“ไม่ได้เลี้ยงครับ ไม่อยากจับมันมาขังไว้ในกรงสี่เหลี่ยมนกมีปีกก็ต้องใช้ปีกบิน เอามันมาขังก็ทรมานมันเปล่าๆ” “จริงครับ” พี่มิทพยักหน้าเห็นด้วย . . . งานก่อสร้างดำเนินไปด้วยความเรียบร้อยสมาชิกในค่ายไม่ได้มีคนรู้สึกตื่นตกใจอะไรมากมายนักอาจจะเพราะบางกลุ่มก็ไม่ได้สนิทสนมกับพวกที่หายตัวไป มีแค่เพื่อนในกลุ่มเท่านั้นที่รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนแต่ก็ไม่ได้ทิ้งเพื่อนกลับไปแต่อย่างใด ช่วงบ่ายแก่ๆผมสรุปปัญหาของโครงการแต่ละจุดมาให้พี่มิทอ่านแล้วก็ตัดสินใจพี่มิทตัดสินใจเร็วและรอบคอบดีมาก มีการคิดคำนวนความเสี่ยงและความคุ้มค่า ทำให้งานแต่ละชุดไม่ได้ผ่านไปอย่างลวกๆหรือทำเอาหน้า แต่เน้นทำแล้วให้เด็กและครูในโรงเรียนใช้ได้จริงส่วนโครงการที่วัดกับหมู่บ้านก็ให้ชาวบ้านและพระในวัดได้ใช้งานจริงๆ . . . “เสร็จงานแล้ว ไปพายเรือกัน” พี่มิทจัดการงานที่กองอยู่จนหมดแล้วก็ออกปากชวนผม “เรือจอดไว้ตรงไหนล่ะครับ?” พี่มิทพาผมเดินไปทางท่าน้ำหลังโรงเรียนแถวนั้นเป็นป่าหญ้าที่มีคนถางเอาไว้เป็นทางเดินไปท่าเรือ บึงข้างโรงเรียนเป็นบึงขนาดใหญ่กินอาณาเขตไปไกลจนเกือบถึงตีนเขา มันเป็นเหมือนอ่างเก็บน้ำขนาดย่อมเป็นที่เพาะพันธุ์สัตว์น้ำและใช้เป็นแหล่งน้ำสำหรับใช้ทำการเกษตรของคนที่นี่ และที่สำคัญมันเป็นจุดชมวิวของนักท่องเที่ยวที่เข้ามาชมนกในส่วนของบึงดอกบัวด้วยเราสองคนพายเรือออกมาได้ซักพักก็เข้ามาถึงเขตป่าบัวที่มีดอกไม้สีสวยๆขึ้นอยู่หนาแน่น บึงดอกบัวเป็นส่วนหนึ่งของบึงใหญ่มันเป็นเขตที่น้ำไม่ลึกมากนัก บัวสายหลายสีขึ้นเบียดกันแน่ มีทั้งสีชมพู สีเหลืองสีฟ้าและสีบานเย็น “ดอกลิลลี่” ผมพูดขึ้นมาตอนพี่มิทพายเรือผ่าเข้ามากลางดงดอกบัว “ดอกลิลลี่?” “ลิลลี่น้ำครับ ฝรั่งเรียกบัวสายแบบนี้” ผมพูดแล้วก็ออกแรงดึงก้านบัวจากใต้น้ำมันต้องใช้แรงนิดหน่อย ก้านบัวถึงจะขาด “จริงด้วยสินะ พี่ก็คิดว่ามันเป็นเหมือนโลตัสซะอีก” ผมพยักหน้ารับไม่ได้ตอบเพราะมัวแต่เลือกบัวสวยๆให้นกน้อย พี่มิทพายเรือผ่านดงหญ้าน้ำรกๆผมมองเข้าไปและเห็นหน้าคนแทรกอยู่ระหว่างพงหญ้านั้นด้วยความบังเอิญ น่าแปลกจริงๆตรงนั้นไม่มีพื้นให้เหยียบแต่กลับมีหน้าคนโผล่ออกมา จะว่าผมตาฝาดก็ไม่ใช่นี่ยังไม่เย็นขนาดมองอะไรไม่เห็น “อะไรครับ?” พี่มิทหันมองตามผม “เห็นหน้าคนโผล่ออกมาจาดดงหญ้าน่ะครับสงสัยตาฝาด” “หน้าคน?” พี่มิททำหน้าสนใจ “หน้าคนครับ แต่ไม่รู้ตัวอยู่ตรงไหนตรงนั้นเป็นตลิ่งริมน้ำ จะว่ายืนอยู่บนฝั่งก็ไม่ใช่ จะว่าตัวแช่ในน้ำก็ไม่น่าใช่เหมือน...” “เหมือนงูที่โผล่หัวออกมาจากรูแต่เป็นงูที่มีหน้าเป็นคน” พี่มิทพูดแล้วก็หยุดเรือแล้วหันกลับไปมอง “ไปเถอะครับ ตะวันจะตกดินแล้วเผื่อเวลาเดินกลับด้วย มืดแล้วมองอะไรไม่เห็น” ผมเร่งเพราะไม่อยากให้พี่มิทใช้เวลาอยู่ตรงนี้จนถึงค่ำ . . . เราสองคนเดินกลับมาถึงโรงครัว นกน้อยไล่ดมบัวทุกดอกทุกสีที่ผมเก็บมาฝากพี่มิทออกไปคุยกับครูฝ่ายกิจกรรมที่อาคารหอสมุดใหม่ ตอนนี้รอบๆ ตัวเริ่มมีความมืดโรยลงมาแล้วผมนั่งเฝ้ากองไฟเล็กๆที่มีมันเทศอยู่ใต้กองขี้เถ้าร้อน นอกโรงครัว ไฟกองนี้ผมกวาดเศษใบไม้และกิ่งไม้แห้งมารวมกันแล้วจุดขึ้นเผามันที่เด็กนักเรียนไปขุดจากไร่มาให้ ลมอ่อนๆ พัดไฟสีส้มให้สะบัดไปมาผมมองดูไฟแล้วก็ได้ยินเสียงเรียกชื่อใครบางคนลอยมาตามลม “วา...วา จำเมธได้หรือเปล่า วาช่วยเมธด้วยนะ”เสียงสะอื้นเหมือนคนร้องไห้ลอยมาจากอีกฟากหนึ่งของกองไฟ ในความมืดมนฝั่งตรงข้าม ผมไม่รู้เลยว่ามีอะไรซ่อนอยู่ “ใครอยู่ตรงนั้น?” “เมธเอง...วาจำเมธได้หรือเปล่า?” “คุณทักคนผิดแล้ว” ผมใช้เหล็กแหลมเขี่ยก้อนถ่านแดงๆไปมาตาก็มองฝั่งตรงข้ามไปด้วย คนที่อยู่ฝั่งตรงข้าม ไม่มีทีท่าว่าจะอ้อมมาคุย “เมื่อไหร่วาจะจำตัวเองได้สักทีเมธทรมานจนจะทนไม่ไหวอยู่แล้ว” “ผมไม่เข้าใจที่คุณพูดหรอกถ้าคุณอยากให้ผมเข้าใจก็ช่วยเล่าเรื่องทั้งหมดให้ผมฟังหน่อยบางทีผมอาจจะช่วยคุณได้” “ยี่สิบปีที่แล้วเราสองคนเป็นเพื่อนกันเราสองคนรักกันมาก” เสียงนั้นดังตอบมา “ผมน่ะเหรอเป็นเพื่อนรักของคุณ?” “ใช่ เราสองคนเป็นเพื่อนรักกันเราเรียนมาด้วยกัน วารักเมธมาก” “ผมชื่อวา...งั้นเหรอ?” “วาในชาติที่แล้วก็คือคุณ คุณคือเพื่อนของเมธ” “แล้วทำไมผมถึงตายล่ะ?” ผมไม่กลัวสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกองไฟเพราะสัมผัสได้ว่าเขามาอย่างมิตร “เมธ...เมธหลอกวา เมธทำผิดกับวาเมธทำให้เพื่อนต้องตาย บาปกรรมนั้นทำให้เมธต้องอยู่ในสภาพนี้” เสียงนั้นสะอึกสะอื้นเหมือนคนเสียใจหนัก “มานั่งคุยกันตรงนี้ดีมั้ยคุณเมธ” ผมพูดออกไปในความมืดในรัศมีที่แสงของกองไฟส่องสว่าง มีแค่ผมนั่งอยู่คนเดียว “เข้าไปใกล้กว่านี้ไม่ได้แล้ว มันร้อนเหลือเกิน”เสียงสะอื้นดังต่อเนื่อง “ก็เดินอ้อมไฟมาสิ” “เมธไม่ได้เดินมานานแล้ว เมธละเลื้อย.....”เสียงพูดเงียบไป กลายเป็นเสียงสะอึกแทน “งั้นก็อ้อมมานั่งฝั่งนี้ เราจะได้คุยกันไม่ต้องกลัวว่าไฟจะร้อนหรอก นั่งห่างๆ ก็ไม่ร้อน” “ไม่ได้ร้อนเพราะไฟแต่ร้อนเพราะปีกครุฑที่กางป้องวาอยู่ ท่าน...ท่านให้ปีกครุฑกับวาเอาไว้กันภูตผีปีศาจสิ่งชั่วร้าย เมธเข้าไปใกล้ไม่ได้” “คุณ...ไม่ใช่คน หรอกเหรอ?” ผมถามออกไปดูเหมือนคำถามนี้จะทำให้เสียงนั้นเงียบไป “เราไม่ใช่คนมานานหลายสิบปีแล้ว ตั้งแต่วาตายไปเราก็อยู่ในร่างที่น่าสมเพชนี้มาตลอด” “ร่างงูที่มีหน้าเป็นคนใช่มั้ย?” ผมถามเขาไปตรงๆเพราะเริ่มปะติดปะต่อเรื่องได้ และเสียงสะอื้นก็เริ่มดังขึ้นมาอีกครั้ง “เมธอยากให้วาช่วย วาช่วยเมธด้วยเถอะนะเมธอยากหลุดพ้นสภาพนี้เต็มทีแล้ว อยู่ก็เหมือนตาย ตายไปก็อยู่ในร่างนี้ เมธทรมาน” “ผมจะช่วยอะไรคุณได้บ้าง?” “วาต้องระลึกชาติให้ได้ เมธถึงจะหลุดพ้นสภาพนี้” “ผมจะระลึกชาติได้ยังไง ผมเป็นแค่คนธรรมดา” “เมธจะเล่าเรื่องของวาให้ฟังวาจะได้จำเรื่องของตัวเองในชาติที่แล้วได้” “ผมก็แค่รู้เรื่องตัวเองจากที่คุณเล่าผมไม่ได้ระลึกชาติการระลึกชาติต้องเกิดจากที่เราย้อนกลับไปรู้เรื่องราวของตัวเองด้วยตัวเอง” “วาก็ต้องพยายาม วาต้องพยายามเพื่อเมธ” เสียงนั้นขอร้องแกมบังคับผมรู้สึกสงสารปนกับอารมณ์อยากหัวเราะเหมือนต้นเสียงที่พูดกับผมนั้นค่อนข้างเป็นคนเอาแต่ใจ “งั้นคุณเมธต้องทำอะไรตอบแทนผมบ้าง ได้มั้ย?” “วาต้องการอะไรบอกมาได้เลยจะเอาแก้วแหวนเงินทองก็ได้ เมธรู้ว่าตรงไหนมีคนฝังทองไว้ เมธจะพาวาไปขุดขึ้นมาขายหรือวาอยากให้เมธไปเข้าฝันหลอกใครก็ได้ เมธจะทำให้” ผมหัวเราะเบาๆจากนั้นก็เขี่ยมันเทศที่เริ่มสุกออกมาจากกองขี้เถ้าร้อน “ช่วยเล่าเรื่องของผมกับคุณเวณวัฒน์ให้ฟังหน่อยได้มั้ยเล่าให้ฟังว่าผมกับเขามีความสัมพันธ์กันยังไง แล้วทำไมเขาถึงไหม้ไฟจนกลายเป็นแบบนั้น” เสียงคุณเมธเงียบหายไปพักใหญ่จนผมสงสัย “ได้หรือเปล่า?” “เมธเล่าไม่ได้ เมธกลัวท่านเรื่องนี้วาต้องให้ท่านเล่าเอง เมธทำไม่ได้” จังหวะการพูดคุยระหว่างผมกับคุณเมธขาดหายไปเพราะมีคนเข้ามาร่วมวง พี่มิทเดินเข้ามาพร้อมกับจานข้าวและน้ำดื่มข้างหลังมีกล่องสีดำขนาดใหญ่มาด้วย เสียงของคุณเมธหายไป เขาคงจากไปกับความมืดแล้ว . . “เพิ่งเคยได้กินข้าวข้างกองไฟ โรแมนติกดีนะครับ”พี่มิทนั่งลงแล้วยื่นจานข้าวมาให้ผมซักพักกับสองสามอย่างก็ทยอยเดินทางมาพร้อมนกน้อยและพี่ๆ ในสโมสร พวกเรานั่งกินข้าวกันข้างกองไฟ เป็นบรรยากาศที่ดีทีเดียวหลังอาหารเย็น ผมเขี่ยมันเทศออกมาแจก หัวสุดท้าย เป็นมันเทศหัวเล็กที่สุด มีขนาดประมาณกำปั้นผู้หญิงแต่เป็นมันเทศที่พิเศษกว่าหัวอื่นตรงที่มันมีรูปร่างคล้ายหัวใจทั้งรูปทรงและสีเปลือกที่ออกแดงระเรื่อ “โหตาน มันเทศหัวใจ หัวใจของตานเอามาให้นกน้อยชิมหน่อยนะ” ผมยิ้มรับช่วงที่กำลังบิมันออกเป็นสองส่วน พี่มิทก็ชิงพูดขึ้นมา “พี่ยังไม่ได้กินเลยไอ้เป้มันเอาของพี่ไปกินคนเดียวหมด” พี่มิทพูดแล้วก็ยื่นมือมาขอมันเทศครึ่งที่ผมแบ่ง ผมเป่าแล้วลองชิมส่วนแรกมันเป็นมันเทศสีเหลืองทอง รสชาติหวานอร่อย ช่วงที่ผมยื่นมันเทศไประหว่างมือของนกน้อยกับพี่มิทอยู่ดีๆ อีกาสีดำก็บินโฉบลงมา มันเกาะแขนผมแล้วก็ไต่ลงมาจิกกินมันเทศที่ฝ่ามือ อีกากินจนเหลือแต่เปลือกมันส่ายหัวแล้วก็ทิ้งเปลือกมันเทศลงบนพื้น นกน้อยหัวเราะชอบใจส่วนพี่มิทก็หดมือกลับเข้าไปหาตัวเอง “ตาอินกับตานา หาปลามาด้วยกัน อยู่ดีๆก็มีตาอยู่มาแย่งปลาไป” เสียงเพลงของพี่เป้ดังขึ้นมา “เสียงอย่างกับควายกินรองเท้าแตะ ไปร้องไกลๆหูกูเลยไป” พี่มิทหันไปทางพี่เป้ “ไม่มีสุนทรียศาสตร์เลยไอ้คุณสัตว์!!!” พี่มิทไม่ได้ตอบแต่หันไปคว้ากีตาร์ในกล่องสีดำขึ้นมา เมื่อบิดปรับคอร์ดได้ซักพัก พี่มิทก็โซโลเพลงขึ้นมา เสียงกีตาร์กับเสียงร้องด้วยภาษาไม่คุ้นหูดังขึ้นมาเบาๆเป็นเสียงเพลงช้าที่สำเนียงแปลกหู มีการออกเสียงควบกล้ำชัดเจนกว่าภาษาอังกฤษ . . “ฉันยังไม่เคยบอกเธอ ว่าฉันชอบเธอมากแค่ไหนเพราะวันคืนผ่านไปไวเหมือนความฝัน ฉันฝากเสียงเพลงบอกเธอแทนคำพูดฝากแสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าแทนความรู้สึกมากมาย แม่น้ำวอลก้ายาวเหยียด ไม่ยาวเท่าความในใจทางรถไฟสู่ไซบีเรีย ไม่อาจบอกเล่าสิ่งต่างๆ ในหัวใจได้หมด ตอนนี้ฉันจะบอกเธอ ว่าฉันชอบเธอมากแค่ไหนโปรดฟังความรู้สึกจากใจ ......ต่อไปฉันจะมีแต่เธอ” . . เสียงปรบมือดังขึ้นพร้อมๆกัน พี่เป้เป่าปากส่วนพี่คนอื่นๆก็ปรบมือชอบใจใหญ่ “ภาษาอะไรคะ ฟังไม่คุ้นหูเลย?” นกน้อยถามพี่มิทหลังเจ้าตัวเล่นจบเพลง “รัสเซียครับ” พี่มิทตอบ “พี่มิทพูดรัสเซียได้เหรอครับ?” ผมถามบ้าง “ก็พอพูดได้ แต่เขียนไม่คล่อง” “พี่มิทเป็นลูกครึ่งหรือเปล่าคะ?” นกน้อยถามตอนนี้เราสองคนผลัดกันซักพี่มิท “คุณพ่อพี่เป็นลูกครึ่งครับ ปู่เป็นรัสเซียนย่าเป็นคนไทย” “แล้วฝ่ายแม่ก็เป็นเชื้อสายเจ้าอีกด้วยนะน้องๆเป็นเจ้าหญิงมาจากฝั่งตะวันออกของไทย” คราวนี้พี่เป้ช่วยเสริม “จริงเหรอคะ?” นกน้อยมีท่าทีสนใจพี่มิทพยักหน้าเล็กน้อยแทนคำพูด “ดูดีๆ สิไอ้ประธานรูปหล่อมันไม่ได้มีเค้าหน้าเหมือนคนไทย จะฝรั่งก็ไม่ใช่ เอเชียก็ไม่เชิงเทพเจ้าปั้นมันออกมาดี” พี่เป้โฆษณาพี่มิท จริงอย่างที่พี่เป้แกล้งหยอกพี่มิทพี่เขามีโครงหน้าได้รูป มีจมูกชัดเจน นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ผิวไม่ออกเหลือง พี่มิทมีรูปร่างหนาและสูงใหญ่กว่าคนไทยโดยทั่วไป “ปู่ของพี่มิทชื่ออะไรเหรอครับ?” ผมถามต่อจากนกน้อย “ดิมมิทตรี้พ่อพี่เอาชื่อปู่มาเป็นชื่อกลางในภาษาอังกฤษให้พี่แล้วก็เอาส่วนหนึ่งของชื่อมาตั้งเป็นชื่อเล่น” พี่มิทอธิบายช้าๆ ผมเพิ่งรู้เดี๋ยวนี้เองว่า มิท มาจาก ดิมิทรีหรือดิมมิทตรี้ในสำเนียงรัสเซียต่างกับพี่มิตรพี่รหัสของผม “แล้วเพลงเมื่อกี้แปลว่าอะไรคะฟังดูแล้วน่าจะความหมายดี” ผมรอฟังคำอธิบายจากคำถามของนกน้อยเช่นกัน “บอกไม่ได้ครับมันเป็นข้อความที่ส่งจากคนหนึ่งไปหาอีกคนหนึ่งเพลงนี้คุณปู่แต่งให้คุณย่าตอนเจอกันที่เมืองไทย” “แล้วทำยังไงถึงจะได้รับข้อความล่ะคะ?” “ก็ต้องเป็นคนปลายทางสิครับน้องนกเล็กมินิเบิร์ดไม่งั้นจะเรียกว่าเป็นข้อความระหว่างคนสองคนได้ยังไง จริงมั้ย” พี่เป้ตอบแทนเพื่อน . . . ผมอยากจะแปลเนื้อเพลงนั้นให้ตานฟังแต่ติดตรงที่มีคนอยู่หลายคน ผมเองไม่ได้สนใจว่าใครจะคิดยังไงแต่ผมสนใจว่าตานมากกว่า บางทีเขาอาจไม่ชอบที่ผมไปบอกเรื่องแบบนี้ต่อหน้าทุกคน ทางที่ดีผมจะหาทางบอกเขาด้วยวิธีเดียวกับที่คุณปู่ของผมทำเมื่อเจอกับคุณย่า ผมจะเขียนเนื้อเพลงเป็นภาษาไทยให้ตานพรุ่งนี้บางทีเขาอาจจะอยากอ่านมันคนเดียว . . . “พี่มิทครับ?” ตานพูดใกล้ๆหูของผมผมหันไปดูก็เห็นหน้าสะอาดที่คอมีผ้าขนหนูแขวนอยู่ “ครับ?” “อาบน้ำสิครับ เดี๋ยวผมทำแผลให้” “พี่มัวแต่คิดอะไรเพลินๆ” “ขัดจังหวะหรือเปล่าครับ?” ตานถามแล้วเอาผ้าขนหนูขยี้ผมเปียกเบาๆ “เปล่าครับ คิดอะไรเรื่อยเปื่อยเรียกพี่ก็ดีแล้ว” เราหลับตาเพ่งดูวากับชายคนนั้นเรามองเห็นได้ในความมืด ได้กลิ่นแม้ไม่มีจมูก และเคลื่อนไหวไปข้างหน้าได้แม้ไม่มีเท้า ผู้ชายที่มาติดพันวาช่างมีเสน่ห์เหลือเกินเขาดูแข็งแรง น่าร่วมเพศให้สมอารมณ์หมาย เราอยากจะไปนั่งอยู่บนช่วงกลางลำตัวของเขา เราจะปรนเปรอความสุขชนิดที่เขาลืมไม่ลงเลยทีเดียวเรานึกถึงคืนวันเก่าๆ สมัยเมื่อครั้งยังเป็นคน เมื่อเราเรียนหนังสือเราชอบแอบวาไปค้างกับนักกีฬาชายในหอ เราเคยนอนกับผู้ชายสามคนในคืนเดียวนักกีฬาสามคนนั้นผลัดกันร่วมรักกับเราอารมณ์พุ่งออกมาครั้งแล้วครั้งเล่าจนแทบไม่มีกำลังลุกขึ้นมา แต่ทุกคนที่ผ่านมาในอดีตไม่มีใครสู้กับผู้ชายคนที่นอนข้างวาได้เลย ทำไมวาถึงโชคดี ได้เจอแต่ผู้ชายดีๆส่วนเราเจอแต่ผู้ชายที่ปล่อยน้ำกามแล้วก็จากไป ทั้งสองคนหลับไปแล้วเราสัมผัสได้ถึงลมหายใจสม่ำเสมอที่ส่งผ่านออกมา เรารู้กระทั่งว่าใครนอนฝั่งไหนเราฟังเสียงเต้นของหัวใจ ฟังเสียงลมจากจมูกและสัมผัสความร้อนจากร่างกาย คืนนี้เราดูแล้วว่านางปีศาจไม่มาป้วนเปี้ยนแถวนี้อีกเราจะอาศัยเวลานี้เข้าไปในฝันของชายคนนั้นแล้วก้ร่วมหลับนอนกับเขา เราถือว่าเราช่วยปลดเปลื้องความใคร่ของเขาถือว่าเราเสียสละตัวเองเพื่อช่วยให้เขามีความสุข เรากำลังจะทำบุญกุศล . . ช่วงการหลับของวานั้น สม่ำเสมอแถมยังมีปีกพญานกกางปกป้องอยู่ ท่านครุฑต้องรักวามาก ถึงได้ให้ของสำคัญมาเช่นนี้ เราแทบเข้าไปใกล้ตัววาไม่ได้เลยแต่นั่นไม่สำคัญ เพราะเราไม่ได้เข้าไปในฝันของวาเราเห็นปีกครุฑสีทองกว้างใหญ่กางอยู่เหนือร่างของวา ปีกนี้ปกป้องวาทั้งในช่วงหลับและตื่น เราเลื้อยแทรกไปในความฝันของชายหนุ่มแข็งแรงแค่คิดถึงเขา เราก็รู้สึกวูบวาบไปหมด อยากจะถึงจุดสุดยอดให้ได้ หนทางทุกอย่างดูจะเข้าข้างเรามันเงียบเชียบและเป็นใจให้เราทำกรรมดี เราเลื้อยผ่านลานหินตรงเข้าไปหาประตูสลัก เรามองดูลายแกะสลักบนซุ้มประจูแล้วก็ตั้งใจจะเลื้อยผ่านเข้าไป แต่ก่อนที่เราจะเข้าไปในห้วงแห่งการหลับใหลของเขานั้นเราได้ยินเสียงเหมือนของหนักๆหล่นลงมา เรามองเห็นหน้ากาลหล่นลงมา มันมีด้วยกันสองตัว เสียงผู้หญิงดังขึ้นมาก่อนที่หน้ากาลนั้นจะเคลื่อนไหว “จับมันกินเสีย เกียรติมุข จับอสูรงูกัดกินมันให้แตกสลาย วิญญานชั่วของมันจะได้ไม่มีร่าง” หน้ากาลที่เสียงนั้นเรียกว่าเกียรติมุขขยับไปมาอย่างชั่วร้าย มันไม่มีแขนขา มีแต่ปากกว้างๆมันไต่เข้ามาหาเราอย่างรวดเร็ว เราเลื้อยหนีกลับออกมาเสียงดังโครมครามนั้นทำให้เรารู้ว่ามันตามมาด้วย เราเลื้อยมาจนถึงดงหญ้าเราเจอมันดักหน้าหลังพร้อมกันทั้งสองตัว “ถอยไป!!!” เราขู่ฟ่อไม่มีเสียงตอบกลับมา มันพูดไม่ได้ แต่มันดูน่ากลัวยิ่งกว่านางปีศาจหัวทองเสียอีกมันเหมือนสัตว์ร้ายที่หิวกระหาย เราพยายามเลื้อยหนีแต่รู้สึกว่ามันงับมาที่หางแล้วก็กัดกินเราเราไม่รู้สึกอะไรเลย ไม่รู้สึกถึงตัวที่ขาดหายไป มันเหมือนร่างกายโดนลบไปเอง ลบหายไปจากตัวโดยไม่มีร่องรอยถ้ามันกินเรามาจนถึงหัวได้ เราคงไม่มีร่างอีกต่อไป “ช่วยด้วย ช่วยด้วยยยยยยยยยยยย” เราร้องขอความช่วยเหลือเราได้ยินเสียงปีกใหญ่บืนลงมาจากฟ้ายามค่ำคืน ท่านครุฑนั่นเองท่านเหมือนเทพเจ้าผู้เดินทางมาโปรดสัตว์ บนไหล่ของท่านมีนกกาตัวใหญ่เกาะมาด้วยท่านโยนนกกาลงบนตัวเรา ทันทีที่มันถูกโยนลงมานกกาของท่านครุฑก็เปลี่ยนเป็นผ้าสีดำหุ้มตัวเราท่านครุฑบินลงมาอุ้มเราที่ถูกห่อผ้าคลุมไว้ ท่านสบัดเกียรติมุขลงกับพื้น “ท่านครุฑ” เราร้องไห้ท่านวางเราไว้กับพื้นหินเก่าๆ ห่อผ้าสีดำของท่านกลายเป็นนกกาเหมือนเดิม ตัวเราขาดหายไปครึ่งท่อน ตอนนี้เราเลื้อยไม่ได้เราเหมือนท่อนเนื้อที่เคลื่อนไหวตัวไม่ได้ “การบุกรุกความฝันถือว่าเป็นการละเมิดความเป็นมนุษย์ เป็นการเพิ่มกรรม ต่อนี้ไปให้เลิกเสีย” “เรา... แค่อยากเข้าไปดลใจเขาไม่ให้เข้ามายุ่มย่ามกับธันวา” “ผู้ชายคนนั้นถูกปกป้องด้วยอำนาจเหนือธรรมชาติเกียรติมุขมันกัดกินอสูรและสิ่งชั่วร้ายได้ทุกอย่าง” “ใครกันที่มีกฤติยามนต์ มันช่างชั่วร้ายนักมันส่งนางปีศาจหินมาทำร้ายเราครั้งก่อน ครั้งนี้มันก็ส่งเกียรติมุขมากัดกินเรา ท่านครุฑ เราจะทำยังไงต่อไปนอกจากนอนนิ่งเคลื่อนไหวตัวไม่ได้อย่างนี้” เราสะอื้นรู้สึกเสียใจที่ตัวเองกำลังจะสร้างความดีแต่ถูกคนชั่วเข้ามาขัดขวาง คนที่ใช้มนต์พวกนี้มีอะไรเกี่ยวข้องกับชายที่นอนข้างธันวากันแน่ “ของที่เกียรติมุขกัดกินเข้าไปไม่อาจกลับคืนมาได้ มันเข้าไปเป็นอาหารให้สัตว์ร้ายผู้หิวโหย” “แล้วเราจะทำยังไงเราต้องถูกตามกัดกินจนหมดตัวแน่หากเราเลื้อยไม่ได้อย่างนี้” “ของเก่าที่ถูกกินไปไม่กลับมาแต่มันงอกขึ้นมาใหม่ได้ ถ้าคนที่เคยรู้จักกันทำบุญมาให้” “วา...วาต้องทำบุญให้เรา วาทำบุญให้เรา ตัวเราหางเราก็จะกลับคืนมาได้” “ใต้ถ้ำนี่เป็นเวิ้งเชื่อมลงไปถึงนครบาดาลคุณไปนอนในถ้ำนี่จนกว่าตัวและหางจะกลับคืนมาและอย่าไปยุ่งเกี่ยวกับความในของมนุษย์อีกเป็นอันขาด คราวหน้าผมอาจไม่ได้ช่วยคุณอีก” . . . ผมนอนหลับฝันดี ฝันว่าเดินเล่นอยู่ที่สวนของคุณป้าป้าถามผมว่าทำค่ายเป็นยังไงบ้าง มีปัญหาตรงไหนให้ป้าช่วยเราสองคนเดินคุยกันตามประสาป้ากับหลาน เวลาผ่านไปช้าๆผมรู้สึกเหมือนกับตัวเองเดินอยู่บนพื้นหย้าจริงๆ “ความฝันเหรอครับเนี่ย เหมือนความจริงเลย”ผมถามป้า “เป็นความฝันของมิท มิทหลับอยู่ แต่เดี๋ยวมิทต้องเดินกลับไปจะได้หลับเต็มที่จริงๆ คนหลับต้องไม่ฝันอะไรเลย ร่างกายถึงจะได้พักผ่อนเต็มที่” “ป้าเห็นคนที่นอนอยู่ข้างผมมั้ยครับ?” “ป้ามองเห็นมิทแค่คนเดียวเพราะจิตเราเชื่อมถึงกัน” “ไม่เป็นไรครับ เอาไว้มิทจะพามาเที่ยวที่บ้านมิทไปนะครับ” . . . ผมเหมือนหลับซ้อนมันเหมือนฝันซ้อนฝันและก็หลับซ้อนไปอีกที ผมนอนไปนานจนตื่นขึ้นมาตอนเช้า ช่วงที่ตานออกไปช่วยนกน้อยผมก็เขียนคำแปลเพลงเมื่อคืนใส่กระดาษแผ่นน้อย ผมแปะมันลงไปในกล่องสีแดงเล็กๆ วันนี้ที่โรงเรียนมีประชุมครูทุกคนเข้าไปประชุม ครูใหญ่ให้ตานช่วยสอนนอกบทเรียนวิชาภาษาไทยและให้พวกผมหาครูสอนวิชาคณิตศาสตร์เสริมให้เด็กชั้นประถมหก ผมแอบเห็นว่าตานใส่เสื้อสีเขียววันนี้ผมจะส่งกามเทพน้อยไปบอกรักตาน ผมติดสินบนเด็กชั้นอนุบาลสองด้วยลูกอมและขนมหวานกามเทพของผมรับปากว่าจะเอากล่องไปส่งให้ถึงเป้าหมายในห้อง “ครูเสื้อเขียวนะ ห้ามพลาดส่งแล้วกลับมาเอารางวัล” ผมกำชับกามเทพ . . . “ทำไมถึงได้หัวปึกขนาดนี้ สอนแล้วไม่จำเรื่องง่ายๆแค่นี้ทำไมถึงทำไม่ได้ สามยกกำลังสองต้องได้เก้าไม่ใช่หกสามยกกำลังสองก็เอาสามไปคูณตัวเองหนึ่งครั้ง สามคูณสามน่ะ โง่จริง สามสามเก้า ไม่ใช่เอาสามไปคูณสองแล้วได้หกแบบนี้จะไปแข่งกับเด็กในเมืองได้ไง” ผมเอ็ดเด็กในชั้น ไม่รู้ครูเขาสอนกันมายังไงเด็กถึงได้โง่เป็นควาย วันนี้พี่ในสโมสรนิสิตให้ผมพักงานในค่ายมาสอนแทนครูวิชาคณิตหนึ่งวันแผลจากรอยหินบาดในหน้าอกยังแสบจนรู้สึกได้ มันเป็นประสบการณ์เลวร้ายที่สุดในชีวิต พวกเราสามคนเดินไปห้องน้ำแล้วกลับออกมาไม่ถูกหูได้ยินเสียงหนังกลางแปลง แต่พอเดินเข้าไปกลับยิ่งถอยออกมา เราเดินกันออกมาจนถึงป่า อยู่ดีๆก้มีน้ำไหลเข้ามาท่วม พวกเราต้องว่ายหนีเอาตัวรอด ยังดีที่ผมมองเห็นเนินดินผมเรียกเพื่อนอีกสองคนให้ว่ายตามาด้วย พอถึงเนินนั้นได้ เรี่ยวแรงที่มีก็หมดจากนั้นพวกเราก็ไม่รู้สึกตัวอีกจนกระทั่งตื่นขึ้นมาในห้องประชุมของโรงเรียน พี่ผู้หญิงที่เฝ้าพวกเราบอกว่าพวกพี่มิทไปอุ้มพวกเราสามคนมาจากป่าช้า ผมเข็ด และนึกโทษตัวเองที่เล่นเลยเถิดของแบบนี้มันพิสูจน์ไม่ได้ แต่ใช่ว่าจะไม่มี พวกเราสามคนรู้และลองมากับตัว และสัญญาว่าจะไม่ทำอะไรแผลงๆแบบนี้อีก ผมรู้สึกประทับใจพี่มิทมากขึ้นไปอีกพี่เขาเป็นคนดังของมหาวิทยาลัย พี่มิทมีชื่อเสียงทั้งด้านลบและด้านบวก ด้านลบคือ พี่มิทเจ้าชู้ชอบจีบคนทิ้งเรี่ยราดตามรายทาง ด้านบวกคือ พี่เขานิสัยดี ถึงจะดูเข้าถึงยากไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้หยาบกระด้างนัก ผมมั่นใจว่าพี่มิทต้องชอบคนรูปร่างหน้าตาแบบผมแน่สังเกตจากคนที่พี่มิทเคยจีบล้วนแต่ด้อยกว่าผมทั้งนั้นและแรงขับเคลื่อนทั้งหมดทั้งมวลคือ ผมอยากลองบริหารเสน่ห์ตัวเอง พี่มิทเป็นเครื่องมือที่มีมาตรฐานที่สุดผมรู้มาว่าพี่เขาไม่เคยคบใครจริงจัง ทุกครั้งพี่มิทจะเป็นฝ่ายเดินออกไป คราวนี้ผมจะทำตรงกันข้ามผมจะทำให้พี่มิทหลงผมจนโงหัวไม่ขึ้น พอผมทำท่าจะไปมีคนใหม่พี่มิทต้องก้มลงขอร้องผม ผมพักให้นักเรียนไปกินข้าวเที่ยงช่วงที่ผมกำลังเก็บของ มีเด็กนักเรียนตัวเล็กๆ เดินถือกล่องสีแดงเข้ามา “มีอะไร?” ผมถาม “พี่รูปหล่อให้เอาของมาส่งให้คุณครูพี่เสื้อเขียวค่ะ”เด็กเหมือนโดนใครใช้ให้มาส่งของ “คนไหนล่ะ?” “พี่รูปหล่อคนที่ใส่เสื้อขาว” “แล้วจะรู้มั้ยล่ะว่าใครใส่เสื้อขาว!!!” เด็กเหมือนตกใจเลยรีบวางกล่องแดงไว้แล้วก็วิ่งออกไปนี่คงเป็นเรื่องบ้าๆ ที่เพื่อนผมแกล้งอีกตามเคย ผมหยิบกล่องแดงขึ้นมาเปิดข้างในเป็นเหมือนกลอนหรือเนื้อเพลงอะไรซักอย่าง . . .
|