. ผมเดินมาดูงานของฝ่ายกิจกรรมสัมพันธ์ที่ศูนย์ส่วนกลางของหมู่บ้านศูนย์นี้ตั้งอยู่ติดกับกำแพงวัด ผมเดินมาดูนกน้อยที่กำลังสำรวจดูรอยรั่วของหลังคาอาคาร “เป็นไงบ้าง?” ผมเรียกนกน้อย “สนุกดี นี่ก็กำลังจดรายละเอียดไปให้พี่ๆในสโมสรดู แล้วก็จะถ่ายรูปกลับไปด้วย” นกน้อยเล่ารายละเอียดของงานให้ฟังคร่าวๆดูเธอก็มีความสุขกับงานที่ทำดี ในศูนย์นี้มีพี่ๆ หลายคนช่วยกันทำงานอีกส่วนก็ไปพัฒนาในส่วนของวัด “ตานลองไปดูสวนสมุนไพรในวัดสิเผื่อมีอะไรที่จะช่วยเสริมได้” นกน้อยแนะนำผม “อยู่ตรงไหนล่ะ?” “หลังวัดเลย ติดกับป่าช้า ว่าแต่กลัวหรือเปล่านี่ก็เย็นแล้วนะ” นกน้อยแอบยิ้ม “ไม่กลัวหรอก”ผมหัวเราะแล้วก็เดินแยกออกไป สวนสมุนไพรเป็นเขตวัดที่ติดกับป่าช้าผมเห็นเมรุเผาศพอยู่ไกลลิบๆ ยอดปล่องไฟสีขาวสูงเด่นโผล่พ้นยอดไม้สมุนไพรขึ้นมา ผมเดินดูสวนป่าที่วัดกับหมู่บ้านทำขึ้นมาในนี้มีพืชหลายอย่าง ส่วนที่ทางสโมสรพอจะช่วยได้คือ ทำป้ายชื่อและสรรพคุณมาติดให้เผื่อคนที่มาเก็บจะได้อ่านและใช้ประโยชน์ได้เต็มที่ ผมเดินดูสวนจนทะลุมาถึงป่าช้าที่เงียบสงบบุรุษผู้หนึ่งยืนสงบนิ่งอยู่ข้างเชิงตะกอนกลางลานกว้างเขานั่งบนแท่นปูนนั้นอย่างเดียวดาย ผมเดินผ่านแสงแดดที่โรยราช่วงพระอาทิตย์ใกล้ตกดินไปหาเขาแสงสีส้มเงียบเหงาดูเข้ากับบรรยากาศวังเวงได้เป็นอย่างดี . . . . “คุณเวณวัฒน์” ผมทักขึ้นมา “สายัณห์สวัสดิ์” เขาตอบกลับมาผมเห็นรอยยิ้มของเขาท่ามกลางแสงอาทิตย์สุดท้ายของวันวันนี้เขาสวมเสื้อยืดโปโลสีขาว ดูเหมือนเขาเพิ่งกลับมาจากสโมสรอะไรซักอย่างมากกว่า “ผมดีใจที่เห็นคุณยิ้ม” ผมตอบกลับไป “รอยยิ้มของชายตาบอดไม่อาจรับรู้รอยยิ้มของอีกฝ่ายที่ตอบกลับมา” เขาพูดคมเสมอเป็นเหมือนคำพูดตัดพ้อตัวเองแล้วก็ต้องการลองใจผม “คุณเคยบอกผมว่าคนตาบอดมีบางอย่างขึ้นมาชดเชยและในเมื่อคุณมองไม่เห็น คุณก็คงสัมผัสได้ว่าผมยิ้มตอบคุณคุณรู้ใช่มั้ยว่าเสียงของผมมันกำลังยิ้มอยู่ตอนเห็นคุณ” “ผมสัมผัสได้ ตอนนี้คุณกำลังอารมณ์ดี” เขาตอบกลับมา “ใช่ ผมกำลังอารมณ์ดี” ผมขยับตัวไปมาบนพื้นหญ้าอากาศรอบข้างเริ่มเย็นลงทุกทีแล้ว “เชิญนั่งก่อนสิครับถ้าไม่รังเกียจว่ามันเป็นแท่นเผาศพมาก่อน” “ไม่รังเกียจครับ” ผมปัดขี้เถ้าสีเทาๆออกไปจากแท่นปูนข้างๆ เขา จากนั้นก็หย่อนตัวลงไปนั่ง “ดีจังได้เจอคุณที่นี่เราอยู่กันสองคนเหมือนที่บ้านคุณเลยนะครับ” “เราไม่ได้อยู่ลำพังสองต่อสอง แต่มีอะไรอยู่รอบๆตัวเรามากมาย คุณอาจมองไม่เห็น แต่ผมมองเห็น และเขาก็กำลังมองเราอยู่” “คุณกำลังทำให้ผมกลัวนะครับ” ผมรู้สึกขนลุกขณะที่เขาพูด “เขาไม่เข้ามาใกล้ผม เขารู้ว่าผมไม่เหมือนคนปกติ” “ผีกลัวคุณแต่ไม่กลัวผมนี่นา” ผมพูดแล้วหดคอลง “ถ้ากลัวแต่แรก ก็ไม่ควรเดินมาไกลขนาดนี้คนเดียวมันอันตราย” “ผมไม่กลัวคน คนที่นี่ใจดี แต่ผมกลัวผี” “ในป่าช้าไม่ควรพูดถึงผี” เขายิ้ม “งั้นผมกลับดีกว่า คุณก็ควรกลับด้วยนะ ไปเถอะผมจะเดินไปส่งคุณ คุณมากับใครล่ะครับ?” ผมมองไปรอบๆ ก็ไม่เจอรถยนต์ซักคัน “ผมมาดูคุณทำงาน แล้วก็เอาของมาให้ด้วยผมอยากให้คุณใส่มันไว้ตลอดเวลา” คุณเวณวัฒน์ล้วงกระเป๋ากางเกงแล้วก็หยิบสร้อยคอออกมา เขาคล้องมันลงบนคอของผม มันเป็นสร้อยสีเงินมีจี้เล็กๆ เป็นรูปปีกนกสีทอง “ทองคำแท้นี่ครับ ขนนกเนี่ย แล้วนี่แพลทินั่มเหรอครับ?” “เป็นโลหะที่ไม่มีบนพื้นโลกใส่ไว้กับตัวจะช่วยคุ้มครองไม่ให้ภูตผีหรือใครมาทำอันตรายคุณได้ช่วงนี้มีบางอย่างที่ผิดปกติ ผมเป็นห่วงคุณ” “เป็นห่วงผม?” “ใช่ ผมเป็นห่วงคุณ” “ขอบคุณครับ ผมชอบสร้อยของคุณ แล้ว...” “แล้ว?” เขาถาม “วันนี้คุณหล่อมาก สวมโปโลแล้วดูแปลกตาดี” “ตาก็บอด หลังก็ค่อม ผมจะมีอะไรให้คนมองได้” “หัวใจคุณไม่บอด” ผมตอบเขาเสียงของเราสองคนเงียบไป เหลือแต่สัมผัสอบอุ่นที่เกิดขึ้นมา “มีคนมาตามแล้ว คุณควรจะกลับไปที่พักได้ตอนนี้มืดจนมองไม่เห็นอะไร ตอนเดินกลับระวังตัวด้วย” “แล้วคุณล่ะ?” “ก็เพิ่งบอกไปไม่ใช่เหรอ ว่าผมใจไม่บอดผมก็จะใช้ใจมองทางตอนเดินกลับ” “ให้ผมไปส่งนะครับ” “ผมกลับเอง ไม่ต้องห่วง คุณกลับเถอะไฟฉายนั่นคือคนที่มารับคุณ ลาก่อน แล้วค่อยพบกันใหม่” . . “ตาน ตานครับ ใช่ตานหรือเปล่า?” เสียงพี่มิทดังมาพร้อมกับแสงไฟฉายสีเหลืองผมหันไปตอบพี่มิทแล้วหันหลังกลับไปมองแท่นเผาศพ ตอนนี้คุณเวณวัฒน์หายตัวไปแล้วพี่มิทเดินเข้ามาจับมือผมเบาๆ “อะไรกันครับตาน มานั่งทำอะไรที่ตะกอนเผาศพมันน่านั่งซะที่ไหน กลับกันเถอะครับ เพื่อนของตานตามหาใหญ่แล้ว” พี่มิทจับมือผมเดินไปตามทางที่ตัดผ่านสวนสมุนไพรมันเป็นทางเส้นเดียวกับที่ผมเดินมาก่อนหน้านี้ “ตาน ไปนั่งทำอะไรคนเดียวที่ป่าช้า บรื๋อออออน่ากลัวจะตาย” นกน้อยแทบจะถลาเข้ามาหาผมติดที่มีพี่มิทอยู่ด้วย สายตาของนกน้อยมองดูมือพี่มิทที่จับมือผมไว้แน่น “ตานไม่เป็นอะไรใช่มั้ย ไม่สบายตรงไหนหรือเปล่าไปหาหลวงพ่อที่วัดมั้ย เดี๋ยวนกน้อยพาไป” “ไม่เป็นอะไรทั้งนั้นแหละ” ผมหัวเราะ“กลัวผีที่ป่าช้าจะมาสิงหรือไง” “บ้า พูดอะไรนะตาน น่ากลัวจะตาย” “กลับโรงเรียนเถอะครับป่านนี้เขากินข้าวเย็นกันแล้ว” พี่มิทตัดบท ผมขอไปล้างมือที่อ่างน้ำและทำให้มือเป็นอิสระจากพี่มิท ระหว่างทางที่เดินผมก็รู้สึกว่ามีเสียงกระพือปีกดังมาใกล้ๆไม่นานก็มีอีกาตัวใหญ่บินลงมาจับที่บ่าซ้ายของผม “กรี๊ดดดด อีกาผี ผีหลอก ผีนก” นกน้อยร้องตกใจพี่มิทรีบหันกลับมาทันที “ไม่มีอะไร นกมาจับเฉยๆ” ผมโบกมืออีกาตัวนี้มีอยู่สามขา น่าแปลกจริงๆ โชคดีที่นกน้อยกับพี่มิทไม่ทันสังเกตเพราะความมืดมาบังตา อีกาสามขาขยุ้มกรงเล็บเบาๆจากนั้นมันก็บินหายไป ผมรู้สึกไปเองว่า คุณเวณวัฒน์ส่งนกตัวนี้มาคอยดูแลผม ตอนที่ผมเดินไปถึงป่าช้าผมรู้สึกว่าตานกำลังคุยกับใครอยู่ แต่พอเดินเข้าไปถึงเชิงตะกอนที่ตานนั่งอยู่นั้นผมกลับไปเจอใคร ไม่เจอแม้แต่ร่องรอย ตานมีท่าทีเป็นปกติและเหมือนจะอารมณ์ดีมากกว่าเดิมด้วยซ้ำ บรรยากาศรอบตัวตอนนี้มันมองอะไรแทบไม่เห็นอาศัยแค่แสงจากไฟฉายกระบอกเดียว ผ่านไปไม่นานนักผมกับตานและนกน้อยก็เดินเข้ามาถึงค่ายในโรงเรียน พวกเราสามคนเข้ามากินข้าวเป็นกลุ่มสุดท้ายคืนนี้หลังจากประชุมรายงานความคืบหน้าเสร็จผู้ใหญ่บ้านจะเอาหนังกลางแปลงมาฉายให้พวกเราดู มันเป็นกิจกรรมที่พวกเราตื่นเต้นกันมากเพราะหนังกลางแปลงเป็นของหายากผมเดินกลับไปที่ห้องพักกับตาน จากนั้นก็อาบน้ำออกมาแล้วให้ตานทำแผลให้ใหม่ตานแกะปลาสเตอร์ออกแล้วล้างแผล จากนั้นก็ใส่ยาแล้วติดผ้าก๊อซให้อากาศถ่ายเท ก่อนออกจากห้องตานคว้าเสื้อคลุมกันหนาวตัวใหญ่ออกไปด้วย “เสื้อของพ่อครับ ผมขอยืมมา ดูหนังกลางแจ้งเดี๋ยวน้ำค้างลงหัว” ก่อนออกจากค่ายผมกำชับให้นิสิตทุกคนดูแลตัวเองให้ดีห้ามเดินออกไปเที่ยวกลางคืนคนเดียว ให้นิสิตชายดูแลเพื่อนผู้หญิงด้วย และให้กรรมการสโมสรแบ่งกันดูแลนิสิตในค่ายระบบการดูแลไม่ได้เข้มขวดเหมือนค่ายทหาร แต่จะเน้นให้นิสิตรับผิดชอบตัวเองให้เพื่อนในกลุ่มคอยดูว่าเพื่อนตัวเองอยู่ครบหรือเปล่า ผมเป็นห่วงเรื่องพวกนี้มากเป็นพิเศษเนื่องจากนิสิตในค่ายมีจำนวนมาก พวกเราพากันเดินไปที่ลานวัดกันเป็นกลุ่มใหญ่นกน้อยเพื่อนของตานเดินมากับเพื่อนในสโมสรนิสิตของผม พวกเรารวมกลุ่มเล็กๆ ได้หกคนหนึ่งในนั้นก็คือไอ้ช่างภาพจอมจุ้นเพื่อนผมนั่นเอง เราเลือกได้ที่นั่งตรงพื้นหญ้าหน้าจอหนังนกน้อยเดินออกไปซื้อลูกชิ้นปิ้ง ส่วนตานยืนมองดูพื้นที่ว่างๆที่มีเส้นสีขาวขึงกั้นแยกเอาไว้ เหมือนทางวัดกั้นที่เอาไว้ให้แขกพิเศษแต่ตานบอกว่า แขกพิเศษไม่น่าไปนั่งอยู่ในมุมมืดขนาดนั้น มันเป็นลานว่างๆพอที่คนจะเข้าไปนั่งได้ราวๆ สี่สิบคน หนังเล่นเรื่องกระสือผมเห็นตานหัวเราะคิกคักตอนนกน้อยมุดเข้ามาเบียดในเสื้อกันหนาวอีกมุมหนึ่งผมก็เห็นหลวงพ่อพาเณรน้อยมาดูด้วยประมาณสิบรูป นอกจากนั้นก็เป็นชาวบ้านกับนิสิตนั่งเป็นกลุ่มสลับกันไป เหตุการณ์ดูเรียบร้อยดีจนกระทั่งใกล้ถึงเวลาเลิกช่วงประมาณสี่ทุ่มผมเห็นกรรมการสโมสรนิสิตเดินหน้าเครียดมากับน้องปีหนึ่ง “มีอะไรกันหรือเปล่า?” ผมร้องถาม “มิท มีน้องปีหนึ่งหายไปสามคนเพื่อนไปดูในห้องน้ำก็ไม่เจอ กลับไปดูที่ห้องพักในค่ายก็ไม่เจอ” “โทรไปที่เครื่องเขาดูหรือยัง?” “โทรไม่ติดเลย เหมือนไม่มีสัญญาน” “มีใครบ้าง?” ผมชักเป็นห่วงน้องๆบ้างเหมือนกัน กรรมการที่ดูแลน้องบอกชื่อนิสิตปีหนึ่งที่หายตัวไปเป็นผู้ชายสองคนหญิงหนึ่งคน หนึ่งในนั้นมีน้องนัทคนที่ให้เค้กวันเกิดผมเมื่อวานรวมอยู่ด้วย “หายไปนานหรือยัง แล้วเห็นครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่?”ผมเห็นเพื่อนของนิสิตที่หายไปคุยกันในกลุ่มแล้วก็บอกว่าเห็นครั้งสุดท้ายตอนทั้งสามคนเดินออกไปกับเณรที่วัด ผมให้กรรมการสโมสรที่เหลือคุมน้องทุกคนกลับไปที่ค่ายไม่ต้องพูดอะไรทั้งนั้นจนกว่าผมจะหาคนหายเจอ ทีมค้นหาจะมีแค่ผมกับกรรมการอีกแค่สามคนรวมไอ้เป้ด้วยผมคิดว่ายิ่งมากคนก็มากเรื่อง คนมากก็หากันไปมาไม่จบซักที ตานกับนกน้อยและกรรมการฝ่ายประสานงานหมู่บ้านอาสาอยู่ช่วยประจำจุดที่วัดและจะเข้าไปแจ้งผู้ใหญ่บ้านกับหลวงพ่อให้ช่วยส่งคนตามหาอีกแรง ส่วนน้องปีหนึ่งที่เหลือผมให้กรรมการเดินไปส่งเข้านอนหมดทุกคน รวมทั้งเพื่อนของคนที่หายไปด้วย ตอนนี้ผมกับเพื่อนกรรมการสโมสรที่เป็นผู้ชายรวมสี่คนกำไฟฉายคนละกระบอกแล้วตั้งใจแยกย้ายกันออกไปตามคนหาย โดยจัดเป็นกลุ่มๆ ละสองคน ผมเดินออกไปคู่กับไอ้เป้ส่วนเพื่อนอีกสองคนก็จับคู่กันออกไปอีกทาง ตานกับเพื่อนและกรรมการผู้หญิงอีกคนรวมเป็นสามคนนั่งรออยู่กับผู้ใหญ่บ้านและหลวงพ่อที่ศาลาวัดคอยประสานงานหากเจอตัวคนหายก็จะแจ้งฝ่ายค้นหาทันที ผมเดินออกไปทางด้านหลังวัดกับไอ้เป้สองคนไอ้เป้ลดความทะเล้นลงไปมากในยามหน้าสิ่วหน้าขวานแบบนี้ “ไอ้ห่าเอ้ย เล่นแม่งไม่รู้จักขอบเขต” ไอ้เป้บ่น “อะไรของมึง?” ผมหันไปถามมัน “ก็มึงไม่ได้ยินที่หลวงตาดุเณรสองรูปนั่นหรือไงวะเณรกับน้องสามคนที่หายไป เอาข้าวต้มมัดมาผูกไม้กวาดแล้วไปวิ่งวนรอบโบสถ์” ไอ้เป้ทำหน้าเครียด “แล้วไงวะ?” “แล้วไงเหรอ ก็คงจะเจอเปรตสมใจน่ะสิป่านนี้ไม่รู้ไปอยู่ยอดไม้ไหน” “ไอ้เชี่ยนี่ ปากไม่เป็นมงคล!” ผมด่ามันเบาๆตอนเดินสำรวจมาถึงด้านหลังของวัด คืนเดือนมืดแบบนี้มันดูน่ากลัวและมืดมิดสมเป็นช่วงเดือนดับจริงๆทุกอย่างเงียบกริบจนได้ยินเสียงหายใจของตัวเอง “กูพูดจริงๆ วันนี้มีทั้งเปรตมีทั้งวิญญาณมึงไม่เห็นหรือไง หลวงพ่อท่านกั้นสายสิญจน์เอาไว้ให้พวกผีในป่าช้ามาดูหนังด้วยทีแรกกูก็ไม่ได้สังเกต แต่กูเห็นน้องตานมองดูที่ว่างๆนั่นกูก็เลยสงสัยกูเดินไปถามหลวงพ่อเอง แบบนี้มึงจะว่ากูโกหกหรือเปล่า” ไอ้เป้ส่ายหัวแล้วก็ส่องไฟดูตามป่าหญ้า ผมรู้จักเรื่องพวกนี้มาพอสมควรทั้งเคยอ่านเจอและป้าเล่าให้ฟัง บางครั้งผมก็ถูกฝึกให้นั่งกำหนดจิตในบ้านของป้าแล้วป้าก็เล่าเรื่องสิ่งเหนือธรรมชาตินี้ให้ฟัง “เห็นอะไรแปลกๆ ก็ไม่ต้องพูดนะไอ้เป้ปากมึงจะพาซวย” ผมเตือนมัน “ไอ้ที่ว่าแปลกๆ ของมึงคืออะไรวะ?” ไอ้เป้ทำหน้าเจื่อนเหมือนมันรู้ว่าผมหมายถึงอะไร แต่ก็ยังอยากจะถาม “เจอใครเดินสวนทางมา ไม่พูดไม่จามึงก็ไม่ต้องทัก ไม่ต้องวิ่ง” “ไอ้เชี่ย กูกลัวนะเนี่ย ขนลุกหมดแล้ว” ไอ้เป้ทำเสียงอ่อยดูมันกำลังกลัวจริงๆ ผมไม่ได้พูดขู่มัน แต่ผมพูดจริงๆ ป้าเคยบอกผมว่าเวลาไปนอนค้างที่อื่นที่ไม่ใช่บ้านตัวเอง ตอนออกไปเดินกลางคืนในที่เปลี่ยวถ้าเจอคนแปลกๆ ก็ไม่ต้องทัก ยิ่งเดินในวัดหรือใกล้ป่าช้าแบบนี้ด้วยแล้วไม่ต้องทักหรือพูดอะไรทั้งสิ้น “กูจะสงสารหรือสมน้ำหน้าเด็กดีวะไอ้มิทเสือกเล่นไม่รู้เรื่อง” “ตอนนี้ต้องหาให้เจอก่อนยิ่งมีน้องผู้หญิงด้วยกูยิ่งห่วงบางทีไม่เจออีกอย่างแต่ไปเจอผู้ชายเอามันจะอันตราย ซวยจริงๆกูมาค่ายเต็มตัวครั้งแรกก็เกิดเรื่องเลย ก่อนออกจากค่ายมาวัดกูก็สั่งแล้วแท้ๆ” “เนี่ยแหละคนกรุงเทพหัวสมัยใหม่แม่งเล่นไม่รู้เรื่อง กูคนนึงล่ะที่ไม่เล่นอะไรแผลงๆแบบนี้ แม่งคิดได้ไงวะเอาข้าวต้มมัดมาผูกไม้กวาดล่อเปรต” ไอ้เป้ทำเสียงเหมือนคนกำลังจะร้องไห้ ผมหยุดเดินเมื่อมาถึงสวนป่าซึ่งเป็นจุดที่ผมเคยเดินออกมาตามตานเมื่อช่วงค่ำ “เลยตรงนี้ไปก็เข้าเขตป่าช้าแล้วกูว่าเด็กคงไม่เตลิดไปถึงข้างในหรอก เราไปดูอีกทางดีกว่าแล้วมึงคอยฟังเสียงโทรศัพท์ด้วย เผื่อตานโทรเข้ามา” ไอ้เป้ยืนนิ่ง มันกำลังมองดูไฟวับๆแวมๆแถวเมรุเผาศพในป่าช้า “คงเป็นชาวบ้านที่ช่วยออกตามน่ะ ไอ้เชี่ยขี้ขึ้นไปอยู่บนหัวแล้วมึง” “ป่าช้าต่างจังหวัดน่ากลัวโคตรๆมันไม่ได้อยู่ในวัดเหมือนกรุงเทพซะด้วยเล่นออกไปสร้างแยกแบบนั้นยิ่งน่ากลัวเข้าไปใหญ่” “มึงยิ่งพูดก็ยิ่งกลัว หุบปากของมึงซะทีเดินตามกูมานี่” ผมส่ายหัวในความตาขาวของไอ้เป้แต่ก็อดที่จะเห็นใจมันไม่ได้ เรื่องแบบนี้ คนกลัวก็จะกลัวมากจริงๆ กลัวโดยไม่สามารถอธิบายได้ด้วยเหตุผล . . . พี่มิทกับพี่เป้เดินจับคู่กันออกไปทางด้านหลังของวัดส่วนพี่ผู้ชายที่เป็นประธานฝ่ายก่อสร้างและเป็นกรรมการสโมสรนิสิตก็จับคู่กันไปทางด้านริมทุ่ง ผมกับนกน้อยและพี่ผู้หญิงที่เป็นกรรมการสโมสรเข้ามานั่งเป็นหน่วยประสานงาน คอยรายงานความคืบหน้าจากแต่ละฝ่ายให้ครอบคลุมถึงกัน สามกลุ่มที่ว่ามีฝ่ายกรรมการค่ายและนิสิตปีหนึ่งที่กลับไปนอนบ้างแล้วมีกลุ่มของผู้ค้นหาคือพี่มิทและเพื่อน และกลุ่มของชาวบ้านที่ช่วยกันออกตามหาอีกแรง ผมนั่งอยู่ที่ศาลาวัด ข้างๆ ผมมีนกน้อยที่ครางหงิงๆ แล้วหลับตาปี๋ ข้างกันมีพี่อีกคนซึ่งกำลังคุยโทรศัพท์รายงานกลับไปที่ค่ายในโรงเรียน หลวงพ่อที่นั่งอยู่กับผู้ใหญ่บ้านกำลังซักเณรสองรูป เณรก้มหน้าก้มตาตอบหลวงพ่อว่า “พวกผมเอาข้าวต้มมัดของโยมแม่ที่เอามาถวายตอนเย็นมาผูกไม้กวาดวิ่งเล่นรอบโบสถ์พอพี่ๆสามคนเข้ามาเห็นก็อยากเล่นด้วย พี่ผู้ชายเอาไม้กวาดไปขี่เป็นม้าแล้วก็วิ่งจนครบสามรอบพี่อีกสองคนก็หัวเราะ” เณรเล่า หลวงพ่อก็ซักต่อ “เล่าต่อไปซิเณร” “แล้วผมก็เห็นพี่ผู้ชายกับพี่ผู้หญิงเดินตัดที่นั่งผีของหลวงพ่อแล้วก็ทิ้งข้าวต้มมัดไว้กับพื้น” พอเณรเล่าจบ หลวงพ่อก็รูดก้านมะยมที่ขึ้นอยู่ใกล้ๆมาฟาดน่องเณรคนละสิบทีแล้วก็ไล่ไปนอน “ไม่รู้เจอเปรตหรือเจอผีป่าช้านะหลวงพ่อ”ผู้ใหญ่บ้านถาม “ผีบังตา แต่ยังไงก็ต้องหาให้เจอก่อนตะวันขึ้นไม่งั้นวิญญาณหลุด ตายเป็นผีไปจริงๆ” นกน้อยตัวสั่นพับๆส่วนพี่ผู้หญิงก็ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ ผมนั่งรอดูเหตุการณ์จนเวลาผ่านไปเกือบชั่วโมงกลุ่มค้นหาก็พากันเดินกลับมาดื่มน้ำที่ศาลา พี่มิทกำลังคุยอยู่กับผู้ใหญ่บ้านผมลุกขึ้นมายืดเส้นยืดสายจังหวะเดียวกับที่หลวงพ่อเรียกทุกคนในศาลาวัดออกไปดูบางอย่าง ผม นกน้อย พี่มิท พี่เป้ กรรมการค่ายและหลวงพ่อเดินออกมาดูลานที่เคยฉายหนังเมื่อหลายชั่วโมงก่อน หลวงพ่อก้มไปหยิบสายสิญจน์ที่ถูกเหยียบลงไปคลุกฝุ่นขึ้นมา ใกล้กันก็มีเศษใบตองที่เป็นเปลือกของข้าวต้มมัดซึ่งมีรอยเหยียบไว้จนบี้แบนติดพื้นกรวด ผมได้ยินเสียงปีกบินเข้ามาใกล้ๆ อีกานั่นเองมันบินมาเกาะไหล่ผมแล้วจิกหูผมเบาๆ หลวงพ่อหันมามองดูอีกาสลับกับผมเหมือนสงสัยอะไรบางอย่าง ช่วงนั้นผมได้ยินเสียงประปลาดดังมาจากยอดไม้สูงแล้วพอดีกับที่หลวงพ่อชี้กระบอกไฟฉายขึ้นไปในกลุ่มยอดไม้ด้านหลังโบสถ์ ท่ามกลางยอดมะพร้าวที่มีใบแผ่ออกมานั้นผมเห็นอสุรกายหน้าตาน่ากลัวอย่างชัดเจน ผมส่ายหน้าแล้วหลับตาลงไป ภาพเปรตในหนังสือไม่ได้น่ากลัวเท่ากับของจริงที่เห็นอยู่เลยมันดูน่าเกลียดน่ากลัวกว่าในรูปที่คนวาดหลายร้อยเท่า ผมลืมตาขึ้นมาใหม่ภาพอันแสนน่ากลัวนั้นยังปรากฏเต็มสองตา ผมรู้สึกว่ามีเหงื่อไหลออกมาบนหน้าผากจากนั้นเท้าสองข้างก็เดินถอยหลังไปเองโดยอัตโนมัติ ผมรู้สึกว่าเดินไปชนกับอะไรบางอย่างข้างหลัง!!! มถอยหลังมาเจอกับอะไรบางอย่างพอหันไปดูก็เจอรอยยิ้ม พี่มิทส่งมือขวามาคว้าเอวผมแล้วหัวเราะเบาๆผมเป่าลมออกจากปากแล้วหันไปพูดกับพี่มิท “ตกใจหมดเลยครับ” ผมพูดแล้วถอนหายใจ “เห็นอะไรบนนั้นหรือเปล่า?” พี่มิทถาม “เห็นครับ ถึงได้ถอยมานี่ไงพี่มิทก็เห็นเหรอครับ?” “เห็นไม่ชัด แต่ก็พอเห็น” “ผมเห็นชัดแจ๋วเลย ตาเขาแดงเหมือนไฟเลยครับ” “เขาบอกว่า คนที่เห็น ถ้าไม่มีบุญมากก็มีบาปมากพี่ว่าเราสองคนน่าจะเป็นอย่างแรกมากกว่า” พี่มิทยิ้ม “กลัวจะเป็นอย่างหลังสิครับดีนะที่นกน้อยไม่เห็น ไม่งั้นพระได้ตื่นกันหมด” หลวงพ่อเห็นผมกับพี่มิทยุกยิกอยู่สองคนเลยเข้ามาถามจากนั้นก็พูดให้ฟัง “คนเห็นเปรต เขาว่ามีอยู่สามจำพวกหนึ่งมีบุญบารมีสะสมมีตาเห็นอินทร์พรหมยมโลกคนจำพวกนี้เห็นชัดเจนเหมือนภาพเสมือนจริง สอง เป็นคนมีบุญมากกว่าบาปเคยเพ่งจิตกำหนดสมาธิ คนจำพวกนี้เห็นบ้างไม่เห็นบ้าง บางทีก็ชัดบางทีก็เลือน สาม เป็นคนมีบาปมากเปรตต้องการส่วนบุญเลยปรากฏกายให้เห็น” ผมฟังหลวงพ่อพูดจบก็หันมามองพี่มิทขนที่อยู่ตามตัวลุกตั้งจนรู้สึกหนาว “อีกาตัวนั้นดีนะโยม มันบินไปไหนแล้วล่ะ?”อยู่ดีๆ หลวงพ่อก็ถามเรื่องอีกา “มันบินไปแล้วครับ” ระหว่างนั้นพวกชาวบ้านที่ช่วยออกตามหาก็ทยอยกันกลับมา หลวงพ่อเดินกลับไปที่ศาลา ชาวบ้านบอกว่าไปตามหาจนทั่วทั้งในป่าช้าและป่าสมุนไพร ชายป่า เลยไปจนถึงบึงใหญ่ ก็ไม่มีวี่แววของคนหายเลยผู้ใหญ่บ้านถามพี่มิทว่าทางค่ายที่กลับไปในโรงเรียนโทรมาแจ้งว่าคนหายกลับไปเองหรือเปล่า พี่มิทตอบว่ายังไม่มีคนกลับไปที่พักเลยทั้งสามคนยังเป็นปริศนา นกน้อยกับพี่ผู้หญิงเกาะกันแน่นอยู่ใกล้ๆ ผมผมรู้ว่าทั้งสองคนกลัวมาก แต่ก็พยายามระงับสติไว้กับตัว ผู้ใหญ่บ้านจุดธูปหนึ่งดอกขึ้นนอกเขตวัดจากนั้นก็สังเกตควันธูปที่ลอยไปตามลม หลวงพ่อซึ่งเป็นพระก็สงบนิ่งไม่ได้ห้ามหรือทักท้วงอะไร ผมเองก็จนปัญญาที่จะช่วยอะไรได้ตอนนี้ทุกอย่างดูมืดมนเหมือนกับท้องฟ้าที่ไร้แสงเดือน “เขาว่าคืนเดือนดับแบบนี้ผีดุ มึงเอ้ยจะเลือกวันหายก็ไม่ได้ เสือกมาหายวันนี้คืนนี้” เสียงพี่เป้ดังขึ้นมาเบาๆพอที่จะให้พวกเราได้ยินกันในกลุ่ม เสียงฟาดมือดังขึ้นมาเบาๆพี่มิทนั่นเองที่ตบต้นคอพี่เป้ให้เงียบเสียงลง “ปากมากนะมึง เดี๋ยวกระทืบให้นอนที่นี่ซะเลย”พี่มิทเตือนพี่เป้แต่ผมก็เห็นว่าพี่เขาเองก็รู้สึกเหมือนที่พี่เป้พูดเหมือนกัน อีกาโผกลับมาจับไหล่ผมอีกครั้ง คราวนี้มันยกขาที่สามชี้ไปทางหลังวัดผู้ใหญ่บ้านที่เพิ่งสังเกตพวกเรา หันมามองพร้อมกับทำหน้าสนใจ “อีกาอะไร มีตั้งสามขา เกิดมาไม่เคยเห็นจับไปส่งสวนสัตว์ดีมั้ง” ผู้ใหญ่บ้านพูดแล้วก็เดินมาใกล้ๆ ผม “นกมันมีเจ้าของแล้ว ไปจับมันไว้เจ้าของเขาจะว่าเอา” หลวงพ่อพูดกับผู้ใหญ่บ้าน “คนนี้เรอะเจ้าของ?” ผู้ใหญ่บ้านถามผม ผมรู้ว่าหลวงพ่อหมายถึงบุคคลที่สามที่เป็นเจ้าของนกจริงๆผมแน่ใจว่าหลวงพ่อรู้ว่านกไม่ใช่ของผม และผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่านกตัวนี้เป็นของใคร อีกาจิกหูผมเบาๆแล้วก็ชี้ขาไปทางหลังวัดเหมือนเดิม “เดินไปดูในป่าช้าอีกครั้งได้ไหมครับ?” ไม่รู้ว่าผมมั่นใจได้ยังไงแต่ลางสังหรณ์และการชี้นำของอีกาทำให้ผมเชื่อย่างนั้น “ไปดูมาสองรอบแล้วก็ไม่เจอ โยมมีอะไรหรือเปล่าทำไมถึงอยากให้ไปดูในป่าเผ่าผีนั่น” “ไปดูอีกครั้งก็ไม่เสียหายนะหลวงพ่อเมื่อกี้ผมจุดธูปถามญาติที่ตายไป ควันธูปมันก็ลอยไปทางป่าช้าเหมือนกัน” ผู้ใหญ่บ้านช่วยเสริม ทุกคนก็ไม่เห็นหนทางที่ดีกว่านี้เราทุกคนพากันเดินรวมกลุ่มไปที่ป่าช้าที่อยู่ทางด้านหลังของวัด ป่าช้าในต่างจังหวัดไม่ได้ทำไว้ในเขตวัดเหมือนในกรุงเทพ เมรุเผาศพตั้งอยู่ในเขตป่าจริงๆกินอาณาบริเวณกว้างขวางพอสมควร หลวงพ่อตอบคำถามของผมที่สงสัยว่าแท่นปูนตรงกลางลานกับเมรุเผาศพนั้นใช้ต่างกันยังไง “เมรุเผาศพเพิ่งมีมาได้ไม่กี่สิบปีนี่เองใช้ไฟฟ้าเผา แต่เชิงตะกอนกลางลานนั่นมันมีมานานแล้ว มีมาก่อนหลวงพ่อเกิดซะอีก สมัยก่อนเขาเผากันบนดินเอาฟืนก่อเอาโลงวางก็จุดไฟเผาเหมือนย่างศพในโลงไม่ได้เอาเข้าไปเผาในช่องเหมือนเผาเมรุ” ชาวบ้านแยกย้ายกันออกไปหาผมสังเกตว่าแต่ละคนไม่ได้ทำเสียงโหวกเหวกหรือตะโกนหาคนหายเลยทุกคนส่องไฟหากันเงียบๆ อาจจะเป็นเพราะความเชื่อที่ว่าอย่าตะโกนเรียกกันในป่าช้าเพราะผีจะเลียนเสียงทำให้หลงทาง
|