พี่เอกไม่ใช่คนโง่ ถึงจะดูช้ากว่าพี่โมทพี่โอมแต่ก็เป็นคนที่คิดวิเคราะห์ ผมล่ะเกลียดคนแบบนี้ที่สุดเกลียดคนที่ซื้อไม่ได้ด้วยเงินและของแลกเปลี่ยน ผมเดินเข้าไปในห้องอารมณ์ที่โดนปลุกเร้าก่อนอาบน้ำก็ยังคุกรุ่นอยู่มันเหมือนเปิดสวิทช์ไฟในตัวแล้วดับไม่ได้ มันงุ่นง่านได้แต่เดินไปเดินมาเหมือนเสือตัวเมียไม่ได้ผสมพันธุ์ “หงุดหงิด!!!” ผมตะโกนพอเดินหนักเข้าก็หิวน้ำ ผมเดินออกมาหาน้ำเย็นๆ ขากลับจากห้องครัวขาผมพาเดินเข้าไปหาพี่เอกซะเฉยๆ พี่เอกมองผม ผมก็มองพี่เอก ผมเดินเข้าไปนั่งตักแล้วก็นั่งเบียดท่อนล่างพี่เอกไปมาพี่เอกขยับตัวหนีแต่ก็ไม่ได้ปัดผมออก “ถ้าทำผิดแล้วครั้งนึงครั้งต่อไปก็ไม่ควรทำอีก”พี่เอกพูด “เป็นพระหรือไงจะอะไรกันมากมาย เงี่ยนก็ต้องเย็ดกันสิ จะหวงตัวทำไม” ผมพูดแล้วก็เข้าไปล้วงแท่งอุ่นๆใต้กางเกงพี่เอก แท่งใหญ่ๆและอุ่นจัดกำลังพองตัวพี่เอกนั่งนิ่งเหมือนกำลังยั้งใจตัวเองแต่อารมณ์ของผมมันพลุกพล่านจนหว่างขามันเปียกแฉะไปหมดแล้ว “สามนาทีถ้าไม่แตกจะหยุด แต่ถ้าแตก พี่เอกต้องทำตามนัทสั่ง ตกลงนะ” ผมก้มลงไปตรงหว่างขาพี่เอกปากของผมครอบลงไปบนแท่งขนาดท่อนไฟฉายแท่งเนื้อสีอ่อนกำลังมีเลือดเข้าไปเลี้ยงจนกลายเป็นสีเข้มขึ้น เส้นเลือดและเส้นเอ็นปูดขึ้นมาจนมันโตขึ้นอีกเท่าตัวผมกำมันด้วยมือขวา มือผมกำแล้วก็ชักถี่ๆ พี่เอกนั่งนิ่ง สายตาภายใต้กรอบแว่นยังมองดูทีวีนิ่งเฉย ผมเอาลิ้นไปเลียตรงรอยหยักจากนั้นก็เอานิ้วโป้งกดแล้วคลึง พี่เอกหายใจถี่ขึ้นแล้วก็กางขาออกมากขึ้น ผมครอบปากลงไปอีกครั้งคราวนี้ผมดูดแล้วก็ขยับขึ้นลง น้ำใสๆ เริ่มไหลออกมาจากรอยแยกตรงปลายท่อน พี่เอกหลับตาแล้วก็นอนเอนลงไปบนเบาะ ผมดูดเน้นๆแล้วพี่เอกก็กดหัวของผม เขากระแทกแท่งแข็งๆขึ้นมาจากด้านล่าง แท่งอุ่นๆ สัมผัสกับปากอุ่นๆรอบๆแท่งก็โดนลิ้นของผม ผมรู้สึกว่าพี่เอกใกล้ถึงจุดสุดยอด แท่งในปากผมมันแข็งจัดน้ำเหนียวๆไหลออกมามากขึ้น แล้วพี่เอกก็อ้าปากร้อง เสียงต่ำๆดังในคอผมเอามือชักจากด้านล่าง ด้านบนผมก็ดูดเน้นๆ นับหนึ่งถึงห้าน้ำอุ่นๆก็พุ่งเข้าไปในคอผม พี่เอกร้องสุดเสียง ดูเขามีอารมณ์ร่วมมากพี่เอกลุกขึ้นมาจูบปากผม เขาจูบหน้าผากผมแล้วก็ส่งฝ่ามือไปคลึงรอบๆก้น ผมอยากจะไปบ้วนน้ำเหนียวๆในปากทิ้งแต่พี่เอกก็มาประกบไว้ ผมโดนผลักลงไปนอนกับเบาะนุ่มๆสุดท้ายน้ำทั้งหมดก็ถูกกลืนเข้าท้อง พี่เอกเอานิ้วโป้งเช็ดน้ำที่เลอะออกมาข้างนอกปากของผมแล้วก็จูบผมต่อผมกำลังมีอารมณ์ น้ำใสเริ่มไหลออกมาจนเปียกช่วงกลางลำตัว พี่เอกจ่อแท่งเข้ามาแล้วก็กดหัวใหญ่ลงไปในรู ผมนั่งขย่มแล้วก็ก้มลงไปดูดหัวนมพี่เอกหนุ่มตี๋ใส่แว่นนอนแผ่ให้ผมทำโดยดี พี่เอกตัวใหญ่ เวลากอดแล้วรู้สึกอุ่นผมขยำเนินอกแล้วก็ไซ้คอเขาเบาๆ พี่เอกขยับท่อนล่างขึ้นลงเราสองคนกอดรัดกันอยู่บนเบาะโซฟาหน้าทีวี รายการถ่ายทอดสดยังคงดำเนินต่อไปแต่พี่เอกไม่ได้หันไปมองอีก ตอนนี้พี่เอกประกบปากจูบผมอย่างดุเดือด พี่เขาพลิกตัวขึ้นมาอยู่ข้างบนพี่เอกขยับแท่งใหญ่ๆเข้าออก จากนั้นก็เร่งความแรงและเพิ่มน้ำหนัก ผมถูกแหวกขาสองข้างออก พี่เอกก้มลงมาดูดหัวนมลิ้นสากๆ ลากผ่านจุดไวต่อความรู้สึก ผมรู้สึกว่ารูก้นผมมันขยับไปอย่างอิสระ เหงื่อเม็ดเล็กๆผุดขึ้นมาเต็มหลังกว้างๆของพี่เอกผมได้ยินเสียงครางต่ำๆดังออกมาต่อเนื่อง มันเป็นเสียงที่ฟังดูเซ็กซี่ดี กลิ่นโรลออนผู้ชายของพี่เอกกระตุ้นความรู้สึกผมอย่างรุนแรงผมลูบมือไปบนเอวของเขาแล้วก็ขมิบก้นรับแท่งที่แทงเข้าออก พี่เอกกระแทกตัวเข้ามาแรงขึ้นทุกทีจากความนุ่มนวล กลายเป็นความรุนแรง เสียงกระทบกันของหัวหน่าวและท้องน้อยดังมากขึ้นเรื่อยๆ พี่เอกแทงเข้ามาจนมิด ผมรู้สึกว่าปลายแท่งนั้นมาสัมผัสโดนจุดที่มันอยู่ลึกเข้ามาข้างในรูก้นแล้วยิ่งโดนลิ้นสากๆลากไปบนหน้าอกแล้ว ผมยิ่งอยากจะร้องออกมาดังๆผมพันสองขาเข้ากับเอวพี่เอก จากนั้นก็กระดกก้นรับแรงกระแทก ผมลูบไปบนกล้ามเนื้อปีกข้างหลังลูบมือลงไปบนหัวหน่าวพี่เอก ขนละเอียดสัมผัสโดนฝ่ามือให้ความรู้สึกที่แปลกดี พี่เอกถอนตัวออกมาปล่อยให้รูของผมมันเปิดค้างอยู่อย่างนั้น พี่เอกก้มลงไปเลียแล้วก็ใช้ฟันขบเบาๆจากนั้นก็วนนิ้วมือไปรอบๆรูก้น แท่งผมแข็งจัดแล้วก็ตั้งขึ้นมาทันทีรูก้นก็ตอดตุบๆกับนิ้วมือพี่เอก พี่เอกแหวกขาผมออกอีกครั้งคราวนี้เขากระแทกแรงๆ แท่งใหญ่ๆ แทงพรวดเข้าไป มันลึกจนสัมผัสถูกจุดด้านใน ผมเกร็งตัวแน่น ปากงับเข้าที่หัวไหล่พี่เอกพี่เอกขยับก้นเข้าออกแรงๆ รูก้นผมตอดถี่ๆ แท่งผมมันแข็งจนเหมือนกลายเป็นหิน ผมกอดพี่เอกแน่น รูก้นรัดจังหวะสุดท้ายในที่สุดน้ำก็แตกออกมาเอง คราวนี้ น้ำพุ่งขึ้นมาถึงหน้าอกและใต้คาง ผมนอนแผ่ลงไปข้างๆพี่เอก ผมซุกจมูกลงไปกับต้นแขนใหญ่มือเขี่ยเข้าไปเล่นใต้รักแร้ ซอกแขนของพี่เอกใหญ่และแข็งแรงมากมีกลิ่นน้ำหอมหรือกลิ่นโรลออนอะไรซักอย่างโชยออกมา มันปลุกเร้าอารมณ์ผมไปเมื่อช่วงหลายนาทีก่อน ผมดันตัวเองลุกขึ้นยืนผมไม่อยากให้พี่โมทหรือพี่โอมมาเห็นผมอยู่ในสภาพนี้ ไม่ใช่เพราะผมแคร์แต่ผมไม่อยากถูกสองคนนั้นรบกวนอีก “ไปไหน?” พี่เอกถามตอนผมดันตัวขึ้นมาเขาเอาแขนมาคล้องเอวผมไว้ไม่ให้ออกไปไหน “น้ำแตกก็แยกทางกันสิจะนอนแช่อยู่ทำไม” ผมตอบ “ทำไปเพราะอยากเฉยๆใช่มั้ย?” “ถ้าไม่อยากใครจะทำล่ะ ทำเหมือนพี่ไม่อยาก”ผมทำหน้าตาสงสัยกับคำพูดเขา “ไม่ใช่แบบนั้น” “แล้วแบบไหนล่ะ?” ผมย้อน “ไม่มีความรู้สึกอะไรเลยเหรอ?” พี่เอกถามต่อ “ก็เสียวดีทำไม จะเอาคำชมอะไร พี่เอกใหญ่กว่า อึดกว่า เก่งกว่า แค่นี้พอใจมั้ย” ผมยักไหล่แล้วก็เดินออกมาตอนนี้ต้องไปอาบน้ำแล้วนอนพัก อารมณ์เงี่ยนถูกปิดสวิทช์ความกระเหี้ยนกะหือรือหมดไป ตอนนี้เหลือแต่ความง่วงและเพลีย “รักษาสัญญาด้วยนะพี่เอกน้ำแตกในสามนาที ต่อจากนี้ไปต้องช่วยนัททำงาน” ผมพูดทิ้งท้ายแล้วก็เดินเข้าห้องนอนไปพี่เอกนอนเปลือยอยู่ที่เดิม ผมเห็นเขาถอดแว่นตาแล้วก็เอนตัวลงนอนราบไปกับเบาะ เรานั่งเครื่องมาด้วยกันหกคน มีผม พี่มิทนกน้อย พี่เป้ นัท แล้วก็พี่ปีสามที่นัทบอกว่าชื่อพี่เอก เครื่องบินใช้เวลาแค่ไม่ถึงสองชั่วโมงก็บินลงมาจอดบนสนามบินป้าของพี่มิทที่ล่วงหน้ามาก่อนสองวันให้รถยนต์นั่งขนาดสิบสองคนมารับพวกเรา ผมนั่งข้างๆนกน้อย พี่มิทนั่งกับพี่เป้และนัทกับพี่เอกก็นั่งอีกด้านรถยนต์ขับผ่านตัวเมืองที่เป็นถนนใหญ่สี่เลนออกมานอกเมือง ในมือผมเปิดเครือข่ายโทรศัพท์ข้ามประเทศเอาไว้ คุณเวณวัฒน์บอกว่าให้ผมเปิดโทรศัพท์เอาไว้ตลอดเวลา แล้วถ้าถึงที่พักแล้วก็ให้โทรหาเขา “คุณเวณวัฒน์จะมายังไงนะตาน?” นกน้อยถามขึ้นมาตอนรถขับออกนอกเมือง “บินมามั้ง” ผมตอบแล้วยิ้ม “ก็ต้องขึ้นเครื่องบินมาอยู่แล้วล่ะไกลขนาดนี้ใครเขาจะขับรถยนต์มา ยิ่งตาบอดอย่างคุณเวณวัฒน์ ยิ่งลำบากใหญ่” อันที่จริงผมหมายถึงคุณเวณวัฒน์อาจจะบินมาด้วยปีกตัวเองต่างหากแต่นกน้อยกลับเข้าใจไปอีกอย่าง แต่แบบนั้นก็ดีแล้ว และที่สำคัญตอนนี้นกน้อยยังไม่รู้ว่าคุณเวณวัฒน์ไม่ได้ตาบอดถาวร เขาตาบอดชั่วคราวแล้วแต่ใจนึกต่างหาก พี่มิทเหลือบมองมาทางผมเป็นระยะ นานๆทีบ้างบางทีก็เหลือบมองมาบ่อย มีหลายครั้งที่หันมาเจอผมพอดี รถยนต์ขับผ่านป่าไม้ครึ้มมันเขียวขจีและเย็นเข้ามาถึงในรถ นกน้อยหยิบขนมขึ้นมากินเราสองคนชวนกันคุยเรื่องตลกเพื่อฆ่าเวลา พวกเราใช้เวลาบนรถยนต์มากกว่าตอนอยู่บนเครื่องบินซะอีกรวมแล้ว จากสนามบินมาถึงเขตนอกเมืองที่เป็นที่ตั้งของพระราชวังใช้เวลาถึงสี่ชั่วโมง รถยนต์ขับเข้ามาถึงบ้านพักเวลาเที่ยงกว่าพี่มิทเปิดประตูรถยนต์แล้วเชิญทุกคนลงรถ กระเป๋าท้ายรถมีคนงานเข้ามาขนให้ พี่มิทบอกว่า บ้านหลังนี้เป็นของคุณป้าสร้างเอาไว้ตากอากาศ อยู่ห่างจากพระราชวังหลวงไม่ไกลนักใช้เวลาเดินทางไปแค่สิบนาทีก็ถึงแล้ว ผมมองออกไปด้านหลังของบ้าน ไกลออกไปมียอดเขาสูงชันหลายลูก มีอยู่ลูกนึงที่มีรูปร่างคล้ายกรวยเป็นลูกที่สูงที่สุดของยอดเขาบริเวณนี้ “ลูกนั้นเป็นภูเขาไฟครับ” พี่มิทเข้ามาอธิบายก่อนพวกเราเดินเข้าบ้าน “สวยดีครับแต่คงสูงมาก” ผมยังคงมองไปยังยอดเขาตรงจุดที่เป็นที่ราบเล็กบนยอดสูงสุด “ครับสวยมาก ยิ่งถ้าช่วงไหนหนาวๆ จะมีน้ำแข็งข้างบนด้วยครับ แต่ไปยากนะครับพี่ก็ยังไม่เคยไป แต่ป้าเคยเล่าให้ฟัง” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มพี่มิทเข้ามาช่วยหิ้วกระเป๋า แต่ผมพยักหน้าไปทางนกน้อยที่มีกระเป๋าใบใหญ่กว่า นัทกับพี่เอกเดินนำเข้าไปก่อนแต่ก่อนจะถึงด้านใน ป้าของพี่มิทรวมทั้งพ่อและแม่ก็เดินเข้ามาทักทายพวกเราพากันยกมือไหว้ ผมเห็นนัทยกมือไหว้ป้าของพี่มิทด้วยอาการแปลกๆจากนั้นก็เดินอ้อมมาหลบอยู่ข้างหลังพี่เอก “เหนื่อยมั้ยลูก?” ป้าพี่มิทถามผม “ไม่เหนื่อยครับ” ผมยิ้ม “รีบไปเก็บของแล้วมาทานกลางวันกันนะคะเด็กๆ” แม่พี่มิทพูดขึ้นมาจากนั้นก็เดินเข้ามาลูบหัวผมเบาๆ “น้องตานกินเยอะๆนะลูกวันนี้แม่ทำกับข้าวเอง” แม่พี่มิทเข้ามาจับแขนผมไว้ก่อนเดินเข้าห้อง “ครับ” ผมตอบแล้วเดินไปกับนกน้อยเราสองคนได้ห้องเดียวกัน อันที่จริงพี่มิทจัดห้องเดี่ยวไว้ให้แล้วแต่นกน้อยยืนกรานจะนอนกับผม ส่วนพี่เป้ก็ทำตัวติดพี่มิทเช่นกัน สรุปแล้วแต่ละคนก็จะมีรูมเมทของตัวเอง รวมทั้งนัทด้วย ซึ่งมีพี่เอกนอนเป็นเพื่อน “สองคนนั้นเขาเป็นพี่น้องกันเหรอตาน?” นกน้อยถาม “ไม่รู้สิ” ผมตอบนกน้อยเอากระเป๋าวางไว้ข้างเตียงนอนเราสองคนรีบออกมาทานข้าวเพราะเลยเวลามาพอสมควรแล้ว อย่างที่แม่ของพี่มิทบอก อาหารบนโต๊ะส่วนนึงเป็นของที่ผมชอบกินตอนอยู่บ้าน นี่คงเพราะมีใครโทรไปที่บ้านผมหรือไม่ก็มีที่บ้านผมบอกเอาไว้ ผมไม่ค่อยชอบบริการแบบนี้เท่าไหร่ผมไม่อยากมีอภิสิทธิ์ แต่ในเมื่อเป็นสิ่งที่อีกฝ่ายเต็มใจทำ ผมก็ปฏิเสธไม่ได้ พ่อของพี่มิทพยายามชวนผมคุยเรื่องที่บ้านระหว่างที่เราคุยกัน นัทก็เข้ามาร่วมวงด้วยอีกคน “คุณลุงคงรู้จักพ่อของนัทใช่มั้ยครับท่านเป็นผู้บริหารโรงแรมหกดาวบนถนนสุขุมวิท” นัทพูดชื่อโรงแรมกับชื่อพ่อให้ฟังพ่อของพี่มิทพยักหน้าช้าๆ “เคยเจอกันตามงานไม่เคยเข้าไปคุยส่วนตัว เอาไว้คราวหน้าลุงจะเข้าไปคุยด้วยซักหน่อย” “เชฟที่โรงแรมเราทำอาหารอร่อยมากนะครับช่วงนี้ขาแกะนิวซีแลนด์กับปลาน้ำแข็งขั้วโลกใต้เป็นอาหารแนะนำครับแล้วก็มีนกยูงเสิร์ฟกับมะนาว” ผมได้แต่ยิ้มระหว่างที่นัทพูดเรื่องอาหารที่บ้านผมไม่ใช่คนรวยขนาดไปกินอาหารพวกนั้นผมคนแกงจืดลูกชิ้นกับผักกาดขาวและผัดคะน้าหมูกรอบไปมา “เอาไว้ว่างๆเชิญคุณลุงกับคุณป้าที่ห้องอาหารนะครับ เดี๋ยวนัทกันโต๊ะพิเศษเอาไว้ให้เชิญคุณป้าด้วยครับ” คุณป้าสุดท้ายนัทหันมาทางคุณป้าโสรยา “เอาไว้กลับไปคงได้โอกาสไป” คุณป้าโสรยาตอบตอนนี้บนโต๊ะมีอยู่สองคนที่ไม่ค่อยพูดคือพี่เอกกับพี่เป้ พี่เอกนั้นผมไม่ค่อยรู้รายละเอียด แต่พี่เป้ผมรู้ว่าทำไม ปกติแล้วพี่เขาจะมีอารมณ์สนุกสนานเวลาอยู่กับเพื่อนแต่พอมาทานข้าวกับผู้ใหญ่ ผมรู้สึกว่าพี่เป้เปลี่ยนไปดูพี่เขาพยายามสำรวมจนพี่มิทหัวเราะ “เกร็งจนช้อนสั่นเลยนะมึง” พี่มิทหัวเราะ “มากูมึงต่อหน้าคุณป้าได้ไงมิทนี่ไม่เอานะ ไม่สุภาพ” แม่พี่มิทเตือน “เด็กผู้ชายก็แบบนี้แหละตามสบายเลย ป้าไม่ถือ” “ป้าน่ารักที่สุด” พี่มิทยิ้มเอาใจ “ครอบครัวอบอุ่นมากเลยครับน่ามาอยู่ด้วยจัง ที่บ้านของนัทไม่ค่อยได้กินข้าวพร้อมหน้ากันแบบนี้ญาติผู้ใหญ่แก่ๆก็ไม่มี พ่อกับแม่ออกไปทำงานทุกวัน” นัทบ่นออกมาทุกคนนิ่งไปเหมือนมีบางอย่างผิดปกติ แต่พี่มิทหัวเราะขึ้นมาทำลายความเงียบ “ว่างๆก็ชวนพ่อแม่ออกไปกินข้าวนอกบ้านบ้างสิ” พี่มิทตอบนัท “ก็อยากมากินแบบนี้นี่ครับได้มั้ย?” นัทพูดต่อระหว่างนั้นพี่เอกตักไก่ทอดและเลื่อนแก้วน้ำมาให้นัทเหมือนตั้งใจขัดจังหวะนัทหันไปทำตาขวางแล้วก็ตักไก่ข้าวปาก หลังมื้อกลางวันทุกคนแยกย้ายกันมาพักผ่อนในห้อง ผมเปลี่ยนเป็นชุดกางเกงขาสั้นเพราะคิดกันกับนกน้อยว่าจะไปเดินเล่นบริเวณรอบๆบ้าน ก่อนจะออกไปเดินนั้นพี่มิทเคาะประตูห้องแล้วเปิดเข้ามายิ้ม “ไปจับปลากันมั้ยครับสนุกนะ” “ปลาเหรอคะพี่มิท?” นกน้อยทวนเสียงสูง “ครับปลาภูเขา” “กำลังจะออกไปเดินเล่นพอดีครับ” ผมตอบ เราสามคนเดินออกไปสมทบกับพี่เป้ข้างนอกส่วนพี่มิทเดินไปตามพี่เอกกับนัทอีกห้อง ด้านหลังของบ้าน เป็นชายป่าเดินไปไม่ไกลเป็นธารน้ำไหล ด้านล่างลำธารเป็นกรวดเม็ดใหญ่ น้ำข้างล่างเย็นสบายและสามารถมองเห็นปลาว่ายตามกระแสน้ำได้เป็นฝูงใหญ่ๆ นกน้อยร้องดีใจตอนเห็นปลาผมกับนกน้อยที่สวมกางเกงขาสั้น ประเดิมลงไปเป็นคู่แรกพี่มิทกับพี่เป้พับขากางเกงขึ้นแล้วก็เดินตามเราลงมา ส่วนนัทกับพี่เอกยืนรออยู่ริมลำธารซึ่งมีเสื่ออาหารว่างและน้ำดื่มมาด้วย พี่มิทบอกว่า ปลาในลำธาร ว่ายมาจากบนเขาสูงพอมันโตจะว่ายลงไปปลายน้ำที่ทะเลสาบ พอผสมพันธุ์เสร็จแล้วถึงจะว่ายกลับขึ้นมาใหม่ “เหมือนปลาแซลมอนเลยนะตาน” นกน้อยพูดจากนั้นก็ก้มๆเงยๆขณะมองปลาว่ายผ่านหน้าไป “ว่ายเร็วแบบนี้ จะจับทันได้ไง?” “น่าจะมีสุ่มหรือไม่ก็สวิงจับนะเอามือเปล่าจับก็ยาก” ผมพูดไม่ทันจบพี่เป้ก็จับปลาขึ้นมาได้ เมื่อลองสังเกตอีกทีผมเห็นพี่มิทต้อนปลาไปให้พี่เป้ เมื่อปลาว่ายรวมกันเยอะๆพี่เป้ก็พุ่งมือลงไปจับตรงใกล้ๆกับหัวปลา ผมยอมแพ้ตอนนี้ผมกับนกน้อยช่วยกันงมหาปูตามริมตลิ่งแทน ปูตัวใหญ่มันนอนนิ่งๆไม่ได้ว่ายน้ำหนีได้เหมือนปลา พวกเราเพลิดเพลินอยู่ได้พักใหญ่ จู่ๆ นัทก็ร้องเสียงดังพอหันไปก็เห็นนัทวิ่งออกมาจากเสื่อ ใกล้กันนั้นพี่เอกกำลังยกเท้าเตรียมเหยียบเชือกดำๆบนเสื่อ พวกเราสี่คนวิ่งเข้าไปดูใกล้ๆ เชือกสีดำที่เห็นที่แท้เป็นงูตัวอ้วน มันเลื้อยอุ้ยอ้ายเหมือนพยายามหนีจากเท้าของพี่เอก “เหยียบสิจะรอให้มันกัดหรือไง!!!” นัทตะโกน “อย่าฆ่ามันเลยครับสงสัยมันหิว ลูกในท้องมันคงใกล้ออกมาแล้ว” “จะบ้าหรือไงที่นี่ไม่ใช่เขตอภัยทานนะ อยากปล่อยงูก็ไปซื้อที่ท่าน้ำริมวัดนู้น” นัททำเสียงขุ่น “ปล่อยมันไปเถอะฆ่าตัวเดียวก็เหมือนฆ่าหลายตัว มันคงหิวเลยออกมาหาของกิน” พี่มิทเข้ามาช่วยมันไว้ได้เขาใช้ไม้ยาวๆ ดันมันออกจากเสื่อ อันที่จริงผมก็คิดว่าพี่เอกคงไม่คิดจะเหยียบมันจริงๆ ถ้าเขาคิดจะฆ่าก็คงเหยียบไปตั้งแต่แรกแล้ว นกน้อยเอาปูที่จับได้ปล่อยลงน้ำพี่เป้เองก็ปล่อยปลาคืนกลับลำธารไป พวกเราไม่ได้ตั้งใจมาเบียดเบียนสัตว์แต่แค่มาหาอะไรทำเท่านั้น “พรุ่งนี้เช้าค่อยไปเที่ยวพระราชวังนะครับคุณป้าจะนำเที่ยวเองเลย มีของหลายอย่างที่เห็นแล้วต้องทึ่ง” “มีทหารมีนางข้าทาสบริวารเยอะมั้ยครับพี่มิท” นัทถามเสียงใส “ไม่มีแล้วครับมีแค่เจ้าหน้าที่ดูแลพระราชวังหลวง” ผมลืมไปซะสนิท ไม่ได้พกโทรศัพท์ติดตัวมาด้วย พอกลับถึงห้องผมก็รีบโทรศัพท์หาคุณเวณวัฒน์ทันที เขาถามผมว่าอยู่แถวไหน เราสองคนคุยกันไม่นานนักพอรู้คร่าวๆว่าผมอยู่ตรงไหน เขาก็วางสายไป ช่วงค่ำผมนั่งมองยอดภูเขาไฟจากริมหน้าต่างห้องรับแขก มันดูวิวไม่ได้สะดวกนักเพราะป่าไม้บัง เมื่อผมเดินออกไปตรงลานหน้าบ้านจุดเดียวกับที่เคยหยุดดูตอนมาถึงเมื่อช่วงกลางวัน ช่วงจังหวะเวลากะพริบตาสั้นๆนั้นผมมองเห็นแสงไฟสว่างวับบนยอดเขาเมื่อหลับตาลงไปแล้วพยายามเพ่งใหม่ก็ไม่มีแสงไฟอีกแล้ว “มองอะไรอยู่ล่ะลูก?” คุณป้าโสรยาถือกระเช้าดอกไม้ที่เก็บจากหน้าบ้านเข้ามาตรงหน้าผมพอดี “มองภูเขาไฟครับเหมือนเห็นแสงไฟบนนั้น ไม่แน่ใจว่ามีบ้านคนอยู่หรือเปล่า” ผมตอบ “ไม่มีหรอกลูกมันเป็นที่อยู่ของผี สารพัดผี ไม่มีคนอยู่หรอก แสงดาวแสงเดือนมันหลอกตาเอาน่ะสิรีบเข้าบ้านดีกว่า น้ำค้างลงหัวแล้วจะไม่สบายเอา” ในบ้านหลังช่วงอาหารค่ำ แม่บ้านที่ตามป้าโสรยามาจากกรุงเทพจัดบัวลอยน้ำขิงมาให้ พี่มิทยืนคุยอยู่กับพี่เอกเรื่องงาน นัทอยู่ในห้องนอน นกน้อยอ่านหนังสือบนเก้าอี้พี่เป้เอางานจากกรุงเทพมาทำด้วย ตอนนี้กำลังแต่งรูปและจัดไฟล์อยู่หน้าคอมพิวเตอร์ พ่อกับแม่ของพี่มิทแยกไปนอนที่บ้านอีกหลังจริงๆ บ้านนี้เป็นกลุ่มบ้านขนาดใหญ่ มีอยู่สามหลังใกล้กันมีบ้านหลังนี้ที่เป็นอาคารไม้ชั้นเดียวแต่มีหลายห้องและมีอาคารสองชั้นทรงยุโรปอีกหลัง หลังนั้นมีพ่อกับแม่ของพี่มิทใช้อยู่และหลังสุดท้ายเป็นหลังเล็ก อยู่ด้านหน้า เป็นที่อยู่ของคนงานและแม่บ้าน เวลาประมาณสามทุ่มเศษ ฝนตกลงมาอย่างหนักป้าของพี่มิทออกอาการกังวลใจเรื่องฝน ผมได้ยินท่านสั่งให้คนงานกับแม่บ้านช่วยกันปิดทางเข้าออกทั้งหมด โดยเฉพาะช่องประตูหน้าต่าง ป้าของพี่มิทบอกว่าบางที น้ำไหลลงมาจากภูเขา จะพาเอางูและสัตว์มีพิษลงมาด้วย ผมกับนกน้อยถือโอกาสขอตัวไปนอนเราช่วยกันหารูต่างๆในห้อง เมื่อแน่ใจแล้วว่าไม่มีก็แยกย้ายกันนอนบนเตียงตัวเอง ผมนอนใกล้หน้าต่างที่เป็นกระจกนกน้อยนอนชิดผนังห้อง ผมนอนฟังเสียงฟ้าร้องและเสียงฝนตกได้ไม่นานก็หลับไป . . ผมมายืนอยู่ที่เดิมที่ที่เคยมาเดินเล่นเมื่อช่วงบ่าย ทุกอย่างยังคงเหมือนเดิม ยกเว้นว่ามีผมยืนอยู่คนเดียว พอผมหันหลังจะเดินกลับอยู่ๆก็มีหมอกควันสีขาวลอยไปทั่ว มันให้ความรู้สึกเย็นอย่างประหลาดกลางลำธารที่มีหมอกหนานั้น ผมเห็นคนผุดขึ้นมาจากน้ำ เขาเป็นผู้ชายผิวเข้ม หน้าตาหล่อเหลาคมคายท่อนบนเปลือยเปล่า ช่วงอกหนานั้นมีสร้อยสังวาลและมีพาหุรัดที่ต้นแขน ผมยกมือไหว้เขาเพราะคิดว่าเขาคือเทวดาประจำที่แถบนี้ “ไม่ต้องไหว้” เขาพูดแล้วก็ยิ้มกลับมา “คุณเป็นใครครับ?” “ไม่รู้จะดีกว่า” เขาตอบ “ผมฝันไปใช่มั้ย?” “ใช่คุณกำลังฝัน ไม่ต้องกลัวนะ ผมไม่ทำอันตรายคุณ” “ไม่กลัวครับแค่สงสัยเฉยๆ” “ผมอยากจะมาขอบใจคุณที่ช่วยชีวิตงูตัวนั้นเอาไว้” เขาพูดช้าและชัดเจนผมฟังแล้วก็เหมือนเคยได้ยินเสียงเขาจากที่ไหนมาก่อน “เขาเป็นเพื่อนของคุณเหรอครับ?” ผมถาม “ไม่ใช่เพื่อน” “ผมรู้สึกว่าผมติดหนี้บุญคุณกับคุณ ผมเคยได้ยินเสียงของคุณมาก่อนเราเคยรู้จักกันมาก่อนหรือเปล่าครับ?” ผมถามต่อ เขาไม่ได้ตอบกลับมา แต่ผมสังเกตว่าแววตาเขาดูมีความสุขมากเมื่อผมพูดออกไป “ผมดีใจที่คุณยังเหลือความรู้สึกดีๆกับผมผมเคยทำผิดกับคุณ ผมทำให้คุณต้อง...” เขาเงียบไปแล้วก็ส่ายหัว “อีกหน่อยคุณก็จะจำได้เองมันเป็นเรื่องเมื่ออดีตชาติของคุณ ผมอยากเดินเข้าไปจับคุณ แต่ที่ทำได้ตอนนี้ก็ได้แค่ยืนมองอยู่ห่างๆ แม้แต่ความฝัน ผมก็เข้าไปใกล้คุณไม่ได้” “ทำไม?” “เขาหวงคุณ” เขาตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าๆ“ผมเข้าใกล้คุณมากกว่านี้ไม่ได้” “ผมอยากจะถามคุณเรื่องอดีตชาติแต่ผมรู้ว่าคุณคงไม่ตอบ” “ตอบไม่ได้ไม่ใช่ไม่ตอบ ผมทำผิดมามากแล้ว อันที่จริงผมควรนิ่งเฉย ผมควรนั่งสงบจิตใจแต่ผมทำไม่ได้ ผมเป็นห่วงคุณ คุณกำลังมีภัย ผมอยากช่วยคุณแต่มันเป็นการฝืนธรรมชาติ ทางออกที่ดีที่สุดคือปล่อยให้มันเป็นไปตามกฎแห่งกรรมแต่ผมก็ไม่อาจทนดูคุณเจ็บได้ วันนี้ผมจะมาเตือนคุณอย่าถอดสร้อยคอรูปปีกนกออกเป็นอันขาด ไม่ว่าจะมีเหตุการณ์ใดๆเกิดขึ้นไม่ว่าจะมีใครขอร้อง จำคำผมเอาไว้ อย่าถอดสร้อยคอออกเป็นอันขาด”
|