คุณเวณวัฒน์ยืนขึ้นก่อนทุกคนเขาตั้งใจหันไปทางพี่มิทแล้วบอกว่า “หลังแผ่นดินไหวแล้วมักจะเกิดบางอย่างตามขึ้นมาผมว่า คุณควรเลี่ยงเส้นทางที่เข้าไปใกล้ภูเขาไฟ ไม่งั้นเราอาจจะหนีไม่ทัน” “บางอย่างที่คุณบอกหมายถึงอะไร?” พี่มิทถาม “ภูเขาไฟระเบิดลาวาถล่ม” คุณเวณวัฒน์พูดช้าๆเขาไม่ได้มีท่าทีตื่นตกใจไปกับสิ่งที่ตัวเองพูดเลย ตรงกันข้ามกับ พี่เป้นกน้อยและนัทที่ร้องตกใจขึ้นมา “ภูเขาไฟระเบิดลาวาถล่ม!!!” เสียงร้องดังขึ้นเกือบจะพร้อมๆกัน “เหลวไหลที่นี่ไม่ใช่นครปอมเปอีนะคุณ”พี่มิทส่ายหัวเขาอาจจะมองว่าสิ่งที่คุณเวณวัฒน์พูดนั้นเพ้อเจ้อก็ได้ “เราจะต้องเดินเข้าไปใกล้เขตภูเขาเพราะมันเป็นทางลัดที่ใกล้ที่สุดในการออกจากป่านี้ผมยอมเสี่ยงภัยจากภูเขาไฟ มากกว่าเสี่ยงให้เราต้องค้างคืนในป่าอันตรายแบบนี้” พี่มิทพูดเสียงแข็งเขาทำตากร้าวใส่คนที่ยืนอยู่ข้างๆ ผม ก่อนจะหันมามองผมด้วยสายตาที่อ่อนลง “ตานกินอิ่มหรือเปล่าแล้วเจ็บตรงไหนบ้างมั้ย?” “อิ่มแล้วครับแล้วก็ไม่ได้เจ็บอะไรเลย”ผมตอบพี่มิทพยักหน้าแล้วก็พาพวกเราออกมุ่งหน้าเข้าหาแนวตีนเขาสูงทันที เราเดินทางกันด้วยความยากลำบากเส้นทางเดินมันเป็นที่สูงๆต่ำๆจากร่องรอยแผ่นดินไหว ยังดีที่ยังมีดอกไม้สวยๆที่ขึ้นริมผาให้เห็นเพื่อผ่อนคลายสายตาอยู่บ้าง ผมเดินเลียบเข้าไปเด็ดดอกกล้วยไม้ป่าที่มีกออยู่บนโขดหินขึ้นมาทัดหูให้นกน้อยเสียงหัวเราะแรกของการเดินทาง เกิดขึ้นมาตอนนี้เอง คุณเวณวัฒน์เดินระวังหลังให้เรา เขาเดินเรื่อยๆเหมือนเดินชมธรรมชาติอยู่หลังบ้าน ด้านหน้า พรานกับพี่มิทก็ปรึกษากันเป็นระยะ พี่เป้เริ่มมีกะจิตกะใจถ่ายภาพบ้างแล้ว ผมว่าคนที่รักการถ่ายภาพ ถ้ามาเจอบรรยากาศสวยๆ เหมือนที่พวกเราเดินมาตอนนี้ก็คงอดใจไว้ไม่ได้ ดอกไม้หลากสีแข่งกันผลิดอกออกมาให้เราชมกันตลอดเส้นทางเลียบหน้าผาเมื่อผมเงยหน้าขึ้นไปมองด้านบนศีรษะ ผมเห็นนกนางแอ่นบินว่อน พวกมันทำรังกันอยู่ริมผาสูง สูงขึ้นไปบนยอดยางผึ้งหลวงรังใหญ่ ห้อยเป็นแผ่นสีดำลงมาหลายรวงพวกเรากำลังเดินเข้ามาใกล้เขาสูงสุดที่เป็นเหมือนรูปกรวยนั้นเต็มที ผมรู้สึกว่า อากาศเริ่มเบาบางลงพรรณไม้รอบตัวเริ่มเปลี่ยนไป นกน้อยบอกว่า รู้สึกเหนื่อยเพราะหายใจไม่ทันผมเอะใจเลยยกนาฬิข้อมือขึ้นมาดูและพบว่า ตอนนี้เราไต่ระดับความสูงขึ้นมาจากป่าข้างล่างมากพอสมควรแล้ว “เหม็นอะไรไม่รู้” นัทบ่นเบาๆกับพี่เอก ผมเองก็รู้สึกเหมือนนัท ข้างบนนี้อากาศไม่ค่อยดีนักนอกจากออกซิเจนจะเบาบางกว่าป่าข้างล่างแล้ว กลิ่นฉุนก็ลอยเข้ามากระทบโสตประสาทอยู่ตลอดเวลา ตลอดเวลาสองชั่วโมงที่พวกเราไต่เขาไม่มีใครเอะใจเรื่องกลิ่นที่ตามมากับเราเลย บรรยากาศป่าเริ่มเปลี่ยนแปลงไปผมรู้สึกว่าปลายเท้าสั่น หรือผมกำลังจะหมดแรงเดินต่อและผมเริ่มรู้สึกตัวว่าทุกคนเป็นเหมือนกันตอนเงยหน้าขึ้นมองดูท้องฟ้า “พี่มิทครับ!” ผมเรียกพี่มิทสายตาผมมองค้างไปทางยอดเขารูปกรวยที่อยู่บนเมฆตอนนี้มันเริ่มปล่อยเถ้าสีเทาเข้มขึ้นไปบนท้องฟ้า บางส่วนก็ตกลงมายังพื้นดิน “อย่าบอกนะว่ามันกำลังจะระเบิด” นัทพูดเสียงสั่น “ผมว่าเราควรหาทางหลบให้เร็วที่สุด”คุณเวณวัฒน์ให้ความเห็นแต่พี่มิทถอนหายใจแล้วก็ส่ายหน้ากับความคิดของเขา “คุณจะรอความตายอยู่ในที่หลบภัยงั้นเหรอผมว่า เรารีบเดินออกไปจากตรงนี้น่าจะดีกว่า มัวแต่ซ่อนตัว เวลามันระเบิดขึ้นมาแล้วเราก็ถูกฝังทั้งเป็น” พรานนำทางเร่งฝีเท้า เราเหมือนกำลังวิ่งเหยาะๆเส้นทางเริ่มไต่ลงเขา ไม่ทันที่เราจะก้าวพ้นเขตฐานของภูเขาไฟเสียงระเบิดดังสนั่นจนหูอื้อก็เกิดขึ้น ผมก้มตัวลงตามสัญชาตญานก้อนหินสีส้มระเบิดขึ้นไปบนท้องฟ้าเหมือนภาพในสวนสนุก นกน้อยร้องลั่นตอนก้อนหินร้อน ตกลงมาใกล้ๆตัวมันลอยลงมาจากความสูงหลายกิโลเมตรเหนือพื้นดิน “วิ่งเร็ว!” พี่เอกร้องบอกทุกคนเราวิ่งกันไปได้ไม่ถึงร้อยเมตร เสียงระเบิดครั้งที่สองก็ดังกึกก้องคราวนี้ดังกว่าครั้งแรก ผมรู้สึกเวียนหัวและตาลาย อากาศมีกลิ่นเหม็นคละคลุ้งกลิ่นที่เราสัมผัสได้ ที่แท้มันคือกลิ่นก๊าซใต้แผ่นโลกนี่เองมันทำเอาผมเวียนหัวจนตาลาย เดินเซไปชนกับคุณเวณวัฒน์หลายครั้ง “ให้ผมอุ้มดีกว่า” เขาทำท่าจะอุ้มผมขึ้น “อย่าครับยิ่งอุ้มยิ่งเดินลำบาก ตอนนี้ควรหาทางช่วยตัวเองไปก่อน” สิ้นเสียงผม ไฟสว่างวาบก็เกิดขึ้นลำธารสีเหลืองส้มไหลนองออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ มันเป็นภาพที่สวยงามและก็กำลังจะกลายเป็นลำธารมรณะที่จะฆ่าพวกเราทั้งเป็น “ไปข้างล่างไม่ทันแน่มิทหาทางหลบข้างบนนี้ก่อนดีกว่า”พี่เป้ตะโกนพี่มิทให้พรานวิ่งนำไปยังสถานที่ที่สามารถหลบเถ้าร้อนๆของภูเขาไฟ พรานวิ่งนำมาที่ลำธารน้ำใส เราเดินลุยน้ำขึ้นไปหุบผาข้างตัว ตอนนี้มีลาวาสีส้มไหลเอ่อลงมาแล้วมันตกลงมากระทบกับธารน้ำจนไอสีขาวพวยพุ่ง ผมนึกไม่ออกเลยว่า หากลาวาร้อนๆเฉียดเข้าใกล้พวกเรา เนื้อที่ติดกับกระดูก จะมีาภ่พเช่นไร เรากำลังจะถูกลาวาไหลลงมาทับด้านซ้ายของเราเป็นหน้าผาที่มีลำธารลาวาไหลลงมาเหมือนน้ำตกใหญ่ ทางด้านซ้ายเป็นผาสูงชันที่เราปีนขึ้นไม่ได้ ทางเดียวคือ เราต้องวิ่งไปข้างหน้าอย่างน้อยก็ยังพอมีว่างที่ไม่ใช่ทะเลลาวา เสียงสัตว์ป่า พากันแตกตื่นจากทางด้านหลังช้างป่าฝูงใหญ่กับวัวป่า พากันวิ่งแตกตื่นเข้ามาหาพวกเรามันคงจะพากันเข้ามาเหยียบพวกเราจนจมลงไปกับพื้นลำธาร ถ้าเรายังหาทางหลบไม่ได้ “หนีเร็ว!!!” พี่มิทร้องลั่นผมรู้สึกถึงแรงกระชากของแขนแข็งแรง ผมถูกดึงเข้าไปอีกทาง นกน้อยก็เช่นเดียวกันเราสองคนถูกดึงด้วยแรงของคนๆเดียว คุณเวณวัฒน์ดึงผมกับนกน้อยเข้าไปในซอกผาเล็กๆขนาดพอที่คนตัวใหญ่จะเดินลอดผ่านไปได้ ผมมองดูช้างป่ากับวัวฝูงใหญ่พากันตะบึงผ่านไปเหมือนมีใครมาไล่พวกมันคุณเวณวัฒน์พาพวกเราเดินเข้ามาในซอกเย็นๆยิ่งเดินลึกก็ยิ่งเย็นเหมือนมีธารน้ำใต้ดินไหลอยู่ ผมไม่รู้ว่า คนที่เหลือเป็นยังไงกันบ้างเสียงอื้ออึงของช้างกับวัวทำให้ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรอีก แสงสุดท้ายจากทางที่เราเดินกันเข้ามาหายไปแล้วคุณเวณวัฒน์บอกว่า ลาวาไหลลงมาปิดปากทางออก เรามีทางเลือกอยู่ทางเดียวคือ ต้องเดินทะลุใต้เขาลูกนี้ไปมันอาจจะไปโผล่ตรงไหนซักแห่งก็ได้ “นกน้อยกลัว” เสียงเบาๆดังขึ้น ผมวางฝ่ามือลงบนหลังของเพื่อนแล้วลูบไปมา คุณเวณวัฒน์เปิดไฟฉายแสงแรกหลังปากทางปิดได้สว่างขึ้นมา “มีทางเลือกเดียวก็คือต้องเดินต่อไป” เสียงคุณเวณวัฒน์พูด เจ้าหญิงโสรยายืนอยู่ท่ามกลางลานกว้างของเขตพระราชวังหลวงตรงหน้ามีแท่นทองวางตั้งอยู่ บนแท่นทองมีคัมภีร์โบราณ ทำด้วยแผ่นโลหะสีทองแวววาว เจ้าหญิงโสรยามองท้องฟ้าสีสดก่อนจะอ่านจารึกบนแผ่นทองคำนั้นออกมาภาษาประหลาดดังออกมาเหมือนตอนพราหมณ์อ่านบทบูชาพระเจ้า นกกาที่เคยร้องเซ็งแซ่พากันเงียบเสียงลงท้องฟ้ามีเมฆเข้ามาบังพระอาทิตย์ เจ้าหญิงโสรยาอ่านบทบูชาบทแผ่นทองต่อไปบางจังหวะก็ช้า บางจังหวะก็เร็ว แผ่นดินใต้เท้าไหวตัวเหมือนมีบางอย่างเคลื่อนไหวแรงสั่นสะเทือนเล็กๆ ทวีความรุนแรงขึ้นจนเป็นแผ่นดินไหว รอบเขตพิธี ไม่มีคนอยู่เลย ทั่วทั้งพระราชวังมีเจ้าหญิงโสรยาอยู่เพียงผู้เดียว “โอมข้าแต่เทพผู้ปกปักรักษาเมือง จงขจัดกาลีบ้านกาลีเมืองตนนั้นอย่าให้มันได้มีโอกาสกลับออกมาอีก” เสียงระเบิดดังมาไกลๆเถ้าถ่านสีเทาเข้มพุ่งขึ้นไปด้านบน แล้วไม่นานธารลาวาก็ไหลเอ่อออกมาจากปากปล่องภูเขาไฟ ทางแคบๆ ขนาดเดินเรียงแถวไปได้ทีละคนนั้นสร้างความอึดอัดให้เราเล็กน้อย แต่สิ่งที่อยู่ภายในใจตอนนี้คือการมีชีวิตอยู่ของคนอื่นๆในคณะเดินทาง พี่มิท พี่เป้ พี่เอก นัทและพรานนำทางป่านนี้พวกเขาจะเป็นยังไงกันบ้างผมก็ไม่อาจคาดเดาได้ ความท้อแท้เกิดขึ้นแต่ยังไงแล้ว ก็ต้องซ่อนไว้ ในบรรดาพวกเราสามคนนกน้อยเป็นคนที่มีสภาพจิตใจเปราะบางที่สุดถ้าผมแสดงความรู้สึกไปในทางเสียกำลังใจขึ้นมา นกน้อยคงลำบาก “ถ้าเราหาทางออกไม่ได้ล่ะตานถ้าลาวามันไหลลงมาคลุมภูเขาหมดแล้ว เราจะทำยังไงดี นกน้อยกลัว” เสียงสั่นเครือดังขึ้นมาข้างหน้าผม ตอนนี้คุณเวณวัฒน์เป็นผู้นำทางอยู่หน้าสุดนกน้อยอยู่ตรงกลาง และผมเป็นคนเดินปิดท้าย “ภูเขานี้ยังเย็นอยู่เลยลาวามันคงไม่คลุมจนมิดหรอก แล้วอากาศรอบตัวเราก็ยังพอมีคิดว่าต้องมีช่องทางออกทางอื่นอยู่บ้าง” “จริงด้วย” นกน้อยดูมีน้ำเสียงที่ดีขึ้นเสียงรองเท้าย่ำลงไปบนทางน้ำเปียกๆ ดังขึ้นเป็นจังหวะต่อเนื่องโชคดีที่ทางเดินเป็นเหมือนหินปูนที่ขรุขระ ไม่มีตะไคร่น้ำลื่นๆ มาทำให้เราเสียหลักหกล้มอากาศเย็นและสดชื่นด้วยไอน้ำในอากาศเสียงหยดน้ำกระทบหินในถ้ำดังชัดเจนเพราะพวกเราไม่ได้พูดคุยกันเลยตลอดระยะทางการเดิน ผมได้ยินเสียงปีกเล็กๆ ดังใกล้เข้ามาไม่ใช่ปีกค้างคาว แต่เป็นปีกนกเล็กๆ ขนาดตัวมันเท่ากับนกหวีดเท่านั้นเองมันบินปร๋อเข้ามาแล้วก้บินกลับออกไป คุณเวณวัฒน์เร่งฝีเท้าตามนกน้อยตัวนั้นไปผมพยายามจดจำทาง จากซ้ายไปขวา ขวาไปซ้าย ซ้ายไปซ้ายและขวาไปขวา สุดท้ายก็ไม่อาจจะจดจำมันได้หมดในถ้ำใต้ภูเขานี้วกวนเหมือนเขาวงกต แสงสว่างเล็กๆ เริ่มใหญ่และขยายวงออกเรื่อยๆคุณเวณวัฒน์พาเราออกมาข้างนอกจนได้ อากาศแห้ง เสียงนกและเสียงลม ทำให้ผมรู้สึกว่าตัวเองได้มายืนอยู่บนโลกภายนอกจริงๆไม่ใช่โลกใต้ภูเขาที่มีบรรยากาศชวนอึดอัดใจ “จะหาทางกลับหรือหาทางช่วยคนอื่นดีครับ?” ผมถามคุณเวณวัฒน์ “ความผิดปกติที่เราเจอนี้ไม่ใช่สิ่งที่เป็นไปตามธรรมชาติมันเป็นสิ่งที่มนุษย์ทำขึ้น เราควรรีบเดินทางกลับไปให้เร็วที่สุด” “มนุษย์ทำขึ้นเหรอคะ?” นกน้อยทำเสียงตกใจผมได้แต่นิ่งเงียบในใจนึกให้เรื่องที่คุณเวณวัฒน์พูดไม่ใช่เรื่องจริงทั้งที่รู้ว่าเขาไม่เคยพูดโกหก ผมรู้สึกว่าปากปล่องภูเขาไฟนั้นมีอยู่หลายปล่องแต่ละปล่องดูสงบดี ยกเว้นปล่องสูงสุดที่ปล่อยควันสีเทาออกมา พวกเราสามคนเดินเข้ามาถึงลานวิหารหรือสถานที่ประกอบพิธีกรรมอะไรบางอย่างมันเป็นสิ่งก่อสร้างที่มนุษย์สร้างขึ้น ตัวพื้นเป็นหินภูเขาไฟ วิหารก่อด้วยหินทรายคุณเวณวัฒน์หยุดนิ่งแล้วมองดูรอบๆ เหมือนเขารู้สึกว่ามีอะไรที่ดูไม่ชอบมาพากลผมเองก็รู้สึกว่าที่นี่ดูเงียบผิดปกติ มันเงียบมากจนไม่มีเสียงนกร้อง ไม่มีเสียงใบไม้ไม่มีเสียงใดๆ ทุกอย่างเหมือนหยุดนิ่งกับที่ เทวรูปที่ผมไม่คุ้นเคยแสยะยิ้มอยู่รายรอบพวกเราบ้างก็ร่ายรำ บ้างก็ถืออาวุธ หูของผมได้ยินเสียงเหมือนคนสวดมนต์แว่วมามันเริ่มจากเสียงเบาๆแล้วก็เริ่มดังขึ้นเรื่อยๆ คุณเวณวัฒน์เร่งฝีเท้าเดินนำไปข้างหน้าแต่สิ่งที่ทำให้เราต้องหยุดนิ่งกับที่คือเทวรูปหลายร่างนั้นได้หลุดออกมาจากที่นั่งหินคุณเวณวัฒน์ให้ผมกับนกน้องวิ่งออกไปข้างนอกลานหิน ผมอึกอักอยู่ไม่นานก็จำใจต้องดึงแขนนกน้อยวิ่งออกมารูปปั้นหินไม่กล้าเข้ามาใกล้พวกเรา มันได้แต่เดินเป็นวงรอบๆ รูปปั้นขนาดใหญ่ที่เป็นเหมือนประธานของลานหินขยับตัวเศษหินเล็กๆ หลุดร่วงลงมาสู่พื้น รูปปั้นหินตัวหนึ่งเข้ามายืนอยู่ข้างหลังนกน้อยมันแสยะยิ้มออกมา นกน้อยร้องออกมาสุดเสียงแล้วก็เป็นลมล้มไป ผมประคองเพื่อนแล้วอุ้มลงมานอนบนพื้นแห้งๆ รูปปั้นหินตัวใหญ่กำลังเหยียบฝ่าเท้าลงมาที่ร่างคุณเวณวัฒน์ผมเห็นเขาใช้สองมือยันไว้ รูปปั้นหินขนาดใหญ่ออกแรงเหมือนต้องการเหยียบเขาให้แหลกเหลวไปกับพื้น ช่วงที่คุณเวณวัฒน์ออกแรงดันไปผมเห็นรากไม้มากมายโผล่ออกมาจากใต้แผ่นหิน มันพุ่งทะลุขึ้นมาข้างบนแล้วมัดตัวเขาเอาไว้ สีน้ำตาลเข้มบดบังตัวเขาจนมิดผมเห็นเหมือนกระจุกกลมๆเหมือนลูกข่าง ไม่นานหลังจากนั้นก็มีเสียงระเบิดลูกใหญ่ดังขึ้น รากไม้พวกนั้นลากคุณเวณวัฒน์ลงไปในบ่อน้ำใหญ่เสียงระเบิดเกิดจากปากบ่อน้ำแตกออกจากกัน ร่างของเขาถูกลากลงไปในบ่อ ผมตะโกนสุดเสียงแล้ววิ่งเข้าไปดูไม่ทันที่ผมจะได้วิ่งเข้าไป งูสีเขียวตัวใหญ่ก็พุ่งเข้ามาขวางมันชูคอขึ้นสูงเท่าเอวผม คอมันแผ่ออกมา ลิ้นสองแฉกแลบไปมาในอากาศมันขวางผมอยู่ระหว่างขั้นบันไดขึ้นไปบนลานวิหาร “หลีกไป” ผมพูดเสียงดังงูตัวใหญ่แลบลิ้นแล้วเอียงคอไปมา มันไม่ยอมให้ผมเข้าไปดูคุณเวณวัฒน์ที่หายลงไปในบ่อน้ำ “ถอยออกไป!” ผมสั่งมันมันไม่มีท่าทีจะหลบผมไปไหน ผมยื่นมือเข้าไปบีบคอมันน้ำตาร้อนๆไหลออกมาเพราะความร้อนใจ “ให้ผมไปดูเขา” ผมปล่อยมือออกจากงูแล้วนั่งลงกับพื้นเมื่อมองดูร่างยาวๆของงู ตอนนี้มันกลายเป็นควันสีเขียวเข้มท่อนยาวๆของลำตัวหลายเป็นขาคน ผมแหงนหน้าขึ้นไปมองและเห็นผู้ชายยืนอยู่เมื่อผมลุกขึ้นยืนเขาก็ก้มหัวลงมาเหมือนคำนับผม “ท่านผู้เจริญสถานที่ตรงหน้าท่านเป็นแดนกฤติยามนต์ มนุษย์ไม่อาจเดินเข้าไปได้เพราะไอกรดจะกัดผิวหนังจนตาย ท่านต้องนำสหายของท่านออกไปทางเหนือ อีกไม่นานท่านจะพบคณะเดินทางที่เคยพลัดจากกัน” เขาพูดแล้วก็ทำท่าจะกลับคืนร่างงู “ผมเป็นห่วงเขาผมอยากช่วยเขา” ผมหันมองผ่านร่างผู้ชายไปที่ลานหิน “ไม่นานน้ำพุสีแดงจากใต้ดินจะไหลเอ่อออกมาท่วมที่นี่สิ่งมีชีวิตทุกชนิดจะไม่สามารถมีชีวิตอยู่ได้” เขาตอบเสียงเรียบเฉยเหมือนเล่าเรื่องทั่วไปไม่ได้รู้สึกว่ามันเป็นเรื่องคอขาดบาดตายเลย “แล้วเขาจะขึ้นมาได้ยังไง” ผมถาม “ปัญญาจะเกิดหากท่านมีสมาธิ ระหว่างทางท่านควรใช้สติไตร่ตรอง ลาก่อน” “เดี๋ยว...คุณภุชงค์ส่งคุณมาเหรอ?” ผมถามก่อนเขาจะกลายร่างเป็นงูเขาพยักหน้าให้ผมแล้วก็บิดตัวกลายเป็นควันสีเข้ม ร่างงูเลื้อยไปในดงรกๆผมรู้สึกถึงแรงสั่นสะเทือนเล็กๆที่ใต้ฝ่าเท้า ถ้าสิ่งที่งูบอกผมเป็นเรื่องจริงอีกไม่นาน ที่ตรงนี้จะกลายเป็นทะเลลาวา ผมวิ่งกลับมาดูนกน้อย ผมปลุกเพื่อนให้ลุกขึ้นมานกน้อยสะลืมสะลือ ไม่ทันที่จะได้ถามอะไร ผมก็ดึงเพื่อนวิ่งออกมาทันที ผมวิ่งออกมาโดยที่ไม่ทันได้มองทิศตอนนี้ไม่มีคุณเวณวัฒน์แล้ว ผมต้องพึ่งตัวเอง ผมวิ่งออกมาห่างจากลานวิหารได้ซักพักก็ล้วงเอาเข็มทิศออกมาดูเราตั้งต้นกันใหม่แล้วมุ่งหน้าสู่ทิศเหนือ นกน้อยไม่ได้ถามอะไรมาก ผมรู้ว่าเพื่อนมีคำถามมากมายแต่ก็เก็บไว้ในใจเพราะรู้ว่าอยู่ในเวลาที่ไม่ควรถาม เราสองคนเดินออกมาจากลานวิหารที่คุณเวณวัฒน์ถูกดึงลงไปได้พอสมควรแล้วไฟป่าลุกโชนจากจุดที่เราเดินกันออกมา ไฟจากใต้ดินคงเผาต้นไม้บริเวณนั้นไปหมดแล้วผมรู้สึกใจหายแต่ก็ไม่มีทางเลือกอื่น ผมไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวมีเพื่อนอีกคนที่เดินอยู่ข้างๆ ความมืดเข้ามาปกคลุมทั่วดงไม้ใหญ่ผมเปิดไฟฉายดูหน้าปัดเข็มทิศ และมุ่งหน้าไปทางเหนือเป็นแนวเส้นตรง อุปสรรคที่อยู่ตรงหน้าตอนนี้คือหุบเหวลึกที่ขวางกั้นมนุษย์เดินดินอย่าเราสองคนไม่ให้ก้าวเท้าออกไปยังเขตแดนข้างหน้า “ทำไงดีเดินต่อไปไม่ได้แล้ว” นกน้อยหยุดเดินเสียงลมหายใจดูอ่อนล้าจากการเร่งฝีเท้า “ข้ามไม่ได้ก็ต้องอ้อมพวกคนที่เหลืออยู่ห่างเราออกไปทางเหนือ” ผมพยักหน้าแล้วจูงแขนนกน้อยเดินลงลำห้วยด้านล่างความรู้สึกสงสารบวกกับความรู้สึกผิด แผ่กระจายออกมาในความเงียบงันของป่า “ขอโทษนะที่พามาเดือดร้อนแบบนี้” ผมพูดแล้วก็ใช้มือแหวกกอหญ้ารกๆออกจากทางเดินตรงหน้า นกน้อยกระชับมือเข้ามา แรงบีบเบาๆทำให้ผมรู้สึกมีกำลังใจขึ้นมา “ไม่เห็นต้องขอโทษตานไม่ได้ทำอะไรผิด คนที่ผิดคือคนที่ทำให้เกิดเรื่องอาเพศพวกนี้ขึ้นมาต่างหาก” ผมยังไม่แน่ใจว่าใครเป็นคนทำเรื่องพวกนี้ขึ้นมาตอนที่คุณเวณวัฒน์พูด เขาก็ไม่ได้บอกว่าใครเป็นคนทำ “ไม่ใช่ป้าของพี่มิทใช่มั้ยตาน” เสียงนกน้อยดังขึ้นมาเบาๆขณะเราเดินไต่ขึ้นเนินสูง ผมนึกภาวนาอย่าให้เป็นอย่างที่นกน้อยพูดเลย แม้ใจผมจะคิดสิ่งที่โน้มเอียงไปทางนั้นมากแล้วแต่เราก็ยังไม่มีอะไรที่ทำให้ปักใจไปได้ว่า ป้าของพี่มิทเป็นคนทำ “อาจจะ....อาจจะเป็นคนไม่ดี คนไหนก็ได้”ผมตอบ “กรรมจะตามสนองแน่ๆ” นกน้อยพูดต่อการพูดคุยของเราสองคนหยุดลงเพราะนกน้อยบอกว่าได้ยินเสียงคนร้องเรียกดังอยู่ข้างหน้า “ทางนี้ค่ะเราอยู่ทางนี้” นกน้อยตะโกนออกไปผมได้ยินเสียงฝีเท้าคนกลุ่มเล็กๆดังเข้ามาใกล้ ชายที่แต่งตัวคล้ายกับคนพื้นเมืองมองเราด้วยสายตาแสดงความสงสัยนกน้อยดีใจและพยายามสื่อสารว่าเราสองคนกำลังตามหาคน “เรากำลังตามหาคนค่ะเจอใครอยู่ใกล้ๆนี้อีกบ้างมั้ยคะลุง?” นกน้อยถาม “เจอคนกลุ่มใหญ่อยู่รวมกันทางเหนือนู้นแน่ะนาย” ชายหนึ่งในสามตอบ “งั้นช่วยพาเราไปส่งหน่อยได้มั้ยคะ?” “ได้สินายแต่ต้องมีของมาแลก” ชายอีกคนตอบ “จะเอาอะไรเงินหรือว่าอาหาร ถ้าเอาเงินเราก็พอมี แต่อาหารเราไม่เหลือแล้วเหลือแต่น้ำเปล่าติดตัวมานิดหน่อย”นกน้อยตอบ “เราขออาหารติดตัวกลับบ้านบ้างนิดๆหน่อยๆ” “ถ้าพวกนั้นมีอาหารเราจะแบ่งมาให้” นกน้อยพูดต่อชายสามคนมองหน้ากันเองแล้วก็ออกเดินนำไป ผมได้แต่เงียบส่วนนกน้อยพยายามถามชายสามคนนั้นไปตลอดทาง เราสามคนเดินผ่านกอหญ้าแห้งตายผมดึงเอาต้นหญ้าแห้งๆมามัดรวมกันแล้วก็จุดไฟขึ้น นกน้อยหันมามองดูด้วยความสงสัย “ไฟฉายเสียแล้วเหรอตาน?” “เปล่า” ผมพูดแล้วโยนคบไฟนั้นลงกับพื้นที่เป็นใบไม้แห้งๆเชื้อเพลิงอย่างดีลุกโชนขึ้นมาด้วยเปลวร้อนของไฟชายสามคนถอยกันออกไปอยู่นอกเขตไฟที่ผมจุดขึ้น “หยิบคบไฟขึ้นมาหน่อย” ผมสั่งชายสามคนนั้นยืนนิ่ง ไม่ไหวติง “ผมบอกให้หยิบคบไฟขึ้นมา!!!” ผมตะโกนเสียงดังนกน้อยตกใจจนร้องเสียงหลง ชายสามคนนั้นยืนนิ่งเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น “ทางนี้ไม่ใช่ทางขึ้นเหนือจะพาเราไปไหน แล้วพวกคุณเป็นใครกันแน่” ไม่มีเสียงตอบรับนกน้อยรู้แล้วว่าชายทั้งสามไม่ใช่คน แต่จะเป็นอะไรนั้น ผมก็ไม่อาจตอบได้ “ถอยออกไปผมไม่อยากทำเวรทำกรรมกับพวกคุณ” อันที่จริง เป็นผมกับนกน้อยที่พากันถอยออกมาเราสองคนช่วยกันระวังหน้าหลัง ไฟฉายในมือส่องสว่าง ชายสามคนนั้นค่อยๆหายเข้าไปในความมืดที่พวกเราเดินจากมา “ไม่ต้องกลัวนะใกล้ถึงแล้ว” ผมให้กำลังนกน้อยทั้งที่ก็ยังไม่แน่ใจนักแต่เราเดินออกมาไกลจากจุดเริ่มต้นมากแล้ว ผมล้วงเอาประทัดออกมาครึ่งกล่องมันห้อยติดกันเป็นพวงสวยงามผมดึงมันออกมาครึ่งเดียวแล้วก็จ่อสายมันเข้ากับไฟจากคบในมือ ผมโยนมันไปตรงลานโล่งๆเสียงแตกของประทัดดังลั่น น่าจะไกลพอที่จะทำให้คนที่อยู่ใกล้ๆแถวนี้ได้ยินบ้าง เรานิ่งกับที่ได้ไม่นานเสียงประทัดแตกก็ดังตอบกลับมา ผมได้ยินมันดังมาจากทางต้นไม้ใหญ่แต่นกน้อยกลับได้ยินมาจากทางลำห้วย มันเป็นคนละทิศโดยสิ้นเชิง “เอาตามหูตานดีกว่าตอนนี้นกน้อยไม่ปกติแล้ว ประสาทรับรู้มันเสียไปหมด” นกน้อยพูดเสียงสั่น “ไม่ได้หรอกเราสองคนอาจจะฟังผิดได้เหมือนๆกัน”ผมพูดแล้วก็หยิบประทัดอีกครึ่งพวงออกมายังไม่ทันที่จะได้จุด เสียงตะโกนโหวกเหวกก็ดังขึ้น เสียงพี่เป้ป้องปากตะโกนดังมาจากทางต้นไม้ใหญ่ “มีใครอยู่บ้างส่งเสียงตอบกลับมาด้วย เอ๊ย ได้ยินมั้ย วู้” เสียงพี่เป้ดังต่อเนื่องแสงจากไฟฉายวับแวมส่องลอดแมกไม้ออกมา “ทางนี้ค่ะอยู่ทางนี้ มารับหน่อย” นกน้อยตะโกนตอบ ซักพักพี่เป้กับพี่เอกก็เดินลัดเนินหินเข้ามาถึง ผมกับนกน้อยถอยออกมาทันทีกลัวว่าจะมีใครปลอมตัวมาอีก “พี่เป้ตัวจริงหรือเปล่าคะช่วยบอกชื่อจริงนามสกุลจริงชัดๆด้วย แล้วก็จุดไฟลงบนใบไม้แห้งให้ดูท่องสูตรคูณแม่สองด้วย” นกน้อยสั่งเป็นชุด พี่เป้เกาหัวยิกแต่ก็ทำตามโดยดีหลังจากยืนยันตัวได้แล้ว พี่เป้ก็ถามขึ้นมาว่า “มีแค่สองคนเองเหรอแล้วคุณเวณวัฒน์ล่ะ?” พี่เป้ถาม “พลัดหลงกันครับ” ผมตอบพี่เป้พยักหน้าเหมือนเข้าใจสถานการณ์พี่เอกเดินนำเราสองคนเข้ามาที่เนินพักชั่วคราวจากนั้นก็เล่าเรื่องราวหลังจากที่โขลงช้างวิ่งเข้ามาในลำธารให้ฟัง “ทุกอย่างมันเกิดขึ้นเร็วมากมิทตะโกนให้เราวิ่งหลบเข้ามาทางขวา มีซอกหินใหญ่พอให้คนเข้ามาได้เราสี่คนวิ่งหนีเข้ามาทัน แต่...” พี่เอกพูดว่าสี่คนเข้ามาทัน ถ้าอย่างนั้นก็หมายความว่า มีหนึ่งคนที่หลบไม่ทัน “ใครคะใครหายไป?” นกน้อยตั้งคำถามแทนผม “นัท” พี่เอกถอนหายใจ “โถ่นัท” นกน้อยถอนหายใจ “เอ๊ยยังไม่ตาย” พี่เป้ยกมือแล้วโบกเพื่ือปฏิเสธ“มิทออกไปดูตอนช้างกับวัวมันวิ่งแตกไปมันเจอรอยเท้าไถลลงไปในถ้ำใต้ดินหนึ่งรอยแล้วก็เจอรอยเท้าสามคนเข้าไปในซอกผาอีกด้าน” “รอยเท้าพวกเรานั่นเอง” นกน้อยพูดพี่เป้พยักหน้า แล้วพี่เอกก็พูดขึ้นมาต่อ “ลาวาร้อนมันไหลลงมาคลุมหมดแล้วเราไม่มีเครื่องมือที่จะเจาะเข้าไปได้ ได้แต่อ้อมออกมารออยู่อีกทาง” “แล้วตอนนี้พี่มิทกับพรานไปไหนล่ะครับ?” ผมหันไปมองรอบๆไม่เห็นพี่มิทกับพรานนำทางเลย “มิทกับพรานออกไปตามพวกน้องตานไงแล้วก็รอนัทออกมาจากใต้ภูเขาด้วย มันบอกว่า อาจจะพบใครเดินออกมาจากใต้ภูเขาบ้างเลยออกไปกับพรานสองคน ทิ้งให้พวกพี่รออยู่ที่นี่” พี่เป้ตอบแล้วก็นึกขึ้นมาได้ว่าผมกับนกน้อยยังไม่ได้กินข้าวเย็นพี่เป้ไปหยิบก้อนขนมปังขึ้นมา แล้วก็มีอาหารนิดหน่อยอยู่ในหม้อสนาม นกน้อยเล่าเรื่องความสลับซับซ้อนของเขาวงกตใต้ภูเขาให้พี่เอกฟัง “งั้นก็น่าจะเป็นภูเขาลูกเดียวกันไม่แน่ว่านัทอาจจะยังออกมาไม่ได้”พี่เอกพูด “ตามกันไปตามกันมาแบบนี้มันจะดีเหรอคะ?” นกน้อยถามขึ้นมา “พรุ่งนี้จะมีเฮลิคอปเตอร์มารับเราที่เนินใกล้ๆนี้มิทมันแจ้งตำแหน่งผ่านดาวเทียมไปได้ แต่มันเป็นห่วงคนอื่น เลยออกไปดูกับพรานพรุ่งนี้เช้าก็กลับ” ผมแยกตัวออกมาเปลี่ยนเสื้อผ้าน้ำเย็นๆจากขวดน้ำ ลูบผ่านฝ่ามือไปตามตัวที่เหนอะหนะด้วยเหงื่อเหนียวๆความเย็นของน้ำช่วยไล่ความสกปรกที่หมกหมมออกไปได้บ้าง ผมล้างหน้าแล้วก็ลูบตัวด้วยน้ำก่อนจะเปลี่ยนเสื้อผ้าชุดใหม่ นกน้อยนอนลงไปด้วยความอ่อนล้าผมสอดกระเป๋าที่เป็นผ้านุ่มๆ ให้เพื่อน ก่อนจะหลับไปด้วยความเหนื่อยล้าเช่นกัน . .
|