กรุงเทพมหานครปีพุทธศักราช 2576 ผมชื่อตาน ไม่ใช่เวตานหรือซาตานแต่ชื่อผมหมายถึงทานในภาษาเหนือ การให้ทานคือบุญกุศลยิ่งใหญ่ แม่ก็บอกผมอย่างนี้ทุกที แม่บอกว่าตอนแม่ท้องผมแม่ฝันว่ามีผู้ชายมีปีกบินมาหาแม่ เขาบอกให้แม่ทำทานเยอะๆ จะได้มีผมมาเกิด แม่เดินสายทำบุญทำทานจนลืมวันคลอดของผมโชคดีมากที่พ่อผมเป็นหมอสูติและแม่ก็เป็นพยาบาล พ่อหักพวงมาลัยรถจากวัดไปโรงพยาบาลแทนพ่อบอกว่าตอนใกล้คลอดผม บนตักของแม่ยังมีชุดสังฆทานอยู่เลย ผมเกิดกลางเดือนธันวาคมโดยมีพ่อเป็นคนทำคลอดให้ ป้าแป๊ดที่เป็นพยาบาลรุ่นพี่ของแม่เป็นคนถามว่าจะให้ผมชื่ออะไรแม่ตอบว่า ผมชื่อ "ตาน" มาจากทาน เรื่องมากมายของผมมีแม่คอยเล่าให้ฟังตอนนี้ผมอายุสิบแปดปี กำลังเตรียมตัวสอบเข้าเรียนมหาวิทยาลัย ผมอยากเป็นหมอฟันผมอ่านทบทวนวิชาวิทยาศาสตร์อยู่ที่บ้านของยายในต่างจังหวัด ผมเพิ่งนั่งรถไฟความเร็วสูงมาเมื่อวานนี่เองรถไฟมาจากกรุงเทพถึงที่นี่ ใช้เวลาสองชั่วโมงกว่าๆ ผมชอบมานอนที่บ้านของยาย ยายของผมเป็นชาวนาตาของผมก็เป็นชาวนา แต่แม่กับน้าไม่ให้ตากับยายทำนาอีกแล้ว แม่บอกว่ายายอายุหกสิบห้าแล้ว ทำนาไม่ไหวแม่กับน้าเลยให้ยายจ้างคนมาทำนาแทน ผมนั่งมองทุ่งสีเขียวของยายที่อยู่นอกหน้าต่างมันกว้างไกลสุดสายตา ผมรู้สึกเหมือนเคยผูกพันกับที่นาของยายมาก่อน ผมรู้สึกรักยายเหมือนยายเป็นแม่ของผมยายเองก็รู้สึกว่าผมเป็นเหมือนลูกชายของยาย ไม่เหมือนหลานเลยซักนิด แต่พอผมถามถึงลูกชายของยาย ยายก็บอกว่ายายไม่เคยมีลูกชาย ยายมีแค่ลูกสาวสองคนเท่านั้น คนแรกก็คือแม่ของผม คนที่สองคือน้าของผมน้าของผมเป็นครูใหญ่ที่โรงเรียนประถม ส่วนแม่ของผมเป็นพยาบาลที่โรงพยาบาลจิตเวชแม่เจอกับพ่อที่เป็นหมอสูติของอีกโรงพยาบาลแล้วก็มีผมขึ้นมา ส่วนน้าของผมไม่แต่งงานทั้งบ้านของยายจึงมีหลานชายหัวแก้วหัวแหวนคนเดียว แม่บอกว่าผมซนเหมือนลิง เวลามาบ้านของยายทีไรผมจะขึ้นไปอยู่บนต้นไม้เสมอ ตอนกลับลงมาก็จะมีมะม่วงและชมพู่มาด้วย นาของยายทำปีละสองครั้งพอถึงฤดูทำนาก็จะมีท่อปล่อยน้ำจากเขื่อน มีรถแทรกเตอร์ มีเครื่องจักรมาไถดินแล้วก็มีรถปลูกข้าว พอข้าวออกรวงก็มีรถมาเกี่ยวแล้วก็สีออกมาเป็นเมล็ด ยายกันที่นาไว้แปลงเล็กๆ ยายสอนผมดำนายายบอกว่าเมื่อยี่สิบปีก่อน ยายต้องดำนาเองเพราะไม่มีเครื่องจักรเหมือนตอนนี้ ผมรู้สึกสนุกกับการทำนามากมันต้องใช้มือจับต้นข้าวเล็กๆ แทงลงไปในดินโคลน เริ่มจากกอที่หนึ่งสองและสามไปเรื่อยๆ จนเต็มแปลง ผมนั่งทวนข้อสอบอยู่จนถึงเย็นยายมาตามให้ผมไปรับวิดีโอของแม่ ผมกดหน้าจอทีวีของยาย เห็นแม่นั่งทำงานอยู่แม่ยังใส่ชุดพยาบาลสีขาว นี่แม่คงยังอยู่ที่โรงพยาบาล แม่พูดผ่านทีวีเชื่อมต่อสัญญานมาว่า "ไงลูกลิง ซนหรือเปล่า?" "เรียบร้อยดีแม่ ไม่เชื่อก็ถามยายดูสิ" "จะกินอะไรหรือเปล่าเดี๋ยวเลิกงานแล้วแม่จะออกไปซื้อให้" "อยากกินก๋วยเตี๋ยวหน้าปากซอยแต่กว่าแม่จะฝากไปรษณีย์รถไฟมาก็คงอีกหลายชั่วโมง เส้นมันอืดพอดี" "ก็บ้านยายอยู่ไกลตั้งแปดร้อยโลนี่นางั้นให้ยายทำกับข้าวให้กินละกัน" "รับทราบครับ!!!"ผมยืนขึ้นแล้วตะเบ๊ะเหมือนทหาร แม่หัวเราะแล้วก็กดวางวิดีโอไป ยายของผมทำกับข้าวอร่อยบางทีก็ทำอาหารพื้นเมือง ตอนแม่ท้องผมยายก็ทำกับข้าวใส่กล่องไปให้แม่ที่กรุงเทพบ่อยๆ ยายฝากไปรษณีย์รถไฟไปให้แม่ตอนแม่เปิดออกมาแกงยังร้อนอยู่เลย ผมนั่งอ่านหนังสือต่ออีกนิดหน่อยก็ลุกไปกินข้าวที่ยายทำให้ระหว่างนั้น น้าของผมก็กลับมาพอดี น้าเข้ามาหอมแก้มแล้วก็เปิดถุงขนมให้ดู "ดูซิลูกลิง น้าซื้อเมล็ดทานตะวันมาให้แล้วอัลมอนต์ก็มี" ผมยิ้มดีใจไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงชอบกินเมล็ดพืช แม่บอกว่าชาติที่แล้วผมคงเกิดเป็นนก แต่ไม่ใช่หรอก ผมกินเพราะมีคนสอนให้กินต่างหากแต่ใครสอนผมก็นึกไม่ออก ผมสอบติดเป็นว่าที่นิสิตคณะทันตแพทย์ได้สำเร็จพ่อบอกว่าสมัยที่พ่อสอบติด ปู่ซื้อรถยนต์ให้พ่อขับไปเรียน แต่มาถึงปี 2577นี้ รถยนต์เป็นสิ่งที่ตกยุคไปนานแล้ว ทั่วทุกแห่งในกรุงเทพสามารถเดินทางไปได้ด้วยรถไฟฟ้าผมสามารถเดินออกจากบ้านมาถึงสถานีรถใต้ดินหน้าปากซอยแล้วก็นั่งรถไฟมาถึงมหาวิทยาลัยได้ในเวลายี่สิบห้านาที พ่อซื้ออิเล็กทรอนิกส์แพดให้ผมใหม่มันเป็นแผ่นหน้าจอขนาดกระดาษเอสี่ สามารถพับเป็นสี่ส่วนเก็บไว้ในเคสได้และสามารถกางออกมาใช้งานได้ในขนาดเดิม แผ่นนี้ใช้เขียน บันทึก คิดเลข ท่องโลกออนไลน์วิดีโอคอล ใช้แทนหนังสือเรียนและอีกมากมาย พ่อบอกว่ายี่สิบปีก่อนนิสิตนักศึกษายังต้องแบกหนังสือไปเรียน หนังสือจริงๆ ที่เป็นกระดาษผมคิดว่ามันคงหนักมากทีเดียว ผมนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินมาที่มหาวิทยาลัยเพื่อนคนแรกของผมในชั้นเรียนตอนรายงานตัวก็คือนกน้อย เธอชื่อนกน้อยจริงๆ ชื่อเล่นเธอชื่อนกน้อยชื่อจริงคือนางสาวอนุปักษี มณีไกรลาศ นกน้อยยื่นซองเมล็ดข้าวฟ่างอบให้ผมผมตื่นเต้นมากเมื่อมาเจอคนรักธัญพืชเหมือนกัน อันที่จริงการรายงานตัวสามารถทำผ่านโครงข่ายออนไลน์ความเร็วสูงได้แต่อาจารย์บอกว่าอยากคุยกับนิสิตตัวเป็นๆ มันให้อารมณ์ศิษย์อาจารย์มากกว่า ผมก็คิดว่าเป็นเรื่องดี พ่อผมเคยพูดบ่อยๆ ว่าการเรียนเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยดี แม้จะเรียนพร้อมๆกันได้ขณะนิสิตอยู่กับบ้านแต่ก็ทำให้ความสัมพันธ์ของเพื่อนและอาจารย์ที่ควรจะมีหายไป เมื่อนิสิตจบออกไปก็จะไม่ค่อยมีมนุษยสัมพันธ์ มหาวิทยาลัยต่างๆจึงรื้อฟื้นโครงการเข้าไปเรียนในมหาวิทยาลัยขึ้นมาใหม่อีกครั้ง ผมตื่นเต้นและดีใจมากนึกถึงสมัยที่นิสิตนักศึกษานั่งรถมาเรียนในชั้นเรียนจริงๆ แล้วมันน่าตื่นเต้นมาก อาจารย์บอกว่าปีก่อนๆ นิสิตต้องเรียนวิชาทฤษฎีอยู่ที่บ้านตัวเองผ่านเครือข่ายออนไลน์มาเรียนที่มหาวิทยาลัยเฉพาะวิชาปฏิบัติที่ต้องมีอาจารย์ควบคุมใกล้ชิด หลังจากรายงานตัวเสร็จแล้วนกน้อยก็ชวนผมเดินลัดตึกคณะมาที่ห้างสรรพสินค้าไซแอมพรากรณ์ ห้างนี้เป็นห้างที่เปิดมานานตั้งแต่แม่ของผมยังเป็นเด็กต่างจังหวัด ผมรู้สึกว่านกน้อยกับผมคุ้นเคยกันมากเหมือนเคยรู้จักกันมาก่อนนกน้อยชอบร้องเพลง เธอเป็นคนอารมณ์ดี ผมกับนกน้อยมานั่งกินข้าวในฟูดคอร์ทนกน้อยสั่งสลัดธัญพืช ส่วนผมสั่งข้าวเปล่ากับผัดผัก ผมดูดน้ำผลไม่ปั่นตอนเดินเล่นกับนกน้อยในห้างไซแอมพรากรณ์แม่ให้เงินออนไลน์ผมมาซื้อเสื้อผ้านิสิตใหม่แล้วก็ซื้ออุปกรณ์การเรียน ผมกับนกน้อยได้ยินเสียงเปียโนดังมาจากฮอลล์ใหญ่มันเป็นเสียงดนตรีที่ไพเราะเหมือนเสียงสวรรค์ ปลุกเรียกความสนใจของผมจนแทบทนไม่ได้ ผมเดินไปหาต้นตอของเสียงนั้นอย่างรวดเร็ว นักดนตรีกำลังนั่งเดี่ยวเปียโนอยู่กลางโถงใต้ไฟระย้าที่สวยงามเหมือนดาวบนทางช้างเผือก ผมเห็นชายในชุดสูทสีดำสนิท เขาเป็นคนหลังค่อมตามตัวมีรอยไหม้ของไฟปรากฏอยู่ทั่วไป และที่น่าสนใจไปกว่านั้นคือ เขาตาบอด นกน้อยนิ่งไปพอสิ้นเสียงดนตรีท่อนสุดท้ายเธอก็ย่อตัวลงไหว้ผู้ชายคนนั้น ผมถามนกน้อยว่าทำอะไรเธอก็บอกว่าไม่มีอะไร ไม่ได้ทำอะไร แสดงว่าเธอคงไม่รู้สึกตัว พิธีกรอ่านชื่อนักดนตรีหลังค่อมออกผ่านเครื่องขยายเสียงเขาชื่อ เวณวัฒน์ ทิชากร ชื่อเขาเพราะจริงๆทั้งชื่อและนามสกุลหมายถึงนกทั้งสิ้น ผมเห็นคนพาเขาเดินออกไปทางหลังฮอลล์คุณเวณวัฒน์คนนี้เก่งจริง ขนาดตาบอดก็ยังเล่นดนตรีได้เขาคงอาศัยสัมผัสที่มือแทนสายตา ผมวิ่งออกกำลังกายอยู่ในยิมของมหาวิทยาลัยวันนี้เป็นวันเปิดเทอมวันแรก เป็นวันที่คณะต่างๆ จัดกิจกรรมในคณะต้อนรับน้องใหม่ ผมชอบวันนี้ มันเป็นวันดีๆที่จะได้มีโอกาสเจอเด็กใหม่ๆ ผมลงมาจากลู่แล้วยกมายกดรัมเบลหน้ากระจก เสียงชัตเตอร์ดังมาจากทางด้านข้าง ไอ้เป้เพื่อนของผมกดชัตเตอร์เก็บภาพของผมเอาไว้หลายรูป "รูปละห้าร้อย" ผมทักเพื่อนด้วยตัวเลข "ไอ้ขี้งก แต่ไม่เป็นไรกูจะเอารูปล่ำๆของมึงไปขายเก้งกวางในมอ รูปละพัน กำไรเห็นๆ"ไอ้เป้หัวเราะกลับมา เป้เป็นนิสิตคณะนิเทศศาสตร์เป็นเพื่อนร่วมสโมสรนิสิตของผม "เอางานมาดูซิ" ผมกวักมือเรียกงานจากเป้เป้ดึงอัลบั้มรูปที่ปริ้นสีมาเรียบร้อยให้ผมเป็นรูปนิสิตปีหนึ่งที่มาในงานรับน้องของมหาลัย ผมจ้างให้เป้ไปถ่ายรูปเด็กใหม่ๆที่น่าสนใจมาให้ผม โดยมีราคาค่ารูปที่ผ่านเข้าตารูปละห้าร้อยบาทเป้ลากเก้าอี้มานั่งข้างๆผมแล้วเริ่มกลายร่างเป็นเซลล์แมน "นัทอักษร มายด์นิเทศ เอกครุ พัฒน์ศิลปกรรมเอยสหเวช อ๋อมจิตวิทยา กานต์เภสัช นิคนิติ กิตบัญชี" ผมเลือกรูปหกจากทั้งหมดเก้าใบจากนั้นก็กดโอนเงินเข้าบัญชีผ่านโทรศัพท์ให้เป้ เป้รับรูปที่ผมเลือกไว้ไปเขียนรายละเอียดของคนในภาพทางด้านหลังก่อนจะหันหลังกลับเตรียมตัวกลับบ้าน "ไอ้เป้!!!" ผมตะโกนเรียกมันกลับมา"เอารูปแฟนมึงไปด้วย" ไอ้เป้มันชอบแอบมีระบบยัดเยียดบางทีมันก็ถ่ายรูปเด็กธรรมดามาให้ผม ผมชื่อมิท มาจากชื่อของปู่ที่เป็นคนรัสเซียชื่อDmitri ดิมมิทตรี้ ตามสำเนียงรัสเซีย พ่อผมเป็นลูกครึ่ง และแน่นอนผมก็เป็นลูกเสี้ยวหลายคนบอกว่าหน้าของผมไม่เหมือนคนไทยและก็ไม่เหมือนฝรั่ง มันเป็นส่วนผสมที่ลงตัวของเชื้อชาติ รูปลักษณ์และรูปร่างเป็นใบเบิกทางที่ดีผมไม่เคยล้มเหลวเรื่องจีบใคร อาจจะใช้เวลามากบ้างน้อยบ้างในการตามจีบคน แต่สถิติที่ผ่านมาผมไม่เคยใช้เวลาเกินหนึ่งเดือน นั่นเป็นสถิติที่นานที่สุดที่ไอ้เป้บันทึกได้ ส่วนเวลาที่น้อยที่สุดคือครึ่งวัน ผมนั่งมองรูปถ่ายแล้วก็จัดอันดับให้คะแนนหน้าตาให้เจ็ดบ้างแปดบ้างแล้วแต่ความชอบ คะแนนนิสัยก็อีกส่วน บางคนหน้าตาดีแต่นิสัยแย่ผมก็บาย ผมเอาปากกาเมจิกขีดตัวเลขลงไปในรูปจนครบทุกรูป ผมอาบน้ำและเปลี่ยนชุดก่อนจะเดินกลับมาที่คณะซึ่งอยู่ใกล้กับศาลาพระเกี้ยวและคณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี ผมเก็บกระเป๋าเสื้อผ้าไว้แล้วก็เดินออกไปที่สถานีรถไฟฟ้าสามย่าน วันเปิดเทอมมักจะทำให้ผมมีความสุขเสมอ เกมไล่ล่าพี่รหัสเริ่มต้นตั้งแต่วันเปิดเรียนผมกำกระดาษที่มีชื่อของพี่รหัสและเงื่อนไขการยอมรับเอาไว้ในมือ นกน้อยก็มีกระดาษเช่นเดียวกันผมแอบเห็นชื่อพี่รหัสในมือของนกน้อยแล้วเหมือนกันเราสองคนจะต้องหาตัวพี่รหัสให้เจอก่อนวันซ้อมเชียร์ ผมกับนกน้อยเดินมาหาวิชาเลือกลงที่คณะข้างในมหาลัยใหญ่ผมกับนกน้อยเลือกลงว่ายน้ำ นกน้อยบอกว่าว่ายน้ำไม่เป็น ส่วนผมว่ายเป็นแล้วแต่ก็อยากลงเป็นเพื่อนนกน้อย เราสองคนนั่งรถป๊อบปูล่าไปกินข้าวในโรงอาหารของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬา ผมมองดูชื่อพี่มิตรในมือก็ต้องขมวดคิ้ว ไม่รู้พี่มิตรจะเป็นคนไหนกันแน่
มหาลัยในเรื่องเป็นสิ่งสมมุติ คณะสมมุติอาจจะคล้ายมหาลัยใดไปบ้างก็ลืมๆไปนะครับ พี่มิตรหรือเปล่าครับ ? ใช่พี่มิตรมั้ยครับ? พี่มิตรใช่มั้ยครับ ? ผมถามพี่ปีสองหลายคนก็ไม่มีใครยอมบอกกฏการหาพี่รหัสคือ ถ้าถามไม่ถูกคน คนถูกถามก็จะตอบว่าไม่ใช่ และจะไม่พูดอะไรต่อถึงแม้จะรู้จักกันจริงๆแต่ถ้าถามถูกคน ก็ห้ามพี่ปีสองโกหกว่าไม่ใช่ ดังนั้นทางเลือกเดียวก็ของผมก็คือต้องถามพี่มิตรให้ถูกคน ผมลงเรียนวิชาเลือกของคณะอักษรหนึ่งตัววันนี้ผมเดินตัดคณะสัตวแพทย์มาส่งงานอาจารย์ และกะว่าจะเลยไปถึงศาลาพระเกี้ยวเพื่อซื้อหนังสือ ผมจ่อสมุดเข้ากับเครื่องสแกนของร้านหนังสืออิเล็กทรอนิกส์เข้ามาเรียบร้อย แล้วเจ้าหน้าที่ก็สแกนเงินของผมไป ด้านล่างมีร้านศูนย์อาหารผมเดินดูขนมธัญพืชไปฝากนกน้อย ผมเดินผ่านโต๊ะไม้ยาวๆ มีนิสิตนั่งอยู่โต๊ะละคนสองคน ผมได้ยินเสียงชัตเตอร์ของกล้องถ่ายรูปมาจากทางด้านข้างเมื่อหันไปมองตามสัญชาตญาน ผมเห็นผู้ชายในชุดนิสิต คนที่ถ่ายรูปผมเป็นผู้ชายผมยาวมัดรวบเป็นหางม้าเขามีป้ายชื่อติดเอาไว้ว่า “P’ Pe” ผู้ชายที่นั่งข้างๆ เขา ดูท่าทางสูงกว่า ตัวหนากว่า และดูคล้ายนักกีฬาผู้ชายคนนั้นกำลังหันไปอีกทางเพื่อยคุยโทรศัพท์ สิ่งที่เขาทำให้ผมสนใจคือ ป้ายชื่อบนหน้าอกเขาที่พิมพ์ไว้ว่า “P’Mit” “พี่มิตร ใช่หรือเปล่าครับ?” ผมเข้าไปนั่งตรงข้ามกับผู้ชายทั้งสองคนคนที่ชื่อเป้กำลังรัวชัตเตอร์เก็บรูปผม ส่วนอีกคนเพิ่งหันหน้ากลับมา “รู้จักมิทด้วยเหรอ แต่ก็นะ มันออกจะชื่อหอมหวนทวนลมในหมู่น้องปีหนึ่ง”พี่เป้ตอบกลับมาแล้วก็ถ่ายรูปต่อ “ผมตามหาพี่อยู่หลายอาทิตย์แล้วนึกว่าจะไม่เจอกันก่อนซ้อมเชียร์ซะอีก” ผมผงกหัวช้าๆรับคำตอบพี่เป้แล้วก็หันมาพูดกับพี่มิตร พี่มิตรกดวางโทรศัพท์แล้วกดจากนั้นก็ยื่นหน้าเข้ามามองใกล้ๆ “ถามว่าอะไรนะครับ?” “พี่ชื่อมิตรใช่มั้ยครับ?” ผมหลับตารอลุ้นคำตอบ “ใช่ครับ พี่มิทครับ” “ดีใจจังครับ ผมหาพี่เจอจนได้ผมเป็นน้องรหัสพี่นะครับ พี่ช่วยไปซื้ออะไรเปรี้ยวๆ ให้ผมกินหน่อยนะครับ” ผมยิ้มกว้างแล้วก็ถอนหายใจยาวด้วยความโล่งใจ พี่มิตรดูจะงงเล็กน้อย เขาหันไปมองพี่เป้ที่ยักไหล่กลับมา “น้อง...รหัส งั้นเหรอ?” พี่มิตรถามแล้วก็มองผมอย่างละเอียดผมรู้สึกว่าเหมือนเขากำลังมองหาจุดตำหนิบนหน้าผมยังไงยังงั้น “เออ....ครับ น้อง รหัส” ผมชักสงสัยแต่พี่เป้ปรบมือแล้วสะกิดพี่มิตรซะก่อน “ก็ไปซื้อของเปรี้ยวๆ มาให้น้องสิ นั่งบื้ออยู่ได้ไปๆๆๆๆๆ” พี่เป้หัวเราะแล้วโบกมือไล่เพื่อนพี่มิตรมองผมอีกทีแล้วก็เดินหายไปกับฝูงชน “ร้อนนะ นั่งพักก่อน เดี๋ยวมันก็มาซอกไหนมุมไหนไอ้มิทมันรู้จักหมดแหละ มันเที่ยวหม้อ.... เอ่อมันเที่ยวเดินไปทั่วแหละ” พี่เป้ยิ้มแหยเหมือนคนพูดผิด ระหว่างนั้นพี่เป้ก็ขอเก็บวิดีโอไว้บอกว่าจะขอซ้อมกล้อง ผมยิ้มรับไม่ได้ห้ามอะไร พี่มิตรเดินกลับมาอีกครั้งในมือมีถุงมะม่วงมาด้วย “รับรองเปรี้ยวน้ำตาเล็ด” พี่มิตรบอกว่าเดินไปซื้อที่ตลาดสามย่าน ผมรับมะม่วงมากินตามเงื่อนไขในกระดาษหาพี่รหัสและด้วยความชำนาญ ผมรู้ทันทีว่ามันเป็นมะม่วงน้ำดอกไม้ดิบตูดแหลม สุดยอดมะม่วงเปรี้ยวระดับเดียวกับมะนาวผมหลับตาหยี มันเข็ดฟันจริงๆ พี่เป้กับพี่มิตรหัวเราะชอบใจผมเช็ดน้ำตาออกแล้วก็พยายามกินต่อไปจนหมด พี่มิตรกดปิดโทรศัพท์ที่โทรเข้ามา เขาถามผมต่อว่า หาเขาเจอได้ยังไง “ก็หาพี่อยู่นาน ในคณะก็ไม่เจอ วันนี้ผมมาซื้อหนังสือแล้วก็มาส่งงานที่คณะอักษรเดินผ่านมาที่โต๊ะนี้เลยเจอพี่” “แล้วเรียนคลาสไหน ทำไมพี่ไม่เคยเจอ?” “คลาสไหน?” ผมทวนคำถาม“ก็คลาสทั่วไป เรียนวิชาพื้นฐานบางทีก็ไปลงวิชาคณะอื่นครับ” พี่มิตรนิ่งไป ส่วนพี่เป้ยิ้มแบบแปลกๆ ผมคิดว่าบางทีอาจจะทักคนผิดพี่มิตรคนนี้อาจไม่ใช่พี่มิตรที่เป็นพี่รหัสของผมก็ได้ “ชื่อพี่สะกดเป็นภาษาไทยว่าไงครับ?” ผมตัดสินถามเพื่อความแน่ใจ “มอม้า สระอิ ทอทหาร มิท” ผมรู้สึกเสียดายที่ไม่ใช่พี่มิตร ผมนี่โง่จริง Mitก็ต้อง มิท ไม่ใช่ Mitr มิตร "แล้ว... แล้วพี่เรียนปีไหน คณะอะไรครับ?"ผมถามต่อ "ปีสาม เศรษฐศาสตร์" เป็นที่แน่นอนแล้วว่าผมเจอพี่มิทไม่ใช่พี่มิตรระหว่างนั้นนกน้อยคอลเข้ามาผ่านข้อความเสียงพอดี ผมกางแพดออกแล้วปิดเสียงเลือกเป็นอ่านข้อความแทน นกน้อยคอลมาว่า ‘เจอพี่มิตรแล้วที่ห้องอาจารย์.....รีบมา พี่เขากำลังคุยกับอาจารย์’ ผมยกมือไหว้พี่เป้กับพี่มิทแล้วรีบวิ่งกลับไปที่คณะตัวเองทันที "เดี๋ยวสิ!!!"ผมร้องเรียกเด็กปีหนึ่งที่วิ่งหนีไปเหมือนกับเจ้าชายตามหาซินเดอเรลล่า ไอ้เป้นั่งหัวเราะเยาะผมอยู่ที่โต๊ะผมเดินกลับมาก็เห็นมันกำลังคัดรูปที่ถ่ายน้องปริศนาไว้ “หล่อ รวย หุ่นดี แต่เสือกโง่มึงก็น่าจะรู้นานแล้วว่าน้องเขาทักผิดคน” “ไอ้เวร ใครจะฉลาดแสนรู้เหมือนมึงสะกิดกูซักนิดก็ไม่มี ไก่กูเตลิดเปิดเปิงไปนู้นแล้ว วิ่งตามก็ไม่ทัน” ผมไม่ใช่คนโง่แต่ผมก็พลาดตรงที่ไม่เฉลียวใจเรื่องน้องรหัส น้องรหัสผมอยู่ปีสองและเป็นผู้หญิงไม่ใช่ผู้ชายแบบน้องปริศนา แถมยังเป็นแรร์ไอเท็มอีกต่างหากผมรู้สึกว่าน้องคนเมื่อกี้เป็นเหมือนการ์ดและไอคอนหายากในเกม ต้องมีสถานการณ์พิเศษหรือมีบังเอิญจริงๆเท่านั้น การ์ดหายากแบบนี้ถึงจะออกมา ผมอยากจะทิ้งรูปถ่ายที่ไอ้เป้ถ่ายมาวันก่อนให้หมดคะแนนเจ็ดแปดที่ผมเขียนเป็นเป็นประจำในรูป น้องปริศนาคนนี้คงเกินกว่านั้นผมฟาดถุงมะม่วงดิบใส่หลังไอ้เป้โทษฐานที่มันหาน้องคนนี้ไม่เจอตอนวันเปิดเทอมวันแรก “มาตีกูทำเชี่ยไร” ไอ้เป้ลูบหลังแล้วทำเสียงอ่อยๆ “ตาถั่วนักนะมึง ของดีๆ เสือกหาไม่เจอมึงปล่อยของดีๆ แบบนี้หลุดกล้องมึงได้ไงวะ” ผมง้างหลังมือใส่มันอีกรอบคราวนี้มันเขยิบตูดหนีไปนั่งอีกฝั่ง “หนีเข้าป่าไปแล้ว วิ่งไวยังกับกระต่ายแห้วละสิมึง” ไอ้เป้หัวเราะ ผมเห็นมันอัพรูปลงแพดจากนั้นก็เลื่อนผ่านๆ ให้ผมดู “เอามาดูซิ” ผมกวักมือข้ามโต๊ะไปฝั่งตรงข้ามที่เป้นั่งอยู่ “รูปละพัน” มันแบมือกลับมาเช่นกัน “ส้นตีน ทีเรื่องเงินไม่ต้องให้กูบอก” ผมอยากจะฟาดหลังมือใส่มันอีกซักฉาดจริงๆ “ไปตามหาน้องปริศนาให้กู ด่วนที่สุด” ผมพยักหน้าให้มันผมทิ้งการ์ดไอเทมคนอื่นๆ จนหมด งานนี้เป็นงานช้างที่จะพลาดไม่ได้ “เวร ข้อมูลก็ไม่มี คณะอะไร เอกอะไร ชื่ออะไรไม่มีให้กูซักอย่าง” ไอ้เป้บ่น “เสือกโง่อีกนะมึง” ผมด่ามันคืนบ้าง“มึงไม่ได้ยินหรือไงว่าน้องปริศนาเขามีพี่รหัสอยู่ปีสองชื่อพ้องกับกู” ไอ้เป้พยักหน้าเข้าใจอย่างรวดเร็วผมพูดกับมันต่อ “ไปหามาว่าคณะไหนมีคนชื่อมิทที่สะกดไม่เหมือนกูแล้วก็ไปสืบดูว่าน้องรหัสเขาชื่ออะไร” “ค่าจ้าง?” “หมื่นนึง” ผมสั่งความไอ้เป้ก่อนจะกดรับโทรศัพท์น้องไอเทมหมายเลขหนึ่ง“ไม่ต้องมาแล้วครับ พี่ต้องไปหาแฟนแล้วไม่ต้องโทรมาอีกนะครับ แค่นี้ครับ” ผมพูดตัดบทไปโดยไม่รู้สึกเสียดาย ผมใช้เวลาหนึ่งอาทิตย์หลังได้รูปตามหาและปลดเงื่อนไขเด็กปีหนึ่งหกคนในรูปได้หมดแล้ว มีอยู่สองคนที่น่าสนใจ แต่พอผมเจอน้องปริศนามะม่วงดิบผมก็แน่ใจแล้วว่า ตัวจริงของผมอยู่ที่ไหน พี่มิตรพี่รหัสของผมเป็นผู้ชายใจดีพี่มิตรรูปร่างใหญ่และมีพุงน้อยๆและที่ผมหาพี่รหัสตัวเองไม่เจอก่อนหน้านี้เพราะพี่มิตรเพิ่งกลับมาจากต่างประเทศ ผมกินมะม่วงเป็นลูกที่สองของวันโชคดีที่มะม่วงเปรี้ยวของพี่มิตรเป็นมะม่วงฟ้าลั่นไม่ใช่มะม่วงน้ำดอกไม้ดิบเหมือนพี่มิท ผมเล่าเรื่องพี่มิตรกับพี่มิทให้นกน้อยฟังเธอก็หัวเราะผมยกใหญ่ วันซ้อมเชียร์วันแรกผมกับนกน้อยขึ้นสแตนแค่ครึ่งชั่วโมงเท่านั้นพี่ๆก็ให้นิสิตกลับบ้านเพราะเกิดเรื่องที่คณะสัตวแพทย์ ไม่มีใครรู้ว่าเกิดอะไรขึ้นแต่มีคนไปถามนิสิตปีหนึ่งของคณะสัตวแพทย์ก็ได้ข่าวว่ามีตัวประหลาดเข้ามากินหนูแฮมสเตอร์กับหนูตะเภาในกรง การกินแปลกประหลาดไปจากสัตว์ทั่วไปเพราะเป็นการกินเหยื่อเข้าไปทั้งตัวไม่มีร่องรอยของซาก มีแต่รอยเลือดเลอะอยู่ที่กรง ตำรวจและหน่วยพิสูจน์หลักฐานมากันเต็มคณะผมซึ่งอยู่ติดกันกับคณะสัตวแพทย์ก็มีตำรวจมาดูด้วยแต่ในที่สุดก็ไม่พบอะไรน่าสงสัย ผมนั่งรถมาหาแม่ที่วัด วันนี้แม่มาทำสังฆทานวัดที่ผมเดินเข้ามาเป็นวัดเล็กๆ ที่เงียบสงบไม่ได้ใหญ่โตและสวยงามเหมือนวัดอื่นๆ แต่แม่บอกว่าพระวัดนี้เก่งเรื่องปฏิบัติและการแสดงธรรม หลวงตานั่งอยู่ม้านั่งใต้ต้นไม้ส่วนแม่นั่งอยู่บนเสื่อกก ข้างกันก็มีเพื่อนๆของแม่ที่มาทำบุญด้วย ผมยกมือไหว้ป้าแป๊ดแล้วเข้าไปนั่งใกล้ๆแม่ หลวงตากำลังคุยกับแม่เรื่องของหาย หลวงตาบอกว่าแม่เคยเสียคนๆนึงไปแล้วก็ได้กลับคืนมา จากนั้นหลวงตาก็มองมาทางผม เหมือนผมเป็นของหายของแม่ หลวงตาบอกว่าผมกับแม่เคยมีบุญคุณกันมาก่อน โดยผมเคยอุปการะแม่ มาชาตินี้แม่จึงเป็นฝ่ายอุปการะผมบ้างแม่ถามหลวงตาว่า ทำไมรู้สึกลึกๆว่าตัวเองมีพี่ชาย หลวงตาหลับตาแล้วก็บอกกับแม่ว่าไม่สามารถบอกได้ เพราะหลับตาไปแล้วก็เห็นตาสีเขียวอยู่ในความมืด ตาสีเขียวที่หลวงตาเห็นคงห้ามไม่ให้ใครพูดถึงเรื่องนี้อีกหลวงตาบอกว่ามันคงเป็นเหมือนประตูปิดตายที่ห้ามไม่ให้คนเปิดเข้าไปรู้เรื่องราว หลวงตาถามผมว่า รู้สึกปวดท้องอยู่หรือเปล่าผมยกมือไหว้แล้วก็พยักหน้าช้าๆ สงสัยว่าท่านรู้เรื่องได้ยังไง หรือบางทีแม่อาจจะบอกหลวงตามาก่อนที่ผมจะมาถึงหรือเปล่า หลวงตาพูดต่อว่า ชาติที่แล้วผมโดนพิษเป็นพิษที่ร้ายแรงกว่าพิษใดๆบนโลก มาชาตินี้ผมเลยปวดท้องบ่อยๆ ทางแก้คือต้องกินผลไม้ทิพย์ผลไม้นี้ทำให้ร่างกายหายจากโรคและเป็นยาอายุวัฒนะ แม่ถามว่า จะไปหาผลไม้นี้ได้จากไหนหลวงตายิ้มแล้วบอกว่า อีกไม่นานผมจะเจอผลไม้ทิพย์พร้อมกับคนที่รอคอย หลวงตาพูดเป็นนัยอีกว่าชาติที่แล้วของผมคือชาติเดียวกับของแม่ผมแค่หลับไปแล้วตื่นในสภาพใหม่ สถานะใหม่ ผมไม่ค่อยเข้าใจที่หลวงตาพูดมากนักได้แต่พยักหน้ารับ “แม่จ๋าเข้าใจที่หลวงตาพูดหรือเปล่า?” ผมถามแม่ที่นั่งอยู่ข้างๆผม ขณะนั่งรถไฟฟ้าใต้ดินกลับบ้าน “หลวงตาบอกว่าอีกหน่อยก็จะเข้าใจเองตอนนี้ยังไม่ถึงเวลา” แม่ตอบกลับมา “อยากรู้เร็วๆ” ผมยิ้ม “ของบางอย่างมันก็ต้องรอให้มาเองบางทีเราไปหาแล้วก็ไม่เจอเพราะบุญกรรมมันบังตา” “แม่จ๋าพูดอะไร?” “แม่กับน้าเคยคิดตลอดว่าเราสองคนมีพี่ชายบางอย่างมันบอกอย่างนั้นจริงๆ แม้แต่ยายเองก็เชื่อว่าเคยมีลูกชาย มันเป็นเรื่องที่แปลกมากแต่หลักฐานเท่าที่มีก็บอกชัดว่ายายมีแม่เป็นลูกคนแรก แต่ยายบอกว่า ลูกชายคนนั้นมาเกิดแล้วก็กลับสวรรค์ไปแล้วไม่อยากอยู่ด้วย แต่แม่มั่นใจว่าต้องมีอะไรแน่ๆ ก็เหมือนที่หลวงตาบอก บางอย่างมันมีขอบเขตเกินที่เราจะรู้ได้ใครบางคนทำประตูกั้นเอาไว้ ยังไงก็เถอะ แม่มั่นใจว่าเราสองคนเคยเกี่ยวข้องกัน” แม่หันมาลูบผมดำๆของผมไปมา
|