คนหนึ่งต้องการคำตอบ จิตไม่สงบพยายามใช้สมาธิและปัญญาในทางตรงข้ามกับจุดมุ่งหมายของการทำสมาธิแบบนี้ไม่เกิดประโยชน์ คนสองคิดแผนการในหัว จิตไม่มีสมาธิจิตมัวแต่วางภาพทับกันไปมา ทำสมาธิไปก็ไม่ได้ผล” หลวงตาหันไปทางนายเวณวัฒน์และคุณธันวาแล้วพูดออกมา “วันนี้พอแค่เท่านี้คืนนี้ลองใคร่ครวญสิ่งที่อยู่ในใจ พยายามขจัดมันออกไป อย่าได้เก็บมาคิด” นายเวณวัฒน์ลุกขึ้นยืนเขาเดินเข้าไปใกล้ๆคุณธันวา ทั้งสองคนมองหน้ากัน ช่วงที่ผมกำลังเกิดคำถามนั้นนายเวณวัฒน์ยกฝ่ามือขึ้น ระยะห่างของฝ่ามืออยู่ใกล้กับหน้าคุณธันวาเพียงแค่ลมหายใจส่งถึง ตานมองดูเหตุการณ์นิ่งๆ ระยะเวลาไม่นานนั้นหน้าของคุณธันวาก็แดงขึ้นเรื่อยๆ จากแดงอ่อนๆเหมือนมีเลือดมาเลี้ยงก็แดงเข้มในที่สุดก็เหมือนมีบางส่วนไหม้ ช่วงแก้ม หน้าผาก ปลายจมูก ถูกบางอย่างเผาจนเกิดการไหม้ขึ้นมาตานรีบเข้าไปดึงคุณธันวาออก สายตามองดูใบหน้าของคุณธันวาอย่างละเอียด สายตาแสดงความผิดหวังฉายออกมาจากตานมันส่งไปถึงนายเวณวัฒน์อย่างชัดเจน “พอแล้ววันนี้กลับกันก่อนนะครับ”ตานพูดแล้วไม่ได้หันกลับไปมองนายเวณวัฒน์อีกผมแวะมาส่งตานกับคุณธันวาที่บ้าน จากนั้นก็กลับมาหาป้าที่บ้าน ที่บ้านยังเงียบเชียบเหมือนเดิมเสียงเดียวที่ผมได้ยินคือเสียงคนคุยกัน บทสนทนาดังออกมาจากม่านปักสีทองร่างคนสองคนปรากฏอยู่เบื้องหน้า ผมตัดสินใจยืนฟังนิ่งๆ ร่างผู้ชายรูปร่างค่อนข้างสูงใหญ่กับร่างผู้หญิงแก่หลังค่อมคนแรกยืน คนที่สองนั่งอยู่ข้างเตียง “โสรยาทำไมน้องถึงทำเช่นนี้?” “อย่ามายุ่ง!!!” “เวณวัฒน์กับคู่มีบุญกรรมร่วมกันมาเหตุใดน้องจึงเข้าไปยุ่ง” “ครุฑกับคนไม่มีทางอยู่ด้วยกันได้” “นั่นเป็นเรื่องของเวรกรรมไม่ใช่หน้าที่ของน้องที่เข้ามาตัดสิน น้องกำลังทำผิดกฎธรรมชาติตอนนี้ความตายใกล้มาเยือนแล้ว จงรีบหยุดเสียก่อนที่จะสาย” เสียงหัวเราะของผู้หญิงดังขึ้นมาน่าแปลกที่ผู้ชายคนนั้นเรียกหญิงแก่ว่าโสรยา ผู้หญิงคนนั้นดูยังไงก็ไม่ใช่ป้าของผม “พี่มาเตือนน้องด้วยความหวังดีจงหยุดสร้างเวรกรรมเสียเถิดโสรยา” “กูหาเชื่อมึงไม่มึงทำให้กูต้องเป็นเช่นนี้ กูไม่ยอมให้ครุฑกับคนได้อยู่ร่วมกัน อย่าหวังเลย” เสียงตะคอกของหญิงแก่ดังขึ้นมา “โสรยาน้องกำลังทำร้ายตัวเอง” “อัปสรา!!!” เสียงผู้หญิงเรียกนางอัปสรา เกิดความร้อนขึ้นในบ้านพื้นบ้านร้อนจัดจนเหยียบไม่ได้ ผมเดินเลี่ยงไปในสวนกลางบ้านทันใดนั้นก็มีเสียงกรีดร้อง เสียงโหยหวน ตามมาด้วยเสียงระเบิดแล้วก็มีฝุ่นฟุ้งกระจาย ผมรีบวิ่งเข้าไปดูเหตุการณ์ในห้องป้าของผมอาจจะติดอยู่ในนั้น “ป้า...ป้าอยู่ไหนครับ?” ผมวิ่งเข้าไปในห้องฝุ่นจากการระเบิดยังฟุ้งกระจาย ในห้องร้อนจัดเหมือนเตาอบ ผมเตะหน้าต่างให้เปิดออก ผู้ชายคนเดิมยังยืนนิ่งกับที่ เขาสวมผ้าสีทองด้านบนมีสายสร้อยระย้าห้อยอยู่ดูเหมือนเขาแต่งตัวไปรำหรือออกมาจากการแสดงอะไรซักอย่าง “ป้าครับ!!!” ผมพยายามกวาดสายตามองหาป้า “เจ้าเป็นเชื้อสายของโสรยาใช่หรือไม่?” เสียงผู้ชายดังขึ้นมา “คุณเป็นใครผู้หญิงแก่เมื่อกี้เป็นใคร พวกคุณเข้ามาทำอะไรที่นี่” “ไม่ต้องถามว่าเราเป็นใครจงรีบช่วยโสรยาเร็วเข้า” “ผมหาป้าไม่เจอป้าหายไป” “โสรยาหมดสติไปแล้วจงรีบพาร่างโสรยาไปหาดวงจิตที่ถอดไป” “คุณพูดเพ้อเจ้ออะไรกัน!!!” ผมชักโมโหตอนนี้ฝุ่นหายไปหมดแล้ว เหลือผงขี้เถ้าสกปรกอยู่เต็มห้องผมสะดุดหัวของรูปปั้นหินนางอัปสราซึ่งตอนนี้กลายเป็นกองหินหักๆ ตรงหน้าผมเป็นร่างของผู้หญิงแก่ซึ่งนอนหมดสติอยู่ “ตรงหน้านั้นคือโสรยานางพยายามถอดดวงจิตแยกออกเป็นสองร่างทำให้เสียพลังชีวิตไปมากเจ้ารีบพาร่างนี้ไปหาดวงจิตเร็วพลัน” ผมไม่อยากจะเชื่อว่าร่างผู้หญิงแก่นี่คือป้าของผม “เครื่องทองและปิ่นปักมวยผมใช่ของที่โสรยาใช้อยู่หรือไม่?”เสียงผู้ชายถามขึ้นมา ผมมองดูเครื่องประดับบนร่างนั้น ใช่แล้วนี่คือเครื่องประดับที่ป้าเคยใช้ ผมอุ้มร่างนั้นขึ้นมาจากพื้น “ป้าครับ” “มิทไล่มันไป มิทไล่มันไป ป้าเกลียดมัน”ป้าขมุบขมิบผ่านริมฝีปากแห้ง “รีบไปเถิดเจ้าหนุ่ม” “ผมไม่รู้ว่าดวงจิตอะไรนั่นอยู่ที่ไหน?” ผมรีบหันไปถามผู้ชายในชุดสีทอง “โสรยาสร้างคนตายไปแล้วด้วยดวงจิตขึ้นมาเจ้านึกดูดีๆ ว่าคนไหนบ้างที่ออกมาจากความตาย” “ผมไม่มีเวลามาเล่นคำถามกับคุณนะป้าผมกำลังแย่” ผมตกใจจนทำอะไรไม่ถูก “ใช้สติแล้วปัญญาจะตามมารีบพาโสรยาออกไป เมื่อถึงเวลาเจ้าจะคิดได้เอง” เหมือนผมถูกเร่งให้รีบพาป้าขึ้นมาบนรถผมขับรถออกมาโดยไม่รู้จุดหมาย “ป้าครับป้าแยกจิตไว้ที่ไหน ป้าทำอะไรอยู่ ทำไมไม่บอกมิท ถ้าป้าเป็นอะไรไป มิทจะทำยังไง” “แยกมันมิทแยกมัน อย่าให้มันคู่กัน อย่าให้มัน...คู่กัน” เสียงของป้าอ่อนลงทุกทีตอนนี้ข้างตัวผมคือผู้หญิงแก่ หน้าย่นและผอมบาง บนหัวก็มีหงอกสีขาวอมเทา “อย่าให้ครุฑสมหวังมันจะต้องแยกจากกันทุกชาติ”ป้าผมพูดแล้วก็หอบ ป้าหายใจถี่มากขึ้นเรื่อยๆ “คุณธันวาใช่มั้ยป้าสร้างคุณธันวาขึ้นมาใช่มั้ย ป้าทำแบบนี้ทำไม!!!” ผมตะเบ็งเสียงเพราะความโกรธป้ากำลังทำเรื่องราวให้มันเลวร้ายไปกว่าเดิม “ป้าไม่รักมิทป้าไม่รักตัวเอง!!!” “อย่าให้มันคู่กันแยกครุฑออกมา น้องต้องคู่กับมิทคนเดียว ไม่มีน้องมิทจะอยู่ไม่ได้ มิทจะอายุ...สั้น” ป้าผมหายใจไม่ทันเหมือนป้าหมดลมไปเฉยๆ ผมแทบจะหยุดรถดูป้าแต่ก็รู้ว่ามันไม่ได้ผลตอนนี้ผมต้องรีบไปหาคุณธันวาที่บ้านให้เร็วที่สุด “คุณธันวาคุณอยู่ไหน ออกมาเดี๋ยวนี้นะ!!!”ผมตะโกนลั่นบ้านพ่อกับแม่ของตานวิ่งลงมาจากข้างบนด้วยความตกใจ “อะไรกันมิทใครเป็นอะไร?” พ่อของตานมองผมแล้วก็มองดูร่างของป้า “คุณธันวาอยู่ไหนครับคุณอาผมต้องการตัวคุณธันวามาที่นี่ เดี๋ยวนี้” “ใจเย็นๆเล่าให้อาฟังก่อน” “ใจเย็นไม่ได้แล้วครับ” ผมตัดสินใจขึ้นไปชั้นบนของบ้านจังหวะเดียวกับที่ตานเดินนำคุณธันวาลง หน้าของคุณธันวาโปะไว้ด้วยผ้าเย็นหรือแผ่นอะไรซักอย่าง “อาเพิ่งทำแผลให้ลุงของตานมิทมีอะไร?” “เอ่อ” ผมไม่รู้จะเริ่มตรงไหน “ผู้ชายคนนั้นหาใช่คนที่พวกเจ้ารู้จักร่างนั้นเป็นร่างดวงจิตของโสรยา”เสียงผู้ชายคนเดียวกับที่ผมเจอที่บ้านป้าดังขึ้น ผมไม่ได้สนใจว่าเขามาที่นี่ได้ยังไงตอนนี้ผมอยากรู้แค่ว่า ต้องทำยังไงป้าถึงจะกลับคืนมา พ่อของตานหัวเราะขึ้นมาทันที “หลุดมาจากลิเกหรือไงแล้วคุณเข้ามาทำอะไรที่บ้านผมไม่ทราบ ไม่รู้หรือไงว่านี่คือการบุกรุกผมจะแจ้งตำ...” เสียงของพ่อตานเงียบไปเฉยๆผมเห็นแค่ปากที่ยังขยับอยู่ ผู้ชายที่เคยใส่ชุดสีทอง ตอนนี้เขาสวมชุดปกติเป็นเสื้อเชิ้ตและสวมกางเกงผ้า เขาชี้มาที่ปากของพ่อตานแล้วก็กระดกนิ้วลง พ่อของตานกลายเป็นคนไม่มีเสียงทันที “ถอยออกไป” เสียงผู้ชายคนนั้นพูดทุกคนถอยออกไปรวมทั้งคุณธันวาด้วย ผู้ชายคนนั้นเขาจับที่ต้นคอของคุณธันวามาอย่างง่ายดายเรี่ยวแรงเขามากมายอย่างเหลือเชื่อ “หยุดนะคุณจะทำอะไรผม!!!” คุณธันวาร้องตกใจ “ป้าครับพอแล้วครับ” ผมรีบเข้าไปพูดกับป้าในร่างของคุณธันวา “เขาไม่มีความรู้สึกนึกคิดเป็นโสรยา” เสียงนั้นตอบผมจากนั้น สันมือหนักๆก็สับลงที่ต้นคอ คุณธันวาหมดสติลงทันที แม่ของตานพยายามจะเข้ามาช่วยแต่ถูกตานดึงเอาไว้ “เขาไม่ใช่ธันวาแม่คอยดู” เกิดความอุ่นวาบขึ้นในห้องร่างของคุณธันวาละลายช้าๆ หน้าตาหล่อเหลาเริ่มดันตัวออกข้างๆ เสื้อผ้าฉีกขาดกลิ่นเหม็นรุนแรงลอยคละคลุ้ง ศพขึ้นอืดนอนแผ่อยู่กลางห้องตานดึงแม่ขยับเท้าหนี พ่อของตานอ้าปากโดยไม่มีเสียงผมอุ้มร่างของป้าออกมาจากศพเน่า “วิชาแยกดวงจิตข้าเป็นคนสอนโสรยาเอาไว้ใช้เมื่อนานมาแล้ว เวลาข้าอุ้มโสรยาขึ้นไปเสพสมบนเวหาเวลากลางวันจะมีร่างแยกเอาไว้ในปราสาทราชมณเฑียร ไม่มีผู้คนสงสัยเพราะร่างนั้นมีจิตสำนึกเหมือนจริงเกิดจากการแยกดวงจิตออกมา” ผู้ชายคนที่พูดวนนิ้วมือเป็นรูปวงกลมเหมือนกำลังผูกมัดอะไรในอากาศ เขาพูดภาษาที่ผมฟังไม่เข้าใจ เหมือนเขากำลังผูกดวงจิตที่ล่องลอยของป้าให้กลับคืนร่าง “การแยกดวงจิตทำได้เพียงชั่วเวลาเท่านั้นและต้องทำเป็นร่างของตัวเอง หากสร้างร่างผู้อื่นขึ้นมา พลังงานชีวิตจะสูญสิ้นชีวิตจะถึงการแตกดับ” “คุณคือ...ครุฑ?” ตานถามขึ้นมาผู้ชายที่กำลังช่วยป้าพยักหน้าขึ้นมา “เป็นครุฑที่อยู่ในภาพที่มีรอยกรีด” ตานพูดเบาๆ“คุณชื่ออะไรครับ?” ตานถาม “เดิมนั้นครุฑไม่มีนาม แต่เมื่อข้าลงมามีมิตรเป็นมนุษย์ มีผู้ให้นามข้าว่า เวณุวัฒน์” นายเวณุวัฒน์ดีดนิ้วศพน่าเกลียดกลางห้องมีผ้าคลุมร่างขึ้นมาผ้านั้นพันแล้วก็มัดร่างเอาไว้เองอย่างแน่นหนา ซักพักเชือกสีขาวก็เกิดขึ้นมาจากอากาศ เชือกสอดใต้ศพแล้วก็มัดร่างเอาไว้เหมือนมัดตราสังข์ นายเวณุวัฒน์ดีดนิ้วอีกครั้งคราวนี้ศพหายไปจากห้องรับแขกกลางบ้าน “ฝากศพไว้ที่วัดพรุ่งนี้ให้เจ้าหนุ่มไปจัดการเผาให้เรียบร้อย โสรยาพาร่างไร้ญาตินี้มาใช้หากไม่ทำพิธี วิญญานจะไม่เป็นสุข” เขาพูดแล้วก็ดึงเอาบางอย่างเข้ามาหาป้าป้าของผมหายใจเบาๆหนึ่งครั้ง เป็นสัญญานชีพอย่างแรกที่ผมเห็นหลังป้าหมดสติไป “ช่างโง่เขลานัก” นายเวณุวัฒน์พูดกับป้า “แล้วป้าโสรยาดึงเอาความทรงจำของผมมาจากไหนหรือว่ามีวิชาเรียกความทรงจำคน?”ตานถามได้น่าสนใจ พ่อของตานพยายามโทรไปหาตำรวจแต่ก็พูดไม่ได้ในที่สุดก็พยายามพิมพ์ข้อความแจ้งตำรวจให้มาที่บ้าน นายเวณุวัฒน์ดีดนิ้วอีกครั้งคราวนี้พ่อของตานถูกเชือกที่มองไม่เห็นพันร่างเอาไว้ ท่านลงไปนั่งนิ่งๆอยู่กับโซฟามีเพียงลูกตาที่กระดิกมองดูเหตุการณ์ได้ นายเวณุวัฒน์หันกลับมาดูตานแล้วตอบคำถาม “ไม่มีใครเรียกความทรงจำคนอื่นออกมาได้มีเพียงเจ้าของความทรงจำเท่านั้น โสรยาอาจจะใช้วัตถุบางอย่างมาประกอบพิธีกรรม” “อะไรครับ?” “เครื่องใช้ส่วนตัวหวี แก้วน้ำ ช้อน ทุกอย่างที่สัมผัสตัว” “ผมไม่เคยให้ของพวกนี้กับใคร” ตานตอบ นายเวณุวัฒน์ไม่ได้ตอบตานอีกเขากำลังช่วยให้ป้ากลับมาหายใจได้เป็นปกติ จากคำพูดของนายเวณุวัฒน์ผมนึกไปถึงตอนที่ตานไปพักในบ้านของป้า คืนนั้นตานกินอาหารเย็น มีช้อนมีถ้วยแล้วก็มีแก้วน้ำ ป้าของผมอาจจะเอาของพวกนี้ไปใช้ก็ได้ “วิชาพวกนี้หากใช้ทำร้ายคนก็จะเกิดโทษกับตัวเอง ดังเช่นโสรยาประสบอยู่ตอนนี้” “ข้ามองเห็นเงามัจจุราชเหนือหัวของเจ้าแล้วโสรยา” “ช่วยป้าผมด้วยอย่าให้ป้าผมตายนะครับ” “เวลาล่วงเลยมาพ้นคืนแล้ว” “ทำไม?” “นานเกินไปร่างนี้บอบช้ำเกินไป อาจจะช่วยยื้อชีวิตได้ แต่ไม่อาจพ้นคืนนี้ พออาทิตย์รุ่งมัจจุราชจะมารับโสรยา” “ป้า” ผมมองไปที่นายเวณุวัฒน์เขาดูเหมือนเป็นคนเดียวที่ช่วยป้าของผมได้ สิ่งที่คุณเวณุวันท์พูด วนเวียนอยู่ในใจผมการมีชีวิตอยู่ของป้าโสรยา อยู่นอกเหนือจากความสามารถของคนปกติหรือครุฑยาและของใดๆบนโลกที่ไม่อาจยื้อชีวิตไว้ได้ พรจากดินแดนเหนือการเวียนว่ายตายเกิดของคนเท่านั้นที่ช่วยต่อชีวิตของป้าโสรยาได้ ในดินแดนมนุษย์ ทุกสิ่งแตกดับเมื่อถึงเวลาแม้แต่ดอกไม้สวยงามยังเหี่ยวแห้งและหลุดร่วงไปจากต้นมีเพียงดอกไม้บนดาวดึงส์ที่ยังผลิดอกงดงามไม่เหี่ยวเฉา การได้รับพรวิเศษจากชั้นดาวดึงส์สามารถช่วยชีวิตที่ใกล้แตกดับของป้าโสรยาให้กลับคืนมาได้ “ไม่มีใครในนี้สามารถขอพรวิเศษได้แม้แต่ครุฑก็ยังอยู่ในสวรรค์ชั้นต่ำลงมาจากดาวดึงส์” “แล้วคุณจะให้ผมช่วยยังไง?” ผมถามคุณเวณุวันท์มองออกไปนอกหน้าต่างแล้วพูดขึ้นมา “ทราบมาว่าท่านเวณวัฒน์มีแก้วมณีจากดาวดึงส์” ผมไม่แปลกใจที่เขาพูดเรื่องนี้ ครุฑเองก็อาจจะทราบเรื่องราวของแก้วนี้มาบ้างก็ได้ “ใช่เขามี” “นั่นจะช่วยต่อชีวิตของโสรยาให้ยืนยาวต่อไปได้” “ไม่ได้ครับคุณเวณวัฒน์จำเป็นต้องใช้แก้วนั่นเหมือนกัน” ผมตอบตามตรง อาจจะดูเห็นแก่ตัวแต่เราไม่ได้มีแก้วอยู่หลายชิ้น มันมีอยู่ชิ้นเดียวเท่านั้น และผมกับคุณเวณวัฒน์ก็จำเป็นต้องใช้มัน “ท่านเวณวัฒน์จะใช้ประโยชน์จากแก้วนั้นอย่างไร?” คุณเวณุวันท์ถาม “เขาอยากเป็นคนปกติ” ผมตอบ “แสดงว่าหาทางใช้แก้วนั้นได้แล้วงั้นหรือ?” ผมส่ายหัวช้าๆเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้นตลอดช่วงที่ผ่านมา มันทำให้ผมกับคุณเวณวัฒน์ไม่มีเวลาศึกษาเรื่องแก้วนั้นเลย “มันเป็นเส้นทางที่แปลกแยกไปจากวิถีทางเดิมของครุฑไม่เคยมีใครเดินบนเส้นทางนี้มาก่อน ไม่มีตำราใดๆพวกคุณจะต้องเริ่มทุกอย่างขึ้นมาใหม่” “ผมรู้” “งั้นเราก็คงต้องปล่อยให้เรื่องดำเนินไปแบบนี้” เสียงของคุณเวณุวันท์ทำให้ผมต้องเหลือบไปมองดูป้าโสรยากับพี่มิทภาพหญิงชราอ่อนแรง นอนหายใจแผ่วเบาอยู่บนตักของพี่มิท พี่มิทมองผม ตาของเขาคลอไปด้วยน้ำตา ผมรู้ว่าหากอยู่ตรงนี้นานต่อไปอีกเพียงแค่นาทีเดียว ผมอาจจะตัดสินใจทำบางอย่างลงไปซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อคุณเวณวัฒน์ “สมมุติ” ผมเงยหน้าขึ้นมาร่างสูงใหญ่ของคุณเวณุวันท์ยืนนิ่งอยู่ตรงหน้า “สมมุติเรามีแก้วอยู่สองชิ้นคุณจะใช้แก้วนั้นช่วยป้าโสรยายังไง?” คุณเวณุวันท์ก้มลงไปเปิดเปลือกตาของป้าโสรยาทั่วทั้งร่างที่แสนบอบบางนั้น ตอนนี้ซีดจางจนสังเกตได้ “ปรุงเป็นโอสถทิพย์” คุณเวณุวันท์ตอบ “วิธีล่ะคุณจะใช้วิธีไหน?” ผมถาม “ใช้ความร้อนดุจดวงตะวันเผาแก้วมณีให้ละลาย ของเหลวที่ได้บริสุทธิ์กว่าน้ำค้าง ผสมโอสถของชั้นจาตุฯกลายเป็นโอสถทิพย์” “ต้องบินไปดวงอาทิตย์เหรอครับ?” “หาได้ไม่หากเผาด้วยดวงตะวัน ของเหลวจะแห้งระเหยออกไปจนสิ้น” ผมหยุดนิ่ง ตามองดูพี่มิทกับป้าโสรยาอีกครั้งผมรู้ว่าพี่มิทไม่กล้าเอ่ยปากขอ แต่สายตาของเขาทำให้ผมรับรู้ถึงสิ่งที่อยู่ในใจ คุณเวณุวันท์มองดูผมแล้วก็มองเลยไปที่พี่มิทไม่นานเขาก็พูดขึ้นมา “เราต้องการใช้ของเหลวนั้นเพียงเล็กน้อยเท่านั้นหากว่าท่านเวณวัฒน์ทราบวิธีใช้แก้วสำหรับการคืนสภาพอมตะ คืนนี้เราคงได้ทำพร้อมกัน” “ไม่ได้หรอกครับคุณเวณวัฒน์ยังไม่ทราบวิธีที่ว่า แล้วถ้ารอไปจนถึงพระอาทิตย์ขึ้นป้าโสรยาก็ต้องตาย” “ทั้งหมดก็ต้องแล้วแต่เวรกรรม” คุณเวณุวันท์พูด ผมเดินไปมา สองมือบีบกันแน่นผมต้องตัดสินใจในสถานการณ์คับขัน พ่อกับแม่ผมได้รับฟังเรื่องราวมาตลอดทั้งสองคนนั่งอยู่บนโซฟา พ่อนั่งนิ่งไม่ได้ขยับตัวอีกมีแต่สายตาที่มองมาทางผมเหมือนต้องการคำตอบ . .
|