อดีตในชาติที่แล้วและอดีตในชาติภพก่อนลงมาบนโลก”คุณเวณวัฒน์ไม่ได้มีท่าทีเล่นตลกเลย เขาพูดช้าๆ และมีท่าทางจริงจัง “ผมอยากรู้ว่าผมกับแม่เราสองคนมีความสัมพันธ์ยังไงต่อกัน พระที่วัดบอกว่า เราสองคนเป็นคนร่วมชาติกันผมเป็นคนชาติเดียวของแม่ ผมไม่เข้าใจ” “ก็หมายความว่า คุณดับไปแล้วหนึ่งชาติแต่ผู้หญิงคนนั้นยังอยู่ที่เดิม พอคุณกลับมา คุณก็มาหาเธออีกแต่มาในสถานะที่ต่างออกไป”คุณเวณวัฒน์ตอบคำถามผม “ผมกลับมา.... ในฐานะลูกชายสินะ ชาติที่แล้วผมเป็นพี่ชายของแม่ใช่หรือเปล่า?” ผมถามต่อด้วยอาการอยากปลดเปลื้องความสงสัยของตัวเอง “รอให้ครบสองรอบซะก่อน ผมจะตอบทุกอย่าง” “คุณเป็นเจ้าของตาสีเขียวคู่นั้นตาสีเขียวที่ห้ามหลวงตาบอกแม่ของผม?” “ไม่ใช่ ผมไม่ใช่เจ้าของตาสีเขียวตอนนี้เขายังหลับใหลอยู่ใต้พิภพบาดาล เขาเป็นคนผนึกความลับนี้ไว้แต่ผลบุญระหว่างกัน ทำให้แม่ของคุณ ยายของคุณ และคนในครอบครัวคนอื่นๆ ยังจำได้แต่เป็นความทรงจำที่เลือนรางและปิดกั้นไว้ด้วยมนตรา” “ผมงงไปหมดแล้ว” ผมขมวดคิ้ว “ไปห้องน้ำดีกว่า ผมจะนำทางคุณไปเอง” ผมไม่รู้ว่าเขาอาศัยอยู่ในบ้านหลังใหญ่ขนาดนี้ได้ยังไงในเมื่อเขาเป็นผู้ชายคนเดียว แล้วก็เป็นผู้ชายที่ตาบอดอีกต่างหาก เขาเดินนำมาหาห้องน้ำผมพูดพึมพำขอบคุณแล้วก็เดินเข้าไป ผมคิดถึงถึงคำพูดของเขาคำพูดที่เขาย้อนไปหาอดีตของผม ผมเป็นเจ้าของดอกไม้แดง เป็นเจ้าของมณีสีน้ำเงิน ผมอยากรู้เรื่องของตัวเอง อยากรู้ว่าสิ่งที่วนเวียนในหัวของผมคืออะไรกันแน่ผมเริ่มจับโครงเรื่องได้บ้างแต่ก็ต้องรอให้เขาชี้ชัดและยืนยันว่ามันเป็นเรื่องจริง ผมเดินออกมาที่ลานโล่งกลางห้องรับแขกคุณเวณวัฒน์เปลี่ยนมาอยู่ในชุดเสื้อเชิ้ตสีอ่อนสบายตา ผมมองดูเขาอย่างละเอียด เขาเป็นผู้ชายรูปร่างสูงใหญ่อาจจะสูงถึงร้อยแปดสิบแปดเซนติเมตรด้วยซ้ำหากดัดหลังงองุ้มเหมือนกุ้งของเขาให้กลับมาตรงเหมือนคนปกติ ตาสองข้างของเขาปิดสนิท อันที่จริงเขาไม่มีเปลือกตาด้วยซ้ำ ทั้งหน้าของเขามีแค่รูจมูกสองรูและช่องปากเท่านั้นนอกเหนือจากสามช่องทางนี้ มันรวมเป็นแผ่นเดียว ตรงเบ้าตาที่คนปกติจะมีรอยกรีดให้ตาลืมขึ้นมาได้แต่ของเขาไม่มี มันเป็นแผ่นหนังเชื่อมติดกันหมด ผมคิดว่าเขาคงเจอไฟไหม้เผามาก่อนผิวหนังของเขาถูกทำลายและเชื่อมติดกันเป็นแผ่นเดียว ผมฟังเพลงของเขาไม่รู้เรื่องเลยมัวแต่คิดเรื่องที่เขาทำไมถึงมีรูปลักษณ์เช่นนี้ เสียงเปียโนหยุดไปนานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ ผมกลับมาอยู่ในโลกปัจจุบันด้วยเสียงของเขาที่ตอบกลับมาเป็นการตอบคำถามที่ผมสงสัยอยู่ในใจ “ผมถูกไฟครอกเป็นไฟลูกใหญ่ที่เรามองเห็นอยู่ทุกวัน ทุกเช้า” “เตาแก๊สเหรอครับ?” ผมถามต่อ “ร้อนกว่านั้นหลายเท่า” “ทำไม...” “ผมขึ้นไปส่งคนรักที่นั่น เขาเหลือร่างเอาไว้ผมไม่อยากทิ้งร่างเขาไว้ให้เน่าเปื่อยบนโลก” เสียงคุณเวณวัฒน์เบาลงดูเหมือนเขาจะมีอาการเสียใจอยู่ “เสียใจด้วยครับ และขอโทษที่ผมเสียมารยาท” “คุณถามได้หมดทุกเรื่องที่สงสัยชาติที่แล้วของคุณ ผมสร้างความสงสัยเรื่องมณีสีน้ำเงิน ผมไม่อธิบายให้เขาฟัง ผมทำให้เขาคิดมากจนต้องออกไปหาคำตอบเองสุดท้ายเขาก็ถูกฆ่าตาย ผมกลับมาช่วยเขาไม่ทัน ทุกอย่างมันเป็นความผิดของผมคนเดียวมันเป็นเพราะผมเองที่ทำให้เขาตาย” คุณเวณวัฒน์ดูเศร้าเขาเล่นเปียโนเป็นเพลงเศร้าแสดงความในใจออกมา มันทำให้ผมน้ำตาไหลออกมาเอง ผมหลับไปโดยที่ไม่รู้ตัวความอ่อนเพลียของผมเกิดมาจากจิตใจที่เหนื่อยล้าเรื่องอดีตกาลรวมทั้งได้เสียงดนตรีของเขา เลยทำให้ผมสงบและจมลงในห้วงแห่งความฝัน ผมฝันว่าตัวเองอยู่ลานหน้าเจดีย์ใหญ่สีทองอร่ามข้างหน้ามีประทีปส่องสว่าง ผมมองดุชายหญิงตรงหน้าด้วยความอาลัย “ถึงเวลา เราก็จะได้พบกันอีกสิ่งนี้ข้าขอมอบไว้ให้เจ้า เป็นสิ่งเตือนใจให้เจ้ารำลึกถึงข้า” ผู้หญิลคนที่พูดดึงแก้วมณีสีน้ำเงินออกมาจากสังวาล มันลอยช้าๆ แล้วก็หายเข้ามาในหน้าอกของผม “ข้าพระองค์อาลัยเหลือเกินแต่ก็หาได้ฝืนชะตาตัวเองได้ไม่ หากมีโอกาสกลับมาอยู่บนดาวดึงส์นี้อีกขอกลับมารับใช้พระนางอีก” “ลาก่อน ขอให้เจ้าโชคดี” สิ้นเสียงผู้หยิงคนนั้นผมก็รู้สึกถึงแรงกระชาก ผมสิ้นสติแล้วก้ตื่นขึ้นมาบนเตียงนอนในห้องที่มืดมิด ผมรู้สึกว่ามันไม่ใช่ห้องนอนของผมผมตื่นขึ้นมาในบ้านของคุณเวณวัฒน์แน่ๆ ผมคลำไปตามผนังห้องจนเจอสวิตช์ไฟ นาฬิกาข้อมมือของผมถูกถอดวางเอาไว้บนโต๊ะข้างเตียงมันแสดงตัวเลขบอกเวลาเที่ยงคืนสามสิบนาที นี่ผมคงนอนไปตั้งแต่ช่วงเย็น จนเลยเข้ามาถึงอีกวัน ผมรู้สึกห่วงแม่กลัวแม่จะตามหา ผมเดินตามแสงไฟจนลงมาถึงชั้นล่างสุดเป็นชั้นที่อยู่ระดับพื้น ผมเดินเข้ามาในห้องครัว เห็นคุณเวณวัฒน์กำลังยกหม้อร้อนๆลงมาจากเตา บนเจาแม่เหล็ก ไม่มีเปลวไฟแต่ผมรู้ว่ามันร้อนมากทีเดียว เพราะมีไอน้ำสีขาวลอยฟุ้งไปหมด “ผมช่วยครับ” ผมรีบอาสาเข้าไปช่วย “คุณไปเตรียมชามใบใหญ่มาสองใบ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงที่ดูใจดี “ครับ” ผมมองหาชาม แล้วก็ลองเปิดหาจากตู้ด้านบนศีรษะ “ชามครับ” ผมเลื่อนชามกระเบื้องสีขาวให้เขาคุณเวณวัฒน์เทข้าวต้มลงมาในชามอย่างแม่นยำ ไม่มีล้นหรือหกกระเด็นเลอะเทอะเลย “ผมอยู่คนเดียวมานาน เรื่องพวกนี้ผมทำจนชินแล้ว”เขาตอบคำถามของผมอีกแล้ว “ครับ ว่าแต่คุณชอบทำอาหารเหรอครับ?” “เปล่าหรอก” เขาตอบแล้วก็แก้ผ้ากันเปื้อนที่ผูกรอบเอวออก“คนรักของผมเขาเคยทำอาหารให้ผม แต่พอเขาไม่อยู่ผมก็ต้องทำเอง” คุณเวณวัฒน์เลื่อนชามข้าวต้มร้อนๆ มาให้ผมแล้วตรงหน้าเขาก็มีอยู่อีกชาม “ปกติผมไม่กินข้าวดึกขนาดนี้แต่คิดดูแล้วคุณน่าจะตื่นขึ้นมาตอนดึก แล้วก็คงรู้สึกหิวแล้วก็คงจะไม่ชินที่ต้องกินข้าวคนเดียว” เป็นอย่างที่เขาพูดไว้ไม่ผิดผมไม่ชอบกินข้าวคนเดียว อย่างน้อยผมต้องมีเพื่อนกินด้วย ไม่พ่อก็แม่หรือทั้งสองคนอยู่บ้านยายก็กินข้าวพร้อมกับตาและยาย ตอนเรียนก็กินพร้อมกับนกน้อย ผมกำลังจะตักข้าวเข้าปาก แต่ก็นึกเรื่องแม่ได้เสียก่อน “ขอผมโทรหาแม่ก้อนนะครับ ป่านนี้คงใจคอไม่ดีแล้ว” “ผมโทรบอกแม่ของคุณให้แล้ว” คุณเวณวัฒน์ตอบ “โทรบอกแล้ว?” เขาไม่ได้พูดตอบรับ แต่เขาพยักหน้าตอบ “แม่ผมไม่รู้จักคุณ เขาจะเป็นห่วงผม” “จะโทรไปหาแม่อีกรอบก้ได้แต่ผมคิดว่าเขาคงนอนไปแล้ว” ผมจำเป็นต้องโทรไปหาแม่ ผมกลัวว่าแม่จะตามหาผม “อะไรลูกลิง นอนไม่หลับหรือไง?” เสียงงัวเงียของแม่ดังตอบกลับมา “แม่จ๋าหลับแล้วเหรอ?” “หลับแล้วสิ พรุ่งนี้แม่จะไปทำบุญแต่เช้า” “อะออ..งั้นแค่นี้นะครับเดี๋ยวตานก็จะนอนแล้วครับแม่” “อย่าซนนะลูก” แม่พูดปิดท้ายแล้วก็วางสายไปผมไม่รู้ว่าคุณเวณวัฒน์บอกแม่ผมว่ายังไง ดูเหมือนแม่จะไม่สงสัยอะไรเลย ทั้งที่ปกติแล้ว แม่จะหวงและห่วงผมมาก “เย็นหมดแล้ว รีบกินสิ” คุณเวณวัฒน์พูด " " " " " “ข้าแต่พญานาคภุชงค์ผู้มีฤทธิ์บัดนี้ข้าทุกข์ทรมานเหลือเกิน ข้าเฝ้ารอร่างใหม่ของธันวามานานแสนนาน ท่านผู้มีฤทธ์โปรดบอกข้าเถิดข้าจะพ้นจากห้วงทุกเวทนาในร่างอสูรกายงูไปได้เช่นไร” “กรรมหนักของเจ้าคือฆ่ามิตรด้วยน้ำพิษแห่งนาคีเจ้าฆ่าสหายที่เคยช่วยเหลือเกื้อกูลเจ้า ด้วยบาปกรรมแห่งนาคีเจ้าต้องรับโทษในร่างอสูรงู หากแม้นว่าธันวาตื่นขึ้นมาในร่างใหม่ต้องรอให้ธันวาระลึกชาติได้และให้อภัยเจ้าเสียก่อนเจ้าถึงจะหลุดพ้นแล้วก็ตกลงไปในขุมอเวจี” งูเหลือมที่เป็นอสูรงู เป็นภูติต่างมิติเลื้อยไปตามรางท่อระบายน้ำ ตาสองข้างที่มีลักษณะเดิมเหมือนเมื่อครั้งยังเป็นมนุษย์ตอนนี้มีน้ำตาไหลรินออกมาด้วยความทุกข์ใจ ใบหน้าของงูเหลือมเป็นใบหน้าของคนมันเปื้อนไปด้วยคราบน้ำตา “วา...วาอยู่ไหน เมธขอโทษ ยกโทษให้เมธด้วยนะเมธทรมานเหลือเกิน จะตายก็ตายไม่ได้ จะเกิดก็เกิดไม่ได้เมธขยะแขยงร่างงูนี้เต็มทนแล้ว วาอยู่ไหน มาช่วยเมธที” เสียงอสูรกายดังก้องกังวานไปทั่วหมาจรจัดที่นอนอยู่บริเวณนั้น ต่างหอนรับกันเป็นที่น่าวังเวง มนั่งทำรายงานของบประมาณสร้างห้องสมุดโรงเรียนใกล้ชายแดน ผมเป็นหัวหน้าฝ่ายจัดหางบประมาณมันเป็นงานที่ง่ายมาก เพราะเพียงแค่พูดเรื่องโครงการบรรดาเพื่อนของแม่ก็แย่งกันเป็นเจ้าภาพ ร่วมสมทบทุนจนบางครั้งก็ได้เงินเกินงบมาใช้ในปีต่อไป แม้แต่พ่อกับแม่และป้าของผมก็เป็นผู้ออกทุนรายใหญ่ ผมไม่ได้อยากเป็นคนหน้าใหญ่ใจบุญซักเท่าไหร่แต่ผมเห็นว่ามันเป็นโอกาสดีที่จะทำให้ผมได้เจอกับคนมากๆได้ทำกิจกรรมในสมโมสรนิสิตที่เชื่อมต่อกับคณะอื่นๆ ทั่วทั้งมหาวิทยาลัย ผมจะมีความสุขเสมอ เมื่อเห็นผู้ชายหน้าตาดีๆเดินผ่านเข้ามาตรงหน้า แต่เป็นเรื่องที่น่าเสียดายมากๆ ตรงที่คนที่น่าสนใจหลายคน ชอบเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตส่วนตัวของผมชอบโทรเข้ามากวนใจ ชอบทำตัวเป็นเจ้าของผม เมื่อเจอสถานการณ์แบบนี้เรื่องราวก็จะจบลงทันที โดยมีผมเป็นคนปิดฉากเอง ไอ้เป้บอกว่าผมเจ้าชู้ อันนี้ผมค้านสุดใจ เพราะผมไม่เคยคบใครเป็นแฟนผมแค่คุยหลายคนพร้อมๆ กัน และก็ไม่เคยจริงจังกับใครจนให้อีกฝ่ายเรียกผมว่าแฟน ผมสั่งพิมพ์เอกสารออกมาเป็นชุดใหญ่เตรียมให้ฝ่ายจัดการ ส่งหนังสือเวียนไปตามคณะต่างๆเราต้องการนิสิตหนึ่งร้อยห้าสิบคน สำหรับการเดินทางไปในค่ายพัฒนานี้ ผมเคยไปค่ายนี้เพียงแค่ครั้งเดียวผมไปมอบเงินของรัฐมนตรีที่เป็นเพื่อนกับพ่อแล้วก็ขับรถกลับ ผมไม่ชอบนอนแปลกที่ ไม่ชอบทำกิจกรรมสร้างภาพแต่ผมก็ช่วยเต็มที่เรื่องเงินทุน ไอ้เป้ซึ่งเป็นทีมสำรวจพื้นที่ของค่ายพัฒนากลับมาจากต่างจังหวัดมันกลับมาพร้อมกับแผนที่และรายละเอียดคร่าวๆ ของค่ายปีนี้ “โรงเรียนห่างไกล สร้างด้วยไม้ มีแค่สี่อาคารห้องสมุดเล็กมาก หนังสือให้เด็กอ่านก็มีน้อย ต้องทยอยจองโต๊ะนั่งเปลี่ยนกันเข้าไป” ไอ้เป้สาธยาย “ยังมีที่แบบนี้ในเมืองไทยเหรอวะ?” ผมถาม “มีสิวะมันไม่ได้ใหญ่โตโออ่าเหมือนบ้านมึงทุกที่นี่หว่า” “อ้าวไอ้นี่ กูก็ถามดีๆ” “งวดนี้ขอซักหลายๆ ล้านหน่อยนะเพื่อนเดี๋ยวกูจะให้ฝ่ายศิลป์เขาทำป้ายชื่อท่านรัฐมนตรีใหญ่ๆเลย” ผมไม่ได้คิดตามที่ไอ้เป้พูดมันก็พูดของมันไปได้เรื่อยๆ ช่วงหยุดยาวสองอาทิตย์ ผมยังไม่มีโครงการจะไปไหนถ้าโอนงานเสร็จเรียบร้อยหมดแล้ว ปกติช่วงนี้ของทุกปี ผมจะไปเที่ยวต่างประเทศ ไอ้เป้หัวเราะยกใหญ่เรื่องที่มีอดีตเด็กในรูปถ่ายมันหลายคนไปค่ายครั้งนี้ด้วยมันนับได้คร่าวๆ ก็สามสี่คน “ไม่สนใจไปตั้งฮาเร็มกลางไร่เหรอวะไอ้มิทมีมึงเป็นราชาคนเดียวเลยนะเว้ย ห้องล้อมด้วยเด็กหนุ่มหน้าตาดีที่ยอมพลีร่างกายให้ราชามิทสิบน้ำ” “ไอ้ห่า กูไม่ใช่พ่อพันธุ์หมู!!!” ผมง้างกำปั้นจะเขกหัวแต่ไอ้คนตรงหน้าผมมันดันร้องมาซะก่อน “กูไม่ชอบ” ผมตอบ “ไม่ชอบค่ายหรือไม่ชอบเด็กวะ?” “ทั้งสองอย่าง โดยเฉพาะอย่างหลังถ้ายุ่งกับกูมากๆ กูจะเตะแล้วโยนออกจากห้อง” “เหรอวะ รวมน้องตานหมอฟันด้วยหรือเปล่าเห็นหน้าเขาแล้วเตะลงเหรอครับพี่มิทราชาฮาเร็ม” พอไอ้เป้พูดถึงตานแล้วผมก็นึกอะไรออกสองสามวันมานี้ผมมัวแต่ยุ่งเรื่องทำค่ายจนลืมเรื่องอื่นไปเลย “น้องผู้หญิงคนนั้นตัวติดตานเหมือนกาวติดกระดาษเลยกูไปเมื่อไหร่ก็เจอ” ผมบ่นแล้วเอนหลังลงกับเก้าอี้ จากนั้นก็ปิดเปลือกตาลง “อ้าวววว น้องตานมาทำอะไรที่นี่ครับเนี่ยเชิญครับๆ” เสียงไอ้เป้จอมสาระแนดังขึ้นมาผมรู้ว่ามันชอบอำเลยหลับตาต่อ รู้สึกว่าตามันล้านิดหน่อยช่วงทำงานติดๆกัน “เอายาสีฟันกับแปรงสีฟันมาให้ครับฝากพี่แจกให้เด็กที่โรงเรียนด้วยนะครับ” เสียงตานดังขึ้นจริงๆผมลืมตาขึ้นมาข้างนึงแล้วเหลือบมอง ในมือเขามีกล่องกระดาษแข็งขนาดย่อมๆ มาด้วย ข้างกันก็มีน้องผู้หญิงที่เป็นเพื่อนของตานมาด้วยไอ้เป้มองผมแล้วก็ยิ้มเจ้าเล่ห์ “ก็ไปแจกเองซะเลยสิครับว่าที่หมอฟัน” ไอ้เป้พูด “เห็นว่าปิดรับแล้วไม่ใช่เหรอคะ?” เพื่อนของตานทำหน้าสงสัย “ปิดรับนิสิตแล้วครับแต่ตำแหน่งเลขาประธานค่ายกับตำแหน่งผู้ประสานงานชุมชนยังขาดตำแหน่งละคน” “ประธานค่าย?” ตานหันมองดูเพื่อนแล้วทำหน้าสงสัย “ก็ไอ้หน้าหล่อที่หลับอยู่นั่นไงครับ ประธานค่าย”เสียงไอ้เป้ดังต่อเนื่องไม่หยุด “พี่มิทเหรอครับเป็นประธานค่าย?” “ถูกต้องคร๊าบ ไอ้หล่อนี่แหละประธานค่ายแต่ไม่รู้ปีนี้มันจะไปหรือเปล่า ต้องดูอารมณ์กับทรงผมมันก่อนถ้ามันไม่ไปก็ให้ประธานฝ่ายกำลังคนเป็นประธานค่ายแทนถ้าตานไปด้วยก็ต้องไปเป็นเลขาประธานด้วยครับ ต้องทำทุกอย่างตามที่ประธานสั่งขัดขืนไม่ได้” ผมรีบลืมตาขึ้นมาทันที นี่ถ้าผมไม่ไปไอ้คนจากคณะวิศวะต้องไปเป็นประธานค่ายและตานก็ต้องไปทำงานกับพวกนั้น ได้ข่าวว่าไอ้ประธานฝ่ายกำลังคนมันชอบแอ๊วเด็กปีหนึ่งซะด้วย “งั้นผมสมัครครับ ตำแหน่งอะไรก็ได้ ผมทำได้หมดนกน้อยด้วยครับ” ตานพูดกับไอ้เป้เพื่อนตัวแสบของผมรีบเอากระดาษมาให้น้องสองคนเซ็นชื่อทันที “งั้นน้องตานไปเป็นเลขาประธานค่ายนะครับส่วนน้องนกเล็กไปเป็นประสานงานชุมชน ทำงานร่วมกับผู้ใหญ่บ้านและตัวแทนหมู่บ้าน พี่จองที่นอนให้น้องนกเล็กนอนกับพี่สโมสรที่เป็นผู้หญิงในห้องประชุมโรงเรียนนะครับส่วนตานไปนอนกับประธานค่ายที่ห้องพักครู ห้องนั้นมีห้องน้ำด้วยครับมีเครื่องใช้ไฟฟ้าครบด้วย สบายๆ ครับกลางคืนจะได้ทำเอกสารแล้วก็ทำ....การบ้านอย่างหนักหน่วงกับประธาน” ไอ้เป้เหลือบมองผมแล้วก็หัวเราะในคอมันตั้งใจจะยั่วผมเรื่องไอ้ประธานฝ่ายกำลังคน “น้องตานไม่มีปัญหาอะไรใช่มั้ยครับ?” ไอ้เป้ถามน้อง “ไม่มีปัญหาครับ ผมนอนกับใครก็ได้” “งั้นอ่านรายละเอียดตรงนี้นะครับรถไฟฟ้าออกตีห้าที่สถานีใต้ดิน ตามรูปเลยครับ” ตานกับน้องผู้หญิงหยิบเอกสารแล้วก็เดินคุยกันออกไปโดยไม่รู้ชะตากรรมตัวเองดูน้องจะไม่รู้เลยว่าจะเกิดอะไรขึ้นถ้าไม่มีผมไปด้วย ผมมองไอ้เป้ที่กำลังนั่งกอดอกดูทีวีอย่างสบายอารมณ์ “มึงก็รู้ว่าไอ้นั่นมันนักล่าเด็กมึงยังส่งตานไปทำงานกับมันอีก” ผมตำหนิไอ้เป้ “แล้วต่างกับมึงตรงไหนไม่ทราบวะไอ้คุณมิท?”ไอ้เป้ทำหน้ากวนตีนกลับมา “กูไม่เคยล่วงเกินเด็กกูอย่างดีก็แค่กอดกับจับตัวนิดๆหน่อยๆ แต่ไอ้นั่นมันเล่นแทงพรวดๆมึงจำไม่ได้หรือไงว่าปีที่แล้วมันทำเด็กจับไข้ไปสองคน” “แล้วมันเกี่ยวกับมึงตรงไหนมิทราบ?” “มึงก็รู้ว่ากูชอบน้อง” “แล้วไงวะ?” “มึงทำให้กูไม่มีทางเลือก ไอ้สัตว์!!!” ผมปาก้อนกระดาษใส่หัวมันแล้วก็เปลี่ยนแผนการเดินทาง “ถ้าเป็นคนอื่น มึงจะทำแบบนี้หรือเปล่าวะ?” “เสือก เรื่องของกู” โบกี้รถของสโมสรนิสิตอยู่หน้าขบวนเหมาลำของรถไฟผมนั่งมองตานที่เดินเข้ามาหาที่นั่งกับเพื่อน ตานสวมเสื้อยืดแขนยาวพับแขน กางเกงผ้าขายาวรองเท้าผ้าใบสีขาวสะอาด ข้างหลังมีเป้มาด้วยนี่เป็นตัวอย่างที่ดีของคนที่รู้จักกาลเทศะ ถ้าเทียบกับนิสิตปีหนึ่งที่แต่งตัวแฟชั่นกางเกงรัดขารองเท้าสีแสบตาที่นั่งอีกโบกี้ผมว่าเทียบกันไม่ได้เลย ตานหันมาทางผมกับไอ้เป้แล้วยกมือไหว้ผมได้แต่ยิ้มตอบกลับไปเพราะที่นั่งอยู่ห่างกันเกินกว่าจะได้ยินเสียง ผมว่าไอ้เป้มันฉลาดที่แยกน้องผู้หญิงออกไปทำงานต่างหาก ไอ้เป้มันฉลาดในเรื่องที่ผมคาดไม่ถึงและผมก็ฉลาดในเรื่องที่มันคิดไม่ออก เราสองคนถึงทำงานด้วยกันได้ ระยะเวลาช่วงทำค่ายนี้ ผมจะพิสูจน์ดูว่าคนที่ผมหมายตาคนนี้จะมีดีอะไรที่ทำให้ผมหยุดอยู่กับที่ได้หรือเปล่า หรือบางทีสัมผัสแปลกๆที่ผมมีให้เขาอาจจะผิดพลาด ตานอาจจะเป็นเหมือนคนอื่นๆที่เคยเดินใกล้และเฉียดไปเฉียดมาในชีวิตผม รถไฟใช้เวลาสองชั่วโมงในการเดินทางไอ้เป้หลับไปแล้ว มันกรนเสียงดังจนผมรู้สึกรำคาญ ไกลออกไปอีกด้านของตู้กรรมการค่ายกำลังวางแผนทำกิจกรรมกันอยู่ ผมกำลังเคลิ้มๆ หัวพิงไปกับเบาะเอนก็พอดีมีเสียงคนเรียกขึ้นมาซะก่อน “พี่มิทมาค่ายจริงๆ ด้วย” เสียงหนึ่งดังขึ้นทางฝั่งไอ้เป้ผมปรือตาขึ้นมองจากที่นั่งริมหน้าต่าง “นัทครับ คณะแพทย์ปีหนึ่ง ยินดีที่ได้รู้จัก”น้องแนะนำตัว ผมพยักหน้ารับ ผมไม่รู้จักน้องคนนี้มาก่อนน้องไม่ได้อยู่ในรายการการ์ดของไอ้เป้ ผมจำได้เพราะคนในการ์ดรูปถ่ายมีอยู่ไม่เกินสิบคน ผมเขียนเลขแปดให้คะแนนน้องไปโดยอัตโนมัติเป็นคะแนนหน้าตา “มีอะไรให้ช่วยครับ น้องนัท?” ผมถามไปตามมารยาท “ไม่มีหรอกครับแค่อยากมาเห็นพี่มิทที่เขาพูดถึงกัน แล้วเจอกันที่ค่ายนะครับ...พี่มิท” เด็กปีหนึ่งในชุดสีส้มตัดน้ำเงินเจิดจ้าพูดจบแล้วก็เดินกลับไปโบกี้ตัวเอง ผมรู้สึกว่าตัวเองเหมือนกำลังมองนกแก้วในสวนสัตว์เสื้อของน้องมันสีสดจนเหมือนกับนกเขตร้อน “เอาตัวมาถวายคิงมิทถึงที่เลยนะ” ไอ้เป้ลืมตาขึ้นมาพูด “หลับไปแล้วเสือกพูดได้อีกนะมึง” ผมหัวเราะ “คุยกันข้ามหัวกูแบบนี้มึงจะไม่ให้กูตื่นเลยหรือไง” ไอ้เป้ส่ายหัว “คนนี้ก็น่ารักนี่หว่า พลาดอีกแล้วนะมึง”ผมพูดกับไอ้เป้ “ก็น่ารักดี ถ้าไม่มีน้องหมอฟันกูยกให้คนนี้เป็นนัมเบอร์วันเลย เสียดายมีคนได้สิบไปแล้วแล้วคนนี้มึงให้เท่าไหร่วะ?” “แปดและถ้าไม่ใส่ไอ้ชุดนกแก้วนั่นกูจะให้แปดครึ่ง สีแม่งแสบตาชิบหาย” ผมส่ายหัวแล้วเอนตัวลงบนเบาะจากนั้นก็หลับยาว . . . . . . ค่ายพัฒนาตั้งอยู่ในโรงเรียนใกล้ชายแดนผมกับนกน้อยเรานั่งในโบกี้ของพี่ๆ ในสโมสรนิสิต รถไฟใช้เวลาเดินทางสองชั่วโมงพอดี จากสถานีรถไฟประจำอำเภอมีรถคันใหญ่คล้ายรถทหารมารับพวกเรา รถแบ่งเป็นสองคัน คันแรกเป็นรถรับนิสิตปีหนึ่งมีพี่กรรมการขึ้นไปดูแลด้วยสามคน ที่เหลือเป็นกรรมการกับพวกนิสิตชั้นปีอื่นๆซึ่งนั่งรวมกันมาในรถคันหลัง ผมดันนกน้อยให้ปีนขึ้นไปนั่งบนรถรถคันนี้สูงมาก แค่ล้อรถก็สูงเกือบเท่าหน้าอกแล้ว รถยนต์แล่นไปตามทางหลวงแผ่นดินเวลาเช้าช่วงเจ็ดโมงแบบนี้ ยังมีหมอกให้เห็นที่นี่เป็นจังหวัดที่ไกลจากกรุงเทพแปดร้อยกิโลเมตรไกลเท่ากับระยะทางจากกรุงเทพไปบ้านของยายผม แต่ว่ามันเป็นคนละด้านเท่านั้น พี่ๆ กรรมการตื่นเต้นกันใหญ่ที่ได้เห็นวัวควายและปศุสัตว์ที่ออกมากินหญ้าริมทาง ผมยื่นหน้าออกไปรับอากาศบริสุทธิ์ ผมรู้สึกโชคดีที่อย่างน้อยก็พอรู้จักพี่เป้กับพี่มิทพี่สองคนนี้ทำงานอยู่ในสโมสรนิสิตด้วย รถยนต์ขับมาส่งถึงในโรงเรียนโรงเรียนนี้มีสอนตั้งแต่ชั้นอนุบาลถึงประถมหกผมเก็บเป้ไว้ในห้องพักครูและเพิ่งรู้ว่าห้องนี้มีผมกับพี่มิทนอนกันแค่สองคน ผมเริ่มงานเลขาทันที เริ่มดูรายการเงินได้และเงินจ่ายโรงเรียนสละห้องพักครูกับห้องประชุมให้พวกเราใช้เป็นที่พัก ช่วงที่มากันนี้ยังไม่ได้เป็นช่วงปิดเทอมของเด็กๆผมเห็นเด็กเล็กๆ หลายคนโผล่หน้าออกจากหน้าต่างห้องเรียนมาดูพวกเรา นกน้อยก็เริ่มทำงานทันทีเหมือนกันเธอเข้ามาคุยกับผมแล้วก็แยกออกไปทำงานโดยบอกว่าจะไปประสานงานขอแรงชาวบ้านมาเทปูนและขึ้นโครงผนังของอาคารห้องสมุด อันที่จริงผมคิดว่าหน้าที่นี้น่าจะเป็นของผมมากกว่า นกน้อยเป็นผู้หญิงน่าจะเหมาะกับงานเลขาส่วนผมเป็นผู้ชาย น่าจะออกไปติดต่อกับผู้ใหญ่บ้านและกรรมการหมู่บ้าน หรือพี่เป้อาจจะคิดว่านกน้อยเป็นผู้หญิงทำให้ไม่สะดวกทำงานกับพี่มิทในห้องสองต่อสอง ผมนั่งทำงานเลขาจนเสร็จใช้เวลาเพียงชั่วโมงกว่าเท่านั้น พี่มิทออกไปโทรศัพท์จัดการเรื่องวัสดุก่อสร้างเงินทั้งหมดของค่ายอยู่กับพี่มิท ประธานเรื่องกำลังคนและประธานฝ่ายสวัสดิการและครัวมาทยอยกันมาเบิกค่าใช้จ่าย ผมแบ่งเงินสดใส่ซองให้ตามที่แต่ละฝ่ายของบมาเงินสดนี้ต้องใช้ในต่างจังหวัดเพราะหาที่ใช้เงินออนไลน์ยากกว่าในกรุงเทพ ผมรู้สึกอึดอัดที่พี่ประธานฝ่ายกำลังคนจ้องผมอยู่นานไม่มีท่าทีจะเดินกลับไปซะที “ได้งบแล้วก็เดินออกไปสิครับฝ่ายอื่นจะได้เข้ามาเบิก” เสียงพี่มิทดังขึ้นจากทางด้านหลังของผมพี่ประธานฝ่ายกำลังคนยักไหล่แล้วก็เดินออกไป ช่วงเที่ยง ผมมากินข้าวกับนกน้อยวันนี้มีแกงจืดกับผัดผักอาหารวันนี้อร่อยมากเพราะมีกลุ่มแม่บ้านมาช่วยทำเลี้ยงนิสิต พี่มิทถือถาดเหมือนเด็กประถมเข้ามานั่งกินด้วยข้างๆพวกเรา “นั่งด้วยคนนะครับ โต๊ะนู้นเต็มหมดเลย” พี่มิทวางถาดลงแล้วก้นั่งกินอยู่ข้างๆผม “งานวันนี้หมดแล้ว ช่วงบ่ายผมขอไปดูเด็กๆในชั้นได้มั้ยครับ ครูใหญ่บอกว่าครูประจำชั้นลาป่วย ไม่มีคนดูเด็ก” ผมขอพี่มิท พี่มิทเลิกคิ้วแล้วก็ถามผมต่อ “ดูแลเด็กเล็กเหรอครับ?” “ครับ” “จะไหวเหรอครับ เด็กซนจะตายไป” “ไม่ซนครับ เด็กโตแล้ว อยู่ชั้นประถมสี่”ผมตอบ “ตามใจครับ ตานทำงานเร็วมาก ไม่มีอะไรน่าห่วงแต่ว่าอย่าไปไหนไกลนะครับเผื่อมีงานอะไรพี่จะได้ตามได้” “ครับ” . . . . . . . ผมมองดูตานกับเด็กในห้องจากด้านนอกห้องเรียนตรงหน้าต่าง ตานเหมือนขั้วแม่เหล็กที่ดูดเหล็กเล็กๆให้เข้าหาตัว เขาไม่ได้เข้ามาดูเด็กเฉยๆ แต่ตานถามเด็กว่าครูสอนถึงไหนแล้ว ตานสอนวิชาภาษาไทยต่อจากบทเรียนของครูเป็นเรื่องรามเกียรติ์ตอนนกสดายุถูกทศกัณฐ์ฆ่าตาย ผมก็รู้สึกสนุกกับบทเรียนที่เขาสอนเด็กไปด้วยตานเล่าว่านกสดายุเป็นสหายของท้าวทศรถนกสดายุมาขวางทศกัณฐ์ที่กำลังลักพาตัวนางสีดา ตานเล่าเรื่องรามเกียรติ์ได้สนุกมันเหมือนนิทานมากกว่าตำราเรียน เด็กเล็กทั้งหญิงทั้งชายรุมล้อมตานเป็นวงกลม ผมตัดสินใจเดินเข้าไปนั่งฟังในห้องเรียนผมนั่งมุมห้องด้านหลัง ไม่มีเด็กคนไหนหันมามองดูผม เพราะแต่ละคนกำลังตั้งใจฟังเรื่องที่ตานเล่า พอหมดชั่วโมงภาษาไทย ตานก็สอนวิชาศิลปะต่อตานเอานกสดายุในเรื่องรามเกียรติ์มาเป็นแบบในจินตนาการ เขาบีบสีน้ำลงในจานสี ผสมน้ำแล้วก็วาดภาพสีน้ำลงในกระดาษวาดภาพตานแจกกระดาษให้เด็กในชั้นวาดรูปสัตว์หิมพานต์คนละแผ่น ผมมองตานวาดรูปสดายุจนเสร็จมันเป็นนกที่สวยงามและดูเศร้า นกสีแดงสดเหมือนไฟ ปีกขาดแล้วก็ตกลงมาจากท้องฟ้า ช่วงสี่โมงเย็น ผมเดินออกมาดูงานตอนนี้พวกผู้ชายกับชาวบ้านช่วยกันทำพื้นอาคารจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ระหว่างปูนแห้งก็ทำโครงเหล็กเตรียมสร้างผนังจำนวนนิสิตร้อยห้าสิบคนดูจะมากเกินไปด้วยซ้ำ กรรมการสโมสรเห็นว่างานมีน้อยกว่าคนเลยเบิกเงินซื้อสี แปรงและอุปกรณ์ทำความสะอาดไปจัดการทาสีโรงเรียนและวัดซะใหม่ ผมเห็นไอ้เป้กำลังเก็บรูปกลุ่มศิลปินที่กำลังวาดรูปลงบนกำแพงโรงเรียน ตานบอกว่าไปขออนุญาตครูใหญ่ให้เด็กๆมาวาดรูปการ์ตูนลงบนกำแพง เป็นรูปสัตว์กับตัวละครต่างๆ ในการ์ตูน ตานกลายเป็นเหมือนผู้ปกครองอาณาจักรย่อยๆ ไปเลยรอบตัวมีเด็กนักเรียนตัวน้อยรุมล้อมคอยช่วยเหลือทุกอย่าง ผมรู้สึกว่าตานเหมือนมีบริวารคอยตามตลอดเวลาเป็นบริวารที่ได้มาจากห้องเรียนเมื่อช่วงบ่ายนั่นเอง ตานโบกมือมาทางผม เหมือนอยากให้ผมเดินไปหา “ท่านประธานช่วยให้เกียรติทาสีปิดโครงการกำแพงหรรษาด้วยครับ”ตานยิ้มให้ผมแล้วก็ส่งแปรงที่ผูกโบว์ด้วยก้านดอกไม้มาให้ ผมมองดูความช่างคิดของตานที่เอาคำศัพท์ภาษาอังกฤษมาใส่ไว้ในตัวการ์ตูนให้เด็กในโรงเรียนฝึกด้วย ผมมองดูพื้นที่สีขาวว่างๆ บนตัวแมวช่วงท้องของมันยังไม่ได้ลงสี ผมจุมแปรงลงในกระป่องสีแล้วก็ทาสีลงไปบนนั้นแมวการ์ตูนถูกเติมเต็มจนสมบูรณ์ทั้งตัว ตานให้เด็กๆ ช่วยกันปรบมือ กำแพงหรรษาเสร็จสิ้นเรียบร้อยด้วยฝีมือของตานและเด็กเกือบสี่สิบคน ไอ้เป้เหมือนสัตว์แสนรู้ มันเดินเข้ามาเก็บภาพผมกับตานเอาไว้จนครบตั้งแต่เริ่มทาสีจนถึงปิดพิธี “ถุ้ยย แค่ทาสีหย่อมเดียวตรงท้องแมวยิ้มหน้าบานอย่างกะทำเองทั้งหมดเลยนะไอ้ประธาน” เสียงกระแนะกระแหนของไอ้เป้ดังขึ้นมา “เสือก!!! เรื่องของกู” ผมพูดลอดริมฝีปากออกไปด่าไอ้เป้ขณะที่หน้ายังยิ้มอยู่ผมยิ้มให้ตานกับเด็กนักเรียนที่ปรบมือให้ “เป็นเกลียดมากครับน้องตานที่ให้ไอ้หล่อมาปิดพิธี”ไอ้เป้ปรบมือเปาะแปะเหมือนประชดผม “งั้นขอเชิญน้องๆนักเรียนทุกคนไปกินข้าวเย็นด้วยกันนะครับ ทุกคนเลยวันนี้วันเกิดของพี่ประธานสุดหล่อ มีไก่ทอดกับขนมอร่อยๆ จากกรุงเทพมาเลี้ยงไม่อั้น”ไอ้เป้ป้องปากตะโกนเรียกเด็กที่วางมือจากกำแพง ผมมองดูนาฬิกาข้อมือ นี่ก็ใกล้ค่ำแล้วอาหารที่สั่งจากกรุงเทพคงเตรียมพร้อมอยู่ในครัวแล้ว ตานเดินล้างแปรงทาสีวางไว้แล้วก็เดินเข้ามาใกล้ๆผม
|