“วันเกิดพี่มิทเหรอครับ?” “ครับ ไปกินข้าวกันครับ” ผมพยักให้หน้าตาน “ถ้ารู้ก่อนก็คงดี จะได้หาของมาให้พี่มิท”ตานเช็ดมือกับกระเป๋ากางเกงแล้วก็ยิ้มให้ผม “ไม่เป็นไรครับ แค่อวยพรวันเกิดให้พี่ก็พอวันนี้ไม่มีเค้กไม่มีเทียน มีแต่อาหารเลี้ยงเด็ก” “.....” ตานหันหน้าไปมองป่าหญ้าเหมือนไม่ได้ยินที่ผมพูด เค้กวันเกิดพร้อมกับเทียนวางเด่นอยู่บนโต๊ะผมไม่รู้ว่าใครเป็นคนเตรียมมา ที่แน่ๆคือไม่ได้มาจากเพื่อนของผมหรือคนที่รู้จักผมแน่นอน คนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมไม่ชอบกินเค้กผมสงสัยอยู่ไม่นานคำตอบก็เดินมาหา ในมือน้องนัทมีเค้กแฝดที่เล็กกว่ามาด้วยบนเค้กมีเทียนสีแสดปักมาด้วยหนึ่งเล่ม “สุขสันต์วันเกิดครับพี่มิทขอให้พี่มิทมีความสุขนะครับ” น้องนัทยิ้มกว้างไฟจากเทียนส่องไปบนใบหน้านั้นสลับกับลมที่พัดเปลวไฟวูบไหวไปมา ผมปรบมือดับเทียนหน้าน้องนัทไม่ได้รู้สึกดีใจหรือเซอร์ไพรส์เท่าไหร่ผมไม่เคยรู้สึกดีใจกับของขวัญวันเกิดมาตั้งแต่เด็กเพราะตั้งแต่เกิดมาก็มีครบแล้วทุกอย่าง บางปีพ่อซื้อรถยนต์ให้แต่ผมก็ไม่รู้ว่าจะขับไปไหน แม่ให้เงินไปเที่ยวต่างประเทศผมก็ไปเที่ยวมาหมดแล้วไม่มีของขวัญชิ้นไหนเลยที่ถูกใจผม “ขอบคุณครับ ที่หาเค้กมาให้” ผมพูดกับน้องนัทก็ดีเหมือนกันที่มีเค้ก เด็กนักเรียนจะได้กินด้วย ตานหามีดมาตัดแบ่งเค้กให้เด็กๆ กินกันมันเป็นเค้กก้อนใหญ่ น่าจะถึงเจ็ดปอนด์ มันใหญ่จนแบ่งเด็กกินได้หมดทุกคน ผมใช้ส้อมจิ้มเค้กมากินพอเป็นพิธีถึงผมจะไม่ใช่คนแคร์คนอื่นนัก แต่ก็ไม่ใช่คนหยาบกระด้างจนไม่สนใจความรู้สึกคนอื่น อย่างน้อยคนที่หาของมาให้คงจะรู้สึกแย่ถ้าผมไม่กินเลย “อร่อยมั้ยครับพี่มิทนัทสั่งเชฟโรงแรมของแด๊ดให้ทำมาให้เป็นพิเศษ” นัทยิ้มดีใจเขาปัดที่นั่งแล้วดันเด็กนักเรียนที่นั่งใกล้ผมออกแล้วเข้ามานั่งแทน “รู้ได้ไงว่าวันนี้วันเกิดพี่?” ผมถามนัทตรงๆ “ก็...ก็นัทจำเอาสิครับสุขสันต์วันเกิดอีกทีนะครับพี่มิท” นัทตอบอย่างอายๆผมไม่รู้หรอกว่าน้องรู้ได้ยังไง จริงๆ มันก็ไม่ยากถ้าจะหาว่าผมเกิดวันไหน แต่ที่น่าสนใจคือ เขาทำเพื่ออะไรมากกว่า ผมสลัดน้องนัทหลุดช่วงที่มาเข้าห้องน้ำผมเข้ามาประชุมความคืบหน้าที่ห้องประชุมเพื่อนในสโมสรนิสิตอวยพรวันเกิดผมอีกครั้งหลังงานเลี้ยงย่อมๆ ทุกคนที่รู้จักผมจะรู้ว่าผมไม่รับของขวัญจะเป็นชิ้นเล้กชิ้นใหญ่ผมก็ไม่เอา ไอ้เป้บอกว่าผมไม่รับของขวัญเพราะมีครบหมดแล้ว จริงๆผมไม่รับของขวัญเพื่อนเพราะมันไม่จำเป็นมากกว่ายกเว้นของขวัญเป็นการ์ดหรือคำพูดสั้นๆ ที่ไม่ต้องลงทุนอะไรมากมาย ผมขี้เกียจเก็บซากของขวัญไปไว้ที่บ้านเพราะเก็บเอาไว้ก็ไม่ได้ใช้อยู่ดี ตานทำเอกสารมาแจกกรรมการสโมสรในเอกสารมีกำหนดการใหม่ซึ่งจะปรับเปลี่ยนตามสถานการณ์ทุกวันน้องผู้หญิงเพื่อนตานก็รายงานความคืบหน้าเรื่องการจัดการประสานงาน การประชุมสิ้นสุดลงตอนทุ่มครึ่งทุกคนแยกย้ายกันกลับไปอาบน้ำนอน ผมก็กะว่าจะอาบน้ำแล้วนอนคุยกับตานจริงๆจังๆซะที ระหว่างทางกลับห้องพักตานก็ดึงมือผมลงมาจากระเบียงทางเดิน ตานจับมือผมแล้วพาเดินลงมาที่บันได ข้างล่างมีเด็กบริวารของตานอยู่ด้วยสามคนเป็นเด็กผู้หญิงหนึ่งผู้ชายสอง เด็กสามคนนั้นรายงานกับตานเรื่องอะไรบางอย่าง “เจอแล้วครับครูพี่ตาน” เด็กชายพูดกับตานตานพยักหน้าแล้วให้เด็กเดินนำไปทางป่าละเมาะข้างโรงเรียน ผมมองหน้าตานด้วยความสงสัยที่แถวนั้นมันเปลี่ยวและมืดมาก “ไปไหนครับตาน?” ผมถามตานยิ้มแล้วจับมือผมเดินต่อ “จะให้ของขวัญพี่มิทครับ” ตานตอบ “ของขวัญอะไรครับ?” “ยังบอกไม่ได้ครับ แต่คิดว่าน่าจะชอบ” เด็กเรียกคุณครูพี่ตานไปทางดงไม้ข้างโรงเรียนมันเป็นป่าย่อมๆ ข้างกันมีหนองน้ำอยู่ “ทุกคนมีของขวัญให้พี่มิท เหลือแต่ผมคนเดียวขอผมให้ของขวัญพี่มิทบ้างนะครับ” ตานดึงเถาวัลย์ที่มีใบไม้สีเขียวสดออกมาจากป่าหญ้ารก เด็กๆ ช่วยกันส่องไฟฉายให้ตานทำงานบางอย่างผมยืนนิ่งมองดูตานใช้หินก้อนมนๆ ทุบเปลือกเถาวัลย์จนแตก ตานวางเส้นเถาวัลย์ยาวๆ บนตอไม้จากนั้นก็ใช้หินทุบจนเปลือกเถาวัลย์แตก ตานม้วนเถาวัลย์เป็นวงกลม เขาบิดเถาวัลย์พันไปมาจนได้รูปทรงผมเริ่มเห็นว่ามันเป็นมงกุฎคล้ายกับช่อมะกอกของกรีกที่ใช้ในกีฬาโอลิมปิค “ช่อมะกอกเหรอครับ พี่ไม่ได้แข่งกีฬาชนะซะหน่อย”ผมถามตาน “ไม่ใช่ครับ วิเศษกว่าช่อมะกอกซะอีกพี่มิทต้องชอบแน่” ตานดัดมงกุฎเภาวัลย์ไปมาจนได้รูปจากนั้นก็ลองวัดขนาดหัวของผมแล้วก็ปรับขนาดครั้งสุดท้าย ผมเห็นตานร่อนมงกุฏไปมาในอากาศเหมือนกำลังร่ายมนต์วิเศษผมหัวเราะในความขี้เล่นของตาน “เป็นพ่อมดหรือไงครับ?” “วันเกิดพี่มิท ผมมีเวทมนตร์วิเศษเรียกดาวบนฟ้ามาประดับมงกุฎได้เดี๋ยวผมจะสวมมงกุฏที่วิเศษที่สุดบนโลกให้ราชามิทครับ” ผมรอดูมงกุฎของตานด้วยความสงสัยว่าตานหมายถึงอะไรเด็กๆ ช่วยกันหาอะไรบางอย่างในพุ่มไม้ จากนั้นก็เรียกครูพี่ตานเข้าไปหา ตานเดินไปมาอยู่ซักพักก็เดินกลับมาหาผม “สุขสันต์วันเกิดครับพี่มิท ขอให้มีความสุขร่างกายแข็งแรง ขอให้พี่มิทสมหวังทุกอย่างที่ใจคิดครับ ผมไม่มีของแพงๆให้มีแต่มงกุฏวิเศษ” ตานชูมงกุฎเถาวัลย์ธรรมดาๆ ขึ้นในอากาศ ไม่นานผมรู้สึกว่ามีแมลงเข้ามาเกาะ มันบินกันมาทีละตัวสองตัวไม่นานก็เกาะกันอยู่เต็มมงกุฏ “แฮปปี้ เบิร์ด เดย์” ตานร่ายมนต์ช้าๆแมลงที่เกาะบนมงกุฎเริ่มเปล่งแสงออกมา มันเป็นหิ่งห้อยนั่นเองหิ่งห้อยเกือบร้อยตัวมาดูดน้ำหวานบนเปลือกเถาวัลย์ที่ตานทุบไว้ จากมงกุฎธรรมดากลายเป็นมงกุฎที่มีดาวเล็กๆมาประดับมากมายตานเดินเข้ามาใกล้ผมแล้วขออนุญาตสวมมงกุฎ “ขอประทานอนุญาตพระราชามิทสวมมงกุฏครับ” ตานวางมงกุฎดาวบนหัวของผมจากนั้นก็ถ่ายรูปจากกล้องโทรศัพท์ ตานยกหน้าจอโทรศัพท์ให้ผมดูบนหัวผมมีมีมงกุฎราชาจริงๆ เป็นมงกุฎวิเศษเหมือนที่ตานพูดไว้ไม่มีผิด นี่คือของขวัญวันเกิดที่ประทับใจผมมากที่สุดตั้งแต่ผมเคยได้มา<>/b ผมอยากจะพานกน้อยมาดูหิ่งห้อยบ้างเหมือนกันแต่วันนี้เป็นวันเกิดของพี่มิท ผมก็เลยอยากทำให้พี่เขามีความทรงจำดีๆเก็บไว้ พี่มิทเป็นผู้ชายตัวโตเหมือนนักกีฬาเป็นคนสนุกสนาน บางทีพี่เขาก็หัวเราะและอารมณ์ดีในกลุ่มเพื่อน แต่พอมีผมเข้าไปพี่มิทก็จะหยุด อาจจะเพราะผมเข้าไปขัดจังหวะหรือเขาไม่ชอบเล่นกับคนนอกกลุ่ม หรือจะเพราะอะไรผมก็ไม่รู้เหมือนกัน เราสองคนเดินกลับมาที่ห้องพัก พี่มิทดูเงียบๆไปผมกลัวว่าพี่เขาจะรู้สึกว่ามันไร้สาระหรือเปล่า บางทีผมก็อาจจะเล่นมากเกินไป พี่มิทจดๆจ้องๆอยู่กับที่นอนที่โรงเรียนจัดมาให้อยู่นานไม่รู้ว่าเขาคิดอะไรอยู่ ผมเปิดกระเป๋าเสื้อผ้าออกมาจัดของใช้ แล้วก็หันไปมองเขา “ถ้าที่นอนเล็กเดี๋ยวผมนอนตรงเบาะข้างนอกก็ได้ครับ พี่มิทตัวใหญ่ คงนอนอึดอัด” “ไม่ใช่ครับ แต่พี่ลืมบอกให้คนมาช่วยปูที่นอนให้ตอนนี้คนอื่นก็คงนอนกันหมดแล้ว” พี่มิทแยกส่วนที่นอนออกมาด้วยความยุ่งยากใจดูเหมือนเขาแยกไม่ออกระหว่างผ้าปูที่นอน ผ้าห่มและมุ้งกันยุง “เดี๋ยวผมจัดการเองครับพี่ไปอาบน้ำก่อนก็แล้วกัน” ผมคิดว่า ถ้าผมทำเองเราคงจะได้นอนพักผ่อนเร็วกว่า พี่มิทยิ้มแล้วพยักหน้า ผมเขาไปกางฟูกนอนคลี่ผ้าปูออกมาคลุมแล้วก็เหน็บใต้ฟูก ผมเอาผ้าห่มไปสะบัดที่หน้าต่างแล้วก็หาที่ผูกหูมุ้งต่างจังหวัดแบบนี้ ยุงชุมกว่าที่กรุงเทพ ต้องใช้มุ้งโปร่งกางผมไม่เคยนอนในมุ้งมาก่อน เคยอ่านเจอแค่ว่าคนสมัยก่อนต้องนอนกางมุ้งป้องกันยุงมากัด มุ้งค่อยๆ หายไป เมื่อความเจริญเข้ามาแหล่งน้ำน้อยลง ยุงไม่ค่อยมี และทุกบ้านก็มีมุ้งลวด แต่สถานที่ที่ไม่ใช่ห้องนอนแบบนี้เราจะใช้มุ้งกางกันยุงเพราะโรงเรียนตั้งอยู่ใกล้ทุ่ง มีทั้งยุงและแมลง ผมปิดหน้าต่างไปแล้วเพราะแมลงในทุ่งมันชอบบินเข้ามาเล่นไฟในห้องจากนั้นก็ปีนขึ้นไปผูกหูมุ้งเข้ากับตะปูนาฬิกาแขวนริมผนัง . . . . ผมมองดูกองผ้าบนพื้นกลางห้องยังนึกว่าจะแยกร่างมันออกไปประกอบเป็นที่นอนได้ยังไง สุดท้ายตานก็จัดการเองทุกอย่างส่วนผมก็เข้ามาอาบน้ำ เมื่อเดินกลับออกไป สภาพในห้องก็เปลี่ยนเล็กน้อย พื้นที่ว่างๆ กลางห้องกลายเป็นที่นอนแล้วด้านบนก็มีผ้าโปร่งที่ใช้กันยุงขึงอยู่ ผมดึงชุดใหม่มาเปลี่ยนเป็นเสื้อกล้ามกับกางเกงขาสั้น ตานก็หยิบผ้าขนหนูเข้าไปอาบน้ำบ้าง ผมหยิบตารางการทำงานพรุ่งนี้มาดูตานจัดตารางได้เรียบร้อยดีจริงๆ เหมือนเขาเคยทำงานเป็นเลขาใครมาก่อน พรุ่งนี้จะเป็นส่วนของโครงอาคารและงานทาสีผนังมีติดประตู หน้าต่าง แล้วก็มีงานยิบย่อยอื่นๆที่ผมต้องไปตรวจดูความเรียบร้อยแล้วก็ตัดสินใจแก้ปัญหาหากงานติดขัด ตานเดินออกมาในชุดใหม่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น บนหัวมีผ้าขนหนูสีขาวผืนเล็กคลุมอยู่ ตานเปิดพัดลมตัวเล็กเป่าผมแล้วก็เปิดแพดเหมือนกำลังส่งข้อความหาที่บ้าน เราสองคนคุยกันนิดหน่อยตานเป็นคนคุยเก่งแล้วก็ไม่น่าเบื่อ หลังนาฬิกาชี้บอกเวลาสี่ทุ่มตานก็ดึงมุ้งลงแล้วเรียกผมไปนอน เป็นเวลานานเท่าไหร่แล้วไม่รู้ที่ผมนอนแปลกที่และต้องนอนกับคนอื่น แต่ความรู้สึกแปลกที่ว่า ไม่ใช่ทางลบเลยวันนี้ผมกลับรู้สึกดี ร่างกายมันเหมือนมีเลือดสูบฉีดพลุกพล่านไปหมด ตานออกไปปิดไฟความมืดเข้ามาแทนที่แสงสว่างในห้องผมรู้สึกถึงแรงเคลื่อนไหวบนที่นอนและรู้สึกว่าตานเปิดผ้าห่มเข้ามานอน ผ้าห่มมีอยู่ผืนเดียว นี่คงเป็นหนึ่งในความสาระแนของไอ้เป้แต่คราวนี้ผมจะยกความดีความชอบให้มัน ผมขยับตัวเข้าไปใกล้ๆพอที่จะทำให้ตานไม่รู้สึกอึดอัด กลิ่นหอมๆ ของแชมพูหรือโลชั่นทาผิวอะไรซักอย่างโชยขึ้นมา ยิ่งทำให้ผมรู้สึกวูบวาบขึ้นมาในใจ . . . . . ผมนอนหลับไปนานและตื่นขึ้นมาเมื่อรู้สึกถึงความเปียกแฉะที่หน้าอก เสื้อกล้ามที่สวมถูกรั้งขึ้นมาถึงคอ ร่างที่อยู่ชิดผมกำลังดูดยอดอกผมอย่างเอาเป็นเอาตาย ผมพยายามนอนนิ่งๆแต่ก็แทบทนต่อแรงกระตุ้นไม่ไหว ตานจะรู้หรือเปล่าว่าผมตื่นนอนและรู้สึกตัวผมจะนอนนิ่งแบบนี้ไปก่อนหรือแสดงตัวว่าผมตื่นตัวและพร้อมสำหรับบทรักของเรา ตานล้วงมือเข้าไปในกางเกงขาสั้นของผมมันเป็นกางเกงนอนที่ไม่ได้รัดแน่นอะไรนักตานลูบฝ่ามือลงไปถึงหัวหน่าวแล้วก็กำไปรอบๆ แท่งของผม เขารูดมันช้าๆ พร้อมกับดูดหน้าอกผมไปด้วยผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังถูกทดสอบ ตานอาจจะรู้ว่าผมตื่นแล้วก็ได้ ตานดึงกางเกงผมลงแล้วก็เลื่อนตัวลงไปตรงหว่างขาผมเขาทำท่าเหมือนจะครอบปากลงไป ผมจับตรงบ่าเขาเบาๆ แต่ผมสะดุ้งสุดตัว รู้สึกว่าผิวตานลื่นๆเป็นมันคล้ายเกล็ดงู ผมตกใจจนร้อง เฮ้ย! แล้วก็ขยับตัวสุดแรงจนรู้สึกว่าสายมุ้งขาด วา...วา.... ธันวาต้องเป็นของท่านครุฑผู้เดียวเป็นของท่านครุฑผู้เดียวเท่านั้น ถ้าธันวารักกับคนอื่นจะทำให้การระลึกชาติไม่เกิดขึ้น สุดท้ายเราก็จะอยู่ในร่างอสูรกายงูไปตลอดกาล เราไม่ยอมให้ชายคนนั้นเป็นเจ้าของธันวาเด็ดขาด!!! เราอาศัยร่างงูเข้าไปถึงในห้องของธันวาไม่ได้ร่างงูนี้เป็นอุปสรรคขัดขวางเรา เราเลื้อยวนเวียนอยู่ใต้ถุนห้องที่ธันวากับชายผู้นั้นนอนอยู่ เรารู้โดยอำนาจจิตว่าชายผู้นั้นหมายในตัวธันวาที่กลับชาติมาเกิด เขาจะแย่งธันวาไปจากท่านครุฑเราไม่มีทางยอมให้เกิดขึ้น เราวนเวียน เลื้อยไปมาเราไม่มีฤทธิ์ที่จะทำให้เขาหวาดกลัวได้ ภูตผีเช่นเราช่างต่ำต้อยเหลือเกิน ทางเดียวที่จะทำได้ต้องรอให้ชายผู้นั้นหลับไปก่อน อาศัยช่วงที่จิตว่าง เราจะแทรกไปในความฝันหลอกหลอนให้เขาเป็นบ้า เราจะทำให้เขาไม่เป็นอุปสรรคกับเรา เราค่อยๆ แทรกตัวผ่านห้วงความฝันเข้าไปสองคนที่นอนอยู่นั้น มีธันวาที่มีดวงจิตเข้มแข็งและหลับไปในภาวะจิตสมาธิ ส่วนชายที่นอนเคียงกันนั้นจิตกำลังล่องลอยในสภาวะอกุศล เขามีจิตเบื้องล่างที่อยากสมสู่กับธันวาเราไม่ยอม เราไม่ยอมให้เกิดขึ้นแน่!!! เราแทรกตัวผ่านเข้าไปในความฝันอยากจะหลอกหลอนให้เขากลัว แต่พอได้เห็นหน้าตาและรูปกายของเขาทำไมความรู้สึกเก่าๆของเราเมื่อครั้งยังเป็นคนถึงได้กลับออกมา เขาช่างแข็งแรงจริงๆ รอบอกหนาแน่นหน้าท้องแกร่ง เขามีแขนขาที่แข็งแรง ช่างเป็นชายที่น่าสมสู่ร่วมรักด้วยจริงๆ เราแทบทนไม่ไหวอยากจะเนรมิตร่างเป็นคนแล้วร่วมรักกับเขา แต่เราเป็นเพียงภูติชั้นต่ำ เราทำได้แค่สร้างภาพในความฝัน ให้เขาหลงใหล เราโลมเลียกายเขาไปมาด้วยความใคร่อยากจะลิ้มลองน้ำรักของชายหนุ่มแข็งแรง เราอยากจะครอบปากลงไป ดูดกินทุกหยาดหยดเขาดูมีความสุขมาก แต่ร่างกายเรานั้นไม่ได้เป็นดั่งร่างมนุษย์แม้แต่ในความฝัน สภาพอัปลักษณ์เป็นหนังเกล็ดงูก็ยังติดกับเรา เขารู้สึกตัวเสียแล้ว ช่างน่าเสียดายจริงความหวังของเราหมดสิ้น สติของชายหนุ่มคนนี้กลับเข้าหาตัวแล้ว ผมตื่น ตื่นขึ้นมาจริงๆฝันที่เกิดขึ้นมันน่าขยะแขยงจริงๆ ผมยังรู้สึกถึงสัมผัสสากกับเกล็ดงูอยู่เลย ผมดึงผ้ามุ้งที่ตกคลุมอยู่กับตัวออกไปและรู้สึกว่าตานก็ตื่นขึ้นมาเหมือนกัน ผมคลำทางผ่านความมืดไปหาแสงไฟ ไฟสีขาวสว่างขึ้นตานขยี้ตาแล้วพยายามหรี่ตาสู้แสง “ฝันร้ายเหรอครับ?” ตานลุกขึ้นมาแล้วพยายามผูกหูมุ้งขึ้นมาใหม่แต่พอมองดูนาฬิกาแขวนแล้ว ตานก็เปลี่ยนเป็นพับมุ้งเก็บแทน “ตีห้าพอดีครับพี่มิท” “ขอโทษทีครับ พี่ทำตานตื่นมาด้วยเลย” “ไม่เป็นไรครับ ยังไงก็ต้องตื่นช่วงนี้อยู่ดีพี่มิทเป็นยังไงบ้างครับ?” ตานยื่นหน้าเข้ามามองผมใกล้ๆผมอดไม่ได้ที่จะใช้มือลูบไปบนหน้าและหลังของตาน ตานคนนี้เป็นคนจริงๆไม่ใช่งูเหมือนในฝัน “ไม่เป็นไรครับตานไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าสิครับ เดี๋ยวเราออกไปเดินเล่นกัน พวกฝ่ายทำครัวก็คงตื่นกันหมดแล้ว” ตานทำตามที่ผมบอกเขาคว้าผ้าเช็ดตัวเดินเข้าห้องน้ำไป ส่วนผมก็อดที่จะโทรหาป้าไม่ได้ในสถานการณ์แบบนี้ ป้าน่าจะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด ป้าผมเป็นคนตื่นเช้า เวลานี้ป้าคงตื่นแล้ว เสียงสัญญานดังไปไม่นานเสียงของอีกฝั่งก็ดังตอบกลับมา ผมดีใจที่ป้าเป็นคนรับสายเอง “มิทเองครับป้า” “โทรมาแต่เช้ามืดเลย มีอะไรด่วนหรือเปล่าลูก?” “มิทฝันร้ายครับป้า” “ฝันว่าไงบ้าง ไหนเล่าให้ป้าฟังซิ” เสียงของป้าดูสงบเหมือนป้ากำลังคิดตามผมไปด้วยผมรู้สึกว่าป้ากำลังหาที่นั่งสำหรับฟังเรื่องที่ผมเล่า “มิทหลับไปครับ ที่ห้องพักในโรงเรียนตื่นมาอีกทีเพราะมิทรู้สึกเหมือนมีใครมาดูดหน้าอกมิทเขาทำท่าเหมือนจะมีอะไรกับมิทด้วยครับป้า มันเหมือนฝันซ้อนฝันคนที่อยู่ในฝันมีเกล็ดงูบนหลังด้วย มิทรู้สึกตัวเลยผลักกระเด็นไปแล้วก็ตื่นขึ้นมาจริงๆ” ป้าเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิดซักพักก็ตอบกลับมา “คงเป็นภูติ” ป้าพูดขึ้นมาเบาๆ “ภูติ? หมายถึงผีเหรอครับ?” “ก็อาจจะใช่แต่เป็นภูติชั้นต่ำที่จิตยังยึดกับกามมนุษย์ ยังดีที่มิทรู้สึกตัวเสียก่อน” “มิทจะทำไงดีครับป้า คืนนี้มันจะมาอีกหรือเปล่า?” “ไม่ต้องห่วงนะลูก เดี๋ยวป้าจะจัดการให้เอง” ผมรู้สึกคุ้นเคยกับคำว่า “เดี๋ยวป้าจะจัดการให้เอง”คำนี้ป้าใช้บ่อยๆ ตอนที่ผมต้องการความช่วยเหลือ แต่ทุกครั้งป้าจะไปจัดการกับพ่อหรือแม่ไม่ใช่ภูตผีเหมือนคราวนี้ “ป้าจะทำยังไงครับ?” “ป้าจะจับภูติตัวนั้นไม่ให้มันไปทำอะไรหลานป้าได้อีก มิทไม่ต้องกลัวนะลูก” “ไม่กลัวหรอกครับ แต่ขยะแขยงหาทางป้องกันไม่ได้ด้วย มันมาในความฝัน” “มันจะมาหามิทไม่ได้อีก ป้ารับรอง” ราเลื้อยออกมาจากใต้ถุนห้องเราต้องไปหาบึงใหญ่ที่มีพงหญ้าซ่อนตัว ร่างงูของเราเคลื่อนตัวช้านักอยากจะทำอะไรก็ไม่ได้อย่างใจ เราต้องไปนอนอยู่ในโพรงริมบึง เราเลื้อยไปจนถึงป่าที่มีดงไม้สูงอีกนิดเดียวก็จะเป็นบึงใหญ่แล้ว แต่ก่อนที่เราจะเลื้อยไปสัมผัสกับน้ำเราเห็นผู้หญิงประหลาดค่อยๆ โผล่หัวขึ้นมาจากน้ำ ผู้หญิงคนนั้นแต่งตัวประหลาดบนหัวมีเครื่องประดับเป็นทอง ผู้หญิงคนนั้นขึ้นมายืนอยู่และดักเราไม่ให้เลื้อยลงน้ำมันเริ่มทำหน้าถมึงทึง ทำหน้าตาน่ากลัวเหมือนโกรธแค้นเรา เราขู่ฟ่อ ไม่รู้ว่านางเป็นร่างของอะไรกันแน่อาจจะเป็นภูติเจ้าถิ่นนี้หรือเป็นภูติที่ใครส่งมาหาเรา มันชี้หน้าเราแล้วก็เดินเข้ามาเหยียบเราขู่มันหลายครั้ง แต่มันก็ไม่ไป เราแปลงกายให้ใหญ่ขึ้น แล้วก็ขึ้นไปพันรอบคอมัน เราจะรัดคอมันให้ตาย เราจะ.... มันมีเรี่ยวแรงผิดมนุษย์ มันไม่ใช่คนเรี่ยวแรงมากมายนั้นจับเราฟาดลงกับพื้น เรารู้สึกเจ็บปวดไปทั่วทั้งตัวอยากจะเลื้อยหนีแต่ก็ถูกมันปิดทางเอาไว้ เราจะต้องหาทางเล่นงานมันแล้วเอาตัวรอดเราจะกัดมัน เราเลื้อยไปหามันแล้วกัดที่ขา แต่ขามันแข็งเหมือนหินมันยกขาหมายจะกระทืบเรา เราเลื้อยหนีเอาตัวรอด แต่ก่อนที่จะลงน้ำ มันลากเราขึ้นมา แล้วก็กระทืบพื้นกลายเป็นไฟเผาเรา เราเจ็บปวดเหลือเกิน มันร้อนเหมือนไฟนรกเราไม่ตายพ้นสภาพงูแต่เราก็ไม่พ้นสภาพทรมานเพราะไฟนี้ เราทรมานเหลือเกิน “ข้าแต่พญานาคผู้มีฤทธิ์ โปรดช่วยข้าด้วยเถิดข้าเจ็บปวดเหลือเกิน” เราได้แต่อ้อนวอนให้พญาภุชงค์ผู้หลับใหลตื่นขึ้นมาช่วย แต่กระแสจิตของเรานั้นช่างไร้ความหมายถ้านี่เป็นธันวา พญาภุชงค์คงไม่รีรอที่จะมาช่วยแน่ เราเจ็บปวดเหลือเกิน “พญานาคีโปรดช่วยเราด้วยเถิดเราทนทุกข์เวทนาจนสาหัส โปรดเห็นแก่ร่างงูที่เป็นเฉกเช่นบริวารของท่านโปรดช่วยเราด้วย” “เจ้าผู้โง่เขลาการที่เจ้าอาศัยจิตว่างเปล่าของมนุษย์ ย่อมสร้างกรรมให้เจ้าข้าจะไม่ยื่นมือไปช่วยเจ้า เหตุเพราะเจ้าทำตัวเอง หากแม้นมีใครเมตตาเจ้าก็คงหลุดพ้นสภาวะทรมานไปได้ แต่หากไม่มีใครช่วย ก็เป็นเพราะกรรมของเจ้า” กระแสจิตของพญานาคีดังกลับมาเรารู้สึกเจ็บปวดเหลือเกิน เรากำลังจะมอดไหม้กลายเป็นเถ้าถ่านแต่เรารู้ว่าเราจะไม่ตายและหลุดพ้นจากสภาวะอสูรงู “ท่านพญานกผู้มีอิทธิฤทธิ์ท่านผู้มีจิตเมตตาธรรม โปรดช่วยข้าด้วยเถิด ข้าทนทุกทรมานแสนสาหัส ท่านเป็นผู้มีจิตกุศลโปรดช่วยข้าด้วย” เราร้องไห้ ความหวังสุดท้ายของเราคือท่านครุฑหากแม้นมีผู้ใดเมตตาเราก็คงต้องเป็นท่านครุฑแน่!!! คำขอร้องของเราคงไปถึงท่านครุฑจริงๆไฟที่เคยลุกท่วมทั่วตัว อยู่ดีๆ ก็มีลมแรงพัดเข้ามา ไอน้ำละอองเล็กก็พัดมาด้วยไฟที่เคยติดก็มอดดับลงไปหมด ร่างของผู้หญิงหน้าตาน่ากลัว หันไปมองรอบๆแล้วมันก็ชี้นิ้วมือไปทางนกกาตัวใหญ่บนกิ่งไม้ มันกระทืบเท้าบนพื้นอีกครั้งคราวนี้นกกาสีดำก็มีไฟท่วมตัว แต่ไม่นาน นกกาก็สะบัดปีก ไฟก็หายไปทันที นกกาหันไปคาบลูกไทรบนกิ่งไม้ที่มันเกาะเสร็จแล้วก็บินลงมา มันทิ้งลูกไทรไว้ใกล้ๆ เท้านางปีศาจ นางปีศาจตัวนั้น มันเหยียบลูกไทรไว้ใต้เท้าแล้วเราก็เห็นกิ่งก้านไทรงอกออกมาจากลูกไทรมันพันกิ่งก้านเหมือนเถาวัลย์ขึ้นไปรอบตัวนางปีศาจจนแน่น เราอาศัยช่วงที่มันถูกพันธนาการค่อยๆเลื้อยหนีลงน้ำไป . . . ผมกับตานเดินลงมากินข้าวที่โรงอาหาร ตอนนี้คนอื่นๆในค่ายก็เริ่มทยอยกันมาบ้างแล้ว กำหนดการวันที่สองก็เป็นการทำผนังและบานประตูหน้าต่างส่วนงานอื่นๆ ก็เรียบร้อยดี ผมจะเดินตรวจงานคอยดูว่าตรงไหนมีปัญหาบ้าง ตานเดินไปช่วยเพื่อนตักข้าวต้มอยู่ใกล้เตาผมนั่งคอยอยู่ที่โต๊ะ ระหว่างนั้น ไอ้เป้ก็เดินเข้ามาพร้อมกับทำท่ายิ้มกริ่มมันพันผ้าขนหนูไว้กับผมยาวที่เปียกน้ำของมัน “ตัดๆ แม่งไปเหอะหน้าตาก็ทุเรศยังดันทุรังไว้ผมยาวอีก” ผมทำหน้าซังกะตายเมื่อเห็นรอยยิ้มกวนๆของมัน “มึงอย่ามายุ่งกับหัวกูเลยน่าตัดไปกูก็ไม่หล่ออยู่ดี ใครจะเหมือนมึง มีแต่เด็กๆ เอาตัวมาถวาย” “พูดอะไรของมึง” “ก็น้องเค้กเมื่อคืนไง” “เค้กเชี่ยไร?” “ก็น้องนัทเมื่อคืนไง ดูท่าน้องจะชอบมึงมากจัดเด็ดๆ ซักคืนสิวะ เด็กมันอุตส่าห์เสนอ” “ถ้ากูสนองทุกคนที่เสนอป่านนี้กูไม่มีเมียเต็มบ้านแล้วเหรอวะ” “น้องนัทนี่ลูกชายเจ้าของโรมแรมใหญ่เชียวนะมึง” “จะเทวดาหน้าไหนมาก็ช่าง ถ้ากูไม่เอาก็คือไม่เอา” “แห๊มไอ้นี่ กูก็สงสารเด็กมัน” “มึงไปลอยหน้าลอยตาไกลๆ ตีนกูเลยไป” ผมเริ่มรำคาญไอ้เพื่อนเชี่ยนี่เต็มทน “ว่าแต่ เมื่อคืนมึงเล่นน้องหมอฟันไปกี่ยกวะมาถึงก็ซดข้าวต้มเรียกพลังกันเลย” “เรื่องของกู” “อั้นแน่ พูดแบบนี้แสดงว่ายังไม่ได้เผด็จศึกเป็นไรวะ ม้าพยศหรือไง กูอุตส่าห์ให้ที่นอนหมอนมุ้งไปชุดเดียว จะได้นอนเบียดๆกัน” “มึงนี่มันเชี่ยจริงๆ เรื่องกูกับน้องกูจะตัดสินใจเอง มึงไม่ต้องมาสอน” “กูก็นึกว่ามึงซอยน้องเขาซะแล้ว ซักทีสิวะเจอเข้าทีเดียว รับรองเรียกหาทั้งคืน” ผมกะจะซัดไอ้เป้มันซักป๊าบ ข้อหาปากมากแต่เช้าพอดีที่ตานกับเพื่อนยกชามข้าวต้มมาถึงก่อน ตานวางชามข้าวต้มกระดูกหมูบนโต๊ะ ตอนนี้มีชามข้าวอยู่ทั้งหมดสี่ใบไอ้เป้ก็พลอยได้กินพร้อมผมไปด้วย “นอนหลับสบายดีมั้ยครับน้องตาน?” ไอ้เป้ทักน้อง “สบายดีครับ” “แล้วน้องนกเล็กล่ะครับ?” “นกน้อยค่ะ” “ครับๆ นกน้อย” ดูน้องสองคนจะชอบไอ้เป้มากคงเพราะยังไม่รู้จักตัวตนของมันเท่าผม ไอ้นี่มันหน้าเงินเดือนก่อนมันแอบถ่ายรูปผมตอนเปลี่ยนชุดในฟิตเนสไปขายในเว็บบอร์ดมหาลัยอยู่เลย . . . ช่วงบ่ายป้าโทรมาคุยกับผมบอกว่าจะให้คนส่งของมาให้ ให้ผมรับของที่ส่งมาแล้วสวมติดตัวตลอดป้าคงรู้ว่ามีอะไรผิดปกติเกิดขึ้นที่นี่ ช่วงทำงานผมปีนขึ้นไปดูฝ้าเพดานกับหลังคาที่ฝ่ายก่อสร้างให้ผมตัดสินใจว่าจะให้เปลี่ยนโดยการรื้อลงใหม่หรือซ่อมเป็นบางจุด ช่วงที่ผมปีนลงมานั้น อยู่ๆก็มีเสียงผู้หญิงร้องขึ้นมา มันเป็นเสียงกรีดร้องเหมือนคนกำลังโกรธผมไม่ทันระวังตัว หน้าอกไปถูกับหัวตะปูที่ยื่นออกมา รู้สึกว่ามันแสบเหมือนผิวถลอก ผมมองหาฝ่ายพยาบาลก็ไม่เจอคิดว่าคงไปประจำอยู่ที่วัดกันหมด “บอกให้เขารื้อลงมาทั้งหมดนั่นแหละเงินก็ให้ไปตั้งเยอะ จะประหยัดอะไรกันนักหนา ซื้อของถูกมาใช้ได้ไม่กี่ปีก็ผุ”ผมบอกฝ่ายก่อสร้างเอาไว้ก่อนจะเดินไปหาตานที่ห้องครูใหญ่ตอนนี้ฝ่ายสโมสรนิสิตกำลังคุยกับครูใหญ่เรื่องงานพัฒนาโรงเรียน ผมรอจนคุยเสร็จก็กวักมือเรียกตานเข้ามาใกล้ๆ “ทำแผลให้พี่หน่อยสิครับ เมื่อกี้โดนตะปูขูดมาไม่รู้กินลึกหรือเปล่า” “ตะปูตำเหรอครับ?” ตานทำหน้าสงสัยแล้วก้มลงไปมองเท้าผม “ไม่ใช่ครับ โดนตรงหน้าอก” ตานเดินนำผมไปห้องประชุมที่ใช้เป็นที่เก็บของและที่นอนของฝ่ายเจ้าหน้าที่สโมสรนิสิตผมเห็นเขาหยิบกล่อง first aid ขึ้นมา ในนั้นมีพวกยาสำหรับการปฐมพยาบาลเบื้องต้นอยู่ด้วย ตานแกะกระดุมเสื้อของผมแล้วก็ถลกเสื้อกล้ามขึ้นดูแผล “มีเลือดซึมนิดหน่อยครับ แต่แผลไม่ลึกแค่ถากผิวออกนิดเดียว โชคดีที่ไม่โดนตะปูที่แผลตรงๆ ไม่งั้นเสี่ยงบาดทะยัก” ตานมุดเข้ามาใกล้อกผมจัดการเช็ดสำลีจุ่มแอลกอฮอล์รอบแผลแล้วก็ป้ายยาสีเข้มลงไป “แปะปลาสเตอร์กันน้ำไว้ก่อนนะครับกันเหงื่อไหลลงมาโดนแผล จะได้ไม่สกปรก ตอนเย็นก่อนอาบน้ำค่อยแกะออกแล้วผมจะล้างแผลให้อีกที” ตานแปะแผ่นปลาสเตอร์บางๆ ลงบนแผลมือของตานเบามาก เบาเหมือนครูพยาบาลที่โรงเรียนประถมของผมไม่มีผิด ครูพยาบาลคนนั้นเหมือนเป็นรักแรกของผมเป็นรักของเด็กนักเรียนชั้นประถมกับครูห้องพยาบาล เป็นเรื่องที่น่าตลกสิ้นดี แต่มันก็เกิดขึ้นกับผมจริงๆในช่วงเวลาหนึ่งที่ผ่านมาแล้ว ผมจำสัมผัสแผ่วเบาจากมือนั้นได้ครูพยาบาลทำแผลที่ผมไปต่อยกับเพื่อนเหมือนกับตานทำแผลให้ผมวันนี้ ต่างกันที่ว่า วันนี้ผมโตเป็นผู้ใหญ่และรู้ตัวเองว่าผมไม่ได้ชอบผู้หญิงเหมือนเมื่อตอนเป็นเด็กนักเรียนตัวเล็กๆอีก “มือเบาดีครับ” ผมพูดกับตาน “แม่ผมทำเบากว่านี้อีก มือแม่เล็กๆ เล็กกว่าผมแล้วก็ทำแผลเก่งกว่าผม” ตานพูดตอนที่ก้มๆเงยๆเขากำลังใช้นิ้วมือจิ้มไล่อากาศในแผ่นปลาสเตอร์ “แม่เป็นพยาบาลเหรอครับ?” “ใช่ครับ แต่พี่มิทคงไม่อยากเจอแม่ผมหรอก”ตานหัวเราะ เสร็จแล้วก็ดึงเสื้อกล้ามผมลงมา “ทำไมล่ะครับ แม่ตานก็คงใจดีไม่ใช่เหรอ?” “ใจดีครับ แต่แม่เป็นพยาบาลคนไข้จิตเวช” ผมหัวเราะแล้วก็พูดต่อ “งั้นเจอพ่อตานก็ได้” “พ่อผมพี่มิทก็คงไม่อยากเจอหรอกครับ” “ทำไมล่ะครับ?” ผมยิ้ม “ก็...พ่อผมเป็นหมอสูติ” “งั้น พี่ขอเป็นคนไข้ของหมอตานแทนได้มั้ยครับ?” “ได้ครับพี่มิทอยากเป็นคนไข้คนแรกของผมหรือเปล่า?” ตานปิดกล่องปฐมพยาบาลแล้วอมยิ้ม “อยากสิครับ” ผมพยักหน้า “งั้นพี่มิทก็หยุดแปรงฟันไปเลยห้าปีพอผมเรียนปีห้า พี่มิทก็มาขูดหินปูนกับผม ดีมั้ยครับ?” “โถ่ตาน ถึงตอนนั้นปากพี่ไม่เน่าเหรอครับ”ผมหัวเราะพร้อมๆกับตาน จนมีเสียงจากนรกเข้ามาขัดจังหวะ ไอ้เป้ไอแค่กๆๆมันเดินเข้ามาทำเป็นคุ้ยหาของในห้อง “ส้นตีนติดคอหรือไง ไอแค่กๆ” ผมหันไปหาไอ้เป้ “แห๊ม ทั่นประธานที่เคารพรักของกูมึงก็ช่างสรรหาของดีๆ ให้ปากกูดีแท้นะไอ้เชี่ย” “เข้ามาทำเห้ไรในนี้” ผมถามมัน “กูมาหาฟิล์ม” ไอ้เป้แถ “เขาเลิกใช้ฟิล์มถ่ายรูปมาห้าสิบปีแล้วไอ้สัตว์”อยากจะลุกขึ้นไปเตะใส่หลังมันซักป๊าบจริงๆ เสือกเข้ามาขัดจังหวะจนได้ “ออกไปข้างนอกเถอะครับ ยังมีงานต้องทำอีก”ตานส่ายหัวเบาๆ หลังจากยิ้มเรื่องฟิล์มของไอ้เชี่ยเป้ “ถูกครับน้องตาน ไอ้เวรบางตัวเนี่ยแผลเท่าติ่งมด ดัดจริตทำสำออยมาให้คนทำแผล” “หรือมึงจะเอาแผลที่ปาก หรือกกหู หรือตรงไหนดี?”ผมยักคิ้วแล้วกระดิกตีน ไอ้เป้มองผมอย่างไม่ไว้ใจ “เออลืมไปเลย คนมาส่งของให้มึงว่ะมิทมาจากกรุงเทพ” ไอ้เป้วกเข้าเรื่องจริงจัง “เออ ป้ากูคงส่งมา” เราสามคนแยกย้ายกันออกไปทำงานอีกครั้งไอ้เป้ไปเก็บงานที่ไซด์งานก่อสร้าง ตานไปศูนย์กิจกรรมหมู่บ้านส่วนผมขอออกไปรับของที่ป้าส่งมาให้ . .
|