“ฉันยังไม่เคยบอกเธอ ว่าฉันชอบเธอมากแค่ไหนเพราะวันคืนผ่านไปไวเหมือนความฝัน ฉันฝากเสียงเพลงบอกเธอแทนคำพูดฝากแสงดาวระยิบระยับบนท้องฟ้าแทนความรู้สึกมากมาย แม่น้ำวอลก้ายาวเหยียด ไม่ยาวเท่าความในใจทางรถไฟสู่ไซบีเรีย ไม่อาจบอกเล่าสิ่งต่างๆ ในหัวใจได้หมด ตอนนี้ฉันจะบอกเธอ ว่าฉันชอบเธอมากแค่ไหนโปรดฟังความรู้สึกจากใจ ......ต่อไปฉันจะมีแต่เธอ” (พี่ประทับใจตั้งแต่ครั้งแรกที่เราเจอกันมาคบกับพี่นะครับ/พี่มิท ) . . “กูอยากกูจะอ้วก” ผมแทบจะขยำกระดาษบ้าๆแผ่นนี้ทิ้ง ติดตรงที่มันเป็นลายมือแปลกตาที่ผมไม่คุ้น และที่สำคัญลายมือนั้น ลงชื่อพี่มิทเอาไว้ "พี่มิท" แผนของผมได้ผลเกินคาด อันที่จริงผมแทบไม่ได้ลงแรงอะไรเลย คงเป็นเพราะพี่มิทเห็นผมครั้งแรกแล้วก็ชอบก็เป็นเรื่องที่ไม่เกินความคาดหมายเท่าไหร่แค่คิดว่าพี่มิทก็ไม่ได้ยากเย็นเหมือนที่คิดเอาไว้แต่แรก งานวันนี้เสร็จลงเร็วมากส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะมีชาวบ้านมาช่วย ทั้งทำผนัง ทาสีและปูกระเบื้องทางเดิน พี่มิทไปดูฝ่ายก่อสร้างขึ้นป้ายหน้าอาคารแล้วก็เดินกลับมากินข้าวเย็น นกน้อยสะกิดผมให้ดูหน้าพี่มิทที่ยิ้มแย้มผิดปกติตอนนี้พี่มิทนั่งกินข้าวรวมกลุ่มอยู่กับตัวแทนชาวบ้านอีกโต๊ะ “สงสัยดีใจที่อาคารเสร็จ” ผมตอบ “มันไม่ใช่นะ” นกน้อยแย้ง “มันยังไงล่ะ?” “ก็...แบบว่า เหมือนคนยิ้มเพราะมีความรักมากกว่า”นกน้อยพูดแล้วหันมามองผมอย่างเอาจริงเอาจัง ผมค้างช้อนข้าวไว้กลางอากาศแล้วก็พยายามคิด “เปล่านะ” ผมส่ายหัว “พี่เขาไม่เคยจีบเหรอ?” นกน้อยซัก “ไม่เคย” “อาจจะเคย แต่ว่าตานไม่รู้ตัวก็ได้นะคือตานน่ะ....” นกน้อยพูดเว้นช่วงไป “โง่?” “ไม่ใช่ๆ ตานมองไม่ออก ที่พี่มิททำน่ะนะมันอาการของคนมีความรักชัดๆ” ผมเปลี่ยนจากอาการช้อนค้างเป็นอมช้อนไว้ในปากสายตาหันไปหาพี่มิทที่โบกมือมาให้ พี่มิทยิ้มแล้วก็ดูร่าเริงผมไม่เห็นว่าจะเหมือนคนมีความรักตรงไหน “ตานไม่รู้ตัวหรือไงว่าพี่มิทชอบ” “รู้สิ” “อ้าว” นกน้อยร้อง “คนชอบหรือคนไม่ชอบก็ต้องรู้สิ” “ชอบแบบคนรักนะ ไม่ใช่ชอบแบบพี่กับน้องหรือชอบแบบเพื่อนชอบแบบคนที่จะเข้ามาจีบน่ะ” “แต่พี่มิทไม่เคย...” ผมพูดได้แค่นั้นเพราะอยู่ๆพี่มิทก็เดินเข้ามา “ตานได้รับของที่พี่ส่งให้หรือเปล่า?” พี่มิทเท้ามือลงกับโต๊ะกินข้าวแล้วถามผม “ของอะไรครับ?” ผมถามพร้อมกับคิดว่าตัวเองลืมอะไรไปหรือเปล่า “ของที่พี่ฝากเด็กไปให้ไง กล่องแดงๆ” พี่มิทพูดต่อ “ไม่มีนะครับ ของสำคัญหรือเปล่า ผมไม่ได้รับเลย” “อำพี่หรือเปล่า?” “ไม่ได้อำครับ พูดจริงๆ” พี่มิทเลิกคิ้วแล้วก็หันหลังกลับไปอย่างงงๆนกน้อยรอจนพี่มิทเดินหายไปจากโรงครัวถามผมขึ้นมา “กล่องอะไรกันตาน?” “ไม่รู้สิ งานมั้ง” ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่ากล่องแดงของพี่มิทคืออะไร “งานที่ไหนเขาจะส่งมากับกล่องสีแดง” “ไม่รู้สิ” “จะเกี่ยวกับเพลงเมื่อคืนนี้หรือเปล่านะ?”นกน้อยทำหน้าสงสัย “ช่างเหอะน่า” ผมเอาชามมาล้างข้างหลังครัวอีกาสามขาบินผ่านความมืดเข้ามาเกาะที่ชั้นวางจาน ผมอุ้มมันลงมาบนโต๊ะว่างๆแล้วก็หาขนมปังให้มันกิน นกน้อยเช็ดมือจนแห้งแล้วก็เดินมามองมันใกล้ๆ “หน้าตาน่ากลัว ไม่ยักน่ารักเหมือนนกแก้ว”นกน้อยพูดกับผม อีกาเหมือนจะฟังภาษาคนรู้เรื่องมันขยับปากดังกริ๊กๆแล้วก็สะบัดหัวไปมา “อีกาเป็นนกที่ฉลาดมากนะ” ผมตอบคราวนี้อีกาโยกหัวไปมาเหมือนกำลังเต้นรำ มันหมุนตัวแล้วก็พยักหัวขึ้นลง “เห็นมั้ยล่ะ มันฉลาดจะตาย” “มันติดตานคนเดียวเลยนะ” . . . . . . มันเป็นความผิดของผมเองที่ไม่สังเกตว่าใครใส่เสื้อเขียวบ้างเป็นความบังเอิญที่น้องอีกคนก็ใส่เสื้อเขียวเหมือนตาน ผมเห็นไอ้เป้มันตั้งท่าเยาะเย้ยผมอยู่ที่โต๊ะก็รู้ทันทีว่ามันเข้าใจเรื่องทั้งหมด “กูเห็นน้องเค้กถือกล่องแดงเดินไปเดินมาทำไมมึงไม่ไปหาแฟนมึงซะทีวะ ปล่อยเขารอนานไม่ดีนะมึง” “เสือก” “กูชอบเสือก โดยเฉพาะเรื่องของมึง สมน้ำหน้าแทนที่จะถือไปให้เองเสือกให้เด็กตัวเท่าลูกหมาเดินไปส่ง” “ถ้ากูรู้ว่าเรื่องจะเป็นแบบนี้กูก็คงทำเองแล้วล่ะแล้วแทนที่มึงจะช่วยกู กลับมานั่งกระดิกหางอยู่ที่นี่” “กูจะรอดูบทดราม่าของมึงกับน้องเค้ก รีบสิเพื่อนกูง่วงแล้ว” ผมเดินเข้าไปโต๊ะที่มีเด็กปีหนึ่งนั่งล้อมวงกันกินข้าวข้างหน้าน้องเสื้อเขียวสด มีกล่องแดงกล่องเล็กๆของผมวางอยู่บนขา คนอื่นๆในวงข้าวพากันหัวเราะคิกคักนี่น้องเขาคงบอกคนอื่นไปแล้ว เกี่ยวกับข้อความในกระดาษ เสียงหัวเราะหยุดลงกะทันหันทันทีที่ผมพูดขึ้นมา “พี่มาขอกล่องนั่นคืนครับขอโทษด้วยที่เด็กไปส่งผิดคน” ทันทีที่ผมพูดจบทุกคนก็มีอาการนิ่งไปซักพักก่อนจะหัวเราะออกมา “อำมากๆ ระวังนัทเขาเอากล่องไปทิ้งนะครับ”น้องคนหนึ่งพูดขึ้นมา “ไม่ได้อำครับ เด็กไปส่งผิดคนจริงๆขอโทษด้วยที่พี่ทำให้เข้าใจผิด” เสียงเงียบไปอีกครั้งผมเห็นน้องหยิบกระดาษขึ้นมาอ่านอีกครั้งเหมือนไม่แน่ใจ “แล้วพี่จะส่งให้ใครล่ะครับ?” น้องนัทถาม “เรื่องนั้นพี่ไม่ตอบละกันครับขอกล่องคืนด้วยครับ” ผมได้กล่องกลับคืนมาบรรยากาศในวงกินข้าวเงียบลง ต่างกับช่วงก่อนหน้าที่ผมเดินเข้ามามันเป็นเรื่องที่ไม่น่าเกิดขึ้น แต่มันก็เป็นไปแล้ว ผมรู้ว่าคนที่เจอเรื่องแบบนี้จะรู้สึกยังไงแต่ก็เป็นเรื่องที่ไม่ตั้งใจให้มันเกิดจริงๆ . . ไฟในห้องพักเปิดอยู่ทำให้ผมรู้ว่าตานอยู่ข้างใน ผมเห็นเขานั่งเขียนบางอย่างอยู่บนโต๊ะ “ตาน” ผมเรียกตานวางปากกาลงจากหน้าจอแล้วหันมามองผม “พี่ให้” ผมวางกล่องแดงลงบนมือตานเขาเปิดกล่องออกแล้วก็อ่านข้อความข้างในช้าๆ ตานทำหน้าแบบที่ผมเดาอารมณ์ไม่ถูก “ขอบคุณครับ” “แล้ว..คิดว่าไงครับ” ผมถาม “ผมชอบพี่มิท...แต่ไม่ได้ชอบ” “ไม่ได้ชอบแบบคนรัก?” ตานพยักหน้าแล้วก็ยิ้ม “ถ้าเรามีเวลาอยู่ด้วยกันมากกว่านี้ความรู้สึกอาจจะเปลี่ยนไปก็ได้นะ แล้วพี่จะกลับมาถามคำถามนี้ใหม่” ตานไม่ได้พูดอะไรต่อเราสองคนอยู่ในความเงียบจนผมหัวเราะขึ้น “พี่ไม่ได้ทำให้ลำบากใจใช่มั้ย?” “เปล่าครับแค่รู้สึกว่าเหมือนมีใครต้องการความช่วยเหลือ” “ตานพูดเหมือนตัวเองเป็นซุปเปอร์ฮีโร่” “เหมือนมีคนอยากให้ผมช่วยครับ แค่คิดเฉยๆอธิบายไม่ถูก นอนเถอะครับ” . . เราสองคนเข้านอนคืนนี้ผมจับมือตานได้รู้สึกถึงแรงบีบเบาๆตอบกลับมา “วันหยุดนี้ไปเที่ยวบ้านพี่มั้ย?” ผมพูดผ่านความมืดออกไป “เป็นวันพิเศษอะไรหรือเปล่าครับ?” “เปล่าครับ แค่อยากชวนไปเที่ยวป้าพี่คงดีใจที่เจอตาน” “ป้าเหรอครับ?” “ครับ ป้าของพี่” . . วันสุดท้ายของการทำค่ายดำเนินไปอย่างเรียบร้อยทุกโครงการเสร็จไปตั้งแต่เมื่อวาน เรามีนัดส่งงานกันที่ห้องประชุมของโรงเรียน ทุกโครงการเรียบร้อยดีมีงานเลี้ยงเล็กๆที่อบอุ่นซึ่งชาวบ้านช่วยกันจัดช่วงเที่ยงเป็นงานอำลาสุดท้ายก่อนที่พวกเราจะเดินทางกลับ
ผมมาอยู่บ้านของยายได้หลายวันแล้วหลังกลับมาจากค่ายต่างจังหวัด ก็รู้สึกคิดถึงยาย แม่โทรมาจากบ้านที่กรุงเทพบอกว่ามีแขกมาหาผมที่บ้าน บางทีคุณเวณวัฒน์อาจจะมาหาผมที่บ้านก็เป็นได้ ผมรับสายของแม่ ปรากฏว่าคนที่มาหาผมที่บ้านคือพี่มิท ตอนนี้กำลังคุยกับพ่อและเป็นเรื่องบังเอิญอย่างเหลือเชื่อที่พ่อของพี่มิทเป็นรุ่นพี่ของพ่อสมัยเรียนชั้นมัธยม ผมไม่รู้ว่าพ่อกับพี่มิทคุยกันไปอีท่าไหนถึงได้ทะลุไปได้ถึงเรื่องสมัยเรียนของพ่อ แม่ดูจะสังเกตรายละเอียดได้ดีกว่าพ่อมากแม่เป็นคนละเอียดตามนิสัยของผู้หญิง “บอกแม่มาซิ เป็นไงมาไงกัน?” แม่ถาม “อะไรเป็นไงมาไง แม่จ๋าถามแปลก” “อย่ามาทำไก๋ ไปทำยังไงถึงมีผู้ชายมาจีบถึงบ้าน” “โถ่เอ๊ย” ผมหัวเราะ“ใครบอกเขามาจีบ แม่จ๋าคิดไปเอง” “แม่ดูออกหรอกน่า แล้วเราล่ะ ชอบพี่เขาหรือเปล่าตอบแม่มาตามตรงๆ จะมีแฟนเป็นผู้ชายแม่ก็ไม่ว่า แต่ต้องให้แม่รู้ด้วยไม่ใช่แอบคบกัน” “ไม่ได้เป็นแฟนกัน แล้วแม่จ๋าก็ถามดูสิว่าพี่เขามาจีบจริงหรือเปล่า” “กลับมาจะตีก้นให้เจ็บเชียวลูกคนนี้” แม่ถอนหายใจแล้วก็เงียบเสียงไป “ถ้าจะมีแฟนเป็นผู้ชายจริงๆ แม่จ๋าจะว่าไง?”ผมถามขึ้นมา “ก็ใจหายน่ะสิ” แม่พูดเสียงอ่อย “เสียใจมากหรือเปล่า?” “ใจหายเพราะคิดว่าเวลามันผ่านไปเร็วเหมือนเมื่อวานนี่เองที่แม่เช็ดก้นให้ นี่อะไร้ ปุบปับจะมีแฟนแล้ว” ผมหัวเราะแล้วก็หอมแก้มแม่ไปทางโทรศัพท์ “ถ้าวันนึงที่เจอคนๆนั้นจริงๆจะพามาหาแม่จ๋าคนแรกเลย สัญญา” ผมพูดกับแม่ “ไม่ใช่คนนี้เหรอ?” “คิดว่าไม่ใช่นะ แม่จ๋าชอบพี่เขาเหรอ?” “พ่อเขาเป็นรุ่นพี่ของพ่อ แต่ห่างกันเจ็ดปีดูไปดูมาก็ท่าทางคุยเก่ง ตั้งแต่มาก็ชวนพ่อคุยไม่หยุดเลย” “บ้านพี่เขาร๊วยรวยนะแม่จ๋า มีเครื่องบินมีธุรกิจโรงแรม มีโรงพยาบาล มีท่าเรือให้เช่า มีหลายๆอย่าง เสียอย่างเดียว”ผมพูดแล้วเว้นไว้ “เสียอะไร พูดก็ไม่จบ” แม่ทำเสียงอยากรู้ “เจ้าชู้ มีแฟนเป็นร้อยๆคน” ผมหัวเราะคิกคัก “พูดอะไรเป็นเล่นตลอดเลยลูกคนนี้จะกลับเมื่อไหร่ ถ้าทันข้าวเย็นแม่จะได้ให้พี่เขาอยู่รอ” “ก็พูดเองว่าเพิ่งเช็ดก้นลูกไปนะ” ผมพูดแล้วก็หยุดคิด“วันนี้ยายกับน้าทำของอร่อยด้วย ตานจะนอนที่นี่พรุ่งนี้สายๆค่อยกลับ” . . ผมวางสายของแม่ไป และอย่างที่ผมบอก วันนี้ยายกับน้าทำกับข้าวเต็มโต๊ะผมไม่อยากออกไปไหน อยู่ที่นี่ก็เหมือนเป็นเจ้าชายน้อยๆที่มีตายายและน้าคอยเอาใจใส่ ผมรู้สึกคุ้นเคยกับบ้านหลังนี้เหมือนผมเกิดและโตที่นี่ทั้งที่จริงผมเกิดที่กรุงเทพ เพิ่งมาที่นี่เมื่อโตจนเรียนชั้นอนุบาลแล้ว บางทีผมก็ชอบไปนั่งในสวนคนเดียวผมนั่งมองพื้นน้ำสีเขียวๆ ในสระ มันให้อารมณ์เยือกเย็นและเหมือนบางครั้งที่ผมคิดว่าเจอสายตาคู่หนึ่งมองตอบกลับมาจากเงาใต้น้ำ . . . ผมมองธันวาจากพื้นน้ำสีเขียวใสเหมือนเนื้อมรกตเขามีรูปลักษณ์ที่ต่างออกไปจากอดีตเล็กน้อย เขาไม่เหลือความทรงจำเกี่ยวกับผมเขาจำไม่ได้ว่ามีใครอีกคนรอเขาอยู่ ผมแทบขยับไปไหนไม่ได้การจำศีลสร้างตบะเพิ่งเริ่มต้นได้ไม่นานหลังจากผมสูญเสียพลังและบารมีไปเมื่อครั้งก่อน ผมคงจะนอนหลับใหลและตื่นขึ้นมาในอีกหลายพันปีข้างหน้าและถ้าถึงตอนนั้น ธันวาคงไม่ได้อยู่ในร่างมนุษย์อีกต่อไปแล้ว เส้นด้ายเล็กๆที่ผมยังรั้งเอาไว้คือการเฝ้ามองเขาด้วยความคิดถึง ผมมองเห็นอสูรงูตนหนึ่งนอนเดียวดายอยู่ในเวิ้งถ้ำ อสูรงูที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเพื่อนกับธันวาผมหลีกเลี่ยงที่จะยื่นมือเข้าไปช่วยโดยตรง แต่ก็พอมองเห็นว่าธันวาเป็นคนที่จะช่วยเหลืออสูรงูตนนั้นให้พ้นสภาพอันน่าเวทนาได้ธันวากับอสูรงูเคยมีอดีตร่วมกันมา นี่อาจจะเป็นหนทางที่ดีที่ธันวาในชาติใหม่นี้จะได้สร้างผลบุญ ผมสร้างภาพปรากฏบนแผ่นน้ำตรงหน้าเขาเป็นภาพของอสูรงูที่นอนนิ่งขยับตัวไม่ได้ในถ้ำธันวามองเห็นแล้วและเข้าใจเรื่องราวตามที่ผมสื่อให้เห็น แม้ว่าการที่ธันวาสร้างกรรมดีเขาอาจจะหลุดพ้นวงล้อการเป็นมนุษย์ เขาอาจจะไปเกิดในถิ่นเดิมของเขาเมื่อครั้งเป็นเทพบุตร เส้นด้ายเล็กๆของเราจะสิ้นสุดลงทันทีผมก็ขออนุโมทนากับบุญกุศลของเขา แม้ว่าเขาจะเดินไปพร้อมกับครุฑก็ตาม ผมแปลกใจจริงๆที่คนอยู่ในซอยเดียวกับคุณเวณวัฒน์ ไม่มีใครรู้จักเขาเลย แม้สังคมปัจจุบันจะต่างคนต่างอยู่และไม่ค่อยสุงสิงกันแต่บ้านหลังใหญ่ขนาดนั้นทำไมยังมีคนบอกว่าไม่เคยเห็นไม่มีใครเคยเห็นบ้านของคุณเวณวัฒน์เลย ไม่มีคนเคยเจอคุณเวณวัฒน์เป็นเรื่องน่าแปลกจริงๆ วันนี้ผมหิ้วกล่องมะม่วงมาด้วยเป็นมะม่วงสุกสีเหลืองทองจากสวนของยาย ผมยัดกระดาษฝอยใส่ไว้เต็มที่กลัวว่ามะม่วงจะช้ำ แต่ปัญหากลับอยู่ที่ผมหาบ้านเขาไม่เจอไม่ใช่ปัญหาเรื่องมะม่วง ผมเดินวนเข้าออกซอยจนหมาแมวแถวนั้นจำผมได้แมวลายเสือมันเดิมด้อมเข้ามาดมผมหลังจากผมเดินผ่านพื้นเย็นๆใต้ต้นไม้ที่มันนอนเป็นรอบที่สาม อากาศร้อนมากขึ้นเรื่อยๆผมรู้สึกว่าเหงื่อไหลออกมาเต็มหลัง มองขึ้นไปบนท้องฟ้าก็เจอกับเมฆสีเทาเข้มอีกไม่นานฝนคงจะตกแน่ ไม่ทันที่ผมจะก้าวต่อ เม็ดฝนเม็ดแรกก็ตกลงมาแมวรีบวิ่งเข้าไปในบ้านผ่านประตูรั้ว ผมมองหาที่หลบฝนก๋ไม่เจอร่มเงาเลย ผมจับสร้อยคอรูปปีกนกแล้วก็คิดหาทางที่จะไปเจอคุณเวณวัฒน์ที่บ้าน ผมจำได้ว่า เดินเลยสะพานไปจนสุดซอยจะมีประตูไม้ขนาดใหญ่ ประตูไม้นี้เป็นทางเข้าบ้านของเขาแต่หลังจากผมเดินวนไปมาเป็นรอบที่สี่ ผมก็เจอแค่คลองน้ำไหลในคลองมีผักบุ้งใบใหญ่กับฝูงปลาเข็มตัวเล็กๆ ผมไม่มีทางเลือกนอกจากจะวิ่งหาที่หลบฝนและครั้งสุดท้ายที่ผมคิดว่าจะผ่านจุดที่เคยเจอประตูใหญ่ ตอนนี้ผมก็เจอมันจริงๆ จะเป็นเพราะผมคิดถึงเขาหรือเปล่าประตูเลยโผล่ออกมาให้ผมเห็น ผมผลักประตูเข้าไปง่ายๆเมื่อวิ่งผ่านดงไม้สูงใหญ่เข้าไปจนสุดทางก็เจอบ้านซ่อนตัวอยู่ในดงไม้ผมถอดรองเท้าเปียกน้ำไว้ริมทางเข้าบ้านที่เป็นซุ้มประตูมีหลังคา ก่อนที่ผมจะผลักประตูบ้านเข้าไป ผมเห็นบ้านนกมันทำด้วยไม้ วางมั่นคงอยู่บนเสาต้นเดียว มันสูงเลยหัวผมขึ้นไป แต่ผมยังสังเกตเห็นอีกาสามขาได้มันโยกหัวไปมาเหมือนกำลังทักทายผม มันเกาะคอนไม้อยู่ในบ้านของมัน หลังคาของบ้านนกป้องกันมันจากพายุฝนฟ้าคะนองได้ ผมผลักประตูกระจกเข้าไปอย่างคนถือวิสาสะถุงเท้าชุ่มน้ำของผมถูกถอดออกแล้วแผ่ออกไว้บนตะแกรงวางรองเท้าข้างนอก ผมเดินเท้าเปล่าเข้าไปข้างในพร้อมกับกล่องมะม่วงเปียกๆ “ระวัง...พื้นลื่น” เสียงคุ้นเคยดังมาจากด้านบนของบันไดคุณเวณวัฒน์เดินจับราวบันไดลงมาชั้นล่าง ในมือของเขามีผ้าขนหนูและมีชุดใหม่มาด้วย ผมเดินไปบนพื้นกระเบื้องหินอ่อนสีขาวอย่างระวังตัวคุณเวณวัฒน์เดินเข้ามาหาผมแล้วคลุมผ้าขนหนูให้ผมอย่างเบามือ “ทำไมไม่บอกผมก่อนว่าคุณจะมา?” “ก็...ผมอยากจะทำให้คุณประหลาดใจ ก็คุณบอกผมว่าอยากมาเมื่อไหร่ก็มาได้... ไม่ใช่เหรอ?” “ก็ถูก ผมผิดเอง” เขายิ้มผมขยี้หัวที่เปียกชุ่มของตัวเองไปกับผ้าขนหนูสะอาดที่เขาถือลงมาให้ “นี่ชุดใหม่ ขนาดคงพอดีกับตัวคุณ” เขาพูดแล้วยื่นชุดใหม่มาให้มันเป็นเสื้อยืดแขนยาวสีขาวกับกางเกงขายาวสีเทาและมีอันเดอร์แวร์สีขาวที่เป็นผ้าคอตตอนมาให้ด้วย ผมรับชุดมาแล้วมองหาห้องน้ำเพื่อเปลี่ยนเสื้อกับกางเกงตัวเก่าออก “เปลี่ยนตรงโซฟานี่ก็ได้ ผมตาบอดมองไม่เห็นคุณหรอก ไม่ต้องอาย” “ผมไม่ได้อาย แต่มันเป็นมารยาท” “รีบเปลี่ยนชุดก่อนคุณจะเป็นไข้หวัดผมกับคุณไม่ควรมีคำว่ามารยาทมากั้น” ผมถอดเสื้อผ้าชุดเดิมออกง่ายๆจากนั้นก็เช็ดตัวแล้วก็สวมชุดใหม่ลงไปแทนผมมองหาจุดที่พอจะฝากเสื้อผ้าเปียกๆลงไปได้ “เดินไปทางขวาก่อนถึงห้องครัวจะมีเครื่องซักแล้วก็อบผ้า คุณใส่เสื้อผ้าเปียกลงไปมันจะซักแล้วก็อบให้เรียบร้อย เสร็จแล้วค่อยเอาออกมา ตอนคุณกลับจะได้มีเสื้อผ้าใส่” ผมพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดตอบผมเลิกสงสัยแล้วว่าเขาอยู่ในสภาพตาบอดได้ยังไงคนเดียว เขาเป็นคนพิเศษ ไม่สิเขาเป็นมากกว่าคน เขาสามารถอยู่ได้อย่างสบายไม่ต้องมีใครมาวุ่นวาย บางอย่างดูเหมือนมันทำงานเองด้วยซ้ำ ผมคิดอย่างนั้นจริงๆ ผมเดินกลับมาหาเขาที่โซฟาสายตามองหากล่องมะม่วงที่วางอยู่บนพื้น มันเปียกปอนจนไม่เหลือเค้าเดิม “ผมเก็บมะม่วงมาจากสวนของยาย มะม่วงอร่อยมากมันสุกเอง ไม่ต้องเอามาบ่มเหมือนในตลาด” ผมพูด “ผมชอบกินมะม่วง...ตอนที่ธันวายังอยู่เขาก็ชอบปอกมะม่วงให้ผมกิน” “ตอนนี้คุณธันวาไม่อยู่ ขอผมทำแทนเขาได้มั้ย?”ผมสัมผัสผ่านเสียงของคุณเวณวัฒน์ได้ว่าเขาดูรักและผูกพันกับคุณธันวามาก “คุณหึงตัวเอง” เขายิ้ม “ผมเปล่า!” “ผมรู้สึกเสมอว่าคุณคือธันวาเวลาผมพูดถึงธันวาก็หมายความว่าผมพูดถึงคุณ” “แต่ผมไม่รู้จักเขา เวลาคุณพูดผมก็ต้องรู้สึกว่าคุณพูดถึงคนอื่น” เขาเงียบไปก่อนจะยิ้มจางๆ “ผมขอโทษ ผมไม่ทันได้คิด ต่อไปผมจะ...” “คุณควรจะพูดถึงเขาบ่อยๆ ผมจะได้ระลึกชาติได้”ผมพูดแล้วก็ก้มลงแกะเชือกที่ผูกกล่องมะม่วงเอาไว้ “ผมจะค่อยๆเล่า ยังไงก็ตามผมก็อยากให้คุณอายุครบตามเกณฑ์ก่อน เมื่อสติสัมปะชัญญะของคุณพร้อมแล้ว คุณจะเปิดสมองส่วนพิเศษออกมารับรู้เรื่องราวในอดีตได้” “ผมถามงูคุณเมธเรื่องของคุณ แต่เขาไม่บอก” “เขามีกรรมของเขาเป็นเรื่องดีที่เขาจะไม่เข้ามายุ่งกับเรื่องของเรา” คุณเวณวัฒน์พูดแล้วก็นั่งลงกับเบาะนุ่มๆของโซฟา “เขาเคยเป็นเพื่อนของผม” ผมพูดแล้วก็นึกเรื่องที่เขานอนเจ็บอยู่ในถ้ำได้“คุณเวณวัฒน์ ทำไมคุณเมธถึงนอนเจ็บคืนก่อนหน้านั้น เขายังมาคุยกับผมอยู่เลย” “เขาพยายาม...เข้าไปยุ่งกับความฝันของคน”เขาตอบ “แล้วใครทำร้ายเขา?” “ผมไม่รู้ แต่คงเป็นคนที่มีอาคมสามารถใช้มนต์เรียกอสูรได้”
|