ผมปิดประตูห้องน้ำแล้วเดินเข้าไปบนพื้นที่แห้งสนิทเลยจากนั้นก็เป็นหญ้านุ่มๆ ผมเห็นคุณเวณวัฒน์นั่งอ่านหนังสืออยู่บนม้านั่งไม้บนหัวของเขามีไฟดวงเล็กๆส่องสว่าง ที่นี่คือชั้นดาดฟ้าของบ้านดงไม้นั่นเอง ทั้งชั้นมีไฟแค่ดวงเดียวตรงหัวของเขานอกนั้นไม่มีแสงไฟประดิษฐ์ มีแต่แสงธรรมชาติจากดาวข้างบน เขาวางหนังสือลงแล้วลุกขึ้นมาช้า ๆคุณเวณวัฒน์สวมชุดนอน เสื้อยืดสีเทาอ่อน กางเกงขายาวส่วนผมสวมชุดนอนลายหมีที่ยายตัดให้ เขาดึงข้อมือผมไปที่เตียงใหญ่กลางสวน มันเป็นเตียงกว้างๆมีหมอน มีผ้าห่มหนาๆ รอบด้านมีมุ้งสีขาวโปร่ง ลมเย็นๆสามารถพัดเข้ามาถึงด้านในมุ้งได้ “รีบนอนได้แล้วพรุ่งนี้ต้องตื่นไปเรียน”เสียงนุ่มๆ ของเขาดังขึ้นผมสอดตัวไปใต้ผ้าห่มแล้วก็นอนตามที่เขาบอก คุณเวณวัฒน์ขยับตัวเข้ามาใกล้ๆ เขานอนลงข้างๆ ผ้าห่มผืนเดียวกันถูกเปิดขึ้นร่างอุ่นๆของเขาแทรกตัวเข้ามาใกล้ๆ ผมขยับตัวไปมา ไม่มีเสียงพูดคุยกันอีกผมตัดสินใจหันมาหาเขาแล้วก็ใช้มือซ้ายสอดเข้าไปในเสื้อนอน ฝ่ามือขึ้นไปจับหน้าอกแล้วก็อ้อมไปลูบแผ่นหลัง “ขอกอดหน่อยผมรู้สึกว่า เวลาอยู่ใกล้คุณแล้วผมปลอดภัยดี” แขนของเขาโอบเข้ามาหาผมเขาลูบหลังผมไปมาเหมือนกำลังกล่อม ไม่นานนัก ผมก็นอนหลับไป เป็นที่นอนที่หลับสบายที่สุดอบอุ่นที่สุดและปลอดภัยที่สุด ผมหลับไปโดยไม่มีความฝันนาฬิกาที่ปลุกผมขึ้นมาคือเสียงนกและแสงที่ค่อยๆสว่างจากท้องฟ้าทิศตะวันออก แสงสลัวของเช้ามืด ทำให้ผมลืมตาขึ้นมาเขาก็ตื่นขึ้นมาพร้อมๆกับผม หนังตากึ่งปิดกึ่งเปิดทำให้ผมเจอเขาในสภาพที่แปลกตาออกไป “เดี๋ยวผมไปส่งที่ประตู” เขาขยับตัวจะลุกขึ้นแต่ผมกอดเขาไว้ไม่ให้ขยับไปไหน “ขอเวลาอีกสิบนาที” ผมกอดเขาเอาไว้จากนั้นก็ขยับขึ้นไปนั่งคร่อมที่เอวแล้วเข้าไปจูบที่ปาก ความรู้สึกของการจูบ มีทั้งอุ่น ชื้นแล้วก็รู้สึกเหมือนมีไฟฟ้าวิ่งไปมาตามตัว เขากอดผมแล้วก็พลิกตัวขึ้นข้างบนตอนนี้เราสองคน ตัวติดกันเหมือนถูกทากาวเอาไว้ขาสองข้างของผมขึ้นไปรัดเอวเขาไว้จนแน่น เขาจูบแล้วก็ถอนออกแล้วก็จูบ ทำแบบนี้ซ้ำๆกันหลายสิบครั้ง ผมดึงเขาเข้ามาจูบนิ่งๆสองมือควานเข้าไปในเสื้อแล้วก็ดึงออก ร่างเปลือยท่อนบนนอนนิ่งๆเราสองคนกำลังทำตามความรู้สึก เรื่องทั้งหมดจะดำเนินไปตามวิถีทางของมันถ้าผมไม่คิดขึ้นมาได้ว่า ถ้าปล่อยให้มันเกิดขึ้น คุณเวณวัฒน์จะกลายเป็นคนเสียคำพูด ผมกอดเขาไว้นิ่งๆ จมูกแนบติดอยู่กับหน้าอกผมหัวเราะเบาๆ จนเขาต้องอุ้มผมลงมาจากเตียง “กลับไปอาบน้ำได้แล้วเป็นเด็กต้องไปเรียนแต่เช้า”เสียงพูดจบลงเขาอุ้มผมแล้วเดินพามายืนบนพื้นห้องน้ำ ผมหันกลับไปพูดกับเขาก่อนจะเดินเข้าห้องนอนตัวเอง “เย็นนี้พบกันที่วัดนะครับ” ผมพูดแล้วหันกลับมาเปิดประตู ทันทีที่ก้าวเข้าห้อง ผมเจอไฟสว่างพ่อกับแม่นั่งรออยู่บนเตียง ตรงพื้นห้องมีเจ้าเงินนอนหมอบอยู่ “ตาน” แม่ผมลุกขึ้นยืนแล้วรีบเดินมาจับมือ“หายไปไหนมาทั้งคืนลูกแม่เข้ามาดูตอนตีสี่ กลัวว่าลูกจะเป็นไข้ แล้วลูกออกมาจากห้องน้ำได้ยังไง” แม่ตกใจมากหน้าของแม่ดูซีดและเป็นกังวล “นายนั่นพาลูกไปใช่มั้ยตาน ทำไมไม่ฟังพ่อบ้าง ซักวันถ้าเขาพาลูกหายไปไม่กลับมาที่บ้านอีกพ่อกับแม่จะทำยังไง จะไปตามลูกได้ที่ไหน” “แล้วทำแบบนี้มากี่ครั้งแล้วไปนอนกับเขากี่ครั้ง?” แม่ผมถามแล้วหันไปมองพ่อ “ครั้งแรกเมื่อคืนตานไม่กล้านอนคนเดียว”ผมรู้สึกผิดที่ทำให้พ่อกับแม่เสียใจแต่ในเหตุการณ์แบบนี้ ผมไม่รู้จะหาข้อแก้ตัวว่ายังไง “เหลวไหลโตขนาดนี้แล้ว ทำไมจะนอนไม่ได้ พ่อว่าลูกหลงเขาจน...” พ่อผมลุกขึ้นยืนแล้วหันไปมองดูต้นไม้ริมหน้าต่างแม่นั่งปิดหน้าอยู่บนเก้าอี้ บรรยากาศในห้องนอนของผมเงียบงัน “บางทีพ่อว่าจะส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ไปซะให้ไกลๆจากปีศาจนั่น” “พ่อเขาไม่ใช่ปีศาจ” “ถ้ายังนับถือพ่อเป็นพ่อวันนี้ก็ไปทำเรื่องลาออกซะ พ่อจะหาที่เรียนให้ใหม่” “ไม่เอาตานไม่ไปไหนทั้งนั้น ตานจะอยู่ที่นี่” ผมรู้สึกตกใจที่พ่อพูดแบบนี้เรื่องทั้งหมดจะดำเนินไปไม่ได้ ถ้าผมกับคุณเวณวัฒน์ไม่ได้อยู่ใกล้กัน “ผมไม่ไหนไม่ได้ผมต้องฝึกสมาธิย้อนความทรงจำ ผมต้องหาวิธีใช้มณีสีน้ำเงินผมจะต้องช่วยให้คุณเวณวัฒน์กลายเป็นคนปกติให้ได้” “ตานโถ่ลูก” แม่ผมร้องไห้ออกมาเจ้าเงินร้องแล้วก็เดินเคลียขาแม่ แม่ผมนั่งอยู่ตรงมุมเตียงนอนพ่อเดินเข้ามาลูบหลังปลอบใจแม่ “พ่อมีรุ่นพี่ทำคลินิกจิตบำบัดอยู่ที่อเมริกาลูกไปเรียนที่นั่นก็แล้ว เรียนไปด้วย ทำจิตบำบัดไปด้วย ไม่ยากหรอกลูก พ่อจะ...” “ไม่ตานไม่ไปไหนทั้งนั้น ตานไม่ได้บ้า” “มันทำให้ลูกเสียสติไปแล้วมันเป็นปีศาจ มันจะเอาวิญญานลูกไป” “เขาไม่ใช่ปีศาจนะพ่อเขาเป็นครุฑ” ผมพยายามอธิบายแต่แม่ส่ายหัวแล้วลุกขึ้นมา “พอแล้วตานพอแล้ว” “ไหนไปตามนายคนนั้นมาคุยกับพ่อถ้าไม่ใช่ปีศาจ ทำไมต้องทำตัวลับๆล่อๆ” พ่อผมยื่นคำขาด “เขาเขาปิดประตูไปแล้ว” ผมแทบจะหมดแรงลงตรงนั้นทุกอย่างมืดมน ไม่มีหนทางไปต่อ จนกระทั่งประตูห้องน้ำเปิดออกมา คุณเวณวัฒน์เดินออกมา เขาสวมกางเกงขายาวแต่ไม่ได้สวมเสื้อ เขาอาจจะหันหลังกลับไปตอนมาส่งผมแล้วไม่ทันได้กลับไปที่เตียงนอนอีก พ่อกับแม่มองดูคุณเวณวัฒน์แล้วมองกลับมาที่ผมแน่นอนว่า สภาพเราสองคน เหมือนเพิ่งทำอะไรกันบนเตียงก่อนมาที่นี่ “ผมจะไปรอข้างล่างถ้าจัดการตัวเองแล้วก็ลงไปคุยด้วย”พ่อพูดเสียงห้วนๆ พ่อกับแม่เดินลงไปพร้อมกับแมวของผมสัมผัสอุ่นๆจากมือของคุณเวณวัฒน์ สัมผัสที่หน้า เขาใช้นิ้วโป้งนวดเบาๆ “อาบน้ำแล้วรีบไปเรียนทางนี้ผมจัดการเอง” “แต่ผมอยากอยู่ฟังด้วย” “ไม่ได้เป็นเด็กต้องไปเรียน” “ผมไม่ใช่เด็กแล้ว” “ตอนนี้ยังเป็นเด็กไปสิ รีบอาบน้ำ” เขาเดินเลยเข้าบ้านไปจากนั้นก็กลับมาพร้อมกับสวมเสื้อเรียบร้อยแล้ว ผมรีบอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า เมื่อลงไปข้างล่างก็เห็นคุณเวณวัฒน์นั่งอยู่ตรงข้ามกับพ่อ “ตานไปเรียนได้แล้ว” แม่ผมยกแก้วกาแฟมาสองแก้ววางไว้ตรงหน้าคุณเวณวัฒน์กับพ่อคนละแก้ว ผมพยายามถ่วงเวลาให้ได้มากที่สุด แต่ดูเหมือนในห้อง จะไม่ยอมคุยกันถ้าผมไม่ออกไป ถ้าเจ้าเงินพูดได้ผมคงขอให้มันอยู่ฟังเรื่องราวทั้งหมดแทนผม ตอนนี้ทุกอย่างเหมือนกำลังเร่งให้ผมเดินออกจากการสนทนา การเรียนวันนี้เป็นไปอย่างเชื่องช้ากว่าเข็มจะกระดิกผ่านเลขนาทีก็เหมือนจะกินเวลามากกว่าทุกวันอาจารย์สรุปบทเรียนตั้งแต่เริ่มต้นบทแรกจนถึงบทสุดท้ายภายในเวลาสามชั่วโมง ช่วงที่ผมกำลังเก็บอุปกรณ์บนโต๊ะใส่กระเป๋าตอนท้ายชั่วโมงนกน้อยมองออกไปนอกหน้าต่าง ซักพักก็พูดขึ้นมาว่า “ตานตั้งแต่กลับออกมาจากป่า พี่มิทไม่ได้เข้ามาหาเลยเหรอ?” “เอ้อ” ผมรับคำสั้นๆตามองหาโทรศัพท์ในกระเป๋า ผมคิดว่า เลยเข้าเที่ยงวันมาแล้วน่าจะโทรไปหาคุณเวณวัฒน์ซะหน่อย แต่ไม่ทันที่จะได้โทรออก นกน้อยก็พูดต่อ “พี่มิทมาเดินแถวนี้บ่อยๆพอตานออกไป พี่มิทก็ไป เหมือนเขามาดูหน้าตานแล้วก็รีบกลับ” “จะให้ทำยังไงทำดีด้วยก็คิดเองคนเดียว ไม่ฟังความคิดของคนอื่น สู้เราอยู่เฉยๆดีกว่าเดี๋ยวห่างกันไปก็ลืมเอง” “ฟังดูเศร้าๆนะแต่ก็คงไม่มีทางเลือกที่ดีกว่านี้ นกน้อยเองก็ไม่ได้โกรธเขาแต่ก็คิดขึ้นมาทุกทีว่าพี่มิทกับคุณป้าเป็นคนพาพวกเราไปเจออันตราย เขาคิดถึงแต่ตัวเองไม่ได้คิดว่าคนอื่นจะเดือดร้อนเลย” “คิดไปก็หมางใจกันเปล่าๆไปหาข้าวกินดีกว่า” ระหว่างทางเดินไปโรงอาหารผมพูดเรื่องที่พ่อกับแม่ไปรอผมอยู่ในห้องให้นกน้อยฟัง แทนที่นกน้อยจะช่วยผมคิดกลับกลายเป็นว่าเธอหัวเราะออกมา “หัวเราะอะไร?” ผมถาม “ได้จังหวะดีจริงๆก็ยอมรับไปเลยว่ามีอะไรกันแล้ว ให้คุณเวณวัฒน์รับผิดชอบเลย” “ไม่เห็นตลก” “ก็ใครว่าตลกล่ะโอกาสมาแล้วก็อย่าปล่อยให้หลุดมือ พ่อกับแม่ของตานปฏิเสธไม่ได้หรอก” นกน้อยหาที่นั่งได้แล้วก็พูดต่อว่า“เรื่องทุกอย่างใกล้จะจบลงแล้วนะไม่น่าเชื่อเลยว่าในโลกของเราจะมีเรื่องแบบนี้เกิดขึ้น” “นั่นสิเรื่องทั้งหมดใกล้จะจบลงแล้ว แต่รู้อะไรมั้ยนกน้อย...” “อะไร?” “ทางฝ่ายป้าของพี่มิทดูเงียบผิดปกติเงียบจนดูน่ากลัว” “โถ่ตานปล่อยให้ป้าพี่มิทอยู่เงียบๆแหละดีแล้ว รายนั้นน่ากลัวจะตาย” “คนที่เกลียดอะไรมากๆถ้าอีกฝ่ายยังอยู่ได้อย่างปกติสุข เขาไม่มีทางวางมือแน่” “เขาจะเกลียดอะไรครุฑนักหนานะเรื่องก็ตั้งนานนมมาแล้ว” “รักมากก็เกลียดมาก” “เกลียดก็ไปลงให้ถูกคนสิท่านเวณวัฒน์ไม่ได้เกี่ยวอะไรด้วยซะหน่อย” นกน้อยเผลอเรียกคุณเวณวัฒน์ว่าท่านโดยไม่รู้สึกตัว “พี่มิทเป็นยังไงบ้างนะ” ผมหันไปมองทางร่มไม้ที่พี่มิทยืนอยู่เมื่อครู่ตอนนี้เขาหายไปแล้ว “ได้ยินว่าลาออกจากประธานสโมสรนิสิตแล้วนะเขาให้งานคนอื่นแล้วก็...” “ก็อะไร?” ผมถาม “วันก่อนเจอพี่เป้ที่สถานีรถไฟฟ้าเขาบอกว่าพี่มิทดูเงียบๆไป มาเรียนตอนเช้า ตอนกลางวันหายไปตอนบ่ายกลับไปเรียนที่คณะแล้วก็กลับบ้านตอนเย็น” “ตอนกลางวันเขาหายไปไหน?” “ก็มาแถวนี้แหละ” “แปลกคนจริงๆ” “ถ้าไม่ติดเรื่องที่เขาหลอกเราไปติดใต้ภูเขาจริงๆพี่มิทเขาก็เป็นคนดีนะ เขาเสียตรงรักตานมากนี่แหละ รักมากจนไม่มีสติ” “เขาจะเป็นเหมือนป้าเขาเข้าซักวันเวลารักก็รักมาก พอได้เกลียดใครแล้ว เขาก็คงจะเกลียดมาก” “เขาก็ไม่เกลียดตานหรอกถ้าเกลียดคงไม่มาแถวนี้หรอก นี่เขาคงอยากเจอตาน ได้รู้ว่าตานยังสบายดีอยู่ก็กลับ” หลังมื้อเที่ยง ผมโทรศัพท์ไปหาคุณเวณวัฒน์เขาบอกว่า กำลังติดธุระที่ธนาคาร “แล้ววันนี้จะไปฝึกสมาธิที่วัดหรือเปล่าครับ?” ผมถาม “คงต้องเลื่อนไปก่อน” “ตอนเย็นผมจะเจอคุณที่บ้านมั้ย?” “เราจะเจอกันที่นั่น” “คุณไม่เป็นอะไรใช่มั้ย?” “ผมไม่เป็นอะไร” ผมกลับมาเรียนอีกครั้งในคาบบ่ายวันนี้เป็นวันสรุปเนื้อหาที่เรียนมาทั้งเทอม ผมพยายามตั้งใจฟังเผื่อมีอะไรตกหล่นไปจากเนื้อหาที่อ่าน แต่ใจมันกระวนกระวายอยากจะกลับบ้านไปดูว่าเป็นยังไงบ้าง . .รถไฟฟ้าแล่นไปช้ากว่าทุกวันแต่ละสถานีที่จอดยาวนานจนทนรอแทบไม่ไหว ผมกลับมาถึงที่บ้านช่วงเย็นราวห้าโมงครึ่งบ้านเงียบเชียบ เจ้าเงินมุดจากที่นอนมาหาผมที่ประตูบ้านผมเปิดโทรทัศน์ที่ห้องรับแขก นั่งอยู่ไม่นานก็มีเสียงรถของพ่อเข้ามาจอด พ่อกับแม่ลงจากรถเข้ามาในบ้านการสนทนาของพวกเขาหยุดลงทันทีที่เจอผมนั่งอยู่ “อ้าวกลับมาเร็วจริง” แม่ผมทักขึ้นมาพ่อผมวางกระเป๋าไว้ที่โต๊ะทำงานอีกห้อง จากนั้นก็กลับมานั่งข้างๆผม “ปวดขาจริงวันนี้ตานนวดขาให้พ่อหน่อย” ผมยกขาของพ่อมาวางไว้บนตักสองมือค่อยๆบีบนวดคลายกล้ามเนื้อ พ่อมองหน้าจอโทรทัศน์ ดูข่าวเย็นช่วงก่อนกินข้าว แม่เอาของไปเก็บในครัวผมนวดขาพ่อแล้วก็ถามขึ้นมา “วันนี้ปิดคลินิกก่อนเวลาเหรอครับ?” พ่อพยักหน้าแล้วก็ยกขาอีกข้างมาเปลี่ยน “นัดเขาไว้หกโมงเย็นไม่รู้จะมาตามนัดหรือเปล่า”พ่อผมพูด “ใครครับ?” ผมค้างมือไว้บนขาตาหันไปมองหน้าพ่อ “นายเวณวัฒน์ทิชากร” พ่อผมเงียบไปแล้วก็พูดต่อ“เพื่อนพ่อบอกว่าเขาเป็นผู้ถือหุ้นโรงพยาบาลต่างประเทศ ตานรู้เรื่องนี้บ้างหรือเปล่า?” “รู้มาบ้างแต่ก็ไม่ได้ถามรายละเอียดครับ” เวลาใกล้หกโมงเย็น ก่อนเวลานัดเล็กน้อยพ่อผมพูดขึ้นมาว่า “พ่อจะให้ตานคบกับคนที่ดีและจริงใจเท่านั้นคนโกหก พ่อไม่ชอบ สัญญากับพ่อได้มั้ยว่า ถ้าตานรู้ว่าโกหกตานจะต้องเลิกติดต่อกับเขา พ่อยอมให้ขนาดนี้ ตานก็ต้องเข้าใจพ่อด้วยพ่อมีลูกคนเดียว ถ้าลูกของพ่อโดนหลอก พ่อคงเสียใจที่ปกป้องลูกตัวเองไม่ได้” “ถ้าพ่อหมายถึงคุณเวณวัฒน์ตานรับรองว่าเขาเป็นคนดี เขาจริงใจและไม่เคยโกหก” “งั้นก็สัญญากับพ่อถ้าเราเห็นว่าเขาตั้งใจโกหกหรือปิดบัง เราจะต้องเลิกติดต่อกับเขาทันที” “ผมสัญญาครับ” ผมรับคำ พ่อยกฝ่ามือมาลูบหัวผมเบาๆจังหวะนั้นเสียงกริ่งหน้าบ้านดังขึ้น คุณเวณวัฒน์เดินนำเจ้าหน้าที่ธนาคารเข้ามาข้างในบ้าน กระเป๋าหลายใบถูกเปิดขึ้นมากลางห้องรับแขกธนบัตรมูลค่าสูงสุดหลายตั้งวางอยู่ ใกล้กันมีเครื่องนับธนบัตรตั้งอยู่เจ้าหน้าที่อีกสองคน ช่วยกันลากกล่องเข้ามาด้วย ด้านในเป็นทองคำแท่งสีเหลืองอร่าม
|