ผมรู้สึกว่าคนที่หายไปอยู่ในเขตป่าช้านี่เองแต่ไม่รู้ทำไมพวกเราหากันไม่เจอซะที อีกาบินมาเกาะอีกครั้ง คราวนี้มันร้อง “กา!”ไปทางเนินดินที่มีหญ้ารกขึ้นปกคลุมจนแทบสังเกตไม่เห็นผมขอยืมไฟฉายของพี่มิทมาส่องดูแถวเนินนั้น แทบไม่น่าเชื่อผมเจอคนสามคนนอนอยู่แถวเนินนั้นจริงๆ ผมกำลังจะสะกิดพี่มิทให้ตามคนไปที่เนินนั้นแต่เรื่องไม่คาดฝันก็เกิดขึ้นมาซะก่อน ผมเห็นร่างใหญ่โตแหวกเนินดินออกมาใบหน้าร่างนั้นดูน่ากลัวมาก ใบหน้าเละไปด้วยเศษดินและหินจนแทบมองไม่ออก ร่างนั้นสูงใหญ่มากกว่าห้าเมตรเกินกว่าความสูงของคนปกติ ผมมองเห็นมือนั้นชี้หน้าผม เหมือนเตือนไม่ให้ผมเข้าไปยุ่ง ผมเห็นเขี้ยวยาวโง้งเหมือนยักษ์งอกออกมาจากมุมปากสองข้างด้วยมืออีกข้างที่ห้อยอยู่ข้างตัวกำดาบโบราณที่มีสนิมจับเอาไว้ “แถวนี้เคยเป็นสนามรบมาก่อนหรือเปล่าครับหลวงพ่อ?”ผมกลืนน้ำลายที่ฝืดคอเต็มทีก่อนจะถาม “ก็นานมาแล้ว หลายร้อยปีมาแล้วหรืออาจจะถึงพันปีแล้วก็ได้” หลวงพ่อตอบก่อนจะนึกอะไรขึ้นได้ “โยมเห็นอะไร?” ก่อนที่ผมจะพูด นกน้อยก็ตัวสั่นริกๆผมถอดเสื้อกันหนาวตัวใหญ่ออกแล้วก็คลุมให้นกน้อยไปด้วย นกน้อยเข้ามาซุกข้างๆ ผมแขนขวาก็คล้องรอบเอวผมเอาไว้ ส่วนหัวก็หลบอยู่ในเสื้อกันหนาว พี่มิทกับพี่เป้ก็เดินเข้ามาฟังผมใกล้ๆ “เนินดินตรงนั้นครับผมเห็นเหมือนมีผู้ชายสูงซักห้าเมตร หน้าเละ มือขวากำดาบเหมือนทหารโบราณมือซ้ายชี้หน้าผม” “ตาน!!!” นกน้อยร้องมาจากข้างในเสื้อ พี่เป้หน้าซีดเหมือนคนจะเป็นลมส่วนพี่มิทหลังจากฟังผมพูดแล้วก็พยายามเพ่งตาไปมองบ้าง แต่ก็ส่ายหัว “พี่มองไม่เห็น” หลวงพ่อขอไฟมาส่องดูบ้างคราวนี้หลวงพ่อก็ส่ายหน้าเหมือนกัน “หลวงพ่อไม่เห็นแต่ก็รู้สึกว่ามีอะไรอยู่ใต้เนินนั่นเหมือนกัน” ผมคงจะเป็นคนเดียวที่เห็นผีตนนั้นจะเรียกผีหรือยักษ์หรือปีศาจอสุรกายผมก็จำกัดความไม่ถูก หลวงพ่อน่าจะเป็นพระเทศน์ทั่วไปที่ไม่ได้ใฝ่ในทางกรรมฐานทำให้หลวงพ่อไม่ได้มีช่องทางสัมผัสกับสิ่งพวกนี้ แต่ด้วยความที่อยู่ใกล้พระธรรมทำให้หลวงพ่อพอมองสิ่งเหนือธรรมชาติออกบ้าง ผมเองก็แปลกใจที่อยู่ดีๆตัวเองก็มีสายตาเห็นอะไรพวกนี้ ปกติผมไม่เคยสัมผัสอะไรได้เลย หรืออาจจะเพราะไม่เคยมาเจอสถานที่ที่เอื้อต่อการมองเห็นแบบนี้ แม้แต่ตอนที่ผมมาที่นี่เมื่อช่วงเย็นที่ผ่านมาผมก็มองไม่เห็นวิญญาณ จะมีก็แต่คุณเวณวัฒน์เท่านั้นที่เขาบอกว่าเขามองเห็น “เรื่องเห็นไม่เห็นไม่สำคัญหรอกครับ ที่สำคัญคือคนที่หายไป นอนอยู่ตรงเนินดินนั่น” ผมพูดออกไปท่ามกลางความเงียบ “โอย กูจะเป็นลม” พี่เป้ลงนั่งยองๆกับพื้น “ส่องไฟไปก็ไม่เห็นนะครับ” พี่มิทตั้งใจพูดกับหลวงพ่อ “ปล่อยเด็กเถอะโยม ดวงชะตาคนไม่ถึงฆาตรั้งไว้ก็บาปกรรมเปล่าๆ” หลวงพ่อพูดผ่านลมออกไปยังเนินนั้นตอนนี้ชาวบ้านเริ่มสงสัยเพราะสังเกตว่าเราฉายไฟไปที่เนินนั้นบ่อยๆ ลมแรงเหมือนพายุพัดไปมาผมมองดูร่างนั้นก้าวออกมาพ้นเนินดิน แล้วก็ทำท่าจะก้าวขาเข้ามาทางที่เรายืนกันอยู่ จี้ห้อยคอรูปปีกนกที่คุณเวณวัฒน์ให้ผมมามันอุ่นขึ้น ผมสัมผัสได้เพราะผมห้อยไว้ด้านในติดกับอก “ยังเห็นเขามั้ยโยม?”หลวงพ่อถามผม “เดินเข้ามาหาเราแล้วครับหลวงพ่อดูเหมือนโกรธพวกเราด้วย” ผมตอบ “แล้วกัน!” หลวงพ่อส่ายหัวจากนั้นก็พาพวกเราเดินถอยออกมาจนพ้นเขตป่าช้าหลวงพ่อให้คนไปอุ้มบาตรน้ำมนต์ในโบสถ์ออกมา “กลับไปรอที่วัดดีมั้ยนกน้อย” ผมลูบหลังนกน้อยผ่านเสื้อกันหนาว “ไม่เอา อยู่ด้วยกันหลายๆ คนนี่แหละปลอดภัยดี”เสียงอู้อี้ดังตอบกลับมาจากในเสื้อกันหนาว . .สียงลมพัดอื้ออึงดังไปทั่วอาณาบริเวณป่าช้าผมมองชาวบ้านวิ่งลมพายุกรวดออกมาจากป่าช้าด้วยความโกลาหล ลมที่พัดอยู่นั้นพัดพาเอากรวดดินเล็กๆปลิวขึ้นมาด้วย เสียงกรวดปลิวขึ้นไปบนหลังคาของศาลามืดมิดดังประหลาดคล้ายกับฝนและลูกเห็บเม็ดใหญ่ๆ ร่างอสูรกายยักษ์ที่ผมเห็นยังคงเดินวนเวียนอยู่รอบๆเนินดินไม่ห่างไปไหนคล้ายกับจะเฝ้าร่างของคนทั้งสามไม่ให้มีใครเข้าไปยุ่งได้ เสียงฝีเท้าคนดังเข้ามาใกล้จุดที่เรายืนกันอยู่ศิษย์วัดคนหนึ่งเดินอุ้มบาตรพระมาด้วย ข้างในนั้นนอกจากจะมีน้ำมนต์แล้วก็ยังมีเศษหวายลูกนิมิต ข้าวสารวันพระใหญ่ กลีบบัวแห้งที่เก็บมาจากการบูชาพระแล้วก็มีน้ำตาเทียนจุดบูชาพระพุทธรูป หลวงพ่อสวดบทบูชาพระพุทธคุณแล้วก็ใช้ก้านไม้ที่มัดรวมกันจุ่มและทำการหมุนวนน้ำมนต์ในบาตรหลวงพ่อให้ผมเดินนำไปยังเนินดินนั้น ตอนนี้มีลมพัดแรงเกิดขึ้นอีกผมสังเกตว่าจีวรหลวงพ่อปลิวไสวไปมา คนที่เดินเข้ามาถึงเขตดงหญ้ารก มีผมนกน้อยและหลวงพ่อที่อยู่ข้างหน้าขบวน ตามมาด้วยพี่มิท พี่เป้และพี่ในสโมสรนิสิตอีกสามคน ผีที่มีหน้าตาดุร้ายตัวนั้นยังคงยืนอยู่เหนือร่างของคนทั้งสามผมชี้จุดให้หลวงพ่อประพรมน้ำมนต์ เสียงร้อง เสียงดาบ เสียงม้า ดังระงมไปทั่วผมรู้สึกว่าทุกคนสัมผัสได้ โดยเฉพาะนกน้อยที่เกาะเอวผมอยู่นั้นยิ่งตัวสั่นมากกว่าเดิม พี่ผู้ชายสองคนก็ขยับเข้ามารวมกลุ่มอยู่ใกล้ๆไม่กล้าห่างออกไป “พรุ่งนี้หลวงพ่อจะให้คนมาขุดร่างโยมขึ้นมาเผาทำพิธีเสียใหม่ดวงวิญญานจะได้ไปสู่สุขคติ” สิ้นเสียงหลวงพ่อก็มีเสียงประหลาดดังมาจากดงไม้บ้าง ในดินบ้าง ร้องขานรับออกมาจากรอบๆ บ้างจังหวะนั้น พี่เป้ร้องเฮ้ยเสียงดัง ร่างของคนสามคนปรากฏขึ้นทั้งสามนอนพิงเนินดินเหมือนคนนอนหลับผมกับพี่มิทเดินเข้าไปดูก็พบว่าทั้งสามคนเหมือนยังไม่ได้สติ พี่มิทเรียกเพื่อนผู้ชายอีกสองคนมาช่วยอุ้ม พี่มิทอุ้มผู้หญิงโดยช้อนแขนไปใต้ตัวคล้ายกับท่าอุ้มเจ้าสาวส่วนพี่ผู้ชายอีกสองคนก็เข้ามาแบกนิสิตปีหนึ่งที่สลบไปในท่าพาดไปกับบ่า . . . คนที่อาการหนักมากที่สุดในกลุ่มเราก็คงหนีไปพ้นนกน้อยและพี่เป้นกน้อยคลุมโปงอยู่ในเสื้อของผม ส่วนพี่เป้เกาะติดพี่มิทเหมือนลูกติดพ่อ พวกเราพากันเดินออกมาจนถึงเขตวัดพี่มิทให้พาคนสลบทั้งสามคนกลับไปพักในค่ายที่โรงเรียนผู้ใหญ่บ้านช่วยตามหมอจากในเมืองเข้ามาช่วยตรวจอาการ ตอนนี้ในห้องมีทั้งหมอคนหมอผี มีพระระหว่างที่หมอคนกำลังตรวจดูอาการหมอผีก็ทำพิธีเรียกขวัญที่เตลิดไปในป่าช้าให้กลับเข้าร่าง พวกผมนั่งคุยอยู่กับหลวงพ่อข้างนอกหลวงพ่อบอกว่า หน้าอกที่ถลอกปอกเปิกของทั้งสามคน คงเกิดจากการว่ายน้ำบนพื้นหิน สิ่งเหนือธรรมชาติอาจสร้างนิมิตให้เห็นว่าบนพื้นเป็นน้ำทั้งสามคนกำลังจะจมน้ำ จึงต้องว่ายน้ำหนีเอาตัวรอดสุดท้ายก็หนีน้ำไปหมดแรงอยู่บนเนินดินที่เป็นหลุมศพของคนโบราณ คุณหมอตรวจดูอาการแล้วก็จัดยากินไว้รวมกันหนึ่งชุดแล้วก็ให้เบอร์โทรศัพท์เอาไว้หากอาการของทั้งสามคนแย่ลง ยังไงก็ตาม คุณหมอก็บอกว่าถ้าให้พักผ่อนเต็มที่พรุ่งนี้ก็คงอาการดีขึ้น พี่มิทจัดที่นอนให้ทั้งสามคนนอนรวมกับสโมสรนิสิตในห้องประชุมของโรงเรียนพี่ๆหลายคนแยกย้ายกันออกไปนอนดูแลปีหนึ่งตามห้องเรียนต่างๆ . . พี่มิทเรียกผมให้เดินไปส่งหลวงพ่อคุณหมอและอาจารย์เรียกขวัญวัยชราผมกับพี่มิทเดินมาส่งทั้งสามคนถึงในวัดก็ขอตัวกลับ ระหว่างทางจากวัดไปโรงเรียนพี่มิทชวนผมคุยเรื่องนู้นเรื่องนี้ไปเรื่อยผมรู้สึกว่าเราสองคนคุยกันอย่างยาวนานจนผิดปกติ “เดินกลับมาที่เดิมนี่ครับพี่มิท?” ผมทักหลังจากเดินกลับมาที่ป่าหญ้ารกๆซึ่งมีศาลเพียงตาปักอยู่บนทางสามแพร่งบนพื้นมีเศษอาหารบนจานข้าวกระจัดกระจายคล้ายกับมีใครมารุมทึ้ง พี่มิทจับมือผมแล้วพาเดินหน้าต่อไปโดยไม่ได้หันมามองแต่พอผ่านโค้งเข้าไปถึงต้นไม้ใหญ่ เดินตัดถนนไปอีกนิดเดียวเราก็เดินมาโผล่ใกล้ๆจุดเดิม เหมือนวนมาใหม่เป็นรูปวงกลม “สงสัยอยากเล่นกับเรา” พี่มิทพูดแล้วบีบมือผมเบาๆ “เดินย้อนกลับดูดีมั้ยครับ เสาธงโรงเรียนอยู่ไม่ห่างนี่เองแต่เราเดินไปไม่ถึงซักที” ผมกับพี่มิทเดินถอยหลังกลับมาถนนดินลูกรังมืดสนิทที่เราเดินอยู่ ไร้ผู้คน แต่ผมกลับได้ยินเสียงเหมือนมีใครอยู่รอบๆแต่อยู่ห่างออกไป เหมือนเข้ามาใกล้ตัวเราสองคนไม่ได้ พี่มิทไม่ได้ปล่อยมือผมเราสองคน กำมือกัน สัมผัสอุ่นๆทำให้รู้สึกว่ายังมีเพื่อนอยู่ใกล้ๆ “กลับมาที่เดิมอีกแล้วครับพี่มิท” “ตานเอาโทรศัพท์มาด้วยหรือเปล่าครับ?” “เปล่าครับ” ผมพูดแล้วส่ายหน้าที่เดินมานี่ก็มาตัวเปล่า ไม่มีอะไรติดตัวมาเลย “เราเดินหลงออกมาจากทางปกติหรือเปล่านะดูต้นไม้สองต้นนั่นสิ ตอนกลางวันพี่ไม่เคยเห็นมันเลย” จริงอย่างที่พี่มิทพูดเราเดินกันตอนกลางวันระหว่างวัดไปโรงเรียนเป็นสิบๆเที่ยว แต่ก็ไม่ยักเจอต้นไม้คู่พี่มิทเดินนำผมไปดูต้นไม้ที่ว่านั่น มันเป็นต้นไม้สูงชะลูดขึ้นใกล้กันเหมือนแฝดมันโผล่ขึ้นมาจากป่าหญ้ารกๆ ข้างทาง แต่ก่อนที่พี่มิทจะเดินเข้าไปถึงโคนต้นไม้ สัมผัสแปลกๆ ของผมก็สั่งการผมฉายไฟออกไปยังทุ่งด้านข้างทาง ผมพบต้นไม้คู่แบบเดียวนี้อีก หนึ่งคู่ สองคู่สามคู่ ผมภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่คิดเลย ผมค่อยๆฉายไฟสูงขึ้นไป จากโคนต้นถึงยอด . . . ต้นไม้คู่ที่ว่า หาใช่ต้นไม้อย่างที่เราคิดแต่มันเป็นส่วนใดส่วนหนึ่งของอสุรกายจากนรกที่ผู้คนขนานนามกันว่า “เปรต!!!” ผมลงไปนั่งก้นเจ้าเบ้ากับพื้นอยากจะหลับตาให้ภาพเหล่านี้มันหายไปซะ แต่ก็หลับตาไม่ลง พี่มิทยังคงมีสติเขาพยุงผมยืนขึ้นแล้วก็ท่องบนสวดภาษาบาลีขึ้นมาเบาๆ พี่มิทสวดบทบูชาคุณพระพุทธเจ้า เมื่อสวดไปได้เพียงแค่ครึ่งบทเสียงหวีดแหลมที่ชวนขนลุกก็ดังขึ้น กลางทุ่งที่เงียบสงบผมเห็นร่างสูงชะลูดเท่ายอดมะพร้าวเคลื่อนไหวไปมา ลมเย็นๆพัดวูบปะทะกับเหงื่อร้อนๆจากหน้าผากของผม เมื่อพี่มิทท่องบทสวดมนต์จนจบอากาศก็กลับมาเป็นปกติ “ทีนี้ก็กลับไปนอนได้แล้ว” พี่มิทยิ้ม แต่เรื่องยังไม่จบเรายังคงเดินวนกลับมาที่เดิมเป็นรอบที่สี่ พี่มิทหยุดนิ่งแล้วพยายามใช้ความคิด “สงสัยไม่ใช่เปรตแต่เป็นพวกเร่ร่อนข้างทางมากกว่าพอเราไม่ได้อยู่ในเขตวัดหรือโรงเรียนก็ได้จังหวะพอดี” พอพี่มิทพูดจบ ก็มีเสียงบินตัดอากาศเข้ามาอีกาบินเข้ามาเดินวนๆ อยู่บนพื้นกรวดหน้าผมกับพี่มิท มันมาได้จังหวะพอดี “อีกาสามขา?” พี่มิทพูดแล้วหันมามองหน้าผม “พาเราไปส่งที่โรงเรียนหน่อยนะ” ผมพูดกับอีกามันร้องขึ้นมาเบาๆ แล้วก็เดินต้วมเตี้ยมไปตามพื้นถนนอีกาไม่ได้พาเดินผ่านศาลเพียงตานั้นอีก แต่พาเดินตัดทะลุดงหญ้าคารกๆ ออกมาเราเดินบนคันนาแห้งๆ ผ่านไปประมาณสิบนาทีก็ทะลุออกมาถึงด้านข้างของโรงเรียน ช่วงที่เดินตัดดงหญ้ามา อีกาก็แสนฉลาดมันบินขึ้นมาเกาะไหล่ผมเราเดินเข้ามาทางด้านข้างโรงเรียนผ่านอาคารห้องสมุดที่สร้างขึ้นมาใหม่ “ถึงจนได้ พรุ่งนี้คงต้องทำบุญหมู่บ้านกันครั้งใหญ่”พี่มิทพูด เราสองคนเดินเข้ามาถึงหน้าอาคารที่พัก นกน้อยกับพี่ในสโมสรยืนรออยู่เหมือนกำลังร้อนใจ “ตาน หายไปไหนมาตั้งนาน เป็นห่วงแทบแย่” นกน้อยพูดแล้วถอนหายใจ “เดินหลงนิดหน่อย ไม่มีอะไรหรอก ไปนอนเถอะ”ผมยิ้มแห้งๆ ให้เพื่อน ไม่อยากจะเพิ่มอาการกลัวให้นกน้อยไปมากกว่านี้ นกน้อยก้าวขาขึ้นอาคารไม้ไปพร้อมๆกับผมแต่ขาข้างหนึ่งถูกดึงเอาไว้ นาทีนั้น นกน้อยร้องขึ้นมาสุดเสียง . . . “โอ๊ยยยยยยยยยย” ไม่ใช่เสียงนกน้อย แต่เป็นเสียงพี่เป้ผมไม่เห็นพี่เป้ แต่พอเดาได้ว่าเสียงดังมาจากกระถางดอกไม้ใกล้ๆพื้น สาเหตุที่ร้องก็เพราะถูกนกน้อยประเคนฝ่าเท้าข้างที่เหลือใส่หน้าไม่ยั้ง สมน้ำหนักแม่งจริงๆ เล่นอะไรไม่รู้จักเวล่ำเวลา”ผมยืนมองตานกับนกน้อยช่วยกันทายาให้ไอ้เป้ “พังหมดหน้าเน่อกู ผู้หญิงอะไรวะตีนหนักชิบหาย”ไอ้เป้บ่นช่วงที่น้องทั้งสองคนเอากล่องยาไปเก็บพูดขึ้นมาพร้อมกับลูบหน้ามันไปด้วย “ถ้าเป็นกู มึงคงโดนกระทืบจนฟันร่วงหมดปากไม่ได้มาพูดปากดีอยู่อย่างงี้หรอก เสือกเล่นไม่รู้เรื่อง” ผมด่าไอ้เป้ซ้ำอยากจะโกรธมันจริงๆ แต่พอเห็นหน้าเขียวๆ ของมันแล้วก็อดใจอ่อนไม่ได้ “หน้ากูเป็นยังไงบ้างวะมิทหมดหล่อไปมากหรือเปล่า?” “ก็เห็นหน้ามึงเชี่ยเหมือนเดิมจะเจ็บมากเจ็บน้อยก็ไม่ต่างหรอก น้องใส่ยาให้แล้วก็ไปนอนซะพรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไปใส่บาตรทำบุญ” “ให้กูไปนอนด้วยนะมิทบรรยากาศในป่าช้ายังติดตากูไม่หายเลยว่ะ” “กูไม่ให้นอน” ผมสั่นหัว “กูไปนอนด้วย นะเพื่อน” “ที่นอนเท่าแมวดิ้นตายแค่นั้นมึงจะไปนอนตรงไหนแค่กูกับน้องก็พอดีแล้ว มึงมันส่วนเกิน” “เดี๋ยวกูลากที่นอนไปเอง กูไม่กวนมึงหรอกน่าไปนอนห้องมึงอย่างน้อยก็มีคนจิตแข็งสองคน มึงกับน้องไม่กลัวผี แต่กูกลัว” “กูไม่ให้ไป มึงนอนกับกรรมการไปน่ะดีแล้วคนเยอะกว่าห้องกูอีก จะกลัวห่าอะไร คนนอนกันเป็นสิบคน ผีมันไม่หลอกมึงคนเดียวหรอก” ผมพูดตัดบทแล้วก็รีบเดินกลับห้องทันทีขี้เกียจเจอหน้าหมาเหงาตอนไอ้เป้มันพยายามอ้อนวอน ไอ้นี่มันใช้มุกนี้ได้ผลเสมอ “ตาน” ผมเรียกชื่อน้องแล้วพยักหน้าตานเดินแยกออกมาจากเพื่อนแล้วก็เดินตามหลังผมมา ห้องพักครูที่ผมพักอยู่ด้านริมสุดของอาคาร ห่างจากห้องประชุมและห้องคอมพิวเตอร์ที่พวกกรรมการใช้นอนไม่มากนัก ตานเดินตามมาแล้วรอผมเปิดประตูเข้าไป “พรุ่งนี้ตื่นแต่เช้าไปจัดอาหารใส่บาตรกันนะครับคนเห็นอะไรพวกนี้แล้วน่าจะทำบุญไปให้เขาหน่อย” ผมพูดกับตาน “ผมก็นัดกับนกน้อยไว้ว่าจะตื่นตีสี่มาเตรียมของใส่บาตรครับ” ตานผสมน้ำมนต์ลงในขันน้ำให้ผมแล้วบอกให้ล้างหน้าจะได้ลืมภาพไม่เป็นมงคลตอนที่เจอเปรตออกไป . . . ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังอยู่บนสวรรค์หรือสถานที่ที่มีความสุขมากๆแห่งหนึ่ง จะขยับตัวไปทางไหนก็รู้สึกมีอารมณ์ร่วม ผมเห็นตานนอนอยู่บนที่นอนสะอาด ตานไม่มีเสื้อผ้าอยู่เลยผมเดินเข้าไปหาตานแล้วก็ถอดเสื้อผ้าตัวเองออก ผมก้มลงจูบที่ปากแล้วก็แหวกขาตานออกแท่งร้อนๆของผมมันแข็งจนเหมือนกับจะระเบิดออกมา ผมอยากจะเบียดตัวผมเข้าไปในตัวของตานหน้าตากับทุกๆอย่างของตานมันดูน่ารักและน่าสัมผัสไปหมดผมดูดยอดอกแล้วก็ลูบไปมาบนสะโพก เราสองคนกอดกันแน่น ตานลูบหลังของผมไปมาผมดันแท่งร้อนๆ เข้าไปในตัวของตานแล้วก็ขยับเข้าออก จากจังหวะช้าๆ เพิ่มความแรงขึ้นเรื่อยๆตานเกร็งตัวแล้วบีบแขนผมแน่น ส่วนผมก็ใกล้เสร็จแล้วเหมือนกัน ความรู้สึกทั้งหมดมันเคลื่อนมาอยู่ที่ปลายแท่งผมเกร็งหน้าท้องแล้วก็ปล่อยน้ำอุ่นจัดเข้าไปในตัวตาน หลังกระตุกและเกร็งสองสามทีผมก็ตัวเบาเหมือนลอยอยู่บนปุยนุ่น . . . “พี่มิทครับ...พี่มิท” เสียงตานดังขึ้นมาผมลืมตาขึ้นมา รอบตัวมีแสงไฟสีขาว ตานล้างหน้าแปรงฟันเรียบร้อยแล้วตอนนี้กำลังชะโงกหน้าเข้ามามองผมที่นอนเกร็งอยู่ในมุ้ง “ตายห่า!!!” ผมพึมพำเบาๆนี่ผมฝันเปียกต่อหน้าตานไปหรือเปล่า คราบเหนียวๆ ที่พุ่งออกมายังชุ่มกางเกงอยู่เลยโชคดีที่มีผ้าห่มปิดอยู่ “ตาน...อาบน้ำเปลี่ยนชุดแล้วเหรอครับ?” ผมกลืนน้ำลายเหนียวๆลงคอ “เสร็จแล้วครับเห็นพี่มิทยังไม่ตื่นเลยไม่ได้ปลุก แต่นี่ตีสี่กว่าแล้วก็เลยปลุกครับ” ตานทำหน้าสงสัยผมเห็นตานนั่งยองๆ อยู่กับพื้นข้างมุ้ง ผมดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมจนถึงหน้าอกกลัวว่าอะไรต่อมิอะไรจะทำให้ขายหน้า “ตานออกไปก่อนเลยครับ ไปกับนกน้อยนะครับอย่าไปไหนไกลๆ คนเดียว พี่เป็นห่วง เดี๋ยวพี่ขอเวลาสิบห้านาทีแล้วจะตามออกไป” . . ผมรู้สึกโล่งอกเหลือเกินที่ไม่ได้เผลอทำอะไรกับตานไปจริงๆจะโทษตัวเองก็คงไม่ได้ เพราะช่วงไม่กี่วันมานี้ผมไม่ได้ระบายอะไรออกมาเลย มัวแต่ยุ่งเรื่องงานค่ายกับเจอแต่เรื่องแปลกๆมานอนที่นี่ก็ไม่ได้นอนคนเดียวเลยไม่ได้ช่วยตัวเองเลยสุดท้ายร่างกายก็หาทางระบายออกเองจนได้ โชคดีที่ผ้าห่มกับที่นอนไม่เปื้อนไม่งั้นป่านนี้ผมไม่รู้จะมองหน้าตานได้ยังไง ผมพับกางเกงในกับกางเกงขาสั้นที่เปื้อนคราบน้ำเหนียวๆของตัวเองใส่ในถุงพลาสติกไว้แล้วก็พับเก็บใส่ในกระเป๋าอย่างดี หลังจากอาบน้ำแล้วผมก็เดินออกไปหาตานที่ห้องนอนของพวกกรรมการสโมสร ผมกำลังมองดูควันสีดำที่ลอยขึ้นไปในอากาศก่อนหน้านั้นหลวงพ่อให้คนช่วยกันถากหญ้าขุดเนินดิน ในชั้นดินลึกลงไป พวกเราพบโครงกระดูกคนเป็นโครงกระดูกของคนที่สัณนิษฐานได้ว่าค่อนข้างสูงน่าจะใกล้เคียงกับคนสูงร้อยเก้าสิบเซนติเมตร เขาจมอยู่ในดินด้วยท่านอน กะโหลกวางทับอยู่กับดาบโบราณผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นนักรบที่ตายในสมรภูมิรบ อาจจะเป็นขุนพลหรือชั้นหัวหน้า เขาน่าจะตายแล้วทหารเอาร่างไร้วิญญาณมาฝังไว้เพราะกลัวว่าอีกฝ่ายจะเอาศพไป ผมเคยอ่านเจอว่าสมัยโบราณนั้นการที่ทหารจะได้เลื่อนยศ ต้องมีหัวของฝ่ายตรงข้ามกลับไปด้วย นี่เขาคงตายในที่รบแล้วทหารฝ่ายเดียวกันฝังศพไว้ไม่ให้มีใครตัดเอาหัวไปได้ หลวงพ่อเชิญหลวงตาที่เป็นพระภิกษุชราเข้ามาทำพิธีด้วยท่านเป็นพระสายอรัญวาสี นิยมปักกลดเจริญกรรมฐานในป่า ท่านคุยกับหลวงพ่อว่าเคยผ่านมาแถวป่าช้านี้ช่วงกลางวันก็รู้สึกว่ามีวิญญาณของคนโบราณอยู่มากที่ไปเกิดแล้วก็มี ที่ยังวนเวียนอยู่ก็มี แต่ที่นอนอยู่ใต้ดินท่านยังไม่เคยเจอเพราะไม่ได้ผ่านมาในตอนกลางคืน ท่านบอกอีกว่า คนโบราณรูปร่างสูงใหญ่วิญญาณที่หลวงพ่อและพวกผมเล่าให้ท่านฟังนั้น คงเป็นนักรบโบราณที่ไม่ได้ไปผุดไปเกิด อยู่โยงจนสนามรบกลายเป็นเขตป่ารกผ่านมานานหลายร้อยหลายพันปีจนกลายเป็นป่าใกล้หมู่บ้านสุดท้ายก็มีป่าช้ามาครอบทับไว้ด้านบน วิญญาณอยู่มานานจนกลายเป็นผีเจ้าที่เจ้าทางเมื่อหาทางไปผุดไปเกิดไม่ได้ก็พยายามหาตัวแทนมาอยู่โยงเฝ้าสนามรบแทนตัวเอง หลวงพ่อให้คนมาลำเลียงกระดูกที่มีเศษดินพอกพูนจนเกือบมองไม่ออกมาใส่ในโลงท่านให้ชาวบ้านหาเสื้อผ้าใหม่มาให้ด้วย จากนั้นก็ทำพิธีเผาบนเชิงตะกอนที่ผมเคยนั่งคุยกับคุณเวณวัฒน์ พิธีศพแบบชาวบ้านทำกันง่ายๆมีเพียงพระไม่กี่รูป ชาวบ้านเท่าที่รู้ข่าวและพวกผมที่มาเจอเหตุการณ์เมื่อคืนเราไม่ได้บอกคนอื่นๆ ในค่ายให้ตกใจเลย เสียงพระสวดส่งวิญญาณดังขึ้นพร้อมๆกับควันสีดำเหมือนเผายางรถยนต์ไม่น่าเชื่อว่าร่างที่มีแต่โครงกระดูกจะติดไฟจนเป็นสีแดงฉานขนาดนั้นแถมยังส่งควันสีดำพวยพุ่งขึ้นไปอีก เหตุการณ์เป็นไปด้วยความเรียบร้อยจนกระทั่งนกน้อยร้องหงิงอยู่ข้างๆผม “ตานนน” “อะไร?” “ดูสิ ควันนั่นน่ะเหมือนอะไร” นกน้อยพูดแล้วก็หลับตาไม่กล้าหันขึ้นไปมองควันอีกอีกด้านของที่นั่งซึ่งอยู่ใกล้ๆ พี่เป้ก็มีอาการคล้ายนกน้อย “ไอ้มิท มึงดูสิควันนั่นมันลอยขึ้นไปเป็นรูปคนชัดๆ แถมยังพนมมือรับพระสวดด้วย” พี่เป้พูดเสียงดัง “ไอ้ห่านี่ เบาๆหน่อย พระสวดอยู่” . . . ชาวบ้านช่วยกันเอาอาหารที่ทำมาวางใส่จานกระดาษแล้ววางไว้ตามจุดต่างๆให้ผีในป่าช้าที่ไม่เคยได้รับอาหาร อาจจะเป็นผีที่ตายมานานแล้วไม่ได้ไปเกิดหรือผีเร่ร่อนไม่มีญาติทำบุญให้ หลวงพ่อนิมนต์หลวงตาไปฉันเพลที่วัดพี่มิทกับพี่เป้กลับไปจัดอาหารจากโรงครัวของค่ายมาถวายผมอาสาจัดที่จัดทางอยู่ที่ศาลาเอนกประสงค์กับนกน้อย “เดี๋ยวไปเข้าห้องน้ำหน่อยนะอั้นไว้ตั้งแต่ป่าช้า” ผมพูดกับนกน้อยตอนนี้เธอไม่ได้กลัวจนตัวสั่นเหมือนอยู่ในป่าช้าแล้วอาจจะเพราะเป็นตอนกลางวันและยังอยู่ในเขตวัด ผมเข้าไปในห้องน้ำทำธุระส่วนตัว หลังล้างมือล้างไม้เสร็จก็เดินออกมาเจอลานโล่งๆบนพื้นกลางแดดแรงนั้น ผมเห็นคุณเวณวัฒน์หิ้วถังชุดสังฆทานมาด้วย คุณเวณวัฒน์หิ้วถังมาด้วยสองถังในนั้นมีอาหารแห้ง หนังสือและยารักษาโรค “คุณมาได้ไงครับ?” ผมแทบไม่รู้สึกตัวว่าเดินเข้ามาหาเขาได้ยังไงผมรู้สึกดีใจเหมือนเขาเป็นคนพิเศษที่ผมรอเจออยู่ “ถ้าตอบว่าเดินมา คุณจะว่าผมกวนหรือเปล่า?”เขาพูดแล้วยิ้ม “เดินมาจากบ้านที่กรุงเทพนะเหรอครับ?” “เปล่า ผมก็นั่งรถต่อเรือมาตามเรื่องแล้วก็เดินเข้ามาที่นี่” “ผมดีใจที่เจอคุณ มีเรื่องจะคุยกับคุณตั้งเยอะ”ผมดีใจจนแทบไม่อยากหุบยิ้ม “เดี๋ยวเราไปทำสังฆทานให้พระก่อนตรงนี้แดดมันร้อนเดี๋ยวจะไม่สบาย” “ผมช่วยถือนะครับ” ผมแย่งถังสังฆทานมาได้หนึ่งใบวันนี้คุณเวณวัฒน์สวมเสื้อเชิ้ตสีขาวสะอาดผูกเนคไทกับกางเกงสแลคสีดำ เราสองคนเดินเข้ามาเจอหลวงตาท่านนั่งอยู่ใต้ร่มไม้มะม่วงใกล้ศาลาวัด “ทำสังฆทานครับหลวงตา” ผมนิมนต์พระหลวงตารับถังสังฆทานไปแล้วก็พยักหน้ารับ “ยาหมดพอดีโยมคนนี้เหมือนรู้ว่าหลวงตาขาดอะไรบ้าง” หลวงตาพูดขึ้นมาช่วงที่คุณเวณวัฒน์เดินไปกรวดน้ำใต้ต้นไม้ พอเขาเดินกลับมาหลวงตาก็จ้องเขาอยู่นานสลับกับมองไปที่รูปครุฑบนหน้าบรรณสามเหลี่ยม ครุฑปูนปั้นส่องแสงสีทองสะท้อนกับแสงแดดดูสวยงามเหมือนภาพวาด “โยมอยู่อย่างนี้มานานแล้วรึ?” “ก็นานเท่าที่ตัวเองจะจำได้” คุณเวณวัฒน์ตอบ “แล้วผู้ให้กำเนิด...” “ผมเกิดขึ้นมาเอง ไม่ได้เกิดเหมือน...อื่นๆ” “อ้อ เกิดมาแบบโอปปาติกะ” คุณเวณวัฒน์ไม่ได้ตอบ ผมเงียบรอฟังหลวงตากับเขาคุยกัน “การหลุดพ้นสภาวะอมตะนั้นยากยิ่งต้องมีโอกาสพิเศษเท่านั้น มันน่าแปลกที่มนุษย์เฝ้าหาแต่ชีวิตอมตะแต่คุณกลับแสวงหาทางหลุดพ้นสภาวะนี้” “การคงสภาพเดิมในจิตที่ห่วงหาใครซักคนมันทรมานยิ่งกว่านั้น ผมอยากหยุดสภาพตัวเองแล้วก็ตายโดยธรรมชาติไปพร้อมๆกับคนรัก เราสองคนจะไปเกิดในภพภูมิเดียวกันในชาติหน้า” “เจริญพร” หลวงตาหิ้วถังกลับไปวางไว้ในศาลาท่านเก็บยาและของจำเป็นไว้ใช้ยามกลับเข้าไปในป่า ส่วนของอื่นๆ ท่านให้เณรเอาไปใช้ ผมนั่งคุยอยู่กับคุณเวณวัฒน์ตรงจุดเดิมผมพูดเรื่องเมื่อคืนให้เขาฟัง และเราก็คุยกันเรื่องต่างๆมากมาย “คุณมาได้ยังไงกันนะ ผมเห็นคุณก็แปลกใจทุกที” “ก็ผมใช้ตาวิเศษเดินมา” “ตาวิเศษ?” “ใช่ ตาวิเศษ ตาที่ใช้มองทาง มองใจคน” “มันอยู่ตรงไหนล่ะครับ ตาวิเศษของคุณ?” เขากุมมือผมแทนคำพูดคุณเวณวัฒน์จับมือของผมไปวางตรงตำแหน่งหัวใจที่เต้นอยู่บนอกซ้ายของเขา ผมส่ายหน้าแล้วตอบเขาไปว่า “นี่คือหัวใจครับทำหน้าที่สูบฉีดและปั้มเลือดผ่านห้องสี่ห้องทำหน้าที่ส่งเลือดไปเลี้ยงส่วนต่างๆของร่างกายแล้วก็เอาเลือดที่ใช้แล้วกลับมาฟอกที่ปอด” “นั่นมันวิชาในหนังสือของมนุษย์มนุษย์เข้าใจแค่กายภาพและชีวภาพ ไม่เข้าใจไปไกลกว่านั้น ผมหมายถึงจิตใจและจิตสำนึกนอกเหนือคำสั่งอัตโนมัติของร่างกาย ผมใช้อวัยวะส่วนนี้แทนตาที่บอด” “หมายถึงสมองเหรอครับ?” “สมองเป็นส่วนหนึ่ง ทำหน้าที่ประมวลผล” “เข้าใจยากกว่าข้อสอบอีก” ผมส่ายหัวแล้วยิ้ม “อีกหน่อยก็เข้าใจถ้าเรามีเวลาอยู่ด้วยกัน...มากขึ้นกว่านี้” เขาพูด “ผมไปที่บ้านของคุณอีกได้มั้ย?” “บ้านของผมก็เหมือนบ้านของคุณคุณจะไปเมื่อไหร่ก็ได้ ประตูบ้านผมไม่เคยล็อก มันเปิดต้อนรับคุณตลอดเวลา” “ทำไมผมถึงรู้สึกดีกับคุณมากมายขนาดนี้ครับเหมือนเราคุ้นเคยกันมานาน คุณอายุก็ยังไม่มาก แต่ผมเหมือนเคยเจอคุณมาแล้วในอดีต” “ผมอยู่มานานแล้ว อยู่มานานกว่าพ่อกับแม่ของคุณอยู่มานานกว่าตากับยายของคุณ หรืออยู่มานานกว่าบรรพบุรุษของคุณทุกคน” “พูดซะขนลุกเลย” ผมยิ้มแห้งๆ “ผมไม่ใช่ผี ไม่ต้องกลัวผม” “ไม่กลัวครับ ผมชอบอยู่ใกล้ๆคุณตอนนี้เที่ยงแล้ว ไปกินข้าวกับผมนะครับ” ผมจับมือเขาไว้ แต่เขาส่ายหัวช้าๆ “ผมจะกลับไปรอคุณที่บ้านเราจะได้เจอกันอีกแน่นอน” . . . ผมวางอาหารที่ไปจัดมาจากโรงครัวให้ผู้หญิงช่วยกันจัดใส่จานชามเตรียมถวายพระ ผมมองหาตานอยู่นานจนนกน้อยบอกว่าตานไปเข้าห้องน้ำนานแล้วยังไม่กลับมา ผมเดินอ้อมศาลาวัดออกมาเจอกับต้นไม้ใหญ่ใต้ต้นไม้นั้นผมเห็นตานนั่งคุยอยู่กับผู้ชายคนหนึ่ง เมื่อดูจากรูปร่างหน้าตาและการแต่งตัวเขาไม่ใช่ชาวบ้านแถวนี้แน่นอน ผู้ชายคนนั้นกุมมือของตานแล้วเอาไปทาบไว้กับหน้าอกเขาทำเหมือนกับรู้จักกันมานาน ท่าทางของทั้งสองคนดูสนิทสนมกันดี ดีซะจนผมรู้สึกไม่ชอบใจ หากจะมีใครซักคนที่ทำแบบนั้นกับตานคนๆนั้นต้องเป็นผม . . . “มิท ไปกินข้าวดิวะ เขารอมึงอยู่นะเพื่อน”เสียงไอ้เป้ดังมาทางข้างหลังผม “ใครหิวก็กินไปสิวะ จะมารอกูทำไม” ผมหันไปตอบ “มารยาทน่ะมึง พูดซะน่าเกลียดแล้วมึงมายืนทำเชี่ยไรกลางแดดร้อนๆ แบบนี้วะ?” “กูมาตามตานไปกินข้าว” “ก็เดินมานั่นไง” ไอ้เป้พยักเพยิดผมหันกลับมา ตานเดินมาจริงๆ แต่เดินมาคนเดียว ผู้ชายเสื้อขาวคนนั้นหายตัวไปแล้ว “ตาน!” “...?” “เมื่อกี้...ทำอะไรอยู่” “ทำสังฆทานครับ” ตานดูจะสงสัยนิดหน่อยแต่ก็ไม่ได้มีท่าทีสนใจอะไรนัก“แดดตรงนี้ร้อนไปหลบแดดในศาลาแล้วกินข้าวกันครับ” ตานดูไม่ได้ผิดปกติอะไรเลย ผิดกับผมที่ใจมันอยากจะถามให้รู้ว่าเรื่องราวเป็นยังไงผู้ชายคนนั้นเป็นใคร มาทำอะไรกันที่นี่ แล้วก็จับมือกันทำไม “เป็นอะไรวะ กูเห็นมึงทำหน้าแปลกๆตั้งแต่เมื่อกี้ละ?” ไอ้เป้เดินงงๆ มาข้างๆผม “กูอยากรู้ว่าผู้ชายคนที่นั่งอยู่กับตานใต้ต้นไม้เป็นใคร” “มีที่ไหน มึงตาฝาดแล้วกูเห็นน้องเขานั่งคนเดียว” “กูเห็น ผู้ชายเสื้อขาว แต่งตัวดีๆหน่อย” “ก็ถามน้องเขาสิ แต่มึงนี่ก็แปลกเขาจะยืนกับใครมันก็เรื่องของเขาสิ” ไอ้เป้พูดแล้วก็ส่ายหัวแล้วเดินนำหน้าผมไป ผมพอจะรู้ว่าคุณเวณวัฒน์ไม่ใช่คนธรรมดา และตัวเขาเองก็ไม่ได้ปิดบังอะไรผม ความสัมพันธ์ของเราสองคนนับว่าพิเศษกว่าระดับคนรู้จักกันทั่วไปแต่ก็ไม่ได้ลึกซึ้งถึงขั้นที่จะเรียกว่าคนสนิท มันเป็นความรู้สึกที่แปลกประหลาดจริงๆปกติแล้วเวลากับความสัมพันธ์มักจะดำเนินไปด้วยกันเสมอยิ่งรู้จักกันนานก็ยิ่งสนิทกัน แต่ผมกับเขารู้จักกันได้ไม่นานแต่ความรู้สึกในใจมันล้ำหน้าไปไกลมากแล้ว รอแค่เวลาที่เหมาะสมเท่านั้นทุกอย่างก็จะลงตัว ผมคิดว่าคุณเวณวัฒน์เป็นเหมือนสายป่านเส้นยาวๆที่ลากผ่านเวลามานานแสนนาน สายป่านที่ยาวจนหาต้นขั้วมันไม่ได้ เขาจะพาผมย้อนกลับไปหาจุดเริ่มต้นที่ผมเคยเดินจากมา “ตาน พี่ยืมเรือเขาเอาไว้ เดี๋ยวเย็นๆเราไปพายเรือเล่นกันนะ ในบึงมีดอกบัวเยอะเลย” ผมหันกลับมาตรงหน้าตัวเองอีกครั้งเพราะเสียงพี่มิท “อะไรนะครับ?” “พี่ยืมเรือเอาไว้ ตอนเย็นเราไปพายเรือกันนะ”พี่มิทพูดซ้ำ “น่าสนุกดี ให้นกน้อยไปด้วยนะครับ” “เรือนั่งได้แค่สองคนครับตานก็เก็บดอกบัวไปฝากเพื่อนแทนละกัน ดีมั้ย?” พี่มิทยิ้มแล้วก็เลื่อนถ้วยแกงจืดมาให้ ผมพยักหน้าไปตามเรื่องไม่อยากปฏิเสธให้เสียเรื่อง วันนี้ดูพี่มิทจะมีอาการแปลกๆ คล้ายกับคนคิดมากคงเพราะผ่านเรื่องร้ายๆ มา ยิ่งน้องในค่ายไม่สบายอยู่ถึงสามคนพี่มิทคงรู้สึกไม่ดีไปด้วย “บึงใหญ่ข้างโรงเรียนเหรอครับ?” “ครับ เจ้าของเรือบอกว่ามีนกเป็ดน้ำกับนกสวยๆมาอยู่เยอะเลย” “ดีครับ ผมชอบนก” ผมตอบมือก็ตักข้าวเข้าปากไปด้วย “ที่บ้านเลี้ยงนกไว้หรือเปล่าครับ?” พี่มิทถาม
|