วันนี้มีเรียนแค่ครึ่งเช้าส่วนครึ่งบ่ายผมออกไปเดินดูงานพืชสวนในห้างวันนี้ผมมาคนเดียวเพราะนกน้อยมีธุระที่บ้าน ผมเจอนักดนตรีตาบอดอีกแล้ววันนี้เขาเล่นไวโอลิน ไม่ใช่เปียโนเหมือนวันก่อนผมหยุดยืนฟังอยู่ได้ไม่นานเพลงก็จบ เสียงปรบมือดังนานมากพร้อมๆกับผู้คนในงานทยอยกันเดินกลับผมรู้สึกเสียดายที่มาช้าไป ผมนั่งเล่นอยู่ลานน้ำพุจนใกล้ค่ำจึงเดินออกไปที่สถานีรถไฟฟ้า ผมเจอคุณเวณวัฒน์ นักดนตรีตาบอดอีกแล้ว เขายืนเล่นไวโอลินอยู่หน้าป้ายรับบริจาคเงินช่วยเหลือสัตว์พิการผมกดเงินออนไลน์ผ่านเข้าไปในเครื่องสแกนหน้าเขา แล้วก็หยุดฟังเพลงของเขาจนจบน่าเสียดายที่เขาไม่ได้เล่นเพลงเหมือนกับตอนอยู่ข้างในห้าง ผมหยุดฟังเขาจนงานเลิกผู้จัดการอาสาพาเขาไปส่งบ้าน แต่เขาปฏิเสธผมเห็นคุณเวณวัฒน์ดึงแท่งอลูมิเนียมออกมา เขาเดินมาหาผมจากนั้นก็หยุดอยู่ตรงหน้าแล้วก็ล้วงเข้าไปในกระเป๋ากางเกงหยิบเอาบัตรคอนเสิร์ตออกมาให้หนึ่งใบ “ผมรู้สึกว่าคุณมองผมอยู่นานแล้ว ถ้าคุณรออยู่นานขนาดนี้คุณคงรอฟังเพลงบางเพลง แต่ผมไม่ได้เล่น บัตรนี้คุณจะได้ฟังทุกเพลงจนจบ” คุณเวณวัฒน์พูดแล้วก็ยื่นบัตรมาให้ผม “คุณมองไม่เห็นไม่ใช่เหรอครับทำไมถึงรู้ว่าผมรอคุณอยู่ตรงนี้?” “คนตาบอดมักจะมีบางอย่างชดเชยเสมอผมได้กลิ่นคุณลอยมาตามลม ได้กลิ่นตั้งแต่อยู่ข้างในจนออกมาถึงข้างนอกถ้าคุณสนใจอยากฟังเพลงที่ผมเล่น ก็ตามบัตรที่ผมให้นี้มา ลาก่อน” คุณเวณวัฒน์เดินแทรกหายไปกับฝูงชนผมไม่รู้ว่าเขาทำแบบนั้นได้ยังไง คนที่มองอะไรไม่เห็นมักจะใช้ชีวิตลำบากกว่าคนผิดปกติอื่นๆ คนหูหนวกและพูดไม่ได้ ยังสามารถไปไหนมาไหนได้คนเดียวแต่คนตาบอดไม่ใช่แบบนั้น วันนี้ผมรู้สึกว่าที่มหาลัยจะมีคนคึกคักเป็นพิเศษเป็นตำรวจทั้งในและนอกเครื่องแบบเดินตรวจตรากันทั่วไปในมหาวิทยาลัย ผมกับนกน้อยส่งงานอาจารย์แล้วก็ไปลงวิชาว่ายน้ำวันนี้อาจารย์สอนทฤษฎีและเทคนิคการลอยตัวแล้วก็เปิดวิดีโอให้ดู ช่วงเย็นใกล้อาทิตย์ตก ผมจองสระไว้นกน้อยเกาะบอร์ดโฟมฝึกลอยตัว ส่วนผมว่ายเป็นแล้ว เลยว่ายวอร์มร่างกายเบาๆ ไปกลับ นกน้อยเกาะตะแกรงพลาสติกระบายน้ำอยู่ริมสระดูเธอเหนื่อยมาก ส่วนผมก็ลอยตัวนิ่งๆ พลิกตัวหงายขึ้นมา ตาผมมองดูดาวบนท้องฟ้า ฟ้าสีน้ำเงินเข้มเริ่มมีดาวสุกสว่างขึ้นมาแล้ว “วา...วา” ผมได้ยินเสียงเรียกวาน่าแปลกมาก หูผมแช่อยู่น้ำ แต่กลับได้ยินเสียง นกน้อยหันมามองผมแล้วถามว่าผมพูดว่าอะไร “เปล่า ไม่ได้พูดอะไร” ผมตอบ “ได้ยินเหมือนคนเรียก” นกน้อยหันมาจากตะแกรงแล้วพูดตอบ “นั่นสิ เหมือนมีคนเรียกวา..วา” “คงเสียงน้ำมั้ง” นกน้อยวางแขนลงไปกับตะแกรงระบายน้ำริมสระจากนั้นก็แนบหน้าลงไปพักเหนื่อยผมกำลังจะบอกให้นกน้อยขึ้นจากสระไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้ากลับบ้านแต่ได้ยินเสียงเธอกรีดร้องขึ้นมาเสียก่อน นกน้อยร้องเหมือนคนเสียขวัญและพยายามขึ้นมาจากสระดูเธอจะกลัวมาก “นกน้อย!!!” “ตาน ผีอยู่ในท่อระบายน้ำ ผี!!!” ผมรีบว่ายไปที่บันไดแล้วดึงนกน้อยขึ้นระหว่างนั้นเจ้าหน้าที่ของคณะกับตำรวจก็วิ่งเข้ามานกน้อยห่อตัวอยู่ในผ้าขนหนูแล้วรีบชี้จุดให้ตำรวจดู นกน้อยบอกว่า มันเหมือนอสูรกายในนรกรูปร่างมันเหมือนงูเหลือมแต่มีหน้าเป็นคน มันเลื้อยมากับร่องระบายน้ำแล้วก็เงยหน้ามามองเธอจากนั้นก็แลบลิ้นสองแฉกออกมา ผมนั่งดูข้อมูลของน้องปริศนาที่ไอ้เป้หามาให้แถมยังให้รูปน้องหลับตาข้างเดียวตอนกินมะม่วงมาเป็นภาพวอลเปเปอร์อีกด้วย “อย่างนี้นี่เองเป็นเด็กคณะชายขอบนี่เองถึงหลุดรอดไปได้” ผมพูดกับตัวเองเบาๆ “น้องเขาลงวิชาเลือกที่คณะอักษรกับวิทย์กีฬา”ไอ้เป้พูดต่อ ผมพยักหน้า เวลามีเงินล่อไอ้เป้มันทำงานคุ้มค่าจ้างเสมอ “เด็กใหม่หายากขึ้นทุกวันบางคนรู้ว่ากูเป็นเพื่อนมึงเขาก็หนีบางคนมีพี่รหัสที่โดนมึงจีบไปปีก่อนก็เตือนน้องรหัส” ไอ้เป้พูดเรื่อยๆขณะผมเลื่อนดูรูปน้อง “ปลาในทะเล ล่ามันมากๆ วันนึงมันก็หมดบางตัวก็กลัวแล้วว่ายหนี มึงก็เหมือนกัน” ผมยักไหล่รับคำไอ้เป้คราวนี้ผมไม่เถียงเพราะผมไปไล่จีบเขามาจริงๆแต่ผมไม่เคยจริงจังกับใครจนถึงขั้นเรียกว่าแฟน “ยังไม่เจอคนที่ใช่ กูก็หาไปเรื่อยๆ ทำไมวะเสื้อผ้ายังเลือกยังลองได้ ทำไมคนจะเลือกไม่ได้ถ้าไม่เข้าไปคุยกูจะรู้ได้ยังไงว่าเหมาะกับกู” “มึงไปจีบเขา เขาก็คิดว่ามึงจะคบกับเขาสิวะ” “ช่วยไม่ได้ ก็คิดกันไปเอง กูแค่ไปคุยเฉยๆใครไม่ใช่ก็คือไม่ใช่” วันนี้ผมกลับบ้านเร็วกว่าปกติเพราะมหาลัยประกาศปิดฉุกเฉินมีรายงานการพบสัตว์ประหลาดที่คณะวิทยาศาสตร์การกีฬา เป็นอันว่าการตามหาน้องปริศนายังต้องรอต่อไปผมชอบเรียกน้องว่าปริศนาแม้ไอ้เป้จะตามไปสืบชื่อน้องมาแล้ว ผมรู้สึกเลือดสูบฉีดทุกครั้งเมื่อคิดถึงเรื่องนี้ ผมเดินเรื่อยเปื่อยมาจนถึงเขตบ้านของคุณป้าป้าของผมเป็นญาติผู้ใหญ่ทางแม่ บ้านของของป้าเป็นเรือนไม้สัก ดูคล้ายกับตำหนักมากกว่าบ้าน ตอนเป็นเด็กผมชอบมาวิ่งเล่นที่นี่ ป้าเป็นคนใจดีและรักผมมาก บางครั้งผมทะเลาะกับแม่ ก็จะวิ่งมาหาป้าที่นี่ แม่บอกว่าป้ามีเชื้อสายมาจากอาณาจักรโบราณทางด้านตะวันออกของไทยและหากนับกันจริงๆ ป้าก็อาจนับได้ว่าเป็นเจ้าหญิงคนหนึ่ง แต่เป็นเจ้าหญิงของเมืองอื่นทำให้ไม่มีบรรดาศักดิ์และยศ แม่มักจะเกรงใจป้าเสมอดังนั้นเมื่อผมทะเลาะกับแม่ป้าก็จะเข้าข้างผมทุกครั้งแล้วก็จะเป็นคนสะสางปัญหาทั้งหมดแทน บ้านของป้าสงบและเย็นไปด้วยต้นไม้สีเขียวผมนั่งมองสิงโตหินและรูปปิศาจตามทวารบาลต่างๆด้วยความชินตา แม้จะรู้สึกว่าบางครั้งพวกมันจะเคลื่อนไหวได้เอง “มิท จะมาหาป้าทำไมไม่บอก่อนจะได้ให้คนทำขนมไว้ให้” เสียงป้าของผมดังออกมาจากข้างในบ้านป้ามีริ้วรอยร่วงโรยตามวัย แต่ก็ยังเหลือเค้าโครงความสวยอยู่มากแม่บอกว่าถ้าป้ายังสาว ก็คงสวยกว่าบรรดานางเอกละครทีวีทุกคนผมหันไปหาป้าแล้วยิ้มตอบ “เดินมาเรื่อยๆครับรู้ตัวอีกทีก็เดินทะลุมาถึงที่นี่” “บังเอิญหรอกหรือ?” “ไม่ใช่อย่างนั้นครับ คงเป็นเพราะมิทคึดถึงป้าขามันเลยพามาถึงที่นี่” ผมชอบพูดเอาใจคนแก่แล้วก็โชคดีที่คนฟังมักจะชอบสิ่งที่ผมพูดเสมอ “มากินข้าวกับป้าดีกว่า” ผมเดินตามป้าเข้าไปข้างในป้าของผมมีชุดที่เป็นเอกลักษณ์ ป้าจะสวมชุดผ้านุ่งกรอมเท้ามัดผมเป็นมวยประดับดอกไม้หอมเสมอ ทำให้ป้าดูอ่อนวัยกว่าผู้หญิงรุ่นราวคราวเดียวกันบางครั้งผมก็ยังรู้สึกว่าป้านั้นดูเด็กกว่าแม่ของผมซะอีกทั้งที่ป้าอายุมากกว่าแม่ถึงสิบห้าปี ผมชอบจับตุ๊กตาหินและตุ๊กตาไม้ที่ประดับอยู่ในบ้านของป้ามาเล่นบางครั้งผมจะเห็นตามันกรอกไปมา ป้าบอกว่า ของทุกอย่างในบ้านก็มีชีวิตทั้งนั้นทั้งต้นไม้ทุกต้นและของใช้ทุกชิ้น “เดินใจลอยแบบนี้ก็คงมีอยู่อย่างเดียวล่ะสิ”ป้ายิ้มแล้วกวักมือเรียกคนเข้ามารับคำสั่ง “ไปหาน้ำหวานดอกไม้ใส่น้ำแข็งมาให้หลานฉันหน่อย” ผมยิ้มตอบป้า จากนั้นก็ถามกลับ “ป้ารู้เหรอครับว่ามิทคิดถึงอะไร?” “ความรัก” “ถูกเผง ป้านี่เก่งจริงๆครับ รู้ใจผมไปหมด”ผมหัวเราะ “สาวคนไหนล่ะ?” “ผู้ชายครับ”ผมยิ้ม “ผู้ชาย?” “ครับ ผู้ชาย” ผมตอบป้านิ่งไปแล้วก็พยักหน้าช้าๆ นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรักป้ามากไม่เคยแสดงอาการขัดแย้งในสิ่งที่ผมทำและเลือก ตรงกันข้าม ถ้านี่คือแม่ตอนนี้ผมคงถูกซัดทอดยกใหญ่ “ลูกเต้าเหล่าใครกัน นิสัยใจคอเป็นยังไง?”ป้าถามต่อ “โถป้าครับ มิทเพิ่งเจอเขาครั้งเดียวเอง” “เจอกันครั้งเดียวก็เพ้อซะแล้วรึ?” ป้าเลิกคิ้วแล้วมองผม “ไม่รู้สิครับ อาจจะแค่ชอบเฉยๆยังไม่ได้คุยกันจริงจัง บางทีคุยแล้วอาจจะไม่ชอบก็ได้ว่าแต่ป้าอย่าเพิ่งบอกแม่นะครับ มิทไม่อยากฟังเสียงแม่บ่น” “ป้ารู้แล้ว อีกอย่างแม่เราก็เอาแต่เดินสายทำงานการกุศล ปล่อยลูกไว้ให้เหงาจนต้องตามหาแฟนอยู่แบบนี้” ผมนั่งกินข้าวเย็นแล้วก็เลยกินของหวานกับป้าอาหารที่บ้านหลังนี้แปลกกว่าที่อื่น แต่เป็นอาหารแปลกที่อร่อย ผมนั่งเล่นดูปลาในบ่อจนถึงสองทุ่มก็ขอตัวกลับบ้านไป “กลับละครับ พรุ่งนี้ต้องไปเรียน ไว้ว่างๆมิทจะมาหาป้าอีก” “ถ้าคิดจะจริงจังก็อย่าลืมพามาหาป้า” ป้ายิ้มผมรู้ว่าป้าหมายถึงเรื่องแฟน “ถ้าป้าไม่ชอบ มิทก็แย่สิครับ” “มีอะไรที่มิทชอบแล้วป้าไม่ชอบบ้างล่ะ?” “....ไม่มีครับ” ผมนึกอยู่นานก็นึกไม่ออก ป้ารักผมมาก ตั้งแต่ผมเกิด ป้าก็เอาใจใส่ผมเสมอเมื่อคราวผมทะเลากับแม่เรื่องเลี้ยงสัตว์แปลก ทะเลาะกับพ่อเรื่องไปเที่ยวต่างประเทศ ป้าก็เป็นคนสะสางปัญหาให้ทั้งหมดพ่อกับแม่ดูจะเกรงใจป้ามากจนไม่กล้าขัด และหลังจากที่หลานชายเดินกลับไปหญิงวัยกลางคนในชุดผ้านุ่งก็เข้ามายืนอยู่ตรงหน้ารูปปั้นหินเธอยกมือขึ้นโบกไปมาในอากาศตรงหน้ารูปปั้นนั้น ไม่นานรูปปั้นนางฟ้าขอมก็เคลื่อนไหวได้ราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต “ไปตามหาว่าหลานของข้ารักใคร่อยู่กับใครไปตามหาให้เจอ อัปสรา” รูปปั้นนางฟ้าอัปสราเคลื่อนไหวตัวรับคำสั่งเครื่องประดับทองบนเศียรส่งประกายวูบวาบต้องแสงไฟสีเหลืองนวลในบ้าน นางอัปสราเดินหายไปในความมืดมิดของดงไม้ออกไปทำตามคำสั่งของผู้เป็นนาย ผมนั่งอยู่บนม้านั่งไกว หลังเอนอยู่กับไม้หูกำลังฟังเสียงตัวเองที่อัดไว้ตอนอ่านหนังสือ ผมชอบฟังเสียงที่อัดไว้เพราะมันสะดวกกว่ากางแพดอ่านแค่เสียบหูฟังแล้วก็คิดตามที่อ่านก็เหมือนได้อ่านหนังสือจริงๆแล้ว บนตักของผมมีแมวลายหินอ่อนสีเทานอนอยู่มันชื่อเจ้าเงิน เจ้าเงินเป็นแมวตัวผู้ที่ค่อนข้างอ้วนท้วนมันขดตัวบนตักของผมอย่างสบายอารมณ์ แต่ไม่นานหลังจากผมจมหายไปในโลกของหนังสือเสียงเจ้าเงินก็ลุกขึ้นมายืน มันโก่งตัวและทำขนฟู จากนั้นก็ขู่ไปทางประตูรั้ว ผมนั่งอยู่ในสวนหน้าบ้านห่างไปไม่ไกลเป็นรั้วไม่ที่ตีไว้เป็นซี่ขนาดที่แมวพอลอดไปมาได้บนรั้วที่สูงขนาดเท่ากับผม มีไม้เลื้อยสีเขียวขึ้นคลุมจนมิด เจ้าเงินขู่ฟ่อแล้วก็กระโดลงจากตักผมมันเข้าไปมองอยู่ใกล้ๆ รั้วไม้ ผมเดินตามเจ้าเงินเจ้าไปดู บริเวณหน้าบ้านของผมมีเสาไฟแล้วก็มีไฟส่องสว่างเป็นรูปวงใหญ่ๆแต่ห่างออกไปไม่ไกลก็มืดเพราะไฟสว่างไปไม่ถึง ผมเห็นบางอย่างที่วิบวับคล้ายทองเคลื่อนตัวไปในความมืดเจ้าเงินขยับตัวจะตามเงานั้นไป แต่ถูกผมห้ามเอาไว้ “อย่าตามไป เงินกลับมานี่” ผมรีบเข้าไปอุ้มเจ้าเงินออกมาจากรั้วหลอดไฟที่เคยสว่าง ตอนนี้กะพริบติดๆดับๆ อันที่จริง ละแวกบ้านผม ไม่มีโจรหรือคนร้ายอยู่เลยผมคิดว่าอาจจะเป็นบุรุษไปรษณีย์หรือคนต่างถิ่นที่เข้ามาและเดินเลยผ่านบ้านไปมากกว่า ข่าวการพบตัวประหลาดที่สระน้ำของคณะวิทยาศาสตร์การกีฬาทำให้ต้องมีการยกฝาครอบขึ้นมาทำการค้นหาเป็นการใหญ่ อีกทั้งพื้นที่โรยด้วยสีฝุ่นในคณะสัตวแพทย์ก็มีรอยเลื้อยบนพื้นแต่สัตว์ประหลาดนั้น ไม่ได้เหยื่อไปเพราะเจ้าหน้าที่เปลี่ยนมาใช้ไก่ชำแหละแทน ตำรวจสรุปว่า สัตว์ประหลาดเลื้อยมาตามท่อน้ำซึ่งเป็นเรื่องอันตรายมาก เพราะโครงข่ายท่อน้ำนี้กระจายกันอยู่ทั่วมหาวิทยาลัย อธิการบดียังไม่สั่งปิดมหาวิทยาลัยเพราะเห็นว่าตำรวจสามารถควบคุมเหตุการณ์ไว้ได้อีกทั้งทางมหาลัยก็กระจายกำลังกันตรวจตราและดูแลพื้นที่ไว้เป็นอย่างดี แต่ยังไงก็ตาม ก็มีคำสั่งอธิการบดีห้ามไม่มีมีการเรียนการสอนและการทำกิจกรรมกันหลังพระอาทิตย์ตกดิน วันนี้ทั้งวันผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกตามแต่จะเป็นใครตามนั้น ผมก็ให้คำตอบตัวเองไม่ได้ผมเห็นเงาวูบเหมือนคนเคลื่อนไหวตรงมุมอาคาร ผมวิ่งไปดูคิดว่าจะตามทันแต่เมื่อไปถึงก็พบแต่ลานหินที่มีน้ำพุและรูปปั้นนางฟ้าเขมร นกน้อยวิ่งตามมาติดๆเธอยืนหันซ้ายขวาอยู่บนระเบียงทางเดิน “งูเหรอตาน งูผีมันมาเหรอ” นกน้อยดูเหมือนจะกลัวมากกว่าอยากรู้คำตอบ “ไม่ใช่หรอก เหมือนมีคนเดินมาทางนี้” ผมมองหาคนรอบๆตัวก็ไม่เจอเลยเดินกลับขึ้นไปบนอาคารเรียนอีกครั้ง “แปลกนะรู้สึกว่ามีคนมองตั้งแต่เมื่อวานเย็นตอนอยู่ที่บ้านแล้ว มาที่นี่ก็ยังเจออีก” ผมกับนกน้อยเราสองคนก้าวหน้าเรื่องว่ายน้ำไปมาก แม้นกน้อยจะขวัญเสียเรื่องงูผีหน้าคนไปเมื่อวันก่อนก็ตาม แต่หลังจากผมอธิบายให้ฟังเธอก็พยายามลืมแล้วก็มาหัดว่ายใหม่ ผมว่ายกลับไปกลับมาได้หกเที่ยวแล้วส่วนนกน้อยก็เริ่มว่ายเองได้โดยไม่ต้องเกาะบอร์ดโฟม ผมว่ายเข้ามาเกาะอยู่ริมสระน้ำจุดเดียวกับที่นกน้อยเกาะเมื่อวันก่อนแต่แทนที่ผมจะเห็นงูผีหน้าคน ผมกลับเห็นกางเกงขายางอยู่ตรงหน้า เมื่อเงยขึ้นไปก็เจอผู้ชายคนหนึ่งยิ้มเขานั่นเอง พี่ผู้ชายที่ผมเคยทักผิดเป็นพี่มิตร “พี่...” “พี่อะไรครับ จำได้หรือเปล่า?” “พี่มิทเอ็มไอที” ผมหัวเราะ “ถูกครับ แต่เรียกพี่มิทก็พอ นี่น้ำครับรับรองหวานเจี๊ยบไม่เปรี้ยวน้ำตาเล็ดเหมือนมะม่วงคราวก่อน” พี่มิทนั่งยองๆแล้วก็วางแก้วลงมาตรงหน้าผม “ให้ผมทำไมครับ?” ผมยังเกาะขอบสระสองขาแกว่งไปมาในน้ำเหมือนปลา “ขอโทษเรื่องมะม่วงครับ” พี่มิทยิ้ม “ไม่ต้องหรอกครับมันเป็นเงื่อนไขในกระดาษอยู่แล้ว” “ตานขึ้นเหอะ เย็นมากแล้วนะ” นกน้อยเรียกมาจากด้านที่มีบันไดผมจับแก้วน้ำมาดูดสองสามครั้งเพื่อไม่ให้เป็นการเสียน้ำใจ น้ำมะม่วงปั่น วันนี้หอมอร่อยและหวานต่างกับมะม่วงครั้งก่อนอย่างสิ้นเชิง “อร่อยครับ” ผมยกมือไหว้ขอบคุณแล้วก็หยิบเอาแก้วน้ำของพี่มิทไปด้วย . . . . หญิงวัยกลางคนผู้มีศักดิ์เป็นป้าของมิทยืนหลับตานิ่งอยู่หน้ารูปปั้นนางอัปสรา เธอพยักหน้าไปมาเหมือนกำลังฟังรูปปั้นพูดให้ฟัง “งั้นหรือ เข้าไปในบ้านเด็กคนนั้นไม่ได้เข้าไปใกล้ตัวก็ไม่ได้ ทำไมกันอัปสรา?” “มีคนปกป้องอยู่งั้นหรือ ใครกัน?” . . . . . ป้าของมิทมานั่งเงียบๆ อยู่บนตั่งในห้องนอนเธอดึงลิ้นชักไม้ออกมา ด้านในมีหีบลงยาสีดำซ่อนอยู่ หีบใบเล็กนี้เป็นสมบัติที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตเป็นรูปภาพเก่าคร่ำคร่า สีเหลืองออกน้ำตาลบ่งบอกอายุของภาพถ่ายได้เป็นอย่างดี ในภาพเก่านั้นเป็นภาพของเธอกับบุรุษท่าทางสง่างาม ทั้งสองคนที่อยู่ในภาพดูรักกันดี “กำไลทองนี้พี่ขอมอบไว้ให้เจ้าจงเก็บไว้เพื่อนระลึกถึงกัน” “พี่พูดเหมือนจะจากน้องไป” “โสรยาบัดนี้วัยของเจ้าก็ล่วงเลยมาจนถึงขวบปีที่ 45แล้ว วัฏจักรชีวิตมนุษย์หมุนไปตามรอบของมัน ส่วนพี่ก็จะไม่รู้แตกดับไม่รู้จักแก่เฒ่าไปเช่นนี้ สู้เราจากกันไปตอนนี้ดีกว่า” “น้องไม่เชื่อ พี่กำลังมีผู้หญิงคนใหม่ ใช่พี่อาจมีหญิงคนใหม่ที่เป็นวัยแรกรุ่นดรุณี ไม่ใช่อายุคราวเดียวกันกับน้อง” “เช่นนั้น มาหลอกให้น้องรักทำไมในเมื่อรู้ว่าวันหนึ่งน้องก็ต้องแก่ไปตามวัยเช่นเดียวกับมนุษย์ทั่วไป” “พี่ขอโทษ” . . . . . เจ้าหญิงโสรยากำของที่สามีให้ไว้เป็นที่ระลึกอยู่ในมือมันเป็นกำไลทองที่สวยงามและวิจิตรพิสดารเกินกว่าช่างทองคนใดในโลกจะทำได้ เจ้าหญิงโสรยาขึ้นชื่อว่าเป็นเจ้าหญิงที่ครองตัวโสดมาจนถึงปัจจุบันแต่จะมีใครรู้ว่า เจ้าหญิงผู้งดงามและเลอโฉมนั้น จะมีบุรุษหนุ่มรูปงามลอบเข้ามาหาถึงในห้องบรรทมตั้งแต่อายุสิบหกชันษาสวามีที่ปรากฏตัวเฉพาะเวลากลางคืนของเจ้าหญิง ไม่มีผู้ใดรู้จัก ทั้งสองใช้ชีวิตคู่ด้วยมาเกือบสามสิบปีจนเจ้าหญิงล่วงเข้าสู่วัยดอกไม้โรยสามีผู้มีปีกโบยบินจึงให้กำไลไว้แล้วก็จากไปตลอดกาล ไม่ได้หวนกลับมาอีก เจ้าหญิงโสรยาในวัยหกสิบหกในปัจจุบันกำกำไลทองไว้แน่นสายตาบ่งบอกถึงความอาฆาตพยาบาท . . . “กูจะทำลายความรักของมึงและเผ่าพงศ์ของมึงให้ถึงที่สุดหากแม้นกูโดนคนรักทิ้ง พวกมึงก็ต้องถูกทิ้งเช่นกัน พวกมึงต้องทนทุกข์ทรมานกับชีวิตอมตะไปชั่วกัปชั่วกัลป์ไม่มีโอกาสอยู่กับคนที่รักไปตลอดกาล” มิทเป็นตัวละครใหม่ครับไม่ได้เป็นใครมาเกิดใหม่ ส่วนตัวอื่นๆ ก็ตามอ่านดูนะครับ ผมมองบัตรคอนเสิร์ตในมืออีกครั้งในบัตรพลาสติกเคลือบ ระบุวันที่ เวลาและสถานที่เอาไว้ครบถ้วน มีแม้กระทั่งแผนที่สำหรับเดินทางผมเดินขึ้นมาจากสถานีรถไฟฟ้าใต้ดิน เดินลัดเลาะตามทางเดินเท้ามาเรื่อยๆจนถึงสะพานข้ามคลอง ข้างหน้ามีซอยโดดเดี่ยวท้ายซอยมีบ้านหลังใหญ่ซ่อนตัวอยู่ในดงไม้เขียวครึ้ม ผมบอกว่าเขียวครึ้มก็คงไม่ผิดรักบ้านหลังนี้เหมือนยกป่ามาไว้กลางเมืองหลวง ต้นไม้สูงเท่าตึกสิบชั้นผมต้องแหงนหน้าตั้งฉากกว่าจะมองขึ้นไปถึงยอดได้ ลมเย็นๆจากภายในบ้านพัดวูบเข้ามาหาตัวผมมองผ่านซี่รั้วเข้าไปเห็นแมกไม้ข้างในบดบังตัวบ้านเอาไว้เหมือนในนิทาน ผมกดสัญญานหน้าประตูหนึ่งครั้งมีเสียงผู้ชายดังออกมาจากลำโพงเล็กข้าวปุ่มสัญญาน “เชิญครับ” มีเสียงปลดล็อคประตูดัง “กริ๊ก”เบาๆ ผมดันประตูเข้าไปอย่างง่ายดาย น่าแปลกที่ไม่มีแขกคนใดอยู่เลย ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นคนเดียวที่เดินเข้ามาชมคอนเสิร์ตที่นี่ ข้างในบริเวณบ้านกว้างขวางต้นไม้ใหญ่น้อยขึ้นเบียดเสียดกันอย่างหนาแน่นผมอาศัยทางเท้าที่ปูด้วยหินทรายเข้าไปถึงในบ้านที่ห่างจากประตูใหญ่เกือบร้อยเมตร บ้านคุณเวณวัฒน์เป็นบ้านสูงสิบชั้นเท่ากับต้นไม้แต่น่าแปลกที่มองไม่เห็นตัวบ้านจากข้างนอกเหมือนกับว่าดงไม้มันห่อหุ้มบ้านเอาไว้ผมถือวิสาสะผลักประตูกระจกเข้าไปด้านในในบ้านเงียบเชียบ ไม่มีเสียงคนอยู่เลยรอบตัวผมมีแค่เสียงนกจากในดงไม้รกและมีผีเสื้อบินช้าๆ อยู่ใกล้ดอกไม้ ผมนั่งรอเจ้าของบ้านอยู่บนเก้าอี้รับแขกก่อนจะนึกเอะใจแล้วหยิบเอาบัตรคอนเสิร์ตขึ้นมาดู ในบัตรระบุลานคอนเสิร์ตบนชั้นสิบของบ้านผมมองหาบันไดขึ้นไปชั้นบน และสายตาก็เจอกับลิฟต์แก้ว ผมกดหมายเลขบนปุ่มกด ลิฟต์แก้วเลือนขึ้นไปช้าๆทีละชั้นจนถึงชั้นบนสุด ผมก้าวขาออกมาด้วยความทึ่งนึกชมเจ้าของบ้านและคนออกแบบที่สามารถทำสิ่งมหัศจรรย์ได้ขนาดนี้ ผมนึกถึงสวนลอยแห่งเมืองบาบิโลนที่ราชาสร้างให้กับคนรักที่นี่ก็คงเป็นเช่นนั้น ผมพบกับสวนเขียว สวนดอกไม้ ลานหิน บ่อเลี้ยงปลา รอบด้านมีต้นไม้ที่โตอยู่รอบตัวบ้านมันสูงพ้นขอบบ้านขึ้นมาเล็กน้อย เมื่อมองไปรอบๆ ตัวผมเห็นวิวสามร้อยหกสิบองศารอบตัว เป็นวิวแบบพาโนรามาผมมองออกไปไกลจนถึงแม่น้ำเจ้าพระยา สวนลอยฟ้านี่ช่างสวยจริงๆ “ยินดีต้อนรับสู่สวนลอยบ้านทิชากร” เสียงนุ่มๆดังขึ้นมาจากอีกทาง ผมหันมองช้าก็เจอคุณเวณวัฒน์เดินออกมา ในมือเขามีช่อดอกไม้แดงเล็กๆมาด้วย เขาส่งช่อดอกไม้ในมือให้ผมถือจากนั้นไม่นานนกตัวเล็กก็บินลงมาเกาะและดูดน้ำหวานอยู่หลายตัว ผมมองดูนกตัวเล็กจิ๋วในมือด้วยความสุขใจมันเป็นนกตัวเล็กมากๆ อาจจะเล็กพอๆกับฮัมมิ่งในหนังสือ นกแต่ละตัวมีสีสันสวยงาม มีทั้งสีเหลือง ฟ้า น้ำเงิน ส้มและเขียวอยู่ในตัวเดียวกันมันเหมือนกในสวรรค์ไม่มีผิด “ฮัมมิ่งเหรอครับ” ผมถามโดยไม่ทันคิดว่าคุณเวณวัฒน์มองไม่เห็นเขาคงได้ยินเพียงแค่เสียงเท่านั้น “นกกินปลี” เขาตอบผมกลับมา “นกกินปลี ทำไมกินดอกไม้ ไม่เห็นกินปลี?”ผมหลุดปากถาม “มันกินน้ำหวาน ดูปากมันยาวเหมือนฮัมมิ่งเอาไว้ดูดน้ำหวานโดยเฉพาะ” คุณเวณวัฒน์อธิบาย “ตัวไหนผู้ชายตัวไหนผู้หญิงล่ะครับ?” ผมถามต่อ “ตัวนั้นตัวผู้” คุณเวณวัฒน์ชี้ไปนกที่เกาะอยู่ทางซ้าย“ตัวนั้นตัวเมีย” ผมมองเขาชี้ไปที่นกบนช่อดอกไม้ เขาไม่ได้ชี้มั่วนกแต่ละตัวที่เขาชี้มันดูต่างกันจริงๆ “คุณ...รู้ได้ยังไงครับ ผมหมายถึงคุณมองไม่เห็น” “หูผมยังได้ยินเสียงนกตัวผู้มันเสียงไม่เหมือนตัวเมีย ส่วนคุณตามองเห็นคุณก็อาจจะมองเห็นว่าตัวผู้มันสีสวยกว่าตัวเมีย” ผมมองตามที่คุณเวณวัฒน์พูด มันเป็นจริงตามนั้น “นกนี่แปลกดีนะครับ ตัวผู้สวยกว่าตัวเมียไม่เหมือนคนที่ตัวเมียสวยกว่าตัวผู้” ผมพูดต่อ สายตาก็มองนกไปด้วย “ผมคิดว่านกตัวผู้สวยกว่าตัวเมียจริงๆเพราะดูได้จากขน แต่คนเพศเมียไม่จำเป็นต้องสวยกว่าคนเพศผู้ ความสวยงามนั้นเป็นสิ่งที่คนเพสผู้นิยามขึ้นมาเพื่อยกยอเพศหญิงอันที่จริง หากเรารักเพศไหน เราก็จะมองเพศนั้นสวยงามเสมอ” ผมมองเห็นความฉลาดของคุณเวณวัฒน์เขาไม่ใช่คนพูดมาก ไม่ใช่คนพูดเกินจริง เขาพูดน้อย แต่พูดมีความหมายทุกคำ “ได้เวลาแล้ว แขกคนอื่นยังไม่มากันเลยครับ”ผมเริ่มรู้สึกตัวว่าบ้านหลังนี้เงียบเชียบเหมือนไม่ใช่สถานที่จัดคอนเสิร์ต “แขกมาครบแล้ว” เขาตอบ “อ๋อ...ครับ เขาอยู่ที่ไหนกันครับผมขอโทษที่เดินขึ้นมาก่อนนะครับ พอดีนั่งรออยู่ข้างล่างแล้วไม่เจอใครเลย” “แขกวันนี้มีคุณคนเดียว....อันที่จริงแขกวันไหนก็มีคุณแค่คนเดียว เพราะบ้านหลังนี้ไม่เคยเปิดต้อนรับคนอื่น” ผมมองเขาช้าๆ คิดว่าเขาจะเล่นมุกตลกแต่ท่าทางเขาไม่ได้เป็นแบบนั้นเลย “ดูหมายเลขบัตรกับที่นั่งสิผมไม่ได้ใส่เอาไว้เพราะคอนเสิร์ตวันนี้มีคุณคนเดียว คุณจะเลือกนั่งตรงไหนก็ได้” “.... ครับ” ผมพยักหน้ารับด้วยความงุนงง “งั้นผมนั่งตรงม้านั่งหินนั่นได้มั้ยครับ”ผมชี้ไปที่ม้านั่งรูปสัตว์หิมพานต์ที่ทำด้วยหินทรายสีเทา ผมลืมอีกแล้วว่าเขามองไม่เห็น “คุณจะนั่งตรงไหนก็ได้ทั้งนั้น รอซักครู่ผมจะไปหาน้ำกับหยิบเครื่องดนตรี” เขาพูดช้าๆ แล้วก็เดินออกไป ในสภาพคนตาบอดและหลังค่อมผมว่าเขาเดินได้เร็วเท่าๆ กับคนตาปกติเขาอาจจะเคยชินและอยู่ที่บ้านนี้มานานแล้วกระมัง หรือเป็นเพราะอะไรผมก็ไม่แน่ใจ คุณเวณวัฒน์กลับขึ้นมาจากชั้นล่างพร้อมกับขวดน้ำดื่มเย็นเฉียบสองขวดนอกจากนั้นเขาก็หอบเอาเครื่องเล่นต่างๆมาด้วย “คุณอยากฟังอะไรก่อน?” เขาถาม ผมมองฟลูต ไวโอลิน แซคโซโฟน เบนโจแล้วก็ตัดสินใจเลือก “ฟลูตครับ ดูเข้ากับบรรยากาศเขียวๆ ของสวนคุณดี”ผมยิ้ม คุณเวณวัฒน์ก้มลงหยิบกล่องฟลูตขึ้นมา น่าแปลกมาก เขาไม่ได้คลำดูก่อนด้วยซ้ำผมคิดว่าเขาต้องมีอะไรพิเศษแน่ “ผมจำได้ว่ากล่องไหนวางตรงไหน ลำดับเท่าไหร่คนตาบอดมักมีประสาทด้านอื่นดีกว่าคนตาปกติ” เหมือนเขาอ่านใจผมออก อยู่ดีๆ เขาก็พูดขึ้นมา “อ๋อ ครับ” ผมตอบรับ “เลือกเพลงสิครับ” ผมนิ่งไปครู่เดียวก็ตอบชื่อเพลงของนักประพันธ์ชาวออสเตรีย คุณเวณวัฒน์เป่าฟลูตอยู่ตรงลานหินข้างหน้าผมไม่นานหลังจากเขาเริ่มเป่า นกสีสวยหลายตัวก็บินลงมาคลอเคลียอยู่ใกล้ๆ เท้าของเขา พวกมันจับกันเป็นคู่ๆ เหมือนคนรัก วันนี้เป็นวันเสาร์ปลายเดือน ผมว่างทั้งวันผมมีเวลานั่งฟังดนตรีเพราะๆ จากสุภาพบุรุษตรงหน้าเขาเปลี่ยนเครื่องดนตรีจากฟลูตเป็นแซคโซโฟนแล้วก็ไวโอลิน ไม่น่าเชื่อเลยผมนั่งฟังเขาอยู่ที่เดิมจนเวลาผ่านไปถึงสี่ชั่วโมง “คุณเวณวัฒน์ครับ พอก่อนเถอะครับคุณน่าจะพักบ้าง” ผมเริ่มรู้ตัวหลังเห็นว่าพระอาทิตย์ทำมุมองศาผิดไปจากยอดไม้เวลาผ่านไปเร็วจริงๆ “จริงๆ ยังเหลือเปียโนอีกอย่างแต่ผมไม่ได้ยกขึ้นมาที่นี่ มันตั้งอยู่ชั้นข้างล่าง” “งั้นคุณพักก่อนนะครับผมก้ว่าจะไปเข้าห้องน้ำพอดี” “เชิญครับ เดินไปเรื่อยๆ คุณก็จะเจอห้องน้ำเอง”เขาตอบ ผมเห็นเขาวางเครื่องดนตรีลงบนกล่องแล้วก็นั่งลงเปิดขวดน้ำขึ้นมาจิบ ผมเดินออกจากสวนลงไปในลิฟต์ ผมลืมกดหมายเลขลิฟต์เปิดเองที่ชั้นไหนก็ไม่ทราบ ผมเดินออกแล้วหันซ้ายหันขวา แสงสีน้ำเงินวิบวับออกมาจากที่ไหนซักแห่งผมเดินตามแสงนั้นไปเรื่อยๆ จนเจอห้องที่สวยงามห้องหนึ่ง ผนังห้องทำเป็นอวกาศมีระบบสุริยะกับดวงดางต่างๆ มันเหมือนจริงจนผมรู้สึกว่ากำลังเดินอยู่นอกโลก แม้แต่พื้นที่เหยียบก็เป็นกระจกใสข้างล่างก็มีดาวระยิบระยับด้วยเช่นกัน ตรงกลางห้องมีกล่องสองกล่องวางคู่กันกล่องแรกเป็นกล่องสีน้ำเงิน ข้างในมีอัญมณีคล้ายพลอยไพลินวางอยู่ มันมีสีน้ำเงินเข้ม ส่องประกาบระยับล้อกับแสงไฟของดาวในห้อง ส่วนกล่องสีแดงข้างกัน มีผลึกใสคล้ายคริสตัลด้านในมีดอกไม้แดงลอยอยู่ไปมา เหมือนมีน้ำข้างใน ผมเอื้อมมือหมายจะเข้าไปแตะ แต่ก็ชะงักไว้ด้วยกลัวว่าจะละเมิดสิทธิ์ของเจ้าของบ้าน “คุณจับมันขึ้นมาได้ เพราะคุณเป็นเจ้าของมันทั้งสองอย่าง”เสียงคุณเวณวัฒน์ดังขึ้นมา ผมตกใจเล็กน้อยความรู้ผิดที่แอบเข้ามาเริ่มแสดงให้เห็น “ขอโทษครับ พอดีตามแสงมานึกว่าที่นี่เป็นห้องน้ำ พอมาเจอพลอยกับแก้วใสนี่ก็เลยเผลอไป” “ไม่เป็นไรครับเจ้าของย่อมรู้สึกรักและจดจำของของตัวเองได้ ไม่แปลกหรอกครับ” “เจ้าของ...เหรอครับ?” “คุณเป็นเจ้าของมณีน้ำเงินนั่นส่วนดอกไม้นั่นก็เป็นของคุณมาก่อน” เขาพูดต่อผมมองดูของสองอย่างแล้วก็ตอบตัวเองว่า ไม่ใช่ของที่ผมเคยสัมผัสมาก่อนแน่นอน “ไม่ใช่ของของผมหรอกครับ” “แน่ใจเหรอ?” “แน่ใจครับ” “ก็ถูกครึ่งนึง ถูกตรงที่ไม่ใช่ของของคุณในชาตินี้แต่เป็นของของคุณในชาติที่แล้วและชาติที่ผ่านมานานแสนนานหากนับปีแบบมนุษย์”เขาพูดเรื่องแปลกให้ผมฟังต่อ “น่าสนใจนะครับ งั้นถ้าผมจะขอมันกลับคุณจะให้ผมได้มั้ยครับ คุณเวณวัฒน์ ทิชากร?” “คุณไม่ต้องขออะไรทั้งนั้นทุกสิ่งในบ้านหลังนี้เป็นของของคุณอยู่แล้ว เพียงแต่ว่า ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลา” “เวลา?” “เวลาสองรอบชีวิตมนุษย์คุณถึงจะมีจิตสมบูรณ์พอที่จะฟังเรื่องในอดีตได้” เขาพูดต่อ “สองรอบ หมายถึงยี่สิบสี่น่ะหรือครับ?” “ถูกต้อง” “เรื่องอดีตของผมงั้นเหรอครับ อดีตนานแค่ไหน?”ผมละสายตาจากแก้วทั้งสองชิ้น จากนั้นก็หันไปหาเขาช้าๆจากที่เราหันหลังคุยกัน ตอนนี้ผมหันหน้าไปเจอเขา
|