่เหมือนกับสัตว์อย่างผมผมจะต้องทนอยู่ในสภาพกึ่งอมตะไปอีกนานแสนนาน ส่วนเขาก็อาจเวียนว่ายตายเกิดเป็นกงล้ออยู่หลายครั้ง เทพบุตรมอบดอกไม้ให้ผมมันเป็นดอกไม้ทิพย์ของดาวดึงส์ ผมผนึกดอกไม้ไว้ในแก้วสีขาวแล้วเก็บไว้กับตัว ผมรักเทพบุตรจนแทบไม่เป็นอันทำอะไร อยากจะไปพาเขาลงมาอยู่ในวิมานงิ้วแต่ก็จนใจจะบินขึ้นไปได้ ภพภูมิของเขาอยู่สูงกว่า ผมไม่อาจฝืนธรรมชาติทำแบบนั้นได้ ครุฑอย่างผมถึงแม้เกิดมามีฤทธิ์มากแต่ก็มีศักดิ์ศรีเพียงแค่กึ่งสัตว์กึ่งเทพ หาใช่เทพบุตรเทพธิดาไม่ ผมมองดูเทพบุตรลงไปตายอย่างทรมาน จากเดือนเป็นปี เวลาผ่านไปหลายพันปีมนุษย์เทพบุตรเกิดมาในร่างของเด็กชายธันวา เขาเกิดมาในเดือนสุดท้ายของการนับปีของมนุษย์มารดาของเขาตั้งชื่อลูกชายว่า "ธันวา" เขาเกิดมาในครอบครัวชาวนายากจนผมลงมาหาธันวาทุกๆ ห้าปีมนุษย์ ธันวาตอนอายุห้าขวบ กำลังซนเขาเริ่มเข้าเรียนเหมือนเด็กเล็กๆ คนอื่นๆ ธันวาตอนอายุสิบขวบ กำลังเรียนวิชาในห้องเรียนเขาเริ่มมีเค้าโครงของคนที่ผมเคยรู้จัก ธันวาตอนอายุสิบห้า เขาทำงานหนักช่วยที่บ้านผมได้แต่มองเขาอยู่ห่างๆ ก่อนธันวาอายุยี่สิบปีผมคิดว่าต้องหาทางให้ธันวามาเรียนในกรุงเทพให้ได้ หากปล่อยเขาอยู่กับครอบครัวเราสองคนจะไม่มีโอกาสอยู่ด้วยกัน และเขาจะระลึกถึงอดีตตัวเองไม่ได้ เขาจะไม่รู้ว่าผมรอเขามาตลอด ผมรู้ว่าบ้านของเขายากจนและผมเป็นคนแนะนำพ่อของธันวาให้ซื้ออุปกรณ์มาดึงน้ำขึ้นไปรดพืชพรรณของเขา ผมดลใจให้พ่อค้าเข้ามารับซื้อผลผลิตจากบ้านของธันวาในราคาสูงกว่าคนอื่นจนพ่อของธันวามีเงินพอที่จะส่งเขาไปเรียนในเมืองหลวง ธันวาในวัยยี่สิบปีกลายเป็นหนุ่มเต็มตัวเขาเป็นคนร่าเริงและชอบช่วยเหลือคนอื่น ก่อนที่เขาจะเข้ามาเรียนในกรุงเทพเขาช่วยนกตัวหนึ่งเอาไว้ นกตัวนั้นกำลังชะตาขาด ธันวาเข้ามาดูแลมันจนหายดี ผมเฝ้ามองธันวาอยู่เสมอบ่อยครั้งที่ผมเข้าไปในมหาวิทยาลัยที่เขาเรียนผมเฝ้ามองเขาทำกิจกรรมต่างๆจนครบสี่ปีที่เขาเรียน ธันวาเลือกทำงานในบริษัทเล็กๆเขาทำงานหนักและขยันขันแข็ง ทุกคนในที่ทำงานรักเขา ผมคิดถึงตอนที่เขาทำงานบนสวรรค์ครั้งนั้นเขาก็มีนิสัยแบบเดียวกันนี้ไม่มีผิด ผมรอจนธันวามีอายุครบสองรอบ ในเดือนธันวาคมเลยวันเกิดเขามาถึงวันสิ้นปี ผมใช้ตามองดูเหตุการณ์ล่วงหน้าผมจะเจอเขาในสถานที่สังสรรค์ยามราตรีของมนุษย์ ผมพยายามแสดงตัวให้ธันวารู้ผมมองเขาแล้วยิ้มให้ ผมยกแก้วให้เขาจากโต๊ะของผมแต่เขาก็ไม่มีท่าทีที่จะจำผมได้เลย แสงสีน้ำเงินบนหน้าอกซ้ายของเขาสว่างเรืองรองเต็มทีหลังวันเกิดเขา ผมรู้ว่านี่ถึงเวลาของเราสองคนแล้วผมเดินเข้าไปสะกดเขาทางด้านหลัง ธันวาทำตามผมทุกอย่าง เราสองคนกลับมาเจอกันบนโลกมนุษย์และผมจะไม่ยอมเสียเขาไปอีกแล้ว . . . ผมออกจากห้องพักในโรงแรมมาดูธันวาผมทิ้งงูจำแลงไว้กับเพื่อนมนุษย์ของธันวา เพื่อนของธันวาคนนี้ผมจะเห็นเขาอยู่ใกล้ๆธันวาเสมอเมื่อครั้งเรียนมหาวิทยาลัย ผมบินมานั่งบนกิ่งไม้ใกล้ห้องนอนของเขาผมห้อยขาลง แกว่งไปมา ผมอยากไปนอนกับเขาในห้อง แต่ผมรู้ว่าเขากำลังสับสน ผมควรจะปล่อยให้เขาคิดด้วยตัวเอง ผมไม่แน่ใจว่าธันวามีอดีตกับนาคหรือเปล่าผมไม่สามารถฝืนธรรมชาติย้อนกลับไปดูอดีตของเทพบุตรได้ เทพบุตรก่อนขึ้นมาในดาวดึงส์อาจรู้จักกับนาคมาก่อน ผมทำผิดกฏธรรมชาติว่าด้วยวงเวียนแห่งกรรมในการช่วยมารดามนุษย์ของธันวา ผมดึงพิษออกมา ทำให้มารดาของธันวาพ้นจากเงื้อมมือของยมทูต จริงอยู่ที่งูทุกตัวได้รับพิษมาจากนาคนาคเป็นเจ้าแห่งพิษ แต่การที่ผมเข้าไปขัดขวางกงล้อแห่งกรรมนั้นทำให้ผมสูญเสียบารมีที่สะสมไว้ในตัวไปมาก ยมทูตดึงพลังของผมออกไปครึ่งนึงชดใช้การที่ผมเข้าไปยุ่งกับการอยู่รอดของมนุษย์ อันที่จริง มารดาของธันวาได้เดินมาถึงจุดดับของชีวิตแล้วแต่ผมเข้าไปหมุนกงล้อนั้นต่อเธอจะมีชีวิตยืนยาวไปอีกจนกว่ากงล้อนั้นจะมาหมุนมาใหม่ในอีกหลายสิบปีมนุษย์ข้างหน้า ผมควรจะกลับเข้าไปจำศีลในถ้ำเรียกพลังที่สูญเสียไปให้กลับคืนมาใหม่ ผมอาจจะต้องตื่นมาในอีกพันปีมนุษย์แต่ผมยังทำไม่ได้เพราะธันวากำลังมีภัย ผมดูชะตาชีวิตของเขา ในเวลาอีกไม่นานต่อจากนี้ธันวาจะมีภัยมาเยือน ผมเห็นเงาทะมึนของยมทูตยืนตะหง่านค้ำเหนือร่างของเขา ผมสูญเสียพลังที่สะสมไปมากเมื่อคราวสู้กับครุฑเผ่าพันธุ์ของเราไม่อาจต่อกรกับพญานกผู้เป็นอมตะได้ ครุฑเป็นผู้มีฤทธิ์และมีชีวิตอมตะ และเมื่อผมถูกยมทูตดึงบารมีออกไปประกายสีเขียวที่อาบรอบตัวผมก็ยิ่งลดลงไปด้วย ผมอ่อนแอลงจากเดิมมาก ผมกับธันวาเราเคยเป็นคู่กันมาเมื่อครั้งสมัยพระพุทธเจ้าพระองค์แรกกงล้อชีวิตหมุนไปตามรอบของมัน คนรักของผมดับสูญไปตามวงล้อชีวิตมนุษย์ส่วนผมต้องทนทรมานเฝ้ารอเขาอยู่ที่เดิม ผมเฝ้ามองเขาเวียนว่ายตายเกิดซ้ำๆเวลาผ่านมาจนถึงยุคพระพุทธเจ้าองค์ที่สี่ธันวาทำกรรมดีและได้ไปเกิดเป็นเทพบุตรบนดาวดึงส์ ผมไม่สามารถไปหาเขาได้เพราะผมอยู่สวรรค์ชั้นต่ำกว่า ชั้นของนาคเป็นนครบาดาลอยู่ในสวรรค์ชั้นจาตุเช่นเดียวกับวิมาน สิมพลีของครุฑ สวรรค์ชั้นจาตุแบ่งเป็นนครต่างๆ ไม่ปะปนกันมีทั้งแดนหิมพานต์ บาดาล สิมพลี มีทั้งอยู่บนอากาศ บนดินและใต้ดิน เมื่อเทพบุตรลงมาจุติแล้วก็ครบกำหนดวงล้อที่ผมกับเขาจะได้เจอกันอีก แต่ผมกลับถูกครุฑแย่งเขาไป ผมไม่รู้ว่าเขากับครุฑรู้จักกันตั้งแต่เมื่อไหร่แต่ผมแน่ใจว่าครุฑไม่ได้รักเทพบุตรจริง ผมเห็นแสงประกายน้ำเงินบนตัวธันวาประกายนี้เกิดจากแก้วมณีบนดาวดึงส์ ผมรู้ว่ามณีนี้สามารถทำให้ดิรัจฉานสัตว์กึ่งเทพหลุดพ้นสภาวะไปได้ และครุฑก็ต้องการมณีนี้จากธันวาเขาจะต้องหาทางใช้กรงเล็บควักหน้าอกของธันวา การจะได้แก้วมณีมาต้องทำการควักออกมาด้วยผู้มีอำนาจวิเศษ ต้องควักออกมาขณะเจ้าของร่างยังมีชีวิต ผมเป็นห่วงธันวาว่าซักวันเขาจะต้องถูกกรงเล็บของครุฑทำร้ายผมจะหาทางปกป้องเขาไม่ให้เขามีอันตราย หากผมเสียเขาไปอีกในชาตินี้ไม่รู้ว่าเราจะได้เจอกันอีกเมื่อไร เขาอาจจะหลุดพ้นวงล้อและสูญสลายไปไม่มีการเกิดและตายอีก ผมเรียกสุกรีเข้ามาบอกเล่ารายละเอียดให้เขาฟัง สุกรีไม่ทราบเรื่องราวภูมิหลังของผมกับธันวามาก่อนคราวแรกที่ผมส่งเขาไปดูธันวานั้น สุกรีไม่รู้ว่าธันวาเป็นคนรักของผมเขาทำการล่วงเกินธันวา ซึ่งทำให้ผมโกรธมาก ผมลงโทษสุกรีแล้วให้เขาสาบานว่าจะไม่ทำอีก ผมให้สุกรีไปปกป้องธันวาไม่ให้ครุฑชิงมณีออกไปได้ สุกรีรับปากหนักแน่นแล้วก็กลับออกไป การรับคำสั่งพญาภุชงค์นั้นเป็นเรื่องที่เลี่ยงไม่ได้เผ่าพันธุ์นาคแบ่งออกเป็นลำดับชั้นนาคเจ็ดเศียรเช่นพญาภุชงค์ย่อมมีฤทธิ์มากและอยู่ในลำดับชั้นสูงกว่านาคเศียรเดียว ผมได้รับสาระที่มีประโยชน์เรื่องแก้วมณีสีน้ำเงินแก้วนี้มีอยู่ในตัวมนุษย์ชื่อธันวา ผมเพิ่งทราบว่าเขาคืออดีตเทพบุตรบนดาวดึงส์นคร เช่นนี้นี่เองทำให้กายเขาไม่เหม็นสาบดังเช่นมนุษย์คนอื่นๆ ผมได้รับคำสั่งให้คอยกันครุฑไม่ให้ดึงมณีออกมาจากธันวา งานนี้เป็นงานที่เสี่ยงอันตรายเหลือเกินพญาภุชงค์รู้ดีว่าครุฑมีฤทธิ์มากยิ่งครุฑตนที่อยู่กับธันวายิ่งอันตรายกว่าครุฑปกติ แม้แต่ตัวพญาภุชงค์ที่มีบารมีมากบำเพ็ญศีลมานาน เมื่อคราวสู้กับครุฑก็ยังเจ็บหนัก ผมต้องหาทางใช้มนุษย์ให้เป็นประโยชน์ มนุษย์เป็นสิ่งมีชีวิตที่ละโมบ อ่อนแอ และโง่งมการหลอกล่อด้วยของมีค่าและการบังคับใช้กำลังทำให้มนุษย์หวาดกลัวและยอมทำตามคำสั่งโดยดี พญาภุชงค์คอยเตือนผมเรื่องนี้เขาพูดย้ำเรื่องกรรมดีกรรมชั่วที่จะติดตัว ผมไม่ได้สนใจเรื่องไร้สาระพวกนี้ผมต้องการหลุดพ้นสภาวะอันต่ำต้อยเช่นนี้ หากผมได้มณีนั่นมาบางทีผมอาจจะมีอำนาจเหนือพญาภุชงค์ ผมอาจจะขึ้นไปเป็นเทพบนสวรรค์ชั้นสูงหรืออย่างน้อยผมก็อาจจะขึ้นมาปกครองเหนือหมู่มวลนาคใต้บาดาลได้ อาการของแม่ดีขึ้นจนหมออนุญาตให้กลับมาพักที่บ้านได้ผมกำชับให้น้องดูแลแม่ให้ดี ต่อไปแม่คงไม่ได้รับอันตรายจากสัตว์มีพิษอีกเพราะคุณภุชงค์เคยพูดไว้ว่าไม่ให้แม่ทำร้ายสัตว์มีพิษแสดงว่าเขาคงไม่ให้สัตว์พวกนั้นมาทำอันตรายแม่ ผมรู้สึกว่าครุฑคอยดูผมอยู่ห่างๆผมรู้สึกปลอดภัยตอนที่มีเขาคอยดูแล ระยะนี้ผมมีอาการครั่นเนื้อครั่นตัวบางทีก็รู้สึกใจคอไม่ค่อยดี เหมือนใจมันหวิวๆ ยังไงบอกไม่ถูก ผมมานึกถึงคำพูดคุณภุชงค์แล้วก็ต้องนั่งทวนตัวเองไปมาอยากจะถามครุฑให้รู้ไปเลย จะได้ไม่มีเรื่องคาใจ ผมคิดว่าคุณภุชงค์จะมาทวงสัญญาผมในเร็ววันนี้เขาบอกว่าจะเอาจิตวิญญาณและร่างกายผมไป อาจจะหมายถึงให้ผมไปอยู่ในวังใต้น้ำนั่น ผมรู้สึกใจหายหากต้องเป็นแบบนั้นผมรู้สึกผูกพันกับครุฑ เหมือนผมกับครุฑรู้จักกันมาก่อนเมื่อนานมาแล้ว เจ้าชายคนที่ผมฝันถึงอาจจะเป็นเขา เขาคนที่ผมเคยเจอเมื่อตอนอายุสิบห้าปี ตอนนั้นผมยังเป็นเด็กเขาคนนั้นเข้ามาที่โรงเรียนแล้วก็ยิ้มให้ผม ผมรู้ว่ามันไม่ใช่ครั้งแรกที่เราเจอกัน ผมกับเขาต้องเคยเจอกันมาก่อนหน้านั้นแต่ผมก็นึกไม่ออก ความทรงจำของผมมันทับซ้อนกันเหมือนตั้งกระดาษใหญ่มันมีความทรงจำที่อยู่ลึกลงไปอีก เขาขับรถมารับผมที่หน้าโรงพยาบาลวันนี้ผมมารับยาชุดสุดท้ายให้แม่ เขาแนะนำตัวกับพ่อว่าเป็นเจ้านายผม พ่อของผม อยู่ดีๆก็ก้มลงไปกราบเขาพ่อบอกว่าไม่รู้ตัวว่าลงไปกราบทำไม เขายังเป็นครุฑคนเดิมเขายิ้มแล้วก็ถามผมเรื่องต่างๆ เราสองคนไม่ได้แวะที่ไหนเลย เขาขับรถมาเรื่อยๆแต่ผมรู้สึกว่ามันเร็วกว่ารถปกติ รถมาจอดอยู่ในลานจอดรถที่คอนโดตอนบ่ายแก่ๆเท่านั้นเอง ผมอาบน้ำแล้วออกมาหาเขาที่หน้าโทรทัศน์เขากำลังดูสารคดีเกี่ยวกับนกฮัมมิ่ง ผมนั่งเงียบ ไม่รู้ว่าจะเริ่มเรื่องตรงไหนดี ครุฑจับอาการของผมได้ เขาหันมายิ้มแล้วก็ถามผม "มีอะไรอยากถามผม?" "ผม..." "ถามมาสิ" "คุณภุชงค์บอกผมเรื่องแก้วในหัวใจผม"ผมไม่อยากอ้อมค้อม วันนี้ผมต้องปิดฉากละครที่น่าอึดอัดใจลงซะทีเขาพยักหน้าแล้วก็พูดขึ้นมา "เขาเป็นนาค นาคไม่ชอบครุฑ" "ผมรู้ แต่ที่ผมสนใจคือ สิ่งที่เขาบอกมันเป็นเรื่องจริงหรือเปล่า" "เขาบอกว่าไงล่ะ?" "ผมจะถามคุณเป็นข้อคุณแค่ตอบว่าใช่หรือไม่ใช่ก็พอ" ผมตั้งเงื่อนไขผมไม่อยากฟังเรื่องที่น่าเจ็บปวด ผมต้องการคำตอบสั้นๆ "ถามมาสิ" "ผมมีแก้วสีน้ำเงินในหัวใจจริงๆ ใช่หรือเปล่า?" "ใช่" "มันทำให้ครุฑหลุดพ้นการเป็นสัตว์ใช่หรือเปล่า?" "ใช่" "คุณอยากได้มันใช่หรือเปล่า?" "ใช่" "คุณอยากจะควักหัวใจผม...ใช่หรือเปล่า?"ผมเริ่มน้ำตาไหล ผมต้องการคำตอบ แต่ก็ไม่อยากให้เขาพูดว่าใช่มันเป็เนรื่องที่น่าเจ็บปวดกว่าการที่เขาจะล้วงกรงเล็บเข้ามาจริงๆ เสียอีก "ใช่" เขาพยักหน้า น้ำตาผมร่วงลงไปในขาตัวเองคุณภุชงค์พูดไว้ไม่ผิด เขาอยากจะควักหัวใจผมเอาแก้วนั่นออกมาจริงๆ "ครุฑไม่พูดโกหกใช่มั้ย คุณไม่พูดโกหกใช่มั้ย?" ".....ใช่" "คุณจะควักหัวใจผมเมื่อไหร่?" "ยังคิดไม่ออก" พอสิ้นคำตอบสุดท้ายของเขาผมก็เดินเข้าไปในห้องนอน อยากจะลืมคำถามทั้งหมดออกจากหัว อากาศในห้องดูจะกดดันผมเสียงคำตอบของเขาดังก้องอยู่ในหัวของผมซ้ำๆ เขาต้องการแก้วนั่นเขาอยากจะล้วงกรงเล็บเข้ามาเอามันออกไป ผมคงมีค่าเพียงแค่นี้จริงๆ ผมกำลังจะตาย คำพูดง่ายๆ ที่ผมเฝ้าบอกตัวเองอาการที่เป็นมาอยู่หลายวันคือสัญญานของความตายนี่เอง ผมกินขนมปังและผลไม้ที่เขาวางไว้ให้บนโต๊ะทั้งที่ไม่รู้สึกหิวเลยผมมองออกไปรอบๆห้อง เขาคงออกไปทำงานแล้ว เวลาสายแบบนี้มันดูเงียบเหงาและวังเวงพิกล ผมจัดกระเป๋า เตรียมสมุดบัญชีหลังอาบน้ำแต่งตัวก็สะพายกระเป๋าลงมาชั้นล่าง ผมเดินไปตามทางเท้าข้างหน้าอีกไม่ไกล เป็นธนาคาร ผมโอนเงินทั้งหมดที่มีไปให้พ่อ ผมไม่รู้จะทำยังไงดีผมรู้ว่าครุฑต้องการมณีไปทำอะไรซักอย่างที่สำคัญ เขาอาจจะมีคนสำคัญอยู่ข้างบนนั้นและมณีในตัวผมอาจจะเป็นสิ่งจำเป็นสำหรับกิจบางอย่างของครุฑ ผมเดินทางมาถึงศาลหลักเมืองเสียงกังวานของกระดิ่งและกลิ่นหอมของดอกไม้ทำให้ใจผมสงบลง ผมได้คำพยากรณ์มาหนึ่งใบเมื่อเลือกได้ที่นั่งในศาลาพักร้อนแล้ว ผมก็มานั่งอ่านคำพยากรณ์นั้นอยู่เงียบๆ โชคชะตาพามาถึงจุดจบ อายุขัยมาพบครบสมัย จะถูกอมิตรผลาญให้บรรลัย ดวงใจจะถูกคว้านให้ราญรอน จงเต็มใจรับชะตาที่สิ้นสุด อย่ายื้อยุดฉุดไปไร้ความหมาย มัจจุราชปรากฏเงาอยู่เคียงกาย ความตายคือจุดเริ่มของหนทาง ผมอ่านคำพยากรณ์ในกระดาษแผ่นน้อยซ้ำแล้วซ้ำอีกกลิ่นธูปหอมโชยมาจากกระถาง ดอกบัวที่ผมบูชามาไหว้ก่อนหน้าตอนนี้เหี่ยวเฉาลงเหมือนดอกบัวตากแห้ง ไม่น่าเชื่อเลยว่าสัญญาณแห่งความตายจะปรากฏชัดขนาดนี้ ผมกำลังจะตาย และก็ไม่ควรยื้อชีวิตตัวเองแต่ท่อนสุดท้ายของคำพยากรณ์นั้น ผมไม่เข้าใจ อะไรกันแน่ที่หมายถึงความตายคือจุดเริ่มต้นของหนทาง ผมต้องเดินไปหาความตายหรือผมควรอยู่นิ่งๆรอให้ความตายมาหา อมิตรผู้ที่จะมาคว้านหัวใจผมคือใครกันแน่คือครุฑหรือคือนาค ผมควรจะไปถามคุณภุชงค์ให้รู้ผมคิดว่าเขาจะให้คำตอบกับผมได้ชีวิตที่น่าอึดอัดใจคือชีวิตที่เดินไปอย่างคนไร้หนทาง ผมเหมือนคนตาบอดคลำทาง ไม่รู้ชะตากรรมตัวเอง ผมนั่งรถมาลงที่ริมทะเลข้างหน้าผมเป็นที่ตากอากาศ นกนางนวลบินรับขนมปังของนักท่องเที่ยวอยู่ทั่วไป ผมนึกถึงคุณภุชงค์อยู่ซ้ำๆอากาศรอบตัวเริ่มแย่ลง มีลมพัดแรงและมีเมฆฝนลอยมาแต่ไกล แม่ค้าผลไม้เรียกให้ผมเข้าไปหลบพายุในอาคารของราชการแต่ผมก็ได้แต่ยิ้ม ท่ามกลางลานคอนกรีตริมทะเลผมยืนอยู่เพียงคนเดียว พายุฝนพัดเข้ามาหาตัว ท้องฟ้ามืดครึ้มเหมือนเวลากลางคืน มวลน้ำในทะเลก่อตัวขึ้นมาเป็นเกลียวคล้ายหางพญานาค ผมหลับตานิ่งไม่ได้หนีไปไหน "กินเฉาก๊วยนี่สิวา"เสียงคุ้นหูดังขึ้นมาทางด้านหลังของผม เมธนั่นเอง เมธส่งรอยยิ้มมาให้เขาขยับแว่นตาด้วยท่าทางที่ผมคุ้นเคย เมธยื่นแก้วเฉาก๊วยมาให้ผม "พายุจะมาแล้ว ทำไมไม่หลบไปล่ะ"ผมถามแล้วยิ้มให้เมธ "กินเฉาก๊วยสิ" เมธย้ำคำเดิมผมมองดูแก้วในมือด้วยความสงสัย "ในนี้มีอะไร?" ผมถามเมธเขาเริ่มโมโห เมธเดินเข้ามาจับคอของผม เขาดูเหมือนไม่ใช่เมธคนเดิม เมธมีเรี่ยวแรงมากกว่าคนปกติเขาบีบปากของผมให้อ้า ผมพยายามจะปัดแก้วน้ำออกแต่ในหัวก็มัวแต่คิดถึงคำพยากรณ์นั่น ผมไม่ควรหนีความตาย เมธกรอกน้ำสีดำเข้ามาในปากของผมไอร้อนพวยพุ่งออกมาเหมือนน้ำกรด ผมรู้สึกเจ็บปวดไปทั้งช่องปาก น้ำปากส่วนลงไปถึงหลอดอาหารและลงไปในท้อง ฝนเริ่มตกหนัก นกนางนวลถูกลมพัดจนหายไปหมดแล้วผมรู้สึกตาพร่ามัวและอยู่ในสภาพไร้เรี่ยวแรง ผมมองเห็นเงาทะมึนโผล่ขึ้นมาจากท้องน้ำ นาคตาเดียวโผล่ขึ้นมาเขาพุ่งขึ้นมาบนฝั่งกลับกลายเป็นคนในร่างของพี่วิทย์ ผมล้มพับลงกับพื้น ตาพร่านั้นมองเห็นเมธวิ่งเข้าไปคลอเคลียพี่วิทย์อยู่ข้างๆ "ขอส่งเทพบุตรกลับสวรรค์" พี่วิทย์หัวเราะผมเห็นหางสีเขียวสดของพี่วิทย์โผล่ออกมาจากทางด้านหลัง ปลายหางของนาคเปลี่ยนเป็นเหมือนกับหอกแหลมคล้ายใบมีด มันพุ่งตัดอากาศเข้ามาปักที่หน้าอกซ้ายของผมแล้วก็คว้านลงไปพี่วิทย์เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างในหัวใจของผม ผมรู้สึกว่าแสงสีน้ำเงินส่องประกายออกมาจากหน้าอกพี่วิทย์ม้วนหางพันไว้รอบๆ แก้ว ผมมองดูเมธร้องดีใจ ส่วนผมกำลังจะตายลมหายใจผมจะหมดลงเร็วๆนี้ บางอย่างเคลื่อนไหวตัวอยู่ในกระเป๋าสะพายมันมุดออกมาจากกระเป๋า นกน้อยนั่นเอง มันร้องเศร้าอยู่บนหน้าอกผมมันก้มลงดื่มเลือดจากหน้าอก เลือดสีดำๆเพราะพิษนาคทำให้นกน้อยได้รับพิษไปด้วย อาการตาพร่าของผมดีขึ้นเล็กน้อยนกน้อยต่อเวลาให้ผมทำไมกัน มันจิกหลังมือของผมแล้วก็ร้องเพลง ผมนึกบางอย่างออกก่อนผมตายไปผมควรโทรศัพท์ไปหาครุฑ ผมอยากให้ครุฑได้แก้วนี้ไป ผมควานหาโทรศัพท์ในกระเป๋าผมกดโทรออกไปในหมายเลขแรกที่เขาใส่ไว้ให้ ปลายสายอยู่ที่ใดบนโลกผมก็ไม่อาจรู้ได้ ผมบอกเขาไปว่า "ผมกำลังจะตาย" สายตัดไปแล้ว ผมนอนรอความตายอยู่ริมทะเลนกน้อยหมดลมแล้วก็นอนลงบนหน้าอกของผม ผมมองดูพี่วิทย์จูบเมธ ผมมีลางสังหรณ์ว่านั่นจะเป็นจูบแห่งความตายผมไม่มีแรงบอกให้เมธวิ่งหนี รอยยิ้มสุดท้ายของเมธเกิดขึ้นก่อนที่ปลายหางของพี่วิทย์จะอ้อมหลังเข้ามาแทงไม่นาน ปลายแหลมเหมือนมีดแทงทะลุจากหลางหลังเข้ามาถึงหน้าอกด้านหน้า เมธขาดใจตายทันทีขณะที่ยังมีรอยยิ้มอยู่ ผมรอครุฑ ผมอยากจะพูดกับเขาก่อนตาย ผมได้ยินเสียงตัดอากาศลงมาจากท้องฟ้า เขานั่นเอง เขาลงมาหา ผมเห็นเขาร้องไห้เขาประคองผมให้นั่งนอนบนตัก ผมบอกเขาว่ามณีอยู่กับนาคผมกำลังจะหลับไปอย่างมีความสุขบนตักของเขา ความตายคือการหลับไปเท่านั้นเอง ผมปลอบใจตัวเอง เขาร้องไห้แล้วก้มลงมาจูบผม ขอเราจำกันได้ในทุกชาติ ขอเราไม่อาจลืมความหลัง ขอรักเรานั้นมีพลัง จดจำกันไปไม่ลืมเลือน ธันวาจากผมไปแล้ว เขาหมดลมหายไปต่อหน้าต่อตาผม เราสองคนถูกแยกออกจากกันอีกครั้งในชาติภพนี้ ถูกแล้วที่ผมอยากได้มณีสีน้ำเงินผมอยากได้มันมา ผมอยากออกจากสภาวะไม่มีวันตาย ผมอยากเป็นคนธรรมดาเหมือนกันกับธันวา เราสองคนจะแก่และตายไปพร้อมๆกันผมจะไม่ปล่อยให้เขาตายไปเพียงคนเดียวแล้วทิ้งผมไว้อีก เราจะไปทุกๆที่พร้อมกัน เหตุผลที่ผมต้องออกไปที่วิมานชั้นบนเพราะต้องการศึกษาวิธีดุงแก้วมณีออกจากตัวของธันวาโดยไม่ทำให้เขาตาย ผมจะใช้แก้วมณีนั้นทำให้ผมหลุดออกจากสภาวะกึ่งสัตว์กึ่งเทพเหมือนที่เป็นอยู่ผมอยากจะเป็นคนธรรมดาคนหนึ่ง คนที่สามารถตายได้เหมือนคนทั่วไป มองมองนาคตัวนั้นด้วยความโกรธแค้นผมวางธันวาลงกับพื้นเบาๆ ผมอยากจะฆ่านาคตัวนั้นให้สมกับที่เขาทำกับธันวา ยมทูตปรากฏตัวอยู่ข้างหน้าผม เขายกมือขึ้นมาห้าม "ช้าก่อนท่านพญานกการฆ่านาคที่ไม่ได้มีเวรกรรมผูกผันกับท่าน จะทำให้ท่านเกิดบาปติดตัวบาปนี้จะให้ท่านมิอาจบรรลุสิ่งที่ท่านประสงค์ได้" "แล้วต้องทำเช่นไรจะปล่อยให้เขาทำกรรมชั่วต่อไปงั้นหรือยมทูต?" "เจ้ากรรมนายเวรเขากำลังมาท้าวเวสสุวรรณบัญชาให้ข้าพเจ้ามารับวิญญานชั่วร้ายของนาคตนนี้ท่านมิจำเป็นต้องออกแรงเอง" ผมอยากจะฆ่านาคตัวนั้นด้วยมือของผมเองแต่หากเป็นอย่างที่ยมทูตเตือน ถ้าผมมีบาปติดตัวบางทีผมอาจจะไม่ได้เจอกับเทพบุตรอีก และก็เป็นอย่างที่ยมทูตพูดไว้เจ้ากรรมนายเวรของนาคตัวนั้นก็คือนาคเจ็ดเศียรนั่นเอง เอาปรากฏกายในรูปลักษณ์ของนาคเจ็ดหัวประกายสีเขียวแผ่พุ่งรอบตัว เขากำลังโกรธจัด พญานาคภุชงค์คล้องบ่วงไฟนาคบาศไว้รอบตัวนาคตาเดียว เสียงร้องของนาคดังไปทั่วบริเวณเหมือนกับเสียงร้องของสัตว์นรกที่ได้รับความทุกข์ทรมาน สภาวะทิพย์ของนาคหลุดออก ยมทูตดึงวิญญานชั่วกลับลงไปในขุมนรก พญาภุชงค์ประคองมณีสีน้ำเงินมาให้ผม "ขออภัยที่เข้าใจท่านผิดเมื่อข้าทราบเจตนาแน่วแน่ของท่านจะจะสละสภาวะเดิมออกจากตัวเพื่อคนที่ท่านรักข้าก็ขออนุโมทนา แก้วมณีนี้ขอให้ท่านเก็บเอาไว้" ผมพยักหน้าและรับเอาแก้วสีน้ำเงินมาไว้กับตัว "ลาก่อน" ภุชงค์นาคกลับลงไปในน้ำผมรู้ว่าเขาอาจจะต้องรับโทษทัณฑ์ "ขออโหสิกับสิ่งที่เคยทำมา" ผมพูดตอบเขา "สาธุ"เสียงเขาตอบกลับมาและร่างสีเขียวของนาคก็สลายตัวไปผมอุ้มร่างไร้วิญญานของธันวาขึ้นมาจากพื้น ผมอุ้มร่างของเขาไปถึงดวงอาทิตย์ รอยจูบสุดท้ายประทับไว้บนแก้ม ผมปล่อยร่างเขาลงไปในกองไฟใหญ่ร่างของธันวาสลายไปเพราะความ กลายเป็นสะเก็ดดาวเล็กๆ ตกกลับลงมาบนโลก ผมเดินทางมาถึงที่ที่แปลกมากๆแห่งหนึ่งผมมายืนอยู่ในโถงสะอาด ผนังรอบด้านเป็นเชือกสีแดง เชือกมีมากมายจนนับไม่ได้มันแบ่งเป็นเส้นไม่พันกัน แต่ละเส้นก็หนาบางไม่เท่ากัน บางเส้นก็ใหญ่เท่าแขนคนบางเส้นก็บางเท่ากับเส้นผม ร่างสีขาวสะอาดปรากฏตัวขึ้นเขายิ้มให้ผมแล้วก็พาเข้ามาริมผนังที่มีเส้นเชือก "เลือกเส้นที่ชอบจับเส้นไหนก็จะไปหาเส้นนั้นในโลก" ผู้ชายชุดขาวบอกผม "เส้นไหนก็ได้เหรอครับ?" "ใช่ เส้นไหนก็ได้ เลือกเลย" ผมเดินดูรอบๆห้อง มองหาเส้นเชือกที่ถูกใจผมเห็นเชือกเส้นนึงอยู่ตรงหน้า มันเป็นเชือกธรรมดา ไม่ใหญ่และไม่เล็ก "เลือกเส้นนี้ครับ" ผมบอกชายชุดขาวเขาพยักหน้าแล้วก็บอกให้ผมดึงเชือก เกิดแรงดึงกลับเบาๆ ตอนผมกระตุกเชือกมันพาผมไปที่ไหนซักแห่ง ผมรู้สึกมึนงงและง่วงนอนอย่างรุนแรงผมหลับไปขณะเดินทางไปตามเส้นเชือก
|