ผมพยายามทำความเข้าใจ แต่ก็คิดว่ามันไกลตัวเกินกว่าที่ผมจะรู้ตอนนี้ “ผมจะไปปอกมะม่วงให้คุณ” ผมเดินเข้าไปในห้องครัวไม่นานก็ได้ชิ้นมะม่วงใส่จานออกมาพร้อมกับส้อม “ให้ผมป้อนมั้ย?” ผมมองเขาแล้วก็คิดว่าทางที่ดีก็ควรป้อนเขาด้วย “แล้วแต่จะกรุณา” “พูดซะน่าสงสาร อันที่จริงคุณน่ะเก่งจะตายไปไหนมาไหนเองได้ อยู่บ้านคนเดียวได้ ไม่เห็นต้องมีคนช่วย” ผมพูดแล้วก็จิ้มชิ้นมะม่วงให้เขา เขาเคี้ยวมะม่วงสีเหลืองช้าๆหลังกลืนเข้าไปก็พูดตอบ “การที่คนไม่สมประกอบสามารถใช้ชีวิตอยู่ได้ด้วยตัวเองไม่ได้หมายความว่าเขาอยู่ได้ด้วยความสะดวก” “ผมขอโทษครับ ผมไม่ได้หมายความอย่างนั้น”ผมรู้สึกว่าตัวเองพูดผิดความหมายไป “ผมก็ไม่ได้หมายความอย่างที่คุณคิด” “คุณอยู่ได้ยังไงคนเดียวนะ บอกผมได้มั้ย?”ผมถาม “สัมผัสอื่นนอกเหนือจากสายตาของผมยังปกติดีหูได้ยิน จมูกได้กลิ่น มือสองข้างยังสัมผัสได้ ปากของผมก็ยังพูดได้ผมใช้สิ่งเหล่านี้แทนตาที่บอดไป” “ถ้าเป็นผม ผมคงทำไม่ได้เหมือนคุณ” “ผมอยู่ได้ด้วยความหวังโดนไฟเผาแค่นี้เรื่องเล็กถ้าเทียบกับเรื่องของผมกับคุณ ผมหวังว่าจะได้เจอกับคุณอีกเราจะเดินไปด้วยกันจนกว่าจะสิ้นสุดเส้นทางของความเป็นมนุษย์” “สิ้นสุดเส้นทางความเป็นคนแล้วผมจะเป็นอะไรต่อไป?” “อีกหน่อยคุณก็จะรู้เอง” เขาพูดจบไว้แค่นั้นเราสองคนเงียบไปด้วยคำพูด แต่เหมือนกับกำลังเชื่อมกันด้วยใจ “อร่อยมั้ยครับ?” ผมถาม “เค็มไปหน่อย” “โทษทีนะ ผมลืมล้างมือ” ผมหัวเราะจากนั้นก็หยิบกระดาษนุ่มๆ บนโต๊ะมาเช็ดปากให้เขาเราสองคนอยู่ใกล้กันแค่ปลายจมูกชนกัน ผมขยับริมฝีปากไปใกล้ๆเขาก่อนจะจูบลงไปบนปากของเขาเบาๆ เราสองคนอยู่ในภาวะเหมือนหยุดเวลาจนกระทั่งมีเสียงเรียกเข้าของโทรศัพท์เข้ามาขัดจังหวะ ผมถอนหน้าออกมาจากคุณเวณวัฒน์เมื่อหันมามองหน้าจอโทรศัพท์บนโต๊ะก็เห็นชื่อของพี่มิทวิ่งอยู่ “ตาน อยู่ไหนครับ?” “อยู่บ้าน...” ผมไม่รู้จะนิยามคุณเวณวัฒน์ว่าอะไรดี “พี่โทรไปหาที่บ้านก็ไม่เจอ บ้านนกน้อยก็ไม่อยู่ตานอยู่ที่ไหนครับ?” “อยู่ที่บ้านคุณ เอ่อ บ้าน..บ้านดงไม้ครับพี่มิทมีอะไรเหรอครับ?” “เย็นนี้ตานว่างมั้ยครับพี่จะไปรับมากินข้าวที่บ้าน” “ติดฝนอยู่ครับ ไม่รู้ว่าจะหยุดเมื่อไหร่”ผมตอบกลับไป “บอกจุดที่ตานอยู่มาสิครับ เดี๋ยวพี่ไปรับ”ผมไม่รู้จะตอบพี่มิทว่ายังไงและก็ไม่แน่ใจด้วยว่าบ้านของคุณเวณวัฒน์จะปรากฏในแผนที่ดาวเทียม “คือผมติดธุระน่ะครับ ไว้เสร็จแล้วจะกลับเองเอาไว้เรานัดกันวันหลังนะครับ วันนี้สงสัยฝนจะตกหนักไปจนถึงเย็น” “ตานจะไปอยู่บ้านคนอื่นถึงเย็นเหรอครับพี่เป็นห่วง” “ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ครั้งก่อนผมก็เคยนอนที่นี่แม่ก็รู้” “ที่ไหนครับ?” “บ้านดงไม้ครับ” “แล้วบ้านดงไม้ที่ว่าอยู่ตรงไหนล่ะครับส่งสัญญานมาครับ เดี๋ยวพี่ขับรถไปรับ” “ผมมีธุระครับ เอาไว้ผมจะติดต่อกลับนะครับ สวัสดีครับ”ผมวางสายไปแล้วก็หันหน้ามาหาคุณเวณวัฒน์ เขานั่งนิ่งเหมือนกำลังมองออกไปนอกบานกระจกที่มีฝนตกหนัก “บ้านหลังนี้เป็นของจริงหรือเปล่าครับหรือเป็นภาพนิรมิต?” ผมถาม “เป็นบ้านจริง หินจริง ทรายจริง หลังคา พื้นวัสดุทุกอย่างเป็นของจริง ต้นไม้ข้างนอกก็ของจริง นก คนทุกอย่างในบ้านเป็นของจริงทั้งหมด” เขาตอบ “แล้วทำไมผมถึงหามันไม่เจอทำไมคนข้างนอกหาคุณไม่เจอ?” “ผมไม่อยากตอบคำถามว่าทำไมคนแปลกประหลาดอย่างผมถึงมาอาศัยอยู่ที่นี่ผมไม่อยากตอบคำถามของหน่วยงานราชการที่ชอบเข้ามายุ่มย่ามผมไม่มีความจำเป็นต้องยุ่งเกี่ยวกับใคร นอกจากคุณ บ้านหลังนี้ถูกสร้างขึ้นมาให้ปกป้องเราจากสายตาของคนสอดรู้ข้างนอกเราสามารถทำอะไรก็ได้ในบ้านหลังนี้ ไม่มีภาพ ไม่มีเสียง ไม่มีสัญญาณหลุดออกไปข้างนอก” “คนข้างนอกไม่รู้ว่ามีคุณอยู่ที่นี่ไม่รู้ว่ามีบ้านหลังนี้อยู่?” “ถูกต้อง” “คุณเป็นคนมีตัวตนจริงหรือเปล่า?” “คำว่ามีตัวตนของคุณคืออะไร?” เขาถามกลับ “มีตัวตนในสังคม มีร่างกายที่เป็นอินทรีย์” “ผมมีทะเบียนบ้าน มีชื่อเป็นเจ้าบ้านมีบัตรประจำตัวประชาชน มีรหัสประชาชน มีเอกสารทุกอย่างที่คนปกติพึงมีผมเป็นคนที่มีเลือดเนื้อ ผมหายใจเอาออกซิเจนเข้าไปแล้วก็หายใจเอาคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาและแน่นอน ร่างกายผมเป็นอินทรีย์วัตถุที่ย่อยสลายได้” “ผมก็คิดว่าคุณเป็นคนพิเศษซะอีกเป็นคนที่เหนือกว่าคนทั่วไป” “พิเศษแค่ไหน เหนือกว่าคนทั่วไปยังไง?” “ก็... เหาะได้ บินได้ มีพลังเปล่งแสงออกมาฆ่าคนร้ายได้” เขาหัวเราะอารมณ์ดีกับคำพูดของผมก่อนจะตอบ “ผมเหาะได้ บินได้ ทำได้ทุกอย่างที่คุณบอก” “โอ้โห ออฟชั่นเพียบ สกิลสูงมาก” ผมปรบมือเขาดูเหมือนกำลังงงกับสิ่งที่ผมพูด ผมจู่โจมโดยวกเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว “คุณเป็นครุฑ?” ผมถามตรงๆเขานิ่งไปแล้วก็พยักหน้ารับ “เป็นครุฑทำไมไม่มีจงอยปากแหลม ไม่มีผิวแดงๆไม่มีกรงเล็บเหมือนนก?” “นั่นคือครุฑที่มนุษย์จินตนาการไปเองจินตนาการแล้วก็เขียนออกมาเป็นรูปให้คนเข้าใจว่าครุฑเป็นแบบนั้น” “แล้วครุฑเป็นแบบไหนกันแน่?” “เป็นได้ทุกอย่างที่อยากเป็นเป็นแบบที่คุณพูดก็ได้ เป็นคนมีปีกเหมือนเทวดาในโบสถ์คริสต์ เป็นคนเดินดินเป็นคนตาบอดหลังค่อม เป็นได้หลายอย่าง” “งั้นคุณก็ไม่ได้ตาบอดหลังค่อมจริงๆใช่มั้ยคุณแค่เนรมิตตัวเองให้เป็นแบบนี้” “ผมถูกไฟเผาจริงๆ ไม่ได้เกิดจากการเนรมิต”เขาตอบแล้วนิ่งไปผมยุติเรื่องรูปลักษณ์ไว้แค่นั้นแล้วก็ถามเรื่องอื่นต่อ “แล้วครุฑกินอะไรครับ?” “กินมะม่วง” เขาตอบ “นอกจากมะม่วงแล้วกินอะไรบ้าง?” “เมล็ดพืช ผลไม้สุก ผลไม้สด น้ำสะอาด” เขาตอบ “แล้วถ้าไม่มีของพวกนี้นั้นล่ะครับ?” “ก็อยู่ในสภาวะทิพย์ ไม่กิน ไม่ดื่มร่างกายอยู่ได้เอง” “ฟีเจอร์นี้เจ๋งมาก สกิลเทพ” ผมชม “ผมไม่ใช่เทพ เป็นแค่กึ่ง” ผมหัวเราะ คุณเวณวัฒน์เป็นคนฉลาดมากก็จริงแต่ก็ไม่ทันคำพูดของผมอยู่ดี “ขอค่ามะม่วงเป็นเพลงเพราะๆซักเพลงได้มั้ยครับ” คุณเวณวัฒน์ตอบตกลงด้วยการพาผมขึ้นไปชั้นบนที่มีเปียโนตั้งอยู่เขาเล่นเพลงช้าผสมไปกับเสียงเม็ดฝนที่ตกลงบนใบไม้แล้วตกลงมาบนพื้นดินข้างล่าง ผมลากเก้าอี้มานั่งใกล้เขาสองแขนวางทาบลงไปบนพื้นที่ว่างๆ บนตัวเปียโนผมวางแก้มลงไปบนแขนตัวเองแล้วฟังเพลงของเขาอย่างสุขใจ ผมมีลางสังหรณ์ว่าตานกำลังอยู่กับไอ้หมอนั่นไอ้คนที่ผมเจอเขาคุยกับตานในป่าช้า คนที่ผมเจอเขาคุยกับตานในวัด สองคนนั้นต้องเป็นคนเดียวกับเจ้าของบ้านดงไม้ที่ตานพูดถึงแน่นอน ผมรู้สึกว่าเขาไม่ใช่คนธรรมดาจะไม่ธรรมดาด้วยฐานะหรือมีอะไรพิเศษผมก็ยังตอบไม่ได้ ทางเลือกเดียวของผมคือป้าป้าเป็นคนที่จะให้คำตอบผมได้ดีที่สุด ผมเดินลัดสวนข้างบ้านเข้ามาถึงเขตบ้านของป้าผมเดินผ่านประตูหน้าเข้ามาและรับไหว้คนของป้าที่เดินออกมาพอดี “คุณป้าอยู่ข้างในหรือเปล่า?” ผมถาม “อยู่ในสวนกลางบ้านค่ะ กำลังให้อาหารปลาค่ะคุณ” ผมพยักหน้ารับแล้วก็เดินเข้าไปข้างในเมื่อเดินลัดและตัดออกจากโถงกลาง ตรงกลางของบ้านจะมีสวนกลางแจ้งป้าปลูกต้นกล้วยที่มีลูกสีแดงอมม่วงเอาไว้ ใกล้กันก็มีบ่อปลาคาร์ปที่มีปลาอยู่หลายสิบตัว “เดือดเนื้อร้อนใจอะไรล่ะลูก?” ป้าปัดมือจากอาหารปลาแล้วก็มองหาที่ล้างมือ “ไม่มีอะไรครับ?” ผมถอนหายใจแล้วนั่งลงบนม้านั่งไม้สายตามองออกไปไกลๆ มีเมฆฝนและมีฟ้าแลบอยู่ในนั้นที่ไหนซักแห่งคงกำลังมีฝนตกหนักอยู่แน่ “ทั้งหน้าทั้งเสียงก็บอกอยู่แล้วว่ากำลังกลุ้มใจไหนบอกป้ามาซิว่าใครทำให้หลานชายของป้าเป็นแบบนี้” ป้าล้างมือแล้วเข้ามานั่งใกล้ๆผม “วันนี้พ่อกลับมาจากอเมริกา แม่ก็อยู่ด้วยผมอยากพาตานมาเที่ยวบ้าน” ผมตอบ “ตาน?” “ตานครับ รุ่นน้องที่มหา’ลัย” “คนนี้นี่เองสินะ” “คนนี้แหละครับ ผมชอบเขามากจริงๆ ชอบแบบที่ไม่เคยชอบใครแบบนี้มาก่อน” “พามาหาป้าก่อน อย่าเพิ่งไปหาพ่อกับแม่” ป้ายิ้มแล้วก็ลูบหลังผมเบาๆ “ผมชวนเขาไว้แล้วครับ” “ดีแล้ว พามาหาป้าก่อนอย่าเพิ่งส่งไปเจอพ่อกับแม่ เดี๋ยวขยาดแล้วก็ไม่กล้ามาอีก” ป้ายิ้มผมเห็นร่องรอยความสวยงามได้ชัดเจน ป้าเป็นคนสวย ถ้านับคนรุ่นราวคราวเดียวกันรับรองว่าไม่มีใครสู้ป้าของผมได้ “ถ้าป้าเจอตาน รับรองว่าป้าต้องชอบแน่” “ไม่เคยเจอมิทรับรองใครมาก่อนคนนี้เห็นทีจะของจริง” ป้าพยักหน้า “ของจริงสิครับ ตัวจริงด้วย แต่...” ผมถอนหายใจช้าๆ “แต่อะไร?” “กลัวว่าเขากำลังมีใครอยู่” “ใครจะดีกว่ามิทอีกล่ะลูก หน้าตา ฐานะ นิสัยใครจะเมินหลานของป้าได้ จริงมั้ย?” “ตานไม่เหมือนคนอื่นเขาไม่เคยอยากได้ของที่ซื้อด้วยเงิน เขารู้ว่าผมเป็นลูกของพ่อแต่ก็ไม่เคยคิดสนใจอยากรู้จักบ้านเรา” “เด็กคนนี้ น่าสนใจจริงๆ” “มีรูปด้วยครับ เราถ่ายรูปด้วยกันตอนวันเกิดของผม” ผมเปิดรูปของตานที่ถ่ายคู่กับผมให้ป้าดูผมเล่าเรื่องมงกุฎหิ่งห้อยให้ป้าฟังแล้วป้าก็ชอบใจใหญ่ “หน้าตาดีสมกัน นิสัยจากที่มิทเล่าก็ดีป้าชักอยากเจอตัวจริงแล้วสิ” “นั่นสิครับ ของอะไรที่มิทอยากได้ไม่รู้ทำไมถึงยากนัก ของที่ไม่คิดอยากได้กลับลอยไปลอยมาอยู่ใกล้ๆ” ผมบ่น “ของยากก็ต้องออกแรงหน่อยผลไม้ไม่มีตำหนิก็ขึ้นอยู่สูง พวกเตี้ยค่อมก็ไม่มีสิทธิ์ปีนไปเก็บพวกที่ไม่มีฐานะสร้างบันไดก็ไม่คู่ควรปีนขึ้นไปโดนผลไม้ มิทมีพร้อมทุกอย่าง ทำไมถึงจะเด็ดมันมาไม่ได้ใจเย็นก่อนลูก ป้าจะหาทางช่วยเอง” “ก็ป้าเป็นแบบเนี้ย มิทถึงรักป้ามากเราสองคนน่าจะเกิดมาเป็นแม่ลูกกันนะครับ” “ไม่เอาลูกอย่าไปพูดแบบนี้ให้พ่อกับแม่ได้ยินเชียวนะ เดี๋ยวจะน้อยใจ” ป้ากอดลงมาบนไหล่ผมแล้วก็ตบต้นแขนเบาๆ “ก็พ่อกับแม่ใส่ใจมิทที่ไหนวางเงินไว้ให้แล้วก็หายไปเป็นเดือนๆ ก็มีแต่ป้าที่รักมิทเข้าใจมิท” “พ่อกับแม่เขาก็ไปสร้างอนาคตไว้ให้มิทไงลูกไม่มีพ่อกับแม่คนไหนอยากให้ลูกตัวเองลำบาก” “มิทไม่ได้ต้องการเงินอย่างเดียวมิทต้องการความรัก มิทต้องการความอบอุ่น สองอย่างนี้พ่อกับแม่ไม่เคยให้มิทได้ซะที” ผมพูดแล้วก็กอดป้ามันเป็นเรื่องจริงที่ผมกับป้าปฏิเสธไม่ได้ ผมอยู่กับพี่เลี้ยง ผมอยู่กับป้าน้อยมากที่ผมจะมีเวลาอยู่กับพ่อแม่ พ่อเดินทางไปทำธุรกิจต่างประเทศเดือนนึงกลับบ้านแค่สามวันส่วนแม่ก็ช่วยงานพ่ออยู่ที่บริษัท วันว่างแม่ก็ออกไปทำงานการกุศล แม่ซื้อของแจกเด็กยากจน แจกทุนเรียนต่อแจกเสื้อผ้า แจกหลายๆอย่าง แต่แม่คงลืมไปว่าผมก็เป็นหนึ่งในเด็กยากจนเหมือนกัน ผมเป็นเด็กที่ไม่ได้รับเวลาจากพ่อกับแม่ตัวเองผมโตขึ้นมากับเงินและสิ่งของที่เนรมิตขึ้นด้วยเงิน ญาติใกล้ชิดที่สุดของผมก็คือป้า . . โสรยามองดูหลานชายนอนหลับไปบนฟูกนอนบนโถงกลางบ้านอดีตเด็กชายเอาแต่ใจที่โตขึ้นด้วยกับเงิน ดีเท่าไหร่แล้วที่ไม่ออกนอกลู่นอกทาง มิทโตขึ้นมาเหมือนเด็กที่ขาดความรักเด็กชายร้องหาแม่อยู่บ่อยๆ เมื่อฝันร้ายก็จะให้พี่เลี้ยงพามาส่งที่บ้านของเธอเด็กชายมิทในชุดนอนลายการ์ตูนถือหมอนมาพร้อมกับมีน้ำตาอาบสองแก้ม “มิทฝันร้าย” เด็กชายร้องไห้ “นี่แม่พี่เลี้ยงเปิดหนังผีให้ดูอีกแล้วสิ”เธอหันไปดุพี่เลี้ยงที่หลบสายตา “ไปๆกลับไปได้แล้ว ฉันจะดูหลานฉันเอง” “มานอนกับป้า รับรองไม่มีผีตัวไหนเข้ามาหามิทได้ป้ารับรอง” คำว่า “ป้ารับรอง” ค่อยๆฝังลงไปในหัวของเด็กชาย ทุกครั้งที่ใครทำอะไรไม่ได้ดั่งใจเด็กชายจะต้องมาขอให้ป้าจัดการเสมอ มิทเป็นคนที่ขาดความรัก ทางออกที่ทำบ่อยๆคือเรียกร้องความสนใจ เด็กชายชอบคนที่มีความอบอุ่นเอาไว้มาช่วยชดเชยสิ่งที่ขาดหายไปยามเด็ก “เด็กคนที่ชื่อตานคงมีบางอย่างที่มิทโหยหามาตั้งแต่เด็ก” . . . “อัปสรา” เสียงพูดออกมาจากปากของหญิงวัยกลางคนเบาๆรูปปั้นหินกลับกลายมามีชีวิต มันขยับเขยื้อนไปมาราวกับเป็นคนจริงๆ “ไปตามหา สืบให้รู้ว่าอยู่ที่ไหน” อัปสราเดินทะลุผนังออกมาจากบ้านท่ามกลางอากาศสลัวและมืดครึ้มไปด้วยเมฆบดบังแสงอาทิตย์นั้นโสรยามองเห็นเงาจางๆของนางอัปสราค่อยๆ เดินออกไปจากบ้าน . . . อัปสราเดินวนเวียนอยู่ในซอยลึกหมาแมวละแวกนั้นต่างร้องครางกันระงม แมวทำขนฟูยามเดินบนกำแพงมันสัมผัสสิ่งเหนือธรรมชาติด้วยสัญชาตญานสัตว์ หมาที่นอนหลบฝนอยู่ใต้โรงเก็บรถพากันหอนรับกันเป็นทอด นางอัปสราในร่างเงาจางๆเดินวนเวียนจนมาหยุดยืนอยู่หน้าตำแหน่งประตูรั้วบ้านของเวณวัฒน์ มันยื่นมือผ่านอากาศว่างเปล่าเข้าไปในตำแหน่งของที่จับประตู มือของอัปสราจับอยู่กับห่วงกลมบนประตูห่วงโลหะสีเข้ม เปลี่ยนเป็นสีแดงเหมือนไฟ ซักพักมือของนางอัปสราก็มีควันโขมงสุดท้ายก็จำต้องถอยออกมาจากบานประตูประตูใหญ่จางหายไปทีละน้อยและก็ลับจากสายตาไปอีกครั้ง . . เสียงเพลงจากเปียโนขาดตอนไปคุณเวณวัฒน์หยุดนิ่งแล้วก็ยกมือขอโทษ ฝนข้างนอกยังคงตกปรอยๆผมฟังเสียงน้ำฝนกำลังเคลิ้ม สุดท้ายก็ต้องลืมตาขึ้นมาเพราะเสียงเพลงขาดหายไป “เป็นอะไรหรือเปล่าครับ?” ผมหันไปมองเขา “มีแขกมาเยี่ยม” “แขก...มาเยี่ยม?” “รู้สึกว่ามีคนอยากเจอเรา” “แต่ว่า คนปกติมองไม่เห็นบ้านไม่ใช่เหรอครับ?”ผมลุกขึ้นยืนแล้วก็มองออกไปนอกหน้าต่างบรรยากาศรอบบ้านมืดครึ้มเพราะถูกบดบังไปด้วยดงไม้ใหญ่น้อย อีกทั้งวันนี้ก็มีพายุฝนทำให้ดูมืดสลัวมากขึ้นไปอีก “เป็นคนไม่ปกติ แต่ในเมื่อไม่ได้มีเจตนาร้ายก็ไม่ควรไปสนใจ” คุณเวณวัฒน์พูดซึ่งผมก็ไม่ค่อยเข้าใจอะไรมากนัก “ใครกันนะที่อยากเจอเรา?” “อาจจะอยากเจอคุณมากกว่า เพราะเขาไม่รู้จักผม” “คุณพูดให้ผมขนลุกอีกแล้วพักนี้ผมยิ่งเจอผีบ่อยๆ นี่ก็เหมือนกับกลางคืนไม่มีผิด ถ้าผมกลัวจนกลับบ้านไม่ได้ผมก็จะนอนอยู่ที่นี่” “ที่นี่ก็เป็นบ้านของคุณคุณจะนอนหรือทำอะไรก็ได้” เขาตอบ “เล่าเรื่องคุณธันวาให้ผมฟังหน่อยสิครับ”ผมถอยออกมาจากหน้าต่างแล้วก็ลงนอนบนเบาะนุ่มๆของโซฟาสีครีมคุณเวณวัฒน์ลุกขึ้นมาจากเก้าอี้หน้าเปียโน เขานั่งลงบนเบาะนั่งที่เข้าชุดกันกับโซฟายาวที่ผมนอน “ธันวาเป็นลูกชาวนา...” เขาเริ่มเล่า “ไม่เอาสิครับ เอาก่อนหน้านั้นสมัยที่เขากับคุณเริ่มรู้จักกัน” ผมพูดแล้วก็พลิกตัวมามองเขาที่นั่งอยู่ใกล้ๆ “ก็คุณให้ผมเล่าเรื่องธันวา” “ก็ผมไม่รู้จักคนก่อนคุณธันวาไม่รู้จะเรียกเขาว่าอะไร” “เทวดาบนสวรรค์ไม่มีชื่อการเรียกชื่อเป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นเพื่อแยกแยะเทวดาออกจากกัน ไม่ให้สับสน” “แล้วคุณธันวาเขาเคยเป็นเทวดาที่ชั้นไหนล่ะครับ?” “ดาวดึงส์” “ดาวดึงส์?” “เป็นสวรรค์ชั้นที่อยู่เหนือจาตุฯขึ้นไป”คุณเวณวัฒน์อธิบายช้าๆ ผมดึงหมอนมาหนุนแล้วก็ตั้งใจฟังเขาพูด “แล้วอยู่สูงกว่าสวรรค์ชั้นจาตุฯมากมั้ยครับ?”ผมถามต่อ “เราไม่มีมาตราวัดเหมือนมนุษย์แต่ถ้าใช้มาตราเมตริกของโลกมนุษย์วัดก็คงราวๆ...หนึ่งแสนหกหมื่นกิโลเมตรเหนือจาตุฯ ดาวดึงส์เป็นนครใหญ่ ตั้งอยู่บนยอดเขาสิเนรุ” “สูงมาก เครื่องบินก็บินไปไม่ถึงแค่เส้นรอบวงโลกก็สี่หมื่นกว่ากิโลเมตรเท่านั้น” ผมพยักหน้าทำความเข้าใจจากนั้นก็ถามต่อ “แล้วชั้นจาตุฯ ที่คุณพูด อยู่สูงมากมั้ยครับ?” “สูงบ้างต่ำบ้าง บ้างก็อยู่สูงบนวิมานงิ้วสิมพลีบ้างก็อยู่ระดับดิน มีพวกสัตว์หิมพานต์ คนธรรพ์ วิทยาธรบ้างก็อยู่ในนครบาดาลเป็นพวกนาค สวรรค์ชั้นจาตุฯ อยู่บริเวณเชิงเขาสิเนรุ” “แสดงว่าชั้นจาตุฯนี้ ยังเชื่อมต่อกับโลกมนุษย์?” “ถูกต้อง” คุณเวณวัฒน์พยักหน้า “แล้วอดีตของคุณธันวาทำอะไรอยู่บนชั้นดาวดึงส์ล่ะครับ?”ผมถามต่อ “เป็นเทพบุตรทำหน้าที่เติมไฟพระประทีปหน้าพระเจดีย์” “พระเจดีย์จุฬามณี” ผมยิ้มเพราะจำที่แม่เล่าให้ฟังได้แม่ชอบอ่านหนังสือธรรมะให้ผมฟัง “พระเจดีย์นี้บรรจุพระโมลีของเจ้าชายสิทธัตถะท้าวสักกะไปเชิญเอาพระโมลีมาเมื่อครั้งเจ้าชายตัดทิ้ง ณ ริมฝั่งแม่น้ำอโนมา แล้วเจดีย์นี้ก็มีทันตะธาตุของพระพุทธเจ้า”คุณเวณวัฒน์เอนหลังไปกับเบาะนั่ง เขายืดขายาวๆสองข้างออกไปข้างหน้า แล้วก็เล่าให้ผมฟังถึงเรื่องราวในอดีตชาติของคุณธันวา
|