ผมเดินอยู่แถวที่พัก ทุกคนหลับกันไปหมดแล้วเหลือแต่กองไฟสว่างไสวที่ไหวเอนไปมาด้วยแรงลม ผู้ชายตรงหน้าผมเดินใกล้เข้ามา เขาดูมีท่าทีกังวลใจมาก “ผมเป็นห่วงคุณจนนั่งอยู่เฉยๆไม่ได้ป่านี้มีอันตรายรอบตัวเต็มไปหมด ผมอยากจะพาคุณหนีไปจากที่นี่ แต่ก็ทำไม่ได้” เสียงเศร้าของคุณภุชงค์ดังเข้ามาผมยืนมองเขาแล้วก็เดินเข้าไปใกล้ๆ “ขอบคุณที่ช่วยผมแต่ถ้าคุณอยากทำให้ผมสบายใจ คุณช่วยบอกผมหน่อยได้มั้ยว่าคุณเวณวัฒน์เป็นยังไงบ้าง” ผมถาม “คุณเป็นห่วงเขามากหรือ?” “ห่วงมาก” “ถ้าผมเจอแบบนี้บ้างคุณจะห่วงผมเหมือนที่ห่วงเขาหรือเปล่า?” “ผมห่วงทุกคนที่ผมรัก” ผมตอบ “ผมหมายถึงสถานะพิเศษที่มีเพียงตำแหน่งเดียว” “ผมรักเขาคนเดียวเพราะชาตินี้เราเกิดมาคู่กันคุณเข้าใจเรื่องพวกนี้ดีกว่าผม” “ผมเข้าใจแต่ผมก็ทำใจไม่ได้ซักทีผมน่าจะปล่อยให้เขาอยู่ในสภาพนี้แล้วผมก็เปลี่ยนความทรงจำของคุณ เราสองคนจะได้รักกันเหมือนเมื่ออดีต” เสียงพูดที่เต็มเปี่ยมไปด้วยความเศร้าดังออกมาจากปากชายที่อยู่ตรงหน้าผม “คุณไม่ทำหรอกผมรู้ คุณเป็นคนดี” “ผมไม่ใช่คนดีชาติก่อนหน้านี้ ผมทำให้คุณตาย ผมจะไม่มีวันทำร้ายคุณอีกแล้วถ้าผมปล่อยให้ครุฑอยู่ในสภาพถูกจองจำ คุณก็จะไม่มีความสุข ผมทนเห็นคุณอยู่ในสภาพนั้นไม่ได้” “คุณมีมากกว่าความรักคุณเสียสละให้ผม” “ทั้งที่ผมไม่เต็มใจทำมันเลย” เขายิ้มทั้งน้ำตาขณะตอบผมน้ำตาหยดเล็กๆ ตกลงมาบนพื้น กลายเป็นหินสีเขียวสดใส “ผู้ชายต้องไม่ร้องไห้” ผมยื่นมือเข้าไปเพื่อจะแตะไหล่เขาแต่เขาถอยหนีไปหนึ่งก้าว “ผมเสียน้ำตาให้คุณแค่คนเดียวผมยอมคุณแค่คนเดียวเท่านั้น”เขาตอบ “ขอบคุณครับ” “แต่ผมไม่อาจฝืนชะตาไปได้ผมเข้าไปช่วยคุณโดยตรงไม่ได้ คุณต้องทำหลายอย่างด้วยตัวเอง” “ผมจะทำ” ผมตอบรับ “สัญญากับผมได้มั้ยถ้าคุณมีอันตรายถึงตัว คุณจะปล่อยให้เรื่องมันเดินไปตามทาง คุณจะต้องไม่เอาชีวิตไปทิ้ง...เพื่อเขา” “ผม...” “สัญญาสิ” “ผมสัญญา” “ผมจะพยายามช่วยคุณพอคุณตื่น จะมีผู้นำทางรออยู่ ให้คุณออกเดินทางตามผู้นำทาง เขาจะพาคุณไปหาครุฑ” “ผมจะช่วยครุฑได้ยังไง?” “เขาถูกต้นไม้รัดต้นไม้นี้เป็นต้นไม้ปีศาจ บรรพบุรุษผู้สร้างเมืองนี้ได้เมล็ดมันมาจากมหาเทพพวกเขาเอามันมาปลูกมันงอกงามทำหน้าที่กำจัดคนแปลกถิ่นตามที่มีคนท่องบทบูชาเพื่อทำลาย” “แล้วผมจะทำลายต้นไม้นั้นได้ยังไง?” “ใต้ภูเขาจะมีวิหารใหญ่ใต้วิหารนี้จะมีต้นไม้ปีศาจ คุณต้องหาบ่อน้ำกรดศักดิ์สิทธิ์ต้องใช้ขันน้ำทองคำลงอักขระไปตัก น้ำกรดถึงจะขึ้นมาได้หากใช้อย่างอื่นมันจะกัดจนทุกอย่างผุกร่อน คุณต้องเอาน้ำกรดไปรดรากของต้นไม้นั้นมันถึงจะตายแล้วปล่อยครุฑออกมา” “แล้วตอนนี้ครุฑเป็นยังไงบ้าง?” “ครุฑเป็นอมตะเขาไม่มีวันตาย” คุณภุชงค์ตอบไฟสีส้มวูบวาบส่องกระทบร่างสีเข้มของเขาไปมา “ถ้าผมช่วยเขาไม่ได้ล่ะ?” ผมถามสิ่งที่ไม่น่าถามขึ้นมา “เขาก็จะถูกจองจำใต้ภูเขาไฟไปตลอดกาลไม่ตาย แต่ก็ไปไหนไม่ได้” “ผมควรจะรีบตื่นไปช่วยเขา” ผมหันไปมองคุณภุงชงค์ด้วยสายตาแสดงความขอบคุณ “คุณจะไม่เดือดร้อนเพราะผมใช่มั้ย?” ผมถามต่อ “คิดว่าไม่ผมทำเท่าที่จะทำได้ นอกเหนือจากนี้ไป ก็เป็นเรื่องของเวรกรรมระหว่างเขากับคุณลาก่อน ขอให้โชคดี” “ขอบคุณครับ” ร่างบุรุษในอาภรณ์สวยงามนั้นเลือนหายไปผมตื่นขึ้นมาข้างๆนกน้อย แสงไฟสว่างลุกโชนจากกองไฟ พี่เป้ พี่เอกหลับสนิทนกน้อยหลับตานิ่ง ผมเขียนจดหมายเหน็บไว้บนฝาหม้อสนาม เผื่อทั้งสามคนตื่นขึ้นมาจะได้รู้ว่าผมไปไหน ผมหยิบไฟฉายและกระเป๋าเดินทางขึ้นมาในใจนึกสงสารเพื่อนที่ผมหายไป แต่ในเมื่อไม่มีทางเลือก ผมก็จำเป็นต้องทำ ผมเดินออกมาข้างนอกลานรอดูสัญญานจากผู้นำทางตามที่คุณภุชงค์พูดเอาไว้ งูสีเขียวขนาดใหญ่เลื้อยเข้ามาใกล้ๆ มันมีตาสีแดงทับทิมผมมองมันอยู่ไม่นานก็เห็นงูบิดเป็นเกลียว มันพุ่งและม้วนตัวเป็นไอสีเข้ม ร่างของคนปรากฏขึ้นตรงหน้าผมเป็นผู้หญิงผิวเข้มเหมือนสีเปลือกไม้ เธอคำนับผมแล้วก็กลายร่างเป็นงูอีกครั้ง งูใหญ่เลื้อยไปตามทาง เป็นหินบ้าง เป็นดินบ้าง ผมเร่งฝีเท้าตามหลังงูไปเรื่อยๆเวลาตีสี่ ท้องฟ้ายังมืดสนิท เราเดินทางกันไปได้ซักพักเสียงปีกของนกก็บินตัดอากาศเข้ามา นกเค้าแมวสีเทาแต้มขาวบินลงมาที่ไหล่ของผมงูใหญ่หยุดเลื้อยแล้วชูคอขึ้นขู่นก ลิ้นสองแฉกตวัดไปมาพร้อมกับส่วนบนของงูที่โคลงไปมาเหมือนพร้อมโจมตีนก ไปต่อเถอะ ไม่มีอะไรหรอก” ผมเตือนงูให้ออกเดินทางต่อไปดูเหมือนนกตัวนี้เข้ามาทักทายผมเฉยๆ เท่านั้น งูออกเลื้อยต่อไป ตอนนี้ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังเดินกลับเข้ามาใกล้ฐานของภูเขาไฟอีกครั้งงูหาทางเลื้อยลงไปในถ้ำที่ผมต้องหย่อนเท้าลงไป ในมือของผมมีไฟฉายท่อนเล็ก แสงสว่างส่องขึ้นทางเดินขรุขระปรากฏตลอดแนว งูแทบไม่ต้องอาศัยแสงสว่างเลยมันเลื้อยผ่านความมืดมิดของนครบาดาลไปได้อย่างคล่องแคล่ว นกเค้าแมวตัวเดิมยังเกาะติดผมลงมาถึงชั้นล่างของถ้ำงูนำผมเดินวกวนอยู่ในด้านในจนทะลุเข้ามาถึงลานแห้งๆที่มีอากาศถ่ายเท ลานนี้เป็นลานใต้ภูเขาไม่ใช่ลานหินที่ผมหนีลาวามาเมื่อช่วงเย็น งูหยุดเลื้อยมันกลายร่างเป็นผู้หญิงแล้วก็คำนับผมอีกครั้ง “ขอให้ท่านรออยู่ตรงนี้จนถึงรุ่งเช้าจะพบสมาชิกเพิ่ม หมดหน้าที่ข้าแล้ว ลาก่อน” งูเลื้อยออกไปตามทางของมันผมพูดขอบคุณตามหลังงูไป ตอนนี้ เพื่อนเพียงหนึ่งเดียวของผมก็คือนกเค้าแมวมันหลับตาพริ้มขณะยืนโอนเอนอยู่บนไหล่ของผม ซักพักมันก็ลืมตาโตๆขึ้นมาแล้วมันก็บินไปรอบๆ เสียงปีกนกบินออกไปทางช่องลมด้านบนแล้วมันคงออกไปหาหนูหรือเหยื่อของมัน ผมหาลานโล่งพอที่ตัวเองจะพักได้แต่เมื่อคิดขึ้นมาแล้ว ผมควรจะนอนบนที่ที่สูงกว่านี้เผื่อมีน้ำหรือสัตว์ร้ายเข้ามา ผมจะได้ปลอดภัย ผมปีนขึ้นไปนอนบนลานหินสูงจากพื้นหลายเมตรผมแค่ขึ้นไปรอให้เช้า ไม่ได้ขึ้นไปนอน คงไม่ต้องอาศัยพื้นที่มากมายนัก ผมคิดว่า แค่พอมีพื้นที่ขยับขาแค่นั้นก็คงพอ ผมหลับตาแล้วเอนหลังพิงผนังแข็งๆพยายามทำตัวให้เข้มแข็งแล้วก็คิดในแง่ดีว่าคุณเวณวัฒน์จะต้องไม่เป็นอะไร ผมจะต้องช่วยเขาออกมาจากต้นไม้นั้นได้แน่ ผมพักสายตาไปนานแต่หูและประสาทสัมผัสก็ยังทำงานอยู่ เสียงเหยียบใบไม้แห้งดังใกล้เข้ามาเป็นเสียงคนสองเท้า ไม่ใช่เสียงสัตว์ป่าแน่นอน ผมลืมตาขึ้นมาแล้วก็เจอกับภาพที่ไม่คาดฝันคุณเวณวัฒน์ยิ้มกว้างอยู่ตรงหน้า เขาพยายามปีนขึ้นมาหาผม “คุณปลอดภัยดีเหรอครับผมเป็นห่วงคุณมากรู้มั้ย?”ผมตะโกนลงไปแล้วก็พยายามจะไต่ลงไปหาเขา “ผมปลอดภัยดีผมคิดถึงคุณ ลงมาหาผมหน่อยสิ ใกล้เช้าแล้ว ผมหิว” เขากวักมือเรียกผม ผมนิ่งไป แล้วก็ถอยขึ้นมาอยู่ที่เดิม “คุณไต่ขึ้นมาสิครับ” ผมเรียกเขา “ผมไม่มีแรงเรามาคุยกันข้างล่างนี้ดีกว่านะ ข้างบนมันชัน เดี๋ยวคุณจะตกลงมา” “ผมบอกให้คุณไต่ขึ้นมาทำไมคุณไม่ทำ?” ผมพูดแล้วจ้องเขม็งคุณเวณวัฒน์จ้องผมกลับด้วยสายตาที่ผมไม่คุ้นเคย “ถอยออกไปซะผมไม่อยากทำร้ายคุณ” ผมพูดลงไปข้างล่าง “คุณไม่รักผมแล้วหรือ?” “แล้วคุณล่ะรักผมหรือเปล่า?” ผมถาม “รักสิผมรักคุณคนเดียว” เขาตอบ “งั้นก่อกองไฟให้ผมหน่อยผมหนาว” คุณเวณวัฒน์นิ่งเงียบไป ผมเห็นเขาลงเดินสี่ขาเขาย่อตัวลงเหมือนกำลังจะไต่เนินนั้นขึ้นมา “ถ้าขึ้นมาอีกก้าวเดียวล่ะก็ผมจะถือว่าคุณมีเวรกรรมกับผม อย่าหาว่าผมใจร้ายก็แล้วกัน” เวณวัฒน์ตัวปลอมพยายามไต่เนินขึ้นมาหาผมเขาใช้เท้าไต่แบบสัตว์สี่เท้าขึ้นมา ผมยกหินขนาดหัวคนขึ้นมาเตรียมไว้เขามองผมตาไม่กะพริบ ครู่เดียวที่ผมมอง เขากระโดดขึ้นมาตัวค้างในอากาศ เขาเกาะก้อนหินใหญ่เอาไว้แล้วพยายามกระโดดอีกขึ้นมาหาผม ผมยกก้อนหินขึ้นเหนือหัวหากเขาขึ้นมาอีกก้าวเดียว ผมจะทุ่มหินลงไปทันที “ถ้าขึ้นมาอีกล่ะก็อย่าหาว่าผมใจร้าย” ผมพูดคุณเวณวัฒน์ส่งเสียงร้องโฮก ลายดำพาดเหลืองปรากฏขึ้นหางใหญ่เท่าแขนผมแกว่งไปมาช้าๆเหมือนกำลังเตรียมสังหารเหยื่อ จังหวะที่เสือขยับเท้า ผมก็ทุ่มก้อนหินลงเสือหลบหินไปได้อย่างหวุดหวิด ก้อนหินกลิ้งลงไปแตกกระจายอยู่กับพื้นเบื้องล่าง ตอนนี้ผมไม่เหลืออะไรไว้ป้องกันตัวเลยเสือจ้องผมด้วยแววตาอาฆาต มันแยกเขี้ยวขาวแล้วย่อตัว มันกำลังจะกระโดดขึ้นมาคร่อมตัวผมเอาไว้นี่อาจจะเป็นวาระสุดท้ายของผมแล้วก็ได้ “ยังตายไม่ได้จะต้องมีชีวิตรอด” ในหัวผมนึกถึงคุณเวณวัฒน์ขึ้นมาแรงฮึดเกิดขึ้นอีกครั้ง ผมหยิบเอาประทัดที่เหลือมาจุด มือสั่นๆโยนพวงประทัดลงไปได้อย่างเหมาะเจาะที่สุด มันตกลงใกล้ๆกับจุดที่วางเท้าของเสือฝ่าเท้าขนาดฝ่ามือผู้ใหญ่ขยับไปมา เสือสะดุ้งเพราะเสียงประทัดมันร้องตกใจแล้วถอยลงไปตั้งหลักใหม่ข้างล่าง เสือเดินวนเวียนอยู่ข้างล่างมันหาทางไต่ขึ้นมาอีกหลายครั้ง ผมคิดว่าหากปล่อยให้มันขึ้นมาได้ฝ่ายที่เสียเปรียบก็คือผมเอง บนนี้แทบไม่มีที่ให้ขยับตัวเลยหากมันกระโดดขึ้นมาตรงที่ผมนั่งอยู่ ผมคงไม่มีชีวิตรอดไปช่วยคุณเวณวัฒน์ เสียงประทัดแตกทำให้ผมกับพรานลุกขึ้นมาจากลานดินแข็งๆที่ใช้เป็นที่พักทันทีพรานที่มีประสาทหูดีกว่าผม เอียงคอและหูเพื่อฟังเสียงนั้น ผมเก็บกระเป๋ากับหยิบไม้ปลายแหลมออกมาเตรียมไว้พรานพยักหน้าให้ผม เราสองคนออกวิ่งไปดู ห่างออกไปทางด้านภูเขาหินปูนพรานหาทางเข้าไปถึงด้านใน เขาบอกว่าน่าจะมีถ้ำอยู่และเสียงประทัดแตกน่าจะมาจากนัทที่ติดอยู่ข้างในคนเดียว ผมตะโกนเรียกชื่อนัทอยู่หลายครั้งแต่ไม่มีเสียงตอบรับ พรานวิ่งไปมาและหาทางเข้าจนได้ช่องทางเข้ามันลับมุมเถาวัลย์รกอยู่ ไม่ทันที่เราจะวิ่งพ้นเหลี่ยมหินที่เป็นผนังเสียงโฮกใหญ่ๆของเสือก็ดังขึ้น พรานกระชับปืนในมือแล้วออกวิ่งนำไปข้างล่างผมวิ่งตามไปพร้อมกับไม้เหลาปลายแหลม พอพ้นมุมหินไป ผมเจอลานโล่งของพื้น แสงแดดอ่อนๆส่องทะลุช่องว่างด้านบนถ้ำลงไป ผมเห็นสัตว์สี่ขาตัวใหญ่กำลังกัดอะไรซักอย่างอยู่บนพื้น ลำตัวพ่วงพีสีเหลืองจางนอนแผ่กับพื้น เลือดข้นๆไหลนองเต็มพื้น กลิ่นคาวคละคลุ้งลอยเข้ามาในจมูก “นัท!!!” จังหวะเดียวกับที่พรานจ่อปืนไปที่ลำตัวของเสือผมไม่อยากนึกถึงสภาพของนัทที่อยู่ใต้เสือเลย ป่านนี้คงจะแหลกเหลวหรือตัวขาดไปแล้ว พรานหยุดนิ่งเหมือนกำลังตกใจอะไรบางอย่างเสือตัวนั้นไม่ได้ตายเพราะปืน ทุกอย่างกลับตาลปัตร ผมเห็นมือของคนค่อยๆโผล่ออกมา ร่างเล็กกว่าของคนที่โผล่ออกมาจากซากเสือคือตานตากลมโตสีดำที่ผมคุ้นเคยจ้องมองกลับมา ในมือตานมีมีดสั้นๆ เลือดคาวของเสือเปื้อนไปทั่วตัว “ปาดหลอดลมคว้านออกมาจนขาด” พรานใช้ปลายกระบอกปืนเขี่ยคอเสือส่วนหลอดลมของมันขาดวิ่น ท่อลมของมันเหมือนท่อส่งน้ำทิ้งขนาดใหญ่ “ตาน...” ผมครางออกมาเบาๆแทบไม่เชื่อตัวเองเลยว่า คนตรงหน้าผมคือตาน “เรื่องเป็นมายังไง ตานมาอยู่ที่นี่ได้ยังไงกัน?” ตานยืนนิ่งเหมือนคนไม่ได้สติมีดในมืออาบไปด้วยเลือดสีแดงเข้ม ตาของตานเบิกกว้างเหมือนคนตกใจสุดขีด “ตานครับ” ผมปล่อยไม้แหลมลงพื้นแล้วทำท่าจะเดินเข้าไปหาตาน “อย่าเพิ่ง!!” พรานกระชากไหล่ผมเอาไว้เขาจ่อปลายกระบอกปืนไปหาตาน ท่อนเหล็กทรงกระบอกจ่อติดอยู่กับปลายจมูกของตานพอดิบพอดี พรานโยนไฟแช็คลงไปใกล้เท้าของตาน “จุดไฟถ้าทำไม่ได้ กูจะยิงให้หัวหลุดเลยคอยดู” พรานสั่งตานผมหันมามองดูพรานก่อนจะพูดเสียงดังขึ้นมา “จะบ้าหรือไง” “บ้าไม่บ้าเมื่อคืนมันก็กวนเรามาแล้ว ตรงหน้าเราอาจจะเป็นแค่ซากของคนที่คุณเรียกอยู่ก็ได้” พรานยังจ่อกระบอกปืนไปที่ตานตาของทั้งสองคนนิ่ง ไม่มีใครกะพริบตาเลย ตานนั่งลงกับพื้นผมเห็นเขากวาดเศษใบไม้มารวมกัน ตานหยิบไฟแช็คของพรานขึ้นมาจุดไฟกองไฟจากเศษใบไม้ลุกโชนขึ้น “ทีนี้เชื่อหรือยัง” ผมพูดออกมาพรานขอให้ผมถามตานเรื่องส่วนตัวสองสามคำถาม สุดท้าย เราก็แย่ใจแล้วว่าคนตรงหน้าผมคือตานตัวจริง “ขอไปล้างตัวหน่อยนะครับ” ตานมองหากระเป๋าเขาหยิบผ้าขนหนูผืนเล็กออกมา “ข้างหน้านั่นมีธารน้ำใต้ดินครับ” พรานเป็นคนบอกผมเดินไปส่งตานล้างตัว ตานล้วงเอาเสื้อผ้าชุดเมื่อวานมาซักเขาบิดจนหมาดแล้วก็เอาไปแขวนไว้กับราวไม้ที่ทำเองง่ายๆจากเศษไม้แห้ง ไฟที่พรานหาเศษไม้มาใส่เพิ่มแรงและร้อนขึ้นตานล้างหน้าแล้วก็เช็ดเลือดคาวๆออกไปบ้างแล้วแต่ส่วนที่กระเด็นติดไปในเสื้อและกางเกงก็ยังมีอยู่ ตานเล่าให้ฟังถึงเรื่องเสือมันย่องเข้ามาหาตานตอนใกล้เช้า มันปลอมเป็นนายเวณวัฒน์แล้วก็พยายามให้ตานลงมาจากเนินด้านบน ตานจุดประทัดไล่แล้วใช้มีดในกระเป๋าป้องกันตัว เสือหนีเสียงดังไปแล้วก็กลับเข้ามาอีกมันวิ่งเข้ามาหาตานที่กระโดดหลบ ตานอาศัยจังหวะที่เสือแว้งตัวกลับเขาใช้เสียบมีดแล้วก็ใช้แรงคว้านตรงคอ แต่แรงของเสือทำให้ตานล้มไปอยู่ใต้ตัวมันตานออกแรงกระทุ้งแล้วก็พยายามคว้านจนหลอดลมมันขาด “พี่ไม่น่าพาทุกคนมาที่นี่” ผมส่ายหัว “ผมคิดว่าใครบางคนพยายามให้เรามาถึงที่นี่”ตานลุกขึ้นยืนแล้วมองมาที่ผม “ตาน...” ผมลุกขึ้นยืนแล้วพยายามไปจับตัวเขา “ผมไม่มีอะไรจะเสียแล้วแล้วถ้าคุณเวณวัฒน์เป็นอะไรไป ผมไม่มีวันยกโทษให้คุณ” ตานพูดออกมาทั้งน้ำตาเขาตัวสั่น สายตาที่มองผม เต็มไปด้วยความผิดหวัง “ถ้าตานไม่มาเป็นพี่....ตานก็ไม่เข้าใจหรอก” “คุณทำลายชีวิตอื่นเพื่อประโยชน์ของตัวเองคุณมันเห็นแก่ตัว” ตานเช็ดน้ำตาแล้วพยายามสงบสติอารมณ์ “ตานกำลังโกรธพี่ว่า รอให้ตานอารมณ์ดีกว่านี้แล้วเราค่อยคุยกันนะครับ ตานก็รู้ว่าพี่ไม่โกรธตานตานคือคนที่มีความหมายที่สุดของพี่” “คุณไม่เข้าใจและไม่มีวันที่จะเข้าใจเพราะคุณปิดใจไม่ยอมรับสิ่งที่ผมบอก” “ตานจะบอกอะไรพี่?” “เราไม่มีวันลงเอยกันได้ถึงผมไม่มีเขา เราสองคนก็ไม่ใช่คู่กัน” ตานลงนั่งเงียบๆคนเดียวเขาถอยห่างออกไปเหมือนโกรธผม ผมนั่งลงใกล้ๆกองไฟพยายามชงเครื่องดื่มร้อนๆไปให้เขา “ไม่เป็นไรตานกำลังโกรธ แต่ตานครับ ดวงเราสองคนสมพงษ์กันนะ ป้าของพี่บอกไว้ เดี๋ยวเรารอคนมาช่วยตามหานัทกันนะครับรอไม่นานเราจะได้กลับไปนอนที่บ้านแล้ว ป้าของพี่ส่งคนมาแล้ว” “แล้วปล่อยให้คุณเวณวัฒน์ถูกขังไว้ที่นี่น่ะเหรอพวกคุณใจร้ายมากนะ” ตานเบือนหน้าออกอีกทางตอนผมยื่นแก้วกาแฟให้ผมวางแก้วไว้ใกล้ๆเขาแล้วก็เดินกลับมานั่งที่ตัวเอง “มันเป็นอุบัติเหตุนะครับ” ผมตอบเขา “มันไม่ใช่อุบัติเหตุพวกคุณทำมันขึ้นมา!” ตานส่งสายตาแข็งกร้าวมาที่ผม “ตานเชื่อเขาเชื่อทุกอย่าง เขาพูดอะไรก็เชื่อ พี่พูดอะไรก็ไม่มีน้ำหนัก” “เพราะเขาไม่เคยโกหกผมแต่คุณ...” ตานส่ายหัวแล้วหลับตานิ่ง ผมไม่ได้ทำอะไรผิดตานต้องขอบใจผมด้วยซ้ำที่ทำให้เรื่องพวกนี้จบลงเรื่องราวของครุฑมันไม่มีทางจบลงด้วยความสุขอยู่แล้ว ผมช่วยให้ตานกลับมาเป็นคนเดิมกลับมาน่ารักและสดใส ตานจะต้องกลับมาหาพ่อกับแม่ไม่ใช่มัวแต่ไปขลุกอยู่กับนายเวณวัฒน์จนลืมคนอื่น “ผมจะไปตามเขาเองถ้าหาเขาไม่เจอ ผมก็ไม่กลับ” “ได้สิครับเราจะตามหาเขาด้วยกัน เดี๋ยวรอคนของคุณป้ามานะครับ” “ผมจะไปเดี๋ยวนี้คุณจะรอคนก็ตามใจคุณ” “ตานมีสติหน่อยสิครับ ป่านี้ไม่ใช่สวนหลังบ้าน อันตรายมันมีอยู่รอบตัวตานเกือบตายเพราะเสือ ไม่ใช่เพราะออกมาตามนายเวณวัฒน์เหรอครับตานทำเพื่อเขามากเกินไปแล้วนะ” “ถ้าจำเป็นขึ้นมาผมก็ตายแทนเขาได้” ตานลุกขึ้นยืนเขากระชับกระเป๋า เสื้อผ้าที่ตากไฟไว้แห้งดีแล้ว เขาเปลี่ยนเสื้อผ้าง่ายๆ ผมรู้สึกเจ็บเข้าไปถึงในส่วนลึกของหัวใจเหมือนมีคนบีบและขยี้หัวใจผม ผมอยากจะฆ่านายเวณวัฒน์ให้ตายไปซะตอนนี้เลย มันไม่น่าเกิดมาเลย มันทำให้ตานเปลี่ยนไปหมด “ตานจะไปได้ยังไงป่านี้มันเหมือนเขาวงกต เดินไปเองก็หลงเปล่าๆ ขนาดพรานยังไม่แน่ใจเลย” ผมพยายามรั้งเขาไว้ “ผมมีคนนำทางคุณจะตามมาด้วยหรือหยุดรอคนอยู่ตรงนี้ก็แล้วแต่คุณ” ผมไม่ทันได้ถามว่าใครจะมานำทางให้ตานเพราะเสียงร้องเฮ้ยของพรานดังขึ้นมาเสียก่อน หมอกควันสีดำหมุนเป็นวงขึ้นมาผู้หญิงคนหนึ่งโผล่ขึ้นมาจากกลุ่มควันพร้อมกับโค้งคำนับตานกับผม “ท่านผู้มีพระคุณข้าจะนำทางท่านไปสู่จุดหมาย” พรานหันกระบอกปืนไปทางงูที่กลายร่างเป็นคนแต่พร้อมๆกับที่พรานทำแบบนั้นงูตัวเล็กๆอีกนับสิบตัวก็หมุนขึ้นมาเป็นเด็กตัวเล็กๆรายล้อมเราเต็มไปหมด “อย่ายิงเขามาดี” ตานยกมือห้ามผมเห็นงูเลื้อยไปตามลำธารสายเล็กๆ ตานเดินงูไปในทางเส้นนั้นความมืดค่อยๆกลืนร่างของตานให้หายเข้าไปทีละน้อย “ตานรอพี่ด้วย” ผมลุกขึ้นแล้ววิ่งตามตานเข้าไปพรานเดินตามผมมาด้วยเช่นกัน ผมเปิดไฟฉายเมื่อเดินเลยเข้าไปในความมืดเสียงเลื้อยของงูกับเสียงพื้นรองเท้าบดไปกับก้อนกรวดดังไปอย่างต่อเนื่องทางคดเคี้ยวพาเราเข้าสู่ใจกลางของภูเขา เสียงค้างคาวร้อง เสียงน้ำหยดลงจากหินดังมาเป็นระยะ หินงอกหินย้อยตามทางที่เราเดินผ่าน ส่องประกายระยิบระยับเหมือนเพชร ทางที่เราเดินเริ่มแห้งธารน้ำเปลี่ยนเป็นพื้นหิน อากาศเย็นๆ และชื้นจากไอน้ำเปลี่ยนเป็นอากาศอบอุ่นและแห้ง งูเลื้อยตรงไปข้างหน้าจากนั้นก็พาเราทะลุออกซ้ายบ้าง ขวาบ้าง การเดินทางกินเวลากว่าครึ่งชั่วโมงสุดท้ายงูก็หยุดอยู่หน้าโถงใหญ่ซึ่งทำหน้าที่คล้ายท้องพระโรงในพระราชวัง งูบิดตัวขึ้นเป็นควันสีดำสนิทมันเดินสองขาเข้ามาแล้วชี้มือไปยังห้องโถงใหญ่ “ขอให้ท่านระวังตัวในนั้นมีอันตราย หมดหน้าที่ข้าเพียงเท่านี้ ลาก่อน” นางงูสีดำกลายร่างกลับเป็นงูผมเพิ่งนึกออกตอนนี้เองว่ามันเป็นงูตัวเดียวกับที่ผมเคยช่วยเอาไว้เมื่อวานตอนที่เราไปเล่นในลำธารใกล้ๆบ้านพัก พี่มิทกับพรานแอบคุยกันเบาๆสองคน ผมเดินเข้าไปข้างในนั้นก่อนความมืดที่คิดว่าคงปกคลุมห้องโถง กลับมีแสงสว่างจากคบเพลิง คบเพลิงเรียงรายอยู่ตามผนังกลางห้องมีกองไฟสูงเลยหัว ห้องโถงนี้มีขนาดใหญ่มากคะเนด้วยสายตาน่าจะถึงครึ่งของสนามฟุตบอล ผมนึกแปลกใจที่มีไฟอยู่ในนี้ แต่อีกใจก็นึกดีใจไฟพวกนี้เป็นสัญญานของมนุษย์ มนุษย์เท่านั้นที่จะจุดไฟพวกนี้ได้ พอพ้นห้วงความคิดของผม เสียงร้องของคนดังขึ้นพร้อมๆกับสิ่งที่ผมคิดนั้น มันผิดพลาดไป มนุษย์ไม่ได้เป็นสิ่งมีชีวิตชนิดเดียวที่ใช้ไฟเป็นยังมีสัตว์บางจำพวกที่ใช้ไฟได้อย่างมนุษย์ และมันก็เป็นสัตว์ที่ใกล้เคียงกับเรามาก ลิงนั่นเอง ลิงยักษ์โผล่ออกมาจากประตูทีละตัวผมนับลิงได้หลายสิบตัว ทั้งตัวใหญ่และตัวเล็ก มันออกมากันเรื่อยๆตอนนี้ฝูงลิงพากันเดินไปมารอบๆแท่นที่มีคนนอนดิ้นอยู่ ลิงเพิ่มจำนวนขึ้น จนอาจจะถึงร้อยตัว “นัท” ผมร้องเรียกคนที่นอนอยู่บนแท่นหินนัทถูกลิงจับตัวเอาไว้ตั้งแต่เมื่อไหร่ผมก็ไม่ทราบ แต่ที่น่ากลัวที่สุดคือตอนนี้ลิงเดินไปรอบๆ ตัวของนัทแล้วชูหอกปลายแหลมขึ้นเหนือหน้าอก ผมเชื่อว่า ถ้าลิงออกแรงแม้แต่นิดเดียวหน้าอกของนัทคงถูกเสียบทะลุไปถึงแผ่นหลังแน่ ด้วยกำลังคน เราไม่มีทางช่วยเหลืออะไรนัทได้ หรือแม้แต่ช่วยคุณเวณวัฒน์ออกมาผมก็ยังคิดหาทางไม่ออก “กลับกันได้แล้วเราช่วยอะไรใครไม่ได้” พรานเดินหันหลังทันทีแต่ช้าไปแล้ว ประตูทางเข้ามีลิงตัวใหญ่เข้ามายืนคุมไว้หลายตัว แต่ละตัวก็มีหอกปลายแหลมอยู่ในมือด้วย ผมเห็นพี่มิทล้วงเอาของบางอย่างออกมาจากกระเป๋ากางเกงพี่มิทเป่าของในฝ่ามือ เสียงหึ่งๆ บินตัดอากาศออกไป ลิงหลายตัวร้องเสียงดังเหมือนกำลังได้รับความเจ็บปวดแต่ลิงนั้นมีมากมายเกินกว่าที่เราจะจัดการได้ ลิงวิ่งกรูกันออกมาล้อมพี่มิทกับพรานเอาไว้ พี่มิทปล่อยของบางอย่างลงพื้นแสงสว่างของกองไฟกลางห้อง ส่องให้เห็นของที่พี่มิททิ้งลงพื้นคือตุ๊กตาหินรูปสัตว์ประหลาด มันไม่มีตัว มีแต่หัวกับปาก ลิงพากันร้องเจี๊ยกจ๊ากแล้วก็ถอยกรูตุ๊กตาหินสองตัวเคลื่อนไหวแล้วก็ขยายตัวขึ้นหลายเท่า มันไล่ล่าฝูงลิงอย่างโหดร้าย เสียงร้องและเสียงประหลาดดังขึ้นสลับกัน พี่มิทถือโอกาสชุลมุนนั้นเข้าไปตัดเชือกที่รัดรอบตัวนัทออก นัทรีบสลัดเชือกแล้วกอดพี่มิทไว้แน่น “พี่มิทมาช่วยแล้วนัทกลัว มันเอาเหล็กแหลมมาขู่นัท มันจะเอาเลือดนัทไปเลี้ยงนายมัน” นัทพูดตะกุกตะกักแล้วปีนลงมาจากแท่นพร้อมกับพี่มิท “นายมัน?” พี่มิทสงสัย “นายมันนายมันสั่งให้ลิงรอฆ่าพวกเรา มันต้องการเลือดคนไปบูชานายมัน” “เหลวไหลกลับกันได้แล้ว” พี่มิททำเสียงห้วนๆผมหันไปมองรอบๆ ยังไม่เห็นบ่อน้ำและต้นไม้ปีศาจที่ว่าเลย “มันมีผีด้วยนะพี่มิทผีมันตื่นขึ้นมาแล้ว” “หยุดพูดแล้วตามมา” พี่มิทเริ่มหงุดหงิดที่นัทพูดไม่หยุดระหว่างนั้นผมพยายามมองหาต้นไม้ พวกลิงหนีหายไปด้านในแล้ว เสียงร้องเงียบลงพี่มิทเข้ามาดึงแขนผมแล้วลากกลับไปที่ประตู “จะไม่มีใครกลับไปทั้งนั้น” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาไม่ใช่เสียงผม ไม่ใช่เสียงคนในกลุ่มเรา “ใครพูด” พี่มิทหันไปมองรอบๆ เสียงท่องบทบูชาดังขึ้นมา ผมรู้สึกมึนหัวแล้วก็เซไปมาเล็กน้อยแผ่นดินใต้ฝ่าเท้าเคลื่อนไหว ลิงกลับมายืนประจำที่บางส่วนก็จุดคบเพลิงตรงหน้าแท่นบูชา บนบัลลังก์สีทองที่ไฟจากคบเพลิงส่องเข้าไปถึงมีร่างหนึ่งนั่งอยู่เดียวดาย ร่างนั้นนั่งอยู่นานแล้วจนเป็นเหมือนหินหรือซากศพแข็งๆ หยากไย่แมงมุมโยงไปมาเต็มตัวมีเพียงปากเท่านั้นที่ขยับไปมาได้ “มึงเป็นใคร?” เสียงแหบพร่าของซากนั้นพูดกับพี่มิท พี่มิทถอยหลัง มือขวาจับมือผม มือซ้ายจับมือนัท “กูถามว่ามึงเป็นใครเหตุใดมึงจึงใช้เกียรติมุข”ร่างนั้นแผดเสียงลั่นห้องโถงใหญ่ลิงใหญ่ร้องกันระงมด้วยความหวาดกลัว ลิงพวกนี้คงเป็นลูกสมุนของซากศพนี้มันทำหน้าที่คอยดูแลสุสานใต้ดิน “ไอ้อีตัวไหนมันใช้บทบูชาเทพ ปลุกกูให้ตื่นจากการหลับใหล ใช่มึงหรือไม่?” เสียงแหบนั้นถามพี่มิท จะด้วยประสาทพิเศษหรือสิ่งลี้ลับก็ไม่ทราบได้ผมรู้สึกว่าซากศพนั้นไม่ได้พูดภาษาเหมือนที่เราพูดกัน มันคือภาษาโบราณแต่ผมกลับฟังออก “เจ้าหญิงโสรยา” พี่มิทตอบผมหันขวับไปมองหน้าพี่มิททันที มือที่จับถูกสะบัดออกมาอย่างแรง “ยอมรับแล้วสินะ” ผมพูดเสียงดังแล้วถอยออกมาพี่มิททำหน้าหนักใจแล้วหันมามองผม “ตอนนี้ไม่ใช่เวลามาแตกแยกกันนะครับกลับมาหาพี่เร็วเข้า” “ผมไม่มีทางอยู่กับคนที่ทำร้ายคนอื่นเพื่อตัวเอง”
|