==================================================================================================================================================================== “ช้างเจ้าค่ะตัวโตจนต้องแหงนหน้ามอง งานี่ยาวจนลากมาถึงพื้นเลยค่ะคุณท่าน” เจ้าหญิงโสรยาวางดอกบัวหลวงสีชมพูลงกับพานทองคำคนครัวเห็นเจ้านายปัดเศษกลีบดอกไม้และเกสรแล้วก็ลุกขึ้นยืน เจ้าของบ้านออกมายืนอยู่บนสนามหญ้าที่มีไฟสนามส่องสว่างมองออกไปหน้าบ้านที่เป็นถนนโล่ง ยามโพล้เพล้แสงน้อยแบบนี้ ต้องหรี่ตามองถึงจะเห็น ช้างดำขนาดสูงเทียมเสาไฟยืนตระหง่านอยู่หน้าบ้านมันร่อนงวงไปมาเหมือนกำลังท้าทายเจ้าของบ้าน ยังไม่ทันที่โสรยาจะเคลื่อนตัวไปใกล้ๆแม่บ้านอีกคนก็วิ่งออกมาจากหลังบ้าน “ท่านเจ้าขาเสือตัวใหญ่ค่ะ สูงเท่าม้าเลยค่ะ มันมาเดินแกว่งหางอยู่หลังบ้าน” “เสือหรือแมว?” “เสือจริงๆเจ้าค่ะอิฉันกำลังรดน้ำต้นไม้อยู่หลังบ้าน มองเลยดงพุดออกไปเห็นเสือตัวใหญ่มันเดินงุ่นง่านอยู่นอกรั้วเจ้าค่ะ” เจ้าหญิงโสรยาพยักหน้าแล้วก็ไล่ให้แม่บ้านไปปิดน้ำ “ไปปิดน้ำให้เรียบร้อยเสืออะไรกันจะมาเดินอยู่ในกรุง แก่จนตาฝ้าฟางกันหมดแล้ว คนนึงเห็นช้างอีกคนก็เห็นเสือ” เจ้าของบ้านส่ายหัว ก่อนจะเดินนำไปที่หลังบ้าน เสือตัวโตขนาดม้าเดินไปมาเหมือนต้องการเข้ามาในบ้านมันเป็นเสือโคร่งที่ลายซีดจางจนแทบมองไม่เห็นริ้วสีดำแล้ว ชาวบ้านเมื่อร้อยกว่าปีก่อนเรียกมันว่าเสือสมิง “ปิดน้ำแล้วกลับเข้าบ้านไปได้แล้วได้ยินเสียงอะไรก็ไม่ต้องโผล่ออกมา ใครเข้ามายุ่ง ฉันจะปล่อยให้เสือมันกัดให้ตัวขาด” แม่บ้านแทบจะวิ่งหนีไปทันทีไม่ต้องขู่ก็คงไม่มีใครกล้าโผล่หน้าออกมายุ่ง “ท่านระวังตัวนะเจ้าคะ” แม่บ้านหมุนปิดน้ำแล้วก็พันสายยางลวกๆซ่อนดงไม้ไว้ “เดรัจฉานวิชาชั้นต่ำ” เจ้าหญิงโสรยาพูดแล้วก็ไล่ให้คนรับใช้เข้าบ้านไป “เตรียมสำรับอาหารเย็นให้เรียบร้อยวันนี้คุณมิทกับคุณท่านบ้านนู้นจะเข้ามาทานข้าวที่นี่ ไปดูแลโต๊ะอาหารให้เรียบร้อย” คนรับใช้ย่อตัวรับคำสั่งแล้วก็เดินเร็วๆเข้าบ้านไป . . แม่หมอชาวกะเหรี่ยงพยายามดันช้างกับเสือเข้าไปในเขตบ้านแต่ดันอยู่นานก็เข้าไปไม่ได้ “ฤทธิ์เยอะนักนะมึงอีปีศาจเขมร!!!” แม่หมอตบฝ่ามือลงกับหน้าขาจากนั้นก็เป่ามนต์ใส่รูปปั้นช้างที่เป็นดินเหนียวปั้น ไกลออกไปอีกหลายร้อยกิโลเมตรที่กรุงเทพฯมีคนได้ยินเสียงช้างร้องแผดก้อง เป็นเสียงร้องที่มีทั้งอำนาจและความน่ากลัว “ผีก็ไม่มีกุมารมึงก็ไม่เลี้ยง ไม่มีพรายไม่มีอะไรซักอย่าง คราวนี้มึงจะได้ฉิบหาย” แม่หมอหัวเราะเสียงดังแล้วก็เอางาช้างดันประตูไม้ในบ้านจำลองเข้าไป เกิดเสียงเหมือนของหนักๆกระทบกันดังขึ้นมา . . เจ้าหญิงโสรยาเดินไปหยิบก้อนหินขึ้นมาสตรีในชุดผ้าทอดิ้นสลับทอง ยืนนิ่ง เธอเป่ามนต์ใส่ก้อนหินแล้วก็โยนออกไปบนพื้นใกล้ๆกับเสือ จากนั้นก็ทำอย่างเดียวกันเมื่อเดินมาถึงหน้าบ้านมีเสียงวัวใหญ่กำลังโรมรันอยู่หลังบ้านสู้กับเสือตัวใหญ่หน้าบ้านก็มีหนูยักษ์กำลังพุ่งเข้าหาช้างดำ สัตว์ร้ายของเจ้าหญิงโสรยาเหมือนกำลังได้เปรียบแต่แล้ว อยู่ดีๆ ช้างก็มีกำลังเพิ่มขึ้นมามันเหยียบหนูเป่ามนต์จนบี้แบนอยู่กับพื้น หลังบ้านนั้น วัวก็ถูกเสือกัดคอขาดไปแล้ว เจ้าหญิงโสรยาถูกช้างดำของแม่หมอกะเหรี่ยงใช้งวงรัดจนดิ้นไม่หลุดมันยืนอยู่นอกรั้วแต่ยื่นงวงยาวเข้ามาได้ถึงในเขตบ้าน มันยกเจ้าหญิงโสรยาลอยขึ้นไปในอากาศแล้วฟาดลงมากับพื้นเสียงดังสนั่น เสียงกรีดร้องดังขึ้นจนทั่วบริเวณเป็นเสียงกรีดร้องด้วยความดีใจของแม่หมอกะเหรี่ยงที่ดังข้ามระยะทางมาไกลแสนไกล . . . แม่หมอให้ช้างดำลากเจ้าหญิงโสรยามาจนถึงหน้าบ้านพักตัวเองเมื่อเดินออกจากกระท่อมทรงกะเหรี่ยง ข้างนอกนั้นเป็นป่าไม้รกครึ้ม มีแสงไฟวับแวมจากตะเกียงขวดแก้วเพียงอย่างเดียว แม่หมอชอบบรรยากาศของป่าจึงไม่นิยมให้ความเจริญเข้ามาถึงที่พักของตัวเอง ภาพของหญิงที่แต่งตัวสวยงามนอนนิ่งอยู่กับพื้นหญ้าหน้าบ้าน เป็นหญิงในชุดผ้าทอดิ้นทองสวยงามเธอมุ่นผมดำขลับด้วยช่อดอกกล้วยไม้สีเหลือง ร่างนั้นกำลังนอนไม่ได้สติอยู่กับพื้น แม่หมอสาดน้ำลงไปหน้าบ้านตรงที่มีเจ้าหญิงโสรยานอนอยู่แล้วก็หัวเราะขึ้นมา แม่หมอกรีดเสียงร้อง นางหัวเราะอย่างผู้ชนะ “มนต์ของมึงนั้นไม่อาจมีชัยเหนือคชสารนิลกาฬของกู อีกทั้งพลายสมิงของกูก็มีฤทธิ์เหนืออสูรของมึงมึงอย่าเสือกมายุ่งเรื่องของกูอีก อย่าสอดรู้เข้ามายุ่งกับการกิจของกู” ช้างดำร้องแปร๋นแปร๋ตามเจ้านายมันตั้งท่าเหมือนจะประเคนฝ่าเท้าลงไปกับเหยื่อเต็มทีแล้ว “กูจะฆ่ามึงทิ้งเสียที่นี่ไม่ให้มึงมีโอกาสกลับมาแก้แค้นกูได้อีก มึงไม่มีโอกาสเจอหน้าใครได้อีกแล้ว” ช้างดำของแม่หมอกระทืบฝ่าเท้าลงใส่เหยื่อเกิดเสียงดังแอ๊ก เหมือนของหนักกระทบกับลำตัวนุ่มๆของมนุษย์ หลังจากนั้น พลายสมิงก็กระโดดเข้ามาทึ้งร่างบนพื้นอย่างดุร้ายมันกัดทะลุคอและฉีกแขนขาเหยื่อออกเป็นชิ้นๆ เสียงแม่หมอหัวเราะชอบใจสภาพเจ้าหญิงโสรยานอนจมกองเลือดเละเทะอยู่ตรงหน้า ไม่ต้องมีคำถามใดๆว่ามีชีวิตรอดหรือไม่ แม้แต่ญาติพี่น้องมาเห็นก็คงเดาไม่ถูกว่าศพเละๆตรงหน้าคือร่างของใครกันแน่ ผมพาพ่อกับแม่มาทานข้าวที่บ้านของป้าเราเผื่อเวลาก่อนจัดโต๊ะสิบนาที เวลาคุณป้าเชิญมาบ้านนี้พ่อกับแม่ของผมไม่เคยอิดออดเพราะท่านเกรงใจคุณป้าอยู่มาก นอกจากคุณป้าจะเป็นญาติผู้ใหญ่ที่มีเชื้อสายราชวงศ์แล้วยังเป็นหนึ่งในผู้ถือหุ้นใหญ่ของเครือบริษัทเราอีกด้วย ป้ามีหุ้นอยู่เท่าๆกับที่พ่อมีแล้วก็ยังมีสังหาและอสังหาริมทรัพย์อีกมากมายป้าพูดเป็นนัยๆว่าจะยกทรัพย์สินให้ผมทั้งหมด ผมไม่นึกอยากได้สมบัติของป้าเลยเท่าที่ของพ่อกับแม่มีอยู่ก็เยอะมากพอแล้ว แต่ป้าก็ไม่มีใครอื่นทายาทสายใกล้สุดก็คือผม ป้าบอกว่า ผมก็คือลูกของป้าเพียงแต่เป็นลูกที่ไม่ได้เกิดออกมาจากตัวป้าเท่านั้นเอง ผมเดินนำพ่อกับแม่เข้าห้องโถงมาคนของป้าเดินเข้ามารับแล้วก็บอกว่ากำลังจัดโต๊ะอาหาร “แล้วคุณป้าล่ะ?” ผมถามตอนนี้บ้านเงียบเชียบจนผิดสังเกต “คุณท่านอยู่หลังบ้านค่ะท่านบอกไม่ให้ใครออกไปยุ่มย่าม” “มีอะไร?” ผมสงสัย “มีเอ่อมี...” คนของป้าไม่กล้าพูด “มีอะไร” “มีเสือกับช้างอยู่หน้าบ้านกับหลังบ้านค่ะคุณมิทท่านออกไปดูแล้วก็ยังไม่เข้ามา” “ทำไมปล่อยคุณป้าอยู่คนเดียว” ผมดุแม่บ้านของป้า “ท่านไล่มาค่ะคุณ” แม่บ้านกลับไปจัดโต๊ะพ่อกับแม่ผมเริ่มสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น “อะไรกันลูก?” แม่ผมถาม “ไม่มีอะไรครับคุณป้าอยู่ข้างนอก เดี๋ยวมิทจะไปตามนะครับ พ่อกับแม่นั่งรอตรงนี้ไปก่อน” ผมเดินออกไปดูหลังบ้าน ทุกอย่างเรียบร้อยดีเมื่อเดินมาที่หน้าบ้านก็ไม่เจอใครอยู่เลย ไม่มีช้างกับเสือตามที่แม่บ้านเล่าด้วย ผมเรียกคุณป้าอยู่ซักพักก็เดินกลับเข้าไปในบ้าน “คุณป้าอยู่ไหนล่ะค่ำแล้วเดี๋ยวยุงจะกัดเอา”แม่ผมถาม “หาไม่เจอครับเดี๋ยวมิทไปดูอีกรอบ” “เอ...ปกติท่านไม่เคยผิดเวลานี่นาหรือไม่สบายแล้วไปนั่งพักอยู่ตรงไหน มิทไปดูซิลูก” พ่อผมพูดตามหลัง ผมเดินออกมาดูหน้าบ้านแล้วก็เดินเลยออกมาหน้าถนนมองซ้ายมองขวาก็เจอแต่เสาที่มีดวงไฟสีเหลืองและมีจักรยานขี่ผ่านไปนอกจากนั้นก็ไม่มีวี่แววของป้าเลย ผมให้แม่บ้านของป้าลองเดินดูตามห้อง เผื่อป้าจะกลับเข้ามาส่วนผมเดินไปกดโทรศัพท์บนโต๊ะกลับไปที่บ้านใหญ่ เผื่อคุณป้าจะเดินไปที่นั่น “ชักยังไงแล้วสิปกติคุณอาท่านเป็นคนตรงเวลามาก นี่เลยเวลากินข้าวมาครึ่งชั่วโมงแล้ว” “ให้คนไปหาดูซิลูกท่านไปนั่งพักอยู่ตรงไหนหรือเปล่า” พ่อกับแม่ผมเป็นห่วงคุณป้ามาก ผมเรียกคนในบ้านใหญ่ให้ไปดูในบ้านและสวนเผื่อว่าคุณป้าจะไปนั่งพัก ส่วนบ้านนี้ คนของป้าดูจนครบทุกห้องแล้วก็ไม่เจอ ในสวนของคุณป้าก็ไม่ได้รกจนมีมุมลับตาไม่รู้ว่าป้าหายไปไหน ผมรู้สึกห่วงป้าจนทำอะไรไม่ถูก “เดี๋ยวพ่อจะเรียกตำรวจเข้ามาดูแถวนี้ให้ให้เขากระจายกันออกไปดูแถวบ้านเรา” “โถ่คุณอา” แม่ผมถอนหายใจผมกดโทรศัพท์ที่พกมาด้วย ยังไม่ทันที่จะได้พูดสายผมก็เห็นคุณป้าเดินออกมาจากส่วนในของบ้าน “อะไรกันวุ่นวายเชียว?” ป้าผมทำหน้าสงสัย “ป้า” ผมเดินเข้าไปหาป้า“ร้อนเหรอครับ?” ผมทักเมื่อเห็นหน้าผากของป้าชุ่มไปด้วยเหงื่อ “ป้าไปอ่านหนังสือจนเพลินลืมเวลากินข้าวไป แล้วก็ยังเจอยุงมากวนเลยจัดการฟาดมันนานๆทีออกกำลังเลยร้อนเหงื่อออก”คุณป้าผมตอบแล้วก็เอาฝ่ามือเย็นๆมาทาบที่แก้มผม ป้าหันไปยิ้มกับพ่อและแม่แล้วก็พูดต่อ “ขอโทษทีนะพอดีอาเจอของถูกใจเลยเพลินไปหน่อย ลืมเวลากินข้าวไป” “ไม่เป็นไรค่ะคุณอาพอดีเป็นห่วงเลยพลอยตื่นเต้นกัน กลัวคุณอาจะหน้ามืดแล้วไปนั่งตรงไหนกำลังจะให้คนออกไปตาม แต่แปลกจริง แม่บ้านตามหาคุณอาซะทั่วก็ไม่เจอ” แม่ผมตอบ “โถ่เอ๊ยหูตาฝ้าฟางอย่างนั้นจะไปหาอะไรเจอ แล้วอาก็ไม่ได้แก่ขนาดนั้นซักหน่อยจะไปหน้ามืดอยู่ที่ไหนได้”ป้าผมหัวเราะจากนั้นก็เรียกพวกเราสามคนไปที่ห้องอาหาร “ยังดีที่กับข้าวกับปลายังร้อนไม่งั้นคงกร่อยแย่” ป้าหัวเราะจากนั้นก็เรียกแม่บ้านมาตักข้าว ป้าดูแปลกไป แต่ก็ไม่ได้น่าเป็นห่วงป้าอาจจะไปค้นเจอหนังสือถูกใจเลยเพลินจนลืมเวลา ป้าตักแกงข้นที่เหมือนเขียวหวานให้ผมจากนั้นก็พูดไปถึงเรื่องตาน “เอาไว้น้องว่างเมื่อไหร่ก็พามาหาป้าอีกนะครั้งก่อนยังคุยกันไม่จุใจเลย” “ครับ” เราสองคนคุยกันเรื่องตานอยู่นานจนแม่ผมถามขึ้นมา “ใครหรือคะคุณอา?” “คนรักของลูกชายเธอไงล่ะ” ป้าพูดแล้วยิ้ม “เอ๊ะใครกันคะ ไม่เห็นเคยได้ยินมิทพูดถึง” แม่ผมถามด้วยความสงสัย “ก็อยู่ให้ลูกคุยด้วยซะเมื่อไหร่ล่ะทั้งพ่อทั้งแม่อยู่ไม่ติดบ้าน”ป้าผมติงแม่ แม่ก้มหน้าเขินๆปกติแม่ผมไม่เคยค้านคุณป้าอยู่แล้ว “ลูกเต้าใครกันมิทพ่อรู้จักหรือเปล่า” พ่อผมถามผมเล่าเรื่องอาหมอที่เป็นพ่อของตานให้ฟัง พ่อหลับตานึกอยู่นานก็พูดขึ้นมา “จำหน้าไม่ได้” “อาหมอบอกว่าตอนนั้นพ่อโตแล้วครับส่วนอาหมอยังเด็ก ไม่แปลกที่พ่อจำไม่ได้แต่อาหมอจำพ่อได้เพราะพ่อเป็นประธานนักเรียน” “แล้วไปรู้จักมักคุ้นกับลูกสาวเขาตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” พ่อถามผมหันไปมองคุณป้าเพื่อขอความช่วยเหลือ “เป็นเด็กผู้ชายนิสัยน่ารักเชียว หน้าตาก็น่ารัก”ป้าผมช่วยพูดเสียงกระทบกันของช้อนกับขอบจานดังขึ้นมาจากฝั่งที่แม่นั่งอยู่ “เด็กผู้ชายอะไรกันคะคุณอา?” แม่ผมคงคิดว่าตัวเองฟังผิด “เด็กผู้ชายนิสัยดี มารยาทก็ดี” ป้าผมยิ้มแล้วก็ใช้ช้อนกลางตักไก่สมุนไพรให้แม่แม่ผมยกมือไหว้แล้วก็พูดต่อ “ผู้ชายจะไปคบหากันได้ยังไงคนอื่นเขาได้นินทาเท่านั้น”แม่ผมพูดขึ้นมาคุณป้าหันไปมองแม่ด้วยสายตาประหลาด แม่ก้มหน้าลงเหมือนเกรงใจคุณป้า “ในเมื่อรักชอบกันทำไมจะคบกันไม่ได้” ป้าพูดกับแม่แต่หลังจากเห็นแม่เงียบไป ป้าก็พูดเสียงอ่อนลง “อาดูชะตาให้มิทเห็นว่าต่อไปมิทจะชะตาดับก่อนเธอ”ป้าพูด โชคดีที่แม่อิ่มพอดีเลยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องที่ไม่ควรพูดตอนกินข้าว “คุณอาหมายความว่า...” แม่ผมหน้าซีดพ่อผมตักข้าวเข้าปาก ไม่มีอาการเหมือนแม่ พ่อผมใจเย็นกว่ามาก “ดับก็คือแตกดับดวงชะตามิทนั้นมีดาวมฤตยูทับเส้นทางโคจร หากไม่มีคนที่มีบารมีเกิดในสวรรค์ชั้นฟ้ามิทจะดับตอนอายุได้สามสิบห้าปี ตอนนั้นคนแก่จะได้ไปเผาศพคนหนุ่ม” “โถ่ลูก” แม่หันมามองผมแล้วซับน้ำตา “อาไม่ได้พูดให้เธอกลัวเรื่องแบบนี้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่น ถ้าไม่คอขาดบาดตาย อาก็ไม่เอามาพูดให้ฟังหรอก” “แล้วเด็กที่ว่าเกี่ยวข้องยังไงกับมิทล่ะครับคุณอา”พ่อผมถามขึ้นมา พ่อพูดและถามตรงประเด็นเสมอ “เด็กคนนั้นมีภูมิหลังอยู่ชั้นบนจะชั้นไหนนั้นอาก็จนปัญญาจะรู้ได้เพราะมันเหนือกว่าความสามารถของอาที่จะไปหยั่งรู้อดีตชาติคน รู้แต่ว่า เวลาตกฟากของเขานั้นไม่ใช่เวลาที่คนปกติจะมาเกิด” “ผมไม่เข้าใจครับ” ผมชิงตัดบทถามขึ้นมาเรื่องนี้ป้าไม่เคยพูดกับผมมาก่อน ป้าไม่ใช่คนที่เอาเรื่องแบบนี้มาล้อเล่นแน่นอนนี่ต้องเป็นเรื่องสำคัญที่ป้ารอจังหวะที่พ่อกับแม่อยู่พร้อมหน้าถึงได้พูดขึ้นมา “หมายความว่าชะตาของมิทจะขาดตอนดาวดำนั่นเคลื่อนผ่านน่ะสิลูกมันจะเคลื่อนมาตอนมิทอายุได้สามสิบห้า แต่จะสามสิบห้ากี่วันกี่เดือนนั้นป้าก็ชี้ชัดลงไปไม่ได้ เพราะศาสตร์นี้มันให้ละเอียดได้แค่นี้” “แค่นี้ก็เป็นประโยชน์มากแล้วครับคุณอาแล้วภูมิหลังของเด็กคนนั้นจะมาช่วยมิทได้หรือครับ หรือต้องทำอะไรเพิ่มผมยินดีทำทุกอย่าง” ผมนั่งเงียบไป คำพูดของพ่อทำให้ผมรู้สึกดีพ่อไม่มีเวลาให้ แต่พ่อมีความรักให้ผมเสมอ “เอาชะตาเราสองคนไปช่วยมิทไม่ได้หรือคะคุณอา?” แม่ผมรวบช้อนแล้วก็พยักหน้าให้แม่บ้านมายกจานออกไป “เธอสองคนมีบารมีไม่ถึงหรอกเกิดเป็นคนมาซ้ำๆกันไม่รู้กี่ชาติแล้ว ไม่เคยขึ้นไปเหยียบสวรรค์ชั้นบนแล้วชาติหน้าเธอก็อาจไปถึงแค่ชั้นจาตุมหาราชิกาบนวิมานเวหา แต่ไม่ถึงดาวดึงส์” ป้าผมพูดต่อ “แล้วต้องให้เด็กคนนั้นมาช่วยมิทยังไงครับให้เขามาต่อชะตามิทแล้วเราก็จ่ายค่าตอบแทนหรือว่าอะไรครับคุณอา” “ไม่เกี่ยวกับเงินทองของมีค่าของมีค่าแลกเปลี่ยนเป็นบารมีไม่ได้ การทำบุญสร้างบารมีต้องเกิดจากใจแม้ไม่มีเงินทองก็ทำบุญได้ เธอสองคนมีเงินมากอาก็ไม่เห็นว่าจะได้บุญบารมีเพิ่ม คนนึงทำงานจนลืมลูก คนนึงออกงานจนลืมลูก คนที่ควรทำบุญด้วยกลับไม่สนใจไปสนใจทำบุญนอกบ้าน” พ่อกับแม่ผมก้มหน้านิ่งเพราะจนต่อคำพูดของป้า “คนจนไม่มีเงินอยากทำบุญก็ปลูกพืช หุงหาข้าวไปถวายพระ คนรวยมีเงินไปซื้อของมาถวายพระสองคนนี้ได้บุญเท่ากัน ใครมีกำลังเท่าไหร่ ทำไปเท่านั้น สำคัญอยู่ที่ใจ ส่วนบารมีแต่เก่าก่อนนั้น ติดตัวมาแต่หนหลังบุญหมด เทวดาท่านก็จุติลงมาเป็นคน แต่บารมียังมีติดตัวบารมีนี้ช่วยปัดเส้นทางเดินของมิทให้เดินหลบดาวมฤตยูได้ หากปล่อยให้มิทโตขึ้นไปจนถึงอายุสามสิบห้าแม้แต่อาเองก็ช่วยอะไรไม่ได้ ไม่มีใครหนีพ้นท้าวเวสสุวรรณ เพราะฉะนั้น เราต้องทำทางให้มิทเดินตั้งแต่เนิ่นๆ” ผมฟังป้าอธิบายแล้วก็นึกถึงทางรถไฟป้ารู้ว่าอีกหลายปีข้างหน้า ผมจะชนเข้ากับรถไฟอีกลำตอนนี้ป้าเลยพยายามสร้างรางรถไฟให้ผมใหม่อีกเส้น “อาไม่อยากให้เธอสองคนคิดว่าเราจ้องจะจับเด็กคนนั้นมาสะเดาะเคราะห์ให้มิทมิทเองต่างหากที่ไปชอบพอเขา เขาไม่ได้อยู่ดีๆก็เดินเข้ามาหามิท แต่เพราะชะตามิทกำหนดให้มันป็นแบบนี้ชะตามันรู้ว่าเด็กคนนั้นจะเลี่ยงพายุร้ายนี้ได้” “เคยพามาหาคุณป้าแล้วหรือลูก?” แม่ผมถามขึ้นมา “เคยพามาครับหลายวันแล้ว” “ถ้าอย่างนั้นก็แล้วแต่คุณอาเถอะค่ะมิทก็เหมือนลูกคุณอาเอง เราสองคนให้คุณอาเป็นคนตัดสินใจค่ะ” แม่ผมพูดแล้วหันไปมองพ่อ ป้าผมมองพ่อกับแม่แล้วก็พูดขึ้นมาอีกว่า “มันไม่ได้อยู่ที่อาแต่อยู่ที่เขากับมิท ฝ่ายเราเองอยากได้เขา แต่ใช่ว่าฝ่ายเขาจะอยากได้เราอย่ามองว่าเราสูงกว่า ทางนู้นเขาก็มีคนอยากได้ตัวเหมือนกัน” “งั้นให้พ่อไปคุยดีมั้ยลูกเห็นว่าพ่อเขาเป็นรุ่นน้องของพ่อ”แม่ผมหาทางช่วย “อย่าเพิ่งเลยครับผมกลัวว่าถ้าผมเข้าไปยุ่งมากกว่านี้ ตานเขาจะรำคาญ ยิ่งตอนนี้เขามีคนมาตามด้วยผมไม่อยากเสี่ยง แม่ครับ มิทชอบตานจริงๆไม่ได้ชอบเพราะเขามีอะไรที่จะมาช่วยมิท แต่ชอบเพราะถูกชะตาจริงๆ” “วันไหนว่างก็พามาหาแม่บ้างสิลูกแม่อยากเจอ เห็นคุณป้าชมแบบนี้แม่ยิ่งอยากเจอตัวจริง” “แล้วมิทจะพาน้องมากินข้าวด้วยครับเอาไว้โอกาสเหมาะๆ” *** ขอรีพลายเป็นค่าตอบแทนได้มั้ย ดูอบอุ่นเป็นผู้ใหญ่ครับ” ผมพูดกับพี่สาวคนสวยที่เคาน์เตอร์น้ำหอมพี่คนขายฉีดน้ำหอมใส่กระดาษซับแผ่นเล็กๆให้ผมดมดูทีละกลิ่น ผมสะบัดกระดาษไปมาในอากาศแล้วก็เอามาจ่อใต้จมูกขวดแรกออกสีเหลืองกลิ่นฉุนแรง ขวดที่สองออกสีดำกลิ่นแนวสปอร์ต ขวดที่สามน้ำสีใสเหมือนน้ำกลิ่นออกแนวสดชื่นและอบอุ่นผสมกัน “งั้นลองฉีดก่อนได้มั้ยครับเดินให้กลิ่นกลางมันออกก่อน ซักชั่วโมงจะกลับมาใหม่ครับ” ผมยิ้มให้พี่คนขายพยักหน้าแล้วยื่นขวดเทสเตอร์กลิ่นสุดท้ายมาให้ผม ผมฉีดครั้งเดียวที่หน้าอกใกล้กับกระดุมเสื้อเม็ดแรกจากนั้นก็เดินมาตามหานกน้อยที่ร้านหนังสือนกน้อยก้มๆเงยๆอยู่หน้าหนังสือพิมพ์ดิจิตอลบนหน้าจอของร้าน ผมเห็นนกน้อยใช้นิ้วมือดันรายละเอียดข่าวลงไปทีละย่อหน้า “อะไรเหรอ?” ผมยื่นหน้าเข้าไปถามนกน้อยหันกลับมาแล้วตอบว่า “ยักษ์เหยียบคนบนดอย” “อะไรกันจะเอายักษ์ที่ไหนมาเหยียบคน?”ผมพูดแล้วก็มองดูภาพในข่าวมันเป็นชายป่าที่มีเศษซากของกระท่อม แต่กระท่อมนั้นก็แทบมองไม่ออกว่าเคยเป็นอะไรมาก่อน มันพังพินาศเหมือนถูกพายุซัดแถมยังโดนไฟไหม้อีกด้วย “แล้วเจ้าของบ้านล่ะ?” ผมไม่ทันอ่านข่าวจนจบเพราะนกน้อยกดปิดหน้าเพจซะก่อนตอนนี้เราสองคนยืนอยู่หน้าร้านหนังสือ ข้างหน้าเป็นกระจกที่ใช้อ่านข่าวได้ “เห็นว่าหนีเข้าป่าไปมีคนไปตามตัวออกมาแต่กลายเป็นบ้าไปแล้ว ตำรวจถามก็ไม่รู้เรื่องยกมือไหว้อากาศอย่างเดียว บอกว่ากลัวแล้วๆ” “โจรป่าก็ไม่น่าใช่” “โถ่ตานก็บอกแล้วไงว่ายักษ์เหยียบ รอยเท้าใหญ่ขนาดนั้น” “มีรอยเท้าด้วยเหรอ” “มีสิดินตรงนั้นมันนุ่มเพราะฝนเพิ่งตก” “อาจจะเป็นการอำพรางก็ได้นะ” ผมยิ้ม “อำพรางว่าเป็นยักษ์เนี่ยนะตาน นกน้อยคิดไปถึงยักษ์ที่ตานเจอในป่าช้าเลยนะ น่ากลัวมาก คิดแล้วขนลุก” นกน้อยพูดแล้วก็เอาหน้ามาซุกหน้าอกผม “ตาน!!!” นกน้อยร้องขึ้นมาทำเอาผมสะดุ้งไปชั่วขณะ “อะไร?” “ตัวหอมจังได้กลิ่นแล้วอยากกอดเลยล่ะ” “ไปลองน้ำหอมมา” ผมยิ้มแล้วแยกเขี้ยว “เหรอว๊า ทำไมไม่ชวนนกน้อยไปด้วย”นกน้อยทำท่างอน “ก็ยังไม่ถึงเวลานัดน่ะเลยเดินเรื่อยๆ ผ่านเคาน์เตอร์ก็เลยลองแวะไปดู” ผมพูดแล้วก็ดึงมือนกน้อยมาที่ร้านอาหาร “แต่กลิ่นนี้ไม่ดูเป็นผู้ใหญ่ไปเหรอ?” นกน้อยสงสัย “ก็อยากได้กลิ่นแบบนั้นเองจะซื้อไปให้คนอื่น” ผมพยักหน้า “วันเกิดพ่อเหรอ?” นกน้อยขยับเก้าอี้แล้วนั่งลงตรงที่จองโต๊ะเอาไว้ “เปล่าซื้อให้คนอื่น” ผมกรอกตาไปมาแล้วอมยิ้มจากนั้นก็จิ้มเมนูบนโต๊ะดู “พี่มิทเหรอ?”นกน้อยซัก “วันนี้ถามเยอะจริง” ผมหัวเราะ “ก็อยากรู้นี่นา” “เปล่าไม่ใช่พี่มิท” “งั้นใครล่ะ?” “คุณเวณวัฒน์” ผมตอบแล้วก็ก้มลงดมกลิ่นที่หน้าอกตัวเองตอนนี้กลิ่นมิดเดิลโน้ตเริ่มออกมาแล้ว “เวณวัฒน์ไหน?” นกน้อยเท้าคางแล้วก็มองผม “ความจำสั้นจริงนกน้อยนี่ก็คุณเวณวัฒน์ ทิชากรไง” ผมหัวเราะนกน้อยนึกอยู่ไม่นานก็อ้าปาก “ปัดโถ้เจอกันไกลๆ แถมยังได้แค่อ่านชื่อ ใครจะจำได้” นกน้อยบ่นงุบงิบ “บางคนต่อให้นานแค่ไหน เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ เราก็จำได้” ผมพูดออกมาลอยๆ ภาพในหัวนึกไปถึงภาพคุณเวณวัฒน์ “พูดเหมือนบทละครเลยแล้วไปสนิทกันตอนไหนล่ะเนี่ย?” “ไม่บอก” ผมหัวเราะ “มาหลอกให้อยากแล้วก็จากไป”
|