ไม่ทันที่ผมจะได้พูดจนจบเสียงปืนก็ดังขึ้นสองนัดซ้อนๆ พรานนำทางยิงปืนระยะไกลไปที่ซากศพ เศษซากแข็งๆนั้นมีชิ้นส่วนกระเด็นออกมา เป็นส่วนของกะโหลกและใบหน้าเล็กน้อย ใบหน้าที่เป็นเหมือนอสุรกายนั้นบิดเบี้ยวไปด้วยความโกรธ ซากศพลุกขึ้นมายืน ผมเห็นเหมือนกับว่าเขาไม่ได้เคลื่อนไหวมาเป็นพันปีแล้ว ฝุ่นลอยคละคลุ้งแล้วเขาก็เคลื่อนไหวตัวไม่ได้สะดวกนัก พี่มิทเรียกสัตว์ประหลาดกลับมาตอนนี้มันกลายเป็นตุ๊กตาหินแล้วพี่มิทเรียกมันอยู่หลายครั้งก็ไม่มีทีท่าว่ามันจะตื่นขึ้นมาจัดการกับซากศพ “มึงจะเอาวิชาที่กูพร่ำสอนลูกหลานมาใช้ทำลายกูมึงคิดผิดเสียแล้ว กูนี่คือบรรพบุรุษของมึงเป็นโคตรเหง้าต้นวงศ์วานของมึงเมื่อแรกเริ่มตั้งราชวงศ์” “ไม่จริงป้าไม่เคยเล่าให้ผมฟัง” พี่มิทสั่นหัวแล้วถอยออกมา ผีดิบพันปีเดินช้าๆเข้ามาหาพวกเราสี่คน พรานยิงปืนเข้ามาอีกหนึ่งนัด นัดนี้ถูกเข้าที่ชายโครงของผีดิบ ซากศพที่อ้างว่าเป็นบรรพบุรุษของพี่มิทเดินย่างสามขุมเข้ามาพรานนำทางทิ้งปืนแล้ววิ่งหนีเอาตัวรอด และไม่ทันที่พรานจะวิ่งพ้นลิงยักษ์ก็รวบขาของเขาไว้ ร่างของพรานดิ้นไปมา แต่ก็สู้พละกำลังของลิงยักษ์ไม่ได้ร่างของผีดิบที่กำลังส่ออาการกราดเกรี้ยวยื่นมือน่าเกลียดเข้ามาที่คอของพราน ท่อนแขนสีคล้ำเหมือนเนื้อตากแดดมีพละกำลังเหลือเชื่อคอของนายพรานหักในพริบตา เสียงลั่นของกระดูกคือเสียงสุดท้ายแห่งชีวิต ซากศพนั้น ดูดกินเลือดช้าๆ นัทร้องไห้และตัวสั่นด้วยความกลัวพี่มิทเรียกผมเข้าไปรวมกลุ่ม ผมหันมองดูรอบๆ แล้วตัดสินใจตามหาคุณเวณวัฒน์ผมแน่ใจว่า ถ้ามีเขา เรื่องทุกอย่างจะจบลง “ตานกลับมาอย่าไป มันอันตราย” พี่มิทสะบัดตัวจากนัทแล้ววิ่งมาทางผมลิงหลายตัวเข้ามาเป็นกำแพงกั้นพี่มิท ผมเดินเข้ามาถึงแท่นบูชาที่เป็นหินแข็งๆผมปีนขึ้นไปหยิบคบเพลิงลงมา เท้าของผมสัมผัสได้กับของเหลวสีดำคล้ำมันขังและเอ่อมาตามร่องหิน ผมลองจ่อไฟลงไปใกล้ๆ และพบว่ามันคือน้ำมันดิน คบเพลิงจ่อเข้ากับลำธารน้ำมันเหมือนกับการจุดไฟในการเปิดการแข่งกีฬา ไฟไหลไปตามรางจนสุดปลายอีกด้าน ไกลออกไปมีต้นไม้สองต้น อีกด้านก็มีบ่อน้ำสร้างด้วยหินอยู่สองบ่อ ผมตัดสินใจวิ่งออกไปก่อนที่จะถูกลิงพากันเข้ามาขวาง “ตานกลับมาครับ” พี่มิทตะโกนพี่มิทกับนัทถูกลิงล้อมเอาไว้ ผีดิบเดินช้าๆมาหาผมตอนนี้แสงสว่างจากคบเพลิงและจากธารน้ำมันส่องสว่างเจิดจ้า ผมมองเห็นทุกซอกของห้องโถงใหญ่มันกว้างไกลสุดสายตาก็จริง แต่ทุกอย่างนั้นเด่นเป็นเอกลักษณ์ ลำต้นของต้นไม้ปีศาจงอกออกมาจากพื้นดินตรงนี้เอง มันอาจจะไปโผล่ตรงบ่อน้ำข้างบนที่ผมกับคุณเวณวัฒน์เดินผ่านมันต้องดึงเขาลงมาที่นี่แน่ จังหวะที่ผมกำลังจะเข้าไปใกล้ต้นไม้นั้นผีดิบก็เข้ามาสกัดผมไว้ตรงหน้า ระยะห่างแค่เอื้อมมือถึงทำให้ผมเห็นถึงความน่ากลัวของเขาได้อย่างชัดเจน ร่องรอยของความเก่าแก่ใบหน้าเหี่ยวย่นเหมือนซากศพ ฟันสีดำที่มีบางส่วนหลุดร่วงแสยะยิ้มผีดิบนั้นยื่นมือเข้ามาที่คอผม ระยะห่างไม่มากนั้น ทำให้ผมรับรู้ได้ถึงรังสีความร้อนปลายมือของผีดิบสว่างวาบไปด้วยแสงสีส้มอมแดง เขาพยายามยื่นมือเข้ามาแต่ก็ไม่สามารถทนกับความร้อนนั้นได้ ผีดิบหดมือกลับไป ควันลอยออกมาช้าๆ จากปลายมือสายตาแสดงความสงสัยตรงมาที่ผม แต่ไม่มีคำถามใดๆ ผีดิบเดินกลับไปหาพี่มิทมันสอดนิ้วเหี่ยวย่นไปที่สร้อยคอพี่มิทแล้วแสยะยิ้มน่ากลัวนัมร้องเอะอะแล้วพยายามหนีออกมาแต่ถูกพี่มิทดึงแขนไว้ “มึงคือลูกหลานที่สืบเชื้อสายของกูเมื่อมึงเข้ามาที่นี่ กูก็จะทำให้มึงเป็นอมตะเช่นกู” “ไม่ไม่มีทาง” พี่มิทถอยออกมาจากผีดิบ “นานแสนนานแล้วที่กูถูกพันธนาการไว้ที่นี่รอเวลาคืนสู่อำนาจที่ยิ่งใหญ่ มึงจะเป็นขุนพลคู่บัลลังก์กูแล้วก็เป็นผู้สืบทอดอำนาจของกูต่อไป” “ไม่มีทางผมไม่มีวันเป็นผีดิบเหมือนคุณ” พี่มิทพูดเสียงดังแล้วแหวกตัวหลุดออกมาจากกองทหารลิงผีดิบเดินตามพี่มิทแล้วรวบมือไปที่คอ มือเหี่ยวแห้งแต่เต็มไปด้วยพละกำลัง หยุดผู้ชายตัวโตอย่างพี่มิทเอาไว้ได้อย่างน่าตกใจนัทวิ่งเข้ามาเกาะผมเอาไว้แน่น ตอนที่พี่มิทถูกจับตัว ผีดิบกรีดนิ้วแหลมๆ ไปที่ตำแหน่งหัวใจของพี่มิทมือเหี่ยวย่นต้องการที่จะควักหัวใจพี่มิทออกมา “อย่านะอย่าฆ่าเขา” ผมตะโกนแล้วรีบวิ่งไปห้ามและใช้มือผลักร่างของผีดิบออกไป ไม่ใช่เรื่องของมึง” ผีดิบกราดเกรี้ยวมันยื่นสองมือมาบีบคอผม แต่ก็ต้องหดมือกลับไป ระหว่างนั้นกองทัพงูนับพันๆตัวโผล่ขึ้นมาจากซอกต่างๆ รอบห้องโถง นกนางแอ่นที่ทำรังในถ้ำบินหวือออกมาโฉบลิงที่ประจำการอยู่โดยรอบ นกเค้าแมวนับสิบตัวเข้ามาจิกตาของลิง งูพิษแมงป่อง ตะขาบ พากันกัดและต่อยจนพวกลิงยักษ์ถอยหนี “วาเมธมาช่วยวาแล้ว” เสียงหนึ่งดังขึ้นมาจากปากทางเข้างูคุณเมธเลื้อยเข้ามาพร้อมกับสมาชิกงูหลายตัว “ขอบคุณขอบคุณมาก” ผมดีใจจนพูดไม่ออก “วารีบหาท่านครุฑให้เจอทางนี้เมธจัดการเอง” งูคุณเมธเลื้อยผ่านผมไปช่วงชุลมุนนั้น ฝ่ายลิงกำลังเสียท่า บางตัวตาบอดบางตัวนอนแน่นิ่งเพราะถูกสัตว์มีพิษกัดต่อย ผมวิ่งไปหาบ่อน้ำศักดิ์สิทธิ์ผมไม่แน่ใจว่ามันเป็นบ่อไหนกันแน่ ผมตัดสินใจเลือกบ่อที่อยู่ใกล้ตัวก่อนผมออกแรงดันแผ่นหินลงอักขระไปด้วยแรงทั้งหมดที่มี ไอกรดแสบร้อนลอยขึ้นมากระทบหน้าอย่างรุนแรง “บ่อไหนกันแน่” ผมกำลังสับสน จังหวะนั้นต้นไม้ใหญ่ทางซ้ายมือของผมก็เคลื่อนไหวไปมามันโผล่รากออกมาแล้วพุ่งตัดผ่านอากาศอย่างรวดเร็ว รากปลายแหลมพุ่งเข้าหาพี่มิทที่เบี่ยงตัวหลบแต่รากไม้นั้นไม่ได้มีแค่รากเดียว มันพุ่งมาเป็นกลุ่มใหญ่เหมือนหนวดปลาหมึก พี่มิทหลบรากหนึ่งได้ แต่หลบอีกรากไม่ได้ขาสองข้างของพี่มิทถูกรวบแล้วดึงเข้ามาลำต้นทันทีรากไม้ที่ดิ้นและเคลื่อนไหวเหมือนหนวดปลาหมึก พันร่างพี่มิทไว้แน่นหนา เหลือเพียงแค่ส่วนของคอกับหัวเท่านั้นที่โผล่ออกมา “ตานหนีไปครับไม่ต้องห่วงพี่” พี่มิทตะโกนเสียงดังผมหันกลับมามองต้นไม้ใหญ่อีกต้น บนลำต้นอวบใหญ่ของมัน ต้องมีคุณเวณวัฒน์อยู่แน่ ผมวิ่งขึ้นไปและใช้มีดแหวกดูที่ลำต้นระหว่างนั้นรากไม้ก็พยายามเหวี่ยงมาฟาดผม ผมวิ่งหลบลงมาข้างล่างไม่มีทีท่าว่าจะฝ่ารากไม้เข้าไปได้อีกเลย “คุณเวณวัฒน์คุณอยู่ไหน!!!” ผมตะโกนสุดเสียง “ระวังที่นี่อันตรายเกินไป” เสียงคุ้นเคยดังออกมาจากลำต้นที่รกไปด้วยรากไม้คุณเวณวัฒน์นั่นเอง เขาถูกมัดตรึงไว้กับต้นไม้ ผมเห็นกระจุกกลมๆเหมือนม้วนไหมพรมซ่อนอยู่ในดงรากไม้เล็กๆของต้นทางขวามือ “ผมจะช่วยคุณรอผมก่อน ผมจะช่วยคุณให้ได้”ระหว่างนั้นผมหันไปมองพี่มิทบ่อน้ำกรดทางขวาอยู่ใกล้กับนัทที่ยืนนิ่งนัทพยายามหลบการต่อสู้ของลิงกับนกและบรรดาสัตว์มีพิษ “นัทตัดน้ำกรดไปรดต้นไม้ที ช่วยพี่มิทด้วย” ผมตะโกนไปทางนัท พวกลิงพยายามเข้ามาห้ามแต่ก็ถูกนกและงูเข้าโจมตีไม่หยุด นัทหันมามองผมแล้วก็จ้องมองบ่อน้ำหน้าตัวเอง “ออกแรงดันข้างในมีขันทอง ตักน้ำไปรดต้นไม้ที” นัทออกแรงดันปากบ่อน้ำส่วนผมก็พยายามหาขันทองใบที่คุณภุชงค์เคยบอก ไอร้อนจัดของกรด ทำให้ตาพร่าน้ำตาไหลออกมาจนมองอะไรไม่เห็น “จะบ้าหรือไงนี่มันน้ำกรดเข้มข้น!!!” นัทตะโกนอย่างคนหัวเสียเหมือนเขาโมโหที่ผมบอกให้เขาตักน้ำกรดออกมา ผมเช็ดน้ำตาที่ไหลออกไปด้วยชายเสื้อไฟฉายในมือส่องสว่างขึ้น ขันทองใบที่ว่าจมอยู่ที่ก้นบ่อ ผมพยายามหาไม้มาเขี่ย แต่พอยื่นไม้ลงไป กลับมีกระจกใสๆมากั้นเอาไว้ผมเอาก้อนหินมาทุบ กระจกแข็งที่ว่าก็ไม่กระเทือน แต่พอยื่นมือลงไปกระจกที่ว่าก็หายไปด้วย “ต้องใช้มือคนอย่างเดียวอย่างนั้นใช่มั้ย” ผมพูดกับตัวเองเหมือนคนสร้างบ่อน้ำนี้ จะหาทางป้องกันต้นไม้ไว้อย่างแน่นหนา ผมลองจุ่มปลายนิ้วลงไปสัมผัสกรดในบ่อความแสบร้อนเหมือนไฟเผาเกิดขึ้นทันที ปลายนิ้วผมไหม้เป็นสีดำเหมือนเนื้อที่ตายแล้ว “หลายอย่างคุณต้องช่วยตัวเอง” เสียงคุณภุชงค์ดังขึ้นในหัวเขาพูดไว้แบบนี้ตอนที่ผมคุยกับเขา “ผมต้องทำไม่งั้นคุณเวณวัฒน์จะต้องถูกขังอยู่ที่” ผมหลับตาแล้วยื่นมือขวาลงไปในบ่อน้ำกรดความเจ็บปวดรุนแรงเกิดขึ้นทันที น้ำกรดกัดแขนผม ไม่เคยมีความเจ็บปวดครั้งใดที่จะเท่าครั้งนี้ ผมพยายามจับขอบบนของขันแล้วยกขึ้นมาด้วยมือขวาแต่ขันนั้นหนักเกินไป มันขยับเพียงแค่นิดเดียวเท่านั้น ผมยื่นแขนซ้ายลงไปอีกข้างความรู้สึกเจ็บปวดทวีความรุนแรงขึ้น น้ำตาไหลออกมาผมร้องไห้เพราะมันเจ็บเข้าไปถึงกระดูก มือสองข้างของผมถูกกัดจนกลายเป็นสีดำผมดึงขันขึ้นมาได้ ในขันมีน้ำกรดเข้มข้นผมยิ้มดีใจแล้วก็พยายามประคองมันไปที่ต้นไม้ทางขวามือ “บ้าไปแล้วหรือไง” นัทร้องแล้วส่ายหน้า“ใครจะโง่จนยอมเสียแขนตัวเอง” นัทหันไปมองพี่มิทแล้วก็ทำท่าจะวิ่งหนี แต่ก่อนที่นัทจะวิ่งหนี นัทวิ่งมาหาผมแล้วกระชากสร้อยรูปปีกนกออกไปนัทผูกสร้อยคอเข้าด้วยกันแล้ววิ่งฝ่าความชุลมุนของการต่อสู่ออกไปที่ทางออก พี่มิทมองดูนัทด้วยความผิดหวัง พี่มิทคอตกก่อนที่จะหันมามองผมกับคุณเวณวัฒน์ช้าๆ ผีดิบที่เป็นบรรพบุรุษของพี่มิทเข้ามาขวางผมตอนนี้เขารู้ว่าผมไม่มีอะไรป้องกันตัวอีกแล้วร่างตายซากนั้นเข้ามาบีบคอผมแล้วปัดขันทองคว่ำลงกับพื้น ไอขาวขุ่นลอยตัวขึ้นทันทีที่กรดไหลไปกับพื้นหิน และผมกำลังจะหมดลมหายใจในอีกไม่นานนี้ “แกอย่า ทำ ร้าย วา เด็ดขาด!!!”เสียงของงูคุณเมธดังขึ้นมาเขาเลื้อยขึ้นมาแล้วพันร่างตัวเองกับขาของซากผีดิบ งูหน้าคนพ่นควันพิษสีดำออกมาคลุมใบหน้าของผีดิบ “วาเร็วเข้า รีบไปช่วยท่านครุฑ” เสียงบริกรรมคาถาดังขึ้นบ่อน้ำทางขวามือล้นทะลักแล้วกรดก็ไหลเอ่อออกมาจนแห้ง “แกจะทำอย่างนั้นไม่ได้นะ!!!” เสียงงูคุณเมธร้องตอนผีดิบทำลายบ่อน้ำกรด “ใครก็ช่วยตัวกาลีไปไม่ได้มันจะต้องถูกจองจำไว้ที่นี่ตลอดกาล”ผีดิบหัวเราะเสียงดัง ไม่มีใครสังเกตว่าปากของผมเปลี่ยนเป็นสีดำคล้ำเรื่อยๆ . . ก่อนที่จะถูกมือผีดิบปัดขันทองไปผมแอบอมน้ำกรดนั้นไว้ในปาก มันเหมือนมีลางสังหรณ์ว่าจะมีคนมาปัดขันทองนั้นทิ้ง ผมวิ่งไปที่รากของต้นไม้ จัดการบ้วนน้ำกรดอึกใหญ่ลงไปผมไม่แน่ใจว่ามันจะได้ผลหรือเปล่า น้ำกรดนี้อาจจะน้อยเกินไปจนต้นไม้ไม่ตายก็ได้ เกิดแรงสั่นที่ต้นไม้ใหญ่ เหมือนมันกำลังกลัวกรดกัดรากไม้เป็นแผลแล้วก็ลุกลามไปเรื่อยๆ เสียงกรีดร้องของปีศาจดังขึ้นต้นไม้กำลังตายอย่างช้าๆ รากไม้คลายตัวออก คุณเวณวัฒน์กลิ้งลงมาจากการพันธนาการ “สำเร็จแล้ววา...” เสียงงูคุณเมธสิ้นสุดแค่นั้น ผมเห็นชัดกับตาว่าผีดิบได้ดึงเอาดาบสีทองออกมาจากฝักใต้บัลลังก์ หัวของงูใหญ่ขาดสะบั้นทันที ผมตะโกนออกไปโดยที่ไม่มีเสียงลิ้นของผมหายไปแล้ว และคอของผมก็ร้อนจัดเพราะโดนกรดกัด สองมือเปราะบางเหมือนถ่านไม้มันไม่สามารถขยับได้อีกเลย จังหวะที่ผมมองดูตาของคุณเมธกะพริบมาจากพื้น หัวของงูขยับได้แต่ตัวนั้นถูกสับเป็นชิ้นๆไปแล้ว ผีดิบแทงปลายดาบเข้ามาที่หัวใจผมความเจ็บทะลุผ่านเสื้อผ้าและผิวหนังเข้ามาได้ นี่ผมกำลังจะตายใช่หรือเปล่า . . ปลายดาบทะลุผ่านผิวหนังมาได้ไม่ลึกนักเพราะมือแข็งแรงของคุณเวณวัฒน์เข้ามาจับดาบเอาไว้เลือดสีแดงไหลอาบเปลี่ยนดาบสีทองให้เป็นดาบสีแดงฉานอย่างรวดเร็ว “แกทำลายคนอื่นแกต้องได้รับโทษ” หัวของงูกลิ้งไปมาปากนั้นขยับได้เหมือนเมื่อครั้งเป็นร่างงู ผมนอนลงไปกับพื้น พิษจากกรดนั้นรุนแรงเหลือเกินตาผมค่อยๆปิด พร้อมๆกับมีเสียงพื้นแยกออกจากกัน นาคเจ็ดหัวเลื้อยออกมาจากรอยแยกใต้ดินผีดิบสะบัดดาบออกจากคุณเวณวัฒน์ทันที “เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับนาค!!!” เสียงผีดิบร้องเตือน “ข้ารับหน้าที่นี้จากท้าวเวสสุวรรณข้าจะเป็นคนพาเจ้าไปสู่ห้วงอเวจี ให้สมกับความผิดมหันต์” “ข้าเป็นอมตะไม่มีสิ่งใดทำลายข้าได้” ผีดิบท่องมนต์คาถาขึ้นจังหวะเดียวกับที่นาคเจ็ดเศียรชูคอไอความร้อนพุ่งผ่านออกมาจากปากของนาคทั้งเจ็ดหัว ความร้อนสูงจัดจนพื้นหินร้อนและแตกออกจากกันทำให้ร่างผีดิบนั้นสุกสว่างไปด้วยไฟจากนาคแสงสว่างจ้าจนแสบตาทำลายร่างของผีดิบจนกลายเป็นเถ้าถ่าน วิญญาณหลุดออกมาแล้วพยายามหนียมทูตคล้องห่วงไปจับตัวผีดิบทันที ผมทันเห็นนาคกลายร่างออกมาเป็นคุณภุชงค์เขาส่งสายตาห่วงใยมาทางผมแล้วก็เดินทางต่อไปพร้อมกับยมทูตและวิญญานชั่วร้าย พบกันใหม่ตอนหน้าครับ อความร้อนรุนแรงนั้นทำให้ทุกอย่างในห้องโถงหยุดลง พวกงูเลื้อยหนีหายไปในซอกและรูต่างๆนกพากันบินหนีออกไปจากช่องลมและปากทางเข้า ความรู้สึกสุดท้ายของผมคือคุณเวณวัฒน์ดึงอากาศมาคลุมปากและแขนสองข้าง ผมรู้สึกว่าเหมือนกำลังมีผ้าเย็นๆมาคลุมไว้ในส่วนที่ถูกกรดกัดไป ความรู้สึกเย็นช่วยประคบแผลให้รู้สึกดีขึ้นจากนั้นผมก็หลับตาแล้วการรับรู้ต่างๆก็ดับวูบไป เสียงนก เสียงขู่ของงู เสียงลิงและเสียงคุณเมธค่อยๆ เงียบ หนักตาหนักอึ้งปิดลงผมหลับไปในวงแขนของคนที่อุ้มผม . . ลมเย็นๆ พัดเข้ามาที่ใบหน้าเบาๆ อากาศบริสุทธิ์ที่สัมผัสได้อย่างชัดเจนมันเข้มข้นและทำให้ร่างกายรู้สึกผ่อนคลาย ผมนอนนิ่งอยู่บนที่นอนสีทองนุ่มๆ ร่างกายทุกส่วนยังทำงานได้ยกเว้นแขนสองข้างและปากที่ขยับไม่ได้ ผมรู้สึกว่ามีผ้าเย็นคลุมปิดปากของผมไว้ ที่นี่ไม่ใช่บ้านของผมไม่ใช่บ้านของคุณเวณวัฒน์ มันอาจจะเป็นสถานพยาบาลหรือสถานบำบัดที่ไหนซักแห่งบนโลก ผมกรอกตาไปมาพยายามหันซ้ายขวาเพื่อสังเกตบริเวณรอบๆ “อย่าซน” เสียงนุ่มๆดังขึ้น คุณเวณวัฒน์นั่นเอง เขาสวมชุดสีขาว ในมือมีหลอดพลาสติกมาด้วยเขาเปิดผ้าคลุมปากของผมออกแล้วก็ส่องไฟเข้าไปดูข้างใน “ดีขึ้นมากแล้ว” เขาพูดผมพยายามอ้าปากถามเขา แต่ลืมไปว่าตัวเองพูดไม่ได้เขายิ้มแล้วก็แปะฝ่ามือลงบนหน้าผากของผม เราสองคนหยุดใช้ภาษามนุษย์ผ่านปากแต่ใช้สัมผัสพิเศษคุยกันแทน “ที่นี่ที่ไหนครับ?” “โรงพยาบาล” เขาพูดแล้วก็ตักครีมเย็นๆใส่ปากผม“อมไว้สิบนาทีแล้วค่อยกลืน” “ไม่เห็นมีหมอซักคนพยาบาลก็ไม่มี” ผมถามต่อ “ผมเป็นหมอของที่นี่แล้วผมก็พยาบาลคุณเอง” ผมลืมไปว่าเขาเรียนหมอมาก่อนแต่ยังไงก็แปลกอยู่ดีที่จะมีโรงพยาบาลที่เงียบและสงบขนาดนี้ “โรงพยาบาลอะไรครับ?” “โรงพยาบาลรักษาคนดื้อ” เขาตอบ “โรงพยาบาลชื่ออะไร?” ผมไม่ยอมให้ความสงสัยเลยผ่านไป “ไกรลาสฮอสพิทอล” เสียงเขาตอบกลับมาระหว่างนั้นคุณเวณวัฒน์ก็เปิดผ้าดูแผลที่แขนของผม “ยังไงกันครับ?” ผมถาม “โรงพยาบาลไกรลาสคุณถามชื่อมันไม่ใช่หรือ?”เขาดันหน้าผากของผมลงตอนที่ผมพยายามมองดูแขนตัวเอง “เราอยู่ต่างจังหวัดเหรอครับ?” เขานิ่งไปครู่เดียวก็พยักหน้า “จะว่าอย่างนั้นก็ใช่” “โรงพยาบาลนี้ไม่ค่อยมีคนไข้เลยนะครับเงียบเหมือนบ้านคน” ผมพยายามมองไปรอบๆไม่มีวี่แววว่ามีคนอื่นอยู่เลย “มีผมกับคุณแค่สองคนเท่านั้นผมเป็นหมอ คุณเป็นคนไข้” เขาพูดแล้วก็หายไปทางประตูสีขาวกลับมาอีกทีก็มีถ้วยสีขาวสะอาดมาด้วย ข้างในมีบางอย่างที่ถูกบดละเอียดมาเรียบร้อยแล้ว “ผลไม้ผสมธัญพืชผสมน้ำแร่ ตอนนี้คุณกลืนเองได้แล้ว ผมจะป้อนคุณ อ้าปากช้าๆ แล้วก็กลืนช้าๆไม่ต้องเคี้ยว” เขาป้อนอาหารผมระหว่างนั้นเราก็พูดคุยกันไปเรื่อยๆ เป็นเรื่องดีกว่าการใช้ปากคุยกันเพราะเราสามารถคุยกันไปได้ขณะกิน “พ่อกับแม่ผมเป็นยังไงบ้างแล้วผมมาอยู่ที่นี่ได้กี่วันแล้ว?”ผมถามพร้อมกับกลืนอาหารบดละเอียดลงท้องไปรสชาติอร่อยเกินกว่าอาหารมนุษย์ไหลลงท้องไปพร้อมกับความสดชื่น “ผมเอาความทรงจำเรื่องคุณออกมาตอนนี้ไม่มีคนรู้จักคุณ ผมพาคุณมาที่นี่ได้สามวันแล้ว” ผมกินอาหารถ้วยเล็กๆนั้นจนหมดมันให้พลังงานและให้ความรู้ประหลาด เหมือนมันเป็นอาหารวิเศษ “ผมจะเป็นใบ้ตลอดเลยหรือเปล่าแล้วคุณจะตัดแขนผมทิ้งมั้ย?” รอยยิ้มแรกของวันเกิดขึ้นบนหน้าของผู้ชายที่นั่งอยู่ข้างๆผม เขาหัวเราะอย่างอารมณ์ดี “เป็นใบ้ชั่วคราวแขนไม่ตัด ผมจะรักษาให้กลับมาดีเหมือนเดิม” “ขอบคุณครับหมอ” ผมขยับขาไปมามันไม่ได้เจ็บหรือมีอาการเหน็บเลย แต่ผมไม่อยากนอนอยู่อย่างนี้เฉยๆ “ผมอยากออกไปเดินเล่น” ผมมองเขา “ที่นี่...เราไม่เดินกัน” เขายิ้มแล้วเอาถ้วยไปเก็บเมื่อเขาเดินกลับมาผมก็ตั้งคำถามใหม่ “ตกลงที่นี่คืออะไรกันแน่ผมตั้งคำถามไม่ถูก” “ที่นี่คือบ้านของผมอยู่บนเชิงเขาไกรลาส อยู่เหนือป่าหิมพานต์ ผมเอาคุณมานอนพักที่นี่คุณจะได้หายเร็วขึ้น ที่นี่ไม่มีเชื้อโรค แผลคุณจะได้สะอาด ที่นี่มีอาหารวิเศษคุณจะได้ฟื้นตัวเร็วๆ” “ที่นี่คือวิมานสิมพลีเหรอครับ?” ผมตกใจ “ถูกต้อง” “เอาผมมาที่นี่ไม่มีใครว่าเอาเหรอครับ?” “ใครจะว่าผมไม่มีหัวหน้า ผมไม่ใช่เทวดาบนสวรรค์ “แล้วครุฑพาคนขึ้นมาบ่อยหรือเปล่า?” “บ่อย” เขาตอบอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด “ใครบ้าง?” ผมรู้สึกว่าตัวเองได้เดินทางเข้ามาอยู่ในเรื่องสุดแสนพิสดารอีครั้งเป็นเรื่องวิเศษสุดที่เกิดขึ้นเฉพาะเวลาที่อยู่กับคุณเวณวัฒน์เท่านั้น “เยอะมากนับไม่ถ้วน ผมไม่รู้ว่าใครพาใครมาบ้าง แต่ผมพาคุณมาแค่คนเดียว ไม่เคยพาคนอื่นมา” “ใครพา ใครมา?” ผมรู้สึกสงสัยขึ้นมาจริงๆวันนี้ผมตั้งคำถามจนนึกหงุดหงิดตัวเอง “บางครุฑ...” เขาพูดแล้วหยุดนิ่งไปเหมือนพยายามนึก “ก็พาผู้หญิงขึ้นมา”
|