นางกากี?” “นั่นเป็นเรื่องที่มนุษย์แต่งขึ้นมา” เขาตอบ “พาขึ้นมาทำอะไรกันบ้าง?” คำถามนี้ทำให้เขาลูบหน้าผากผมเบาๆ แล้วตอบว่า “เสพสมกัน” ดูตาเขามีความสุขที่ได้คุยกับผม “ไม่มีใครพามนุษย์มาเที่ยวบ้างเหรอครับ?” “พาเที่ยวก็ต้องให้ครุฑอุ้มเพราะที่นี่ไม่มีถนนต้องบินไปมาอย่างเดียว ที่นี่คือเมืองบนเวหา ใครไม่มีปีกก็ไปไหนมาไหนไม่ได้” “ตอนเป็นเด็กผมคิดว่าครุฑคือนกยักษ์ มีตัวสีแดง มีจงอยปากแหลม สวมชฎาใส่มงกุฎ มีขาเหมือนนกมีกรงเล็บ” “มนุษยรู้จักครุฑเพราะเคยมีครุฑลงไปในเมืองข้างล่างพอเวลาผ่านไปคนก็คิดเอาเองว่าครุฑเหมือนนก” “แล้วตกลงครุฑมีลักษณะแบบไหนกันแน่?” “ได้ทุกแบบแล้วแต่ใจปรารถนา หรือคุณชอบครุฑเหมือนที่มนุษย์จินตนาการ ผมจะได้...” เขายิ้ม “ไม่เอาผมชอบครุฑแบบนี้” “แบบไหน?” “แบบคุณ” การสนทนาหยุดลงระหว่างนั้นมีแต่ความเงียบและท่าทางบนใบหน้าที่แต่ละคนแสดงออกมา คุณเวณวัฒน์ยกแขนของผมมาดูอีกครั้งแล้วก็ทำหน้าพอใจ “อีกไม่นานก็หายจริงๆผมจะเรียกแขนคุณกลับมาก็ได้ แต่ผมอยากรักษาคุณมากกว่า เราจะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยแล้วผมก็จะได้ตอบแทนที่คุณทำเพื่อผม” “แล้วลิ้นผมจะกลับมามั้ยผมไม่อยากเป็นใบ้” ผมพยายามกลั้นรอยยิ้มแต่ก็กลั้นไม่อยู่ “ต้องให้มันโตขึ้นมาแทนของเดิม” “ทำไมคุณไม่รักษาผมที่บ้านดงไม้?” “ที่นี่มีของที่บนโลกไม่มี” . . เป็นเวลาหลายเดือนแล้วนับตั้งแต่ผ่านเหตุการณ์ที่ป่านั้นมาข่าวในหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์ รายงานแค่ว่าภูเขาไฟระเบิดไม่ได้รายงานเรื่องลิงหรือเรื่องเหนือธรรมชาติอื่นๆ ผมมุ่งมั่นกับการสอบ สัปดาห์สุดท้ายก่อนปิดเทอมผมจัดการธุระต่างๆที่ต้องทำในมหาวิทยาลัยแล้วก็ไปหาหลวงตาที่วัดช่วงที่ผมกำลังจะเดินออกจากตึกคณะ นัทเดินเข้ามาตรงหน้าผมเห็นนัทบิดตัวไปมาเหมือนกำลังพยายามทำสิ่งที่ยากเย็น “สร้อยปีกนกน่ะมันบินหนีไปแล้วตอนออกจากป่า ไม่ได้โกหกนะ มันบินหนีไปจริงๆ จะว่าอะไรมั้ยถ้าจะชดใช้เป็นเงินแทน” นัทถอนหายใจแล้วก็มองหน้าผม “ไม่ต้องหรอกมันกลับมานานแล้ว ขอโทษทีนะที่ไม่ได้บอก” ผมขยับคอเสื้อแล้วดึงสร้อยออกมาให้นัทดู “จะว่าเห็นแก่ตัวก็ได้นะไม่แก้ตัวหรอก วันนั้นที่ดึงสร้อยมาก็เพราะอยากเอาตัวรอด” นัทพูดออกมาตรงๆ “ช่างมันเถอะเรื่องมันผ่านไปแล้ว” ผมพูดแล้วทำท่าจะเดินต่อแต่นัทโบกมือแล้วรีบเดินเข้ามาขวาง “มีอะไร?” ผมถาม “คือเรื่องพี่มิทน่ะ” “พี่มิท? ทำไม” ผมหยุดอยู่กับที่ตามองดูนัทที่บิดมือไปมา “ไม่มีอะไร” นัทตัดสินใจไม่พูดผมเดินแยกออกมาแล้วก็เดินทางไปที่วัด วันนี้ผมนัดกับคุณเวณวัฒน์เอาไว้ที่นั่น หลวงตาหาลานใต้ต้นจิกไว้ให้พวกเราฝึกสมาธิแสงแดดอ่อนๆของช่วงเย็นทอแสงมาจากทางตะวันตก ลานโล่งๆ เงียบสงบไม่มีใครเข้ามารบกวน คุณเวณวัฒน์อยู่ในชุดลำลองสีอ่อนเรานั่งห่างกัน แต่ละคนก็มีร่มไม้ของตัวเอง หลวงตาใช้เศษไม้ยาวๆขีดเส้นลงบนพื้นทราย หากแสงอาทิตย์กินเลยเข้ามาถึงเส้นนี้แล้วพวกผมต้องหยุดทันที ผมรู้ว่า คุณเวณวัฒน์แทบไม่จำเป็นต้องมาฝึกเลยเขามีความทรงจำต่อเนื่องกันเพราะไม่เคยตายส่วนผมเกิดและตายมาแล้วมากกว่าหนึ่งครั้ง ความทรงจำของผมซ้อนทับกันจนแยกไม่ออก เมื่อกำหนดลมหายใจเข้าออกจากนั้นก็ทำตามสิ่งที่หลวงตาบอก ผมเหมือนกำลังล่องลอยไปในอากาศ จิตอยู่นิ่งแต่ภาพตรงหน้าไหลเข้าออกเหมือนกำลังฉายหนัง มันเป็นหนังสั้นขาวดำ ไม่มีเสียงและภาพค่อนข้างเลือนราง ผมเห็นบ้านของยาย เห็นสระน้ำสีเขียว เห็นไร่ข้าวโพด เห็นงูผมเห็นหลายอย่าง นี่เหมือนความฝันมากกว่า ผมเห็นคุณภุชงค์เดินขึ้นมาจากน้ำเขาสวมชุดทำงาน ใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงสีดำ เขามองดูผมจากนั้นก็เข้ามาจับแขนผมเดินลงไปในน้ำ ผมเดินตามเข้ามานั่งในห้องเย็นๆมันดูเหมือนถ้ำหรือโถงใต้ดิน ด้านบนหัวของผมเป็นน้ำสีฟ้าสดใสด้านขวาเป็นผนังหิน ด้านซ้ายเป็นน้ำ มันเป็นเหมือนกำแพงน้ำที่ไม่ไหลเข้ามาในถ้ำ ผมเห็นฟองน้ำใหญ่ลอยเข้ามาในนั้นมีตาสีดำกลอกไปมา ฟองน้ำนั้นลอยเข้ามาใกล้ๆผมแล้วก็ร้องเสียงดัง “วาวายังไม่ตาย โล่งอกไปที” ฟองน้ำนั้นพูดกับผม “คุณเมธ?” ผมใช้นิ้วแตะฟองน้ำนั้นเบาๆมันยุบตัวเข้าไปแล้วก็ดันตัวออกมาเหมือนเดิม “เมธเอง” “ทำไมถึงเป็นแบบนี้?” “ก็ไอ้ผีดิบนั่นมันฟันตัวเมธขาดหมดท่านภุชงค์ลงไปส่งวิญญานมันแล้วก็กลับมาเอาวิญญานของเมธกลับลงมาที่นี่” พอคุณเมธพูดจบผมก็หันมามองดูคุณภุชงค์ซึ่งวันนี้เขาดูเงียบผิดปกติ “ถ้าไม่เอามาก็คงถูกจับไปขังไว้ใช้งานที่อื่น” คุณภุชงค์พูด “แล้วต้องทำยังไงถึงจะมีร่างเหมือนเดิมล่ะครับ?” “ไม่เอาแล้วไม่อยากเป็นงู อยู่อย่างนี้ยังดีกว่าอีก” คุณเมธร้องเสียงดังคุณภุชงค์ใช้มือปัดฟองน้ำนั้นออกทะเลไป เขาดึงผมไปนั่งที่แท่นสีทอง “อสูรงูจะตายถ้าคุณระลึกชาติได้คุณต้องทำให้เขาตาย จะได้พ้นทุกข์ซะที” “ผมกำลังฝึกแต่ผมเจอแต่ภาพอะไรไม่รู้ มันขาวดำ ไม่ชัดเลย” “เพิ่งเริ่มแต่ได้เท่านี้ถือว่าดีมากแล้ว” เขายิ้มเศร้าๆเหมือนภาพที่ผมเห็นอยู่จนชินตา “คุณผิดสัญญาของเรา” เขาพูดขึ้นมา “ผิดสัญญาอะไรครับ?” “คุณสัญญากับผมว่าถ้ามีอันตรายที่เสี่ยงกับชีวิต คุณจะเลิกทำทันที แต่ในที่สุด คุณก็ผิดคำพูด” ผมหลบตาเขา อันที่จริงคุณภุชงค์ก็พูดถูกผมไม่รักษาสัญญา “ผมควรจะลงโทษคุณ” เขาจับไหล่สองข้างของผมไว้แน่นตอนพูด “แต่ผมจำเป็นต้องช่วยคุณเวณวัฒน์” “ผมไม่อยากได้ยินชื่อนั้นที่นี่” เขาบังคับให้ผมจ้องตาทันใดนั้น ชุดของเขาก็หายไป เหลือเพียงแต่ผ้าแพรโปร่งเพียงผืนเดียวเท่านั้นที่ปิดบังช่วงล่างของเขาอยู่ ผู้ชายรูปร่างหนาตรงหน้าผมขยับตัวเข้ามาใกล้เขาประทับรอยจูบหนักๆบนปากของผม “อย่าครับ” “ที่ผมช่วยคุณมาตลอดไม่คิดว่าจะตอบแทนอะไรผมบ้างหรือ?” “แต่คุณช่วยผมเพราะอยากช่วยไม่ใช่เหรอครับ?” ผมพูดอย่างคนตกใจเสื้อผ้าผมหลุดลุ่ยไปกองข้างๆตัวหมดแล้ว “คุณคิดไปเองทั้งนั้นจะบอกให้ว่าผมกับผมครุฑนั้นไม่ต่างกันเลย เราต้องการสิ่งเดียวกันเพียงแต่เขารอให้คุณตายใจไปก่อนเท่านั้น” “ไม่จริงเขาไม่เคยทำอะไรผม” “ไม่ทำไม่ใช่ไม่คิด” คุณภุชงค์ตอบ “ผม...ผมให้คุณไม่ได้หรอกตัวผมเป็นของเขา ใจผมก็เป็นของเขา” “นี่ไม่ใช่ตัวคุณนี่คือจิต” คุณภุชงค์กดผมลงกับแท่นนุ่มๆแล้วก็จูบลงบนแก้มเบาๆ ฝ่ามือของเขาคลึงไปตามส่วนโค้งของสะโพก “จะบอกอะไรให้ถ้าเป็นคนอื่น ผมไม่มีทางช่วยด้วยวิธีนี้เด็ดขาด” ปากร้อนๆของเขา ประกบลงบนหน้าอก นิ้วมือแข็งแรงแทงทะลุเข้าไปในช่องทางที่คับแคบ “เวลาคนเรามีความสุขจนถึงขีดสุดจะเกิดสภาวะว่างเปล่า ช่วงนั้นผมจะช่วยคืนความทรงจำเกี่ยวผมและคุณเมื่อชาติที่แล้วให้” “ผม...ผมควรจะหาทางทำเอง” ผมพูดเหมือนคนจะขาดใจตอนนี้ลมหายใจผ่านเข้าออกแทบไม่เป็นจังหวะ “นอกจากเราแล้วจะไม่มีใครรู้เรื่องนี้เด็ดขาด ผมรับรอง” คุณภุชงค์กระซิบที่หู “รู้อะไรมั้ยชาติที่แล้วคุณก็ลงมานอนที่นี่ บนแท่นเดิมนี้ คุณกับผม...” “ไม่จริงธันวาไม่ใช่คนแบบนั้น” ผมปฏิเสธ “ผมพูดจริงๆเชื่อผมหรือเปล่า?” บางอย่างที่อุ่นจัด กำลังเคลื่อนไหวตัวช้าๆคุณภุชงค์ขยับตัวไปมาเพื่อให้มันเข้าที่ “นี่คือจิตของคุณไม่มีใครตามมาทั้งนั้น แม้แต่ครุฑหรือพระห่มเหลืองข้างบน ทั้งสองคนนั้นจะไม่รู้เลย ว่าเราทำอะไรอยู่ข้างล่างนี่ ผมจะช่วยให้คุณระลึกชาติได้เร็วขึ้นคุณจะได้ช่วยอสูรงูให้พ้นทุกข์ คุณจะได้จัดการสะสางปัญหาของคุณให้เรียบร้อย อย่ากลัวไปเลย ผมไม่ได้ล่วงเกินร่างกายคุณคุณจะบริสุทธิ์เสมอในสายตาของครุฑ” แท่งเนื้อร้อนจัดขยับไปมาอยู่ตรงหน้าช่องทางที่ถูกเปิดด้วยนิ้วความชุ่มฉ่ำจากปลายแท่ง ส่งผ่านเข้ามาถึงช่องทางของผม ผมสะบัดหัวอย่างแรง ตาลืมขึ้นมาในความมืดแสงแดดตอนก่อนที่จะทำสมาธิหายไปหมดแล้ว เส้นที่หลวงตาขีดไว้หายไปในความมืด พระภิกษุชราไม่ได้อยู่ในบริเวณนั้นอีกข้างตัวผมมีเพียงคุณเวณวัฒน์ที่นั่งอยู่เงียบๆ ผมรู้สึกว่าตัวเองทำเรื่องที่น่าละอายลงไปบนหน้ารู้สึกร้อนวูบวาบ เหงื่อเม็ดโตซึมออกมาเต็มหน้าและหลัง “วันนี้พอแค่นี้ก่อน” คุณเวณวัฒน์พูดมาจากม้านั่งผมขยับตัวแล้วลุกขึ้นปัดเศษดินเศษหินออกจากตัว “เป็นอะไรหรือเปล่า?” เสียงคนข้างๆผมถามขึ้นมาตอนเราเดินออกจากวัด ผมดึงผ้าเช็ดหน้าออกมาซับเหงื่อแล้วส่ายหน้า “เปล่าครับ” เราสองคนนั่งรถไฟกลับบ้านความเย็นของเครื่องปรับอากาศทำให้ผมรู้สึกสบายตัวขึ้นคุณเวณวัฒน์เดินมาส่งผมถึงหน้าบ้านผมนึกไปถึงเหตุการณ์กับคุณภุชงค์แล้วก็ตัดสินใจพูดกับเขา “ผม...ผมอยาก” “...” ความสงสัยเกิดขึ้นบนหน้าของเขาผมขยับตัวไปมาอยู่ตรงต้นมะลิริมรั้วไม่นานก็พูดตรงๆ “คืนนี้คุณนอนกับผมได้มั้ยผมไม่อยากนอนคนเดียว” ผมลดเสียงลงให้เบาที่สุดตาจ้องอยู่ที่หน้าอกของเขา เสียงคุณเวณวัฒน์ดังตอบกลับมาว่า “เกิดอะไรขึ้น?” “ผมกลัวตอนทำสมาธิเจอเรื่องแปลกๆ ผมไม่กล้าหลับตา ถ้ามีคุณอยู่ใกล้ๆ ก็คงไม่เป็นอะไร” “ผมนอนกับคุณที่นี่...ไม่ได้” เขาตอบ “”ไม่...เป็นไร” ผมพยักหน้าเข้าใจบางทีเขาคงไม่สะดวกใจที่จะมานอนที่นี่ ก่อนที่ผมจะเดินเข้าไปในบ้านเขาคว้าข้อมือผมแล้วพูดขึ้นมา “สองทุ่มตรงให้คุณเปิดประตูห้องน้ำ” ผมกำลังอ้าปากถามต่อแต่เขายิ้มแล้วดันผมเข้าประตูรั้วมา ผมเดินเข้าไปในบ้าน ถอดรองเท้าเก็บในตู้เมื่อเดินผ่านห้องรับแขก ผมเห็นพ่อเดินลงมาจากชั้นบนแม่ส่งเสียงมาจากในห้องอาหารว่า “ลูกมาหรือยังพ่อ?” พ่อตอบกลับไปว่าผมเข้ามาแล้ว “ถ้ามีธุระแล้วกลับมาไม่ทันอาหารเย็นต้องโทรบอกพ่อกับแม่ก่อน รู้มั้ย?”เสียงแม่ดังออกมาจากห้องอาหาร “ขอโทษครับพอดีตาน... ไม่ได้ดูนาฬิกา”ผมเดินเข้าไปในห้องอาหารช้าๆพ่อเดินตามเข้ามาแล้วช่วยแม่จัดจานบนโต๊ะ “แล้วไปเที่ยวที่ไหนมาล่ะเพลินจนลืมบ้าน?” พ่อผมถามขึ้นมา “ไปฝึกสมาธิที่วัดครับกับหลวงตา...” ผมบอกชื่อของหลวงตากับวัดแม่ผมซึ่งคุ้นเคยกับวัดนี้ดีทำหน้าแปลกใจแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ “แล้วเป็นอะไรไปหน้าซีดๆ เหมือนคนเหนื่อย ใช้แรงไปมากหรือเรา?” พ่อถามต่อ “ครับเหนื่อยนิดหน่อย” ผมตอบพ่อแล้วเดินไปเปิดตู้เย็นจากนั้นก็ถือเหยือกออกมารินน้ำใส่แก้วให้พ่อกับแม่และแก้วตรงหน้าตัวเอง “มาให้พ่อดูหน่อย” พ่อผมพยักหน้าเรียกพ่อเปิดปากผมแล้วก็มองดูลิ้น จากนั้นก็เปิดดูเปลือกตาพ่อใช้มือจับซอกคอวัดอุณหภูมิ “เดี๋ยวกินข้าวแล้วกินยาที่พ่อให้แล้วรีบเข้านอน” แม่ตักข้าวใส่จานแล้วก็เลื่อนกับหลายอย่างมาให้ผมไม่ทันสังเกตว่าเป็นอะไรบ้าง ในใจคิดแต่เรื่องที่เกิดขึ้นตอนทำสมาธิ มือตักข้าวเข้าปาก ปากก็เคี้ยวโดยไม่ได้มองผมคิดแต่ว่า ถ้าคืนนี้หลับไป ตัวเองอาจจะไปนอนอยู่บนแท่นของคุณภุชงค์อีก พ่อกับแม่คุยกันเรื่องคลินิกผ่านไปซักพักก็เข้ามาถามเรื่องพี่มิทที่เงียบไป “พี่เขาหายไปไหนซะล่ะทะเลาะกันหรือเปล่า?” พ่อถาม “ไม่ได้ทะเลาะกันครับ” “แล้วทำไมพี่เขาไม่มาที่บ้านเรา?” “ไม่ทราบครับ” ผมไม่ทราบว่าพี่มิทเป็นอะไรไป หรือบางทีพี่เขาอาจจะเข้าใจสถานการณ์ที่เกิดขึ้น เขาอาจะยอมรับว่าผมกำลังคบกับคุณเวณวัฒน์อยู่ นาฬิกาแขวนบอกเวลาทุ่มครึ่ง เหลือเวลาไม่มากก่อนที่จะถึงเวลาที่คุณเวณวัฒน์บอก ผมขอยาจากพ่อมากินแล้วก็เดินขึ้นไปบนห้องหลังจากอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วผมก็นั่งรอเวลา 19.55.....19.56.....19.57.....19.58ผมลุกจากเตียงไปจับลูกบิดประตูห้องน้ำ 19.59.....20.00 น. ลูกบิดเกิดความร้อนขึ้นเล็กน้อยผมบิดมันเบาๆแล้วก็ผลักเข้าไป ห้องน้ำที่ผมคุ้นเคย กลายเป็นที่มืดๆ มีลมแล้วก็มีดาวเต็มฟ้า ผมปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินเข้าไปบนพื้นที่แห้งสนิทเลยจากนั้นก็เป็นหญ้านุ่มๆ ผมเห็นคุณเวณวัฒน์นั่งอ่านหนังสืออยู่บนม้านั่งไม้บนหัวของเขามีไฟดวงเล็กๆส่องสว่าง . .
|