แฟนผมเป็นตำรวจ (copy ผมชอบมากเรื่องนี้)
สวัสดีครับ ผมขอฝากเนื้อฝากตัวด้วยนะครับ งานเขียนอาจจะไม่ดีเท่าไหร่ ยังไงช่วยพิจารณาและวิจารณ์ด้วยนะครับ ขอบคุณครับแรกเริ่มเดิมที
มีคนเคยบอกผมว่า ความรักมันมักจะมาตอนที่ไม่รู้ตัว และก็จะจากไปตอนที่ไม่รู้ตัวเหมือนกันผมว่ามันเป็นเรื่องจริงนะ เอาเป็นว่าเหมือนชีวิตของผมแล้วกัน หลังจบมหาวิทยาลัยได้สักระยะหนึ่งแล้ว ผมก็เริ่มที่จะเริ่มออกหางานทำ ไม่รู้โชคดีหรือโชคร้ายล่ะครับ ที่บังเอิญได้ทำงานแถวๆกลางเมือง ซึ่งไกลจากบ้านผมพอสมควร ก็เลยมีความคิดว่าจะหาบ้านเช่าอยู่ แถวๆที่ทำงาน สาเหตุที่ผมไม่เช่าอพาร์ตเมนท์หรือคอนโดอยู่ ผมไม่ค่อยชอบอยู่ในห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ เพราะตั้งแต่เด็กมา ผมก็อยู่กับครอบครัวที่บ้านสวนตลอด เลยเป็นอีกเหตุผลหนึ่งที่ผมไม่เช่าอพาร์ตเมนต์หรือคอนโดอยู่ครับเลยถามเอากับเพื่อนๆ ว่าพอจะมีลู่ทางมั้ย เลยได้บ้านเช่ามาหลังหนึ่ง แถวๆที่ทำงานผมเลย ค่าเช่าก็ไม่แพงด้วย ซึ่งแต่ก่อนมันเป็นบ้านของเพื่อนผมเองล่ะครับ แต่ครอบครัวของมันทำกิจการส่งออกสินค้าจนรวย ก็เลยขยับขยายออกไปซื้อบ้านใหม่ (ที่หลังใหญ่กว่า) แถวๆชานเมือง บ้านหลังนี้ เลยปล่อยทิ้งไว้ให้คนเช่า แต่ทว่าตอนนี้ไม่มีใครมาเช่าอยู่เป็นเวลาสามสี่ปีแล้ว เพราะอะไรมันก็ไม่ยอมบอกเหมือนกัน เอาเป็นว่าผมตกลงทันทีครับ เพราะมันคิดค่าเช่าถูกมาก และสะดวกดีด้วย
หลังจากนั้นก่อนที่ผมจะเข้าไปทำงานอาทิตย์หนึ่งผมเลยจัดการย้ายของ ทำความสะอาด พ่อกับแม่ พี่สาวก็มาช่วยด้วย ผมเป็นลูกชายคนเล็ก พ่อกับแม่ก็เป็นห่วงหน่อยครับ ตอนแรกท่านก็ไม่ยอมบอกว่าให้หางานที่ใหม่ ทำแถวๆบ้านเถอะ ผมก็เลยบอกว่าเป็นงานที่ผมอยากทำ ก็แถวๆบ้านมันไม่มีนี่ อ้อนเข้ามากๆ หน่อย ท่านก็เลยยอมให้ผมมาทำงานที่นี่ แต่มีข้อแม้ว่าต้องกลับบ้านบ่อยๆนะ ถึงจะตกลง
หลังจากที่จัดบ้าน ทำความสะอาดเรียบร้อยแล้ว พ่อ แม่และพี่สาวผมก็ขออยู่เที่ยวกรุงเทพสักวันสองวันก่อนกลับบ้านตอนออกจากบ้านที่อยุธยา พ่อกับแม่ก็ไปสอยมะม่วงเขียวเสวยที่สวนหลังบ้านมาเป็นเข่ง เอาไว้ไปสวัสดีฝากเนื้อฝากตัวกับบ้านข้างๆ กลัวไม่มีคนช่วยดูแลลูกชายว่างั้นเหอะ หลังจากที่ครอบครัวของผมกลับอยุธยาไปแล้ว ผมก็เลยจัดแจงเอามะม่วงที่พ่อกับแม่สอยมาจากสวน เอามาแบ่งใส่ถุงไปสวัสดีเพื่อนบ้านแถวๆบ้านที่ผมเช่าอยู่เป็นซอยตันครับ บ้านที่ปลูกอยู่ก็เป็นบ้านที่ปลูกมานานแล้วมีบ้านอยู่แค่เจ็ดหลังเองทั้งซอย ผมเลยเริ่มต้นตั้งแต่ปากซอย ก่อน ไล่มาเรื่อยๆ คนแถวนี้เขาก็อัธยาศัยดีครับ เป็นกันเองแต่ส่วนมากก็จะมีแต่คนสูงอายุอยู่กัน เค้าถามว่ามาอยู่หลังไหน พอผมบอกว่ามาอยู่บ้านหลังนี้แหล่ะ พวกเค้าท่าแปลกใจ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ก็อวยพรให้อยู่รอดปลอดภัยแล้วกัน (เอ๊ะ ยังงัยเนี่ย)จนมาถึงบ้านหลังสุดท้าย ซึ่งเป็นบ้านที่ปลูกข้างๆบ้านเช่าผมเองผมเดินไปที่หน้าบ้านชะโงกข้ามรั้วที่สูงเท่าหัวไหล่ผม ทำไมบ้านเงียบจังวะ หรือไม่มีคนอยู่พอดีเหลือบมองไปเห็นประตูรั้วแง้มเปิดอยู่มองดูซ้ายขวาแน่ใจไม่มีหมาแล้วนะ เลยถือวิสาสะ เดินเข้าไปแล้วเคาะประตูเรียก
“สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ยครับ”
................................................................เงียบ
“สวัสดีครับ มีใครอยู่มั้ยครับ” เงียบ สงสัยไม่มีคนอยู่ เอาไว้ค่อยมาทีหลังดีกว่า
ขณะที่ผมกำลังหันหลังเดินกลับอยู่นั้น ผมได้ยินเสียงประตูเปิดขึ้น ผมเลยหันหลังกลับไป
“สวัส...........อุ๊บ เฮ้ย”
ผมร้องขึ้นขณะที่ผมรู้สึกได้ว่า มีชายคนหนึ่ง ลากผมเข้าไปข้างในประตูบ้าน แล้วก็กอดผมอย่างแรงด้วยขณะตกใจผมก็ทำอะไรไม่ถูกสิครับ ตัวแข็งไปหมด แต่ก็ได้กลิ่นเหมือนเหล้าแรงมาก และที่ผมกำลงัรับรู้ได้อีกอย่าง เขากำลังเอาจมูกของเขามาไซร้ซอกคอผมอยู่ เอาละสิ อยู่บ้านใหม่ไม่ถึงสามวัน กูกำลังจะเสียตัวให้เพื่อนบ้านแล้วเหรอเนี่ย ผมคิดอย่างนั้น พอได้สติผมก็รีบดิ้นให้หลุดออกจากแขนของเขา ดูท่าจะเมามากเหมือนกัน ดิ้นไปดิ้นมากลายเป็นว่าล้มลงไปด้วยกันทั้งคู่ โดยมีเขานอนทับผมอยู่แทนที่เขาจะได้สติเขากลับเอาหน้ามาไซร้ซอกคอผมเหมือนเดิม
“นิด อย่าทิ้งพี่ไปนะ พี่คิดถึงนิดนะ”
“นิดไหน กูโมว้อย ปล่อยกู๊...............”
“นิด พี่คิดถึงนิดนะ”
“ปล่อยกู๊...........................................” ผมดิ้นไป ร้องไป
เวลาหน้าสิ่วหน้าขวานขณะที่ผมกำลังจะกลายเป็นเมียของข้างบ้านอยู่นั้นเสียงทุ้มๆก็ดังขึ้น
มาต่อให้แล้วครับ ขอกำลังใจด้วยครับ บทที่สองความรู้สึกดีบังเกิด
“เฮ้ย ทำอะไรกันน่ะ”ผมกับเกือบว่าที่สามี มองไปตรงหน้าประตู เห็นชายคนหนึ่งแต่งตัวครึ่งท่อนสีกากี ยืนอยู่หน้าประตูมองสลับไปมาระหว่างผู้ชายสองคนพลางทำหน้าตาว่า อะไรกันวะเนี่ย
ขณะที่ผมกำลังมองหน้าคนที่ปล้ำผมอยู่นั้น สัญชาตญาณอย่างหนึ่งได้บอกว่าผมกำลังอยู่ในสถานการณ์ไม่ดีเอาเสียแล้วคือ เฮ้ย อย่า อย่าทำหน้าแบบนั้น อย่า ม่าย
“อ้วก อ๊อก แหวะ...............”
................ฮึ่ม....................... เต็มๆตัวกูเลยผมรวบรวมกำลังเอาเท้าถีบเข้าที่ท้องของคนที่อยู่บนตัวผม ไปชนผนังดัง พลั่ก แล้วลุกขึ้นใส่รองเท้า ผลักผู้ชายที่อยู่หน้าประตูแล้ววิ่งออกไปกลับเข้าบ้านของผมเองพอเข้าบ้านได้ก็ล็อคประตู บ้านแล้วนั่งพิงอย่างหมดแรงผมไม่รู้ว่าน้ำตามันไหลออกมาตอนไหน เลยนั่งซบกับเข่าตัวเองอย่างนั้นเกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ ยังไม่เคยเจออะไรแบบนี้ฮึ่ม ถึงกูจะหน้าตาไม่ค่อยดี ก็พอดูได้ ไม่ได้ใจง่ายขนาดนั้นนะว้อย จริงๆนะ ตอนนั้นผมคิดอย่างนั้นจริงๆ สาบานได้พอนั่งได้สักพักนึง สติเริ่มกลับมา ดูเนื้อตัวตัวเองเต็มไปด้วยอ๊วก อะไรวะเนี่ย แต่ก็ยังดี ที่มีแต่เหล้า อ๊วกออกมาเลยเป็นน้ำๆ สงสัย ไม่ได้กินข้าวเข้าไปด้วย เลยไม่มีชิ้นๆออกมา อืม เพิ่งเกือบจะเสียความบริสุทธิ์มาหยกๆ ยังมีกะใจมานั่งวิเคราะห์พิจารณาอ๊วกอีก
หลังจากที่ผมอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จแล้ว ก็ออกมานั่งเล่นข้างหลังบ้าน ซึ่งบ้านนี้ก็มีเนื้อที่พอสมควรครับ ปลูกต้นขนุน กะ ต้นจำปีไว้อย่างละต้น แล้วก็มีต้นโมกกอใหญ่พอสมควร กับต้นปีบท่าทางปลูกมาหลายปีแล้วล่ะคัรบ เพราะขนุนก็เริ่ม ที่จะออกลูกออกมาลูกใหญ่พอสมควรแล้วตอนนี้ก็เริ่มเย็นๆแล้ว กลิ่นดอกโมก ดอกปีบ และดอกจำปีเริ่มส่งกลิ่นมาประชันกัน สายลมของต้นเดือนมีนาคมพัดมาเหมือนจะบอกให้รู้ว่ากำลังเข้าสู่ฤดูร้อนแล้ว เห้อ คิดถึงบ้านจัง ตอนนี้ถ้าอยู่ที่บ้านก็คงจะลงไปว่ายน้ำในคลองให้ฉ่ำไปล่ะ มาอยู่กรุงเทพแค่สามสี่วันก็เกือบจะเสียตัวโดยไม่ได้ตั้งใจซะแล้ว แต่แปลกใจตัวเองอยู่เหมือนกัน แทนที่ผมจะคิดถึงหน้าคนที่กำลังปล้ำผม แต่ผมกลับไปคิดถึงหน้าคนที่ยืนอยู่ที่ประตู คิดแล้วก็เหมือนกับมีไฟฟ้าสถิตวิ่งมาที่หัวใจ นี่ผมกำลังเป็นอะไรเนี่ยกำลังคิดอะไรเพลินๆอยู่นั้นผมก็รู้สึกว่าเหมือนมีคนมาตะโกนเรียกอยู่หน้าบ้าน เลยเดินออกไปดู ก็พบกับผู้ชายคนที่ยืนอยู่ตรงประตูขณะที่ผมกำลังโดนปล้ำ
แบบว่าโดนได้จัย เอาอีก อยากอ่านต่อ{:5_117:} ชอบจัง ขอบคุณมากมาก ขอบคุณครับ ไงก็ขอพลังน้ำจัยหน่อยครับ บทที่สอง ความรู้สึกดีบังเกิด (ต่อครับ)
“เอ่อ.....................สวัสดีครับ”เขาทักขึ้นมา พลางทำหน้าเหมือนกำลังไม่รู้จะพูดอะไรดี
“สวัสดีครับ เอ่อ........................”
“ผมเชษฐ์ ครับ อยู่บ้านข้างๆนี่แหล่ะ เอ่อ.. พี่ต้องขอโทษแทนเพื่อนพี่นะครับ มันเมามากไปหน่อย แฟนมันเพิ่งทิ้งไปน่ะครับ ก็เลยยังทำใจไม่ได้ ยังไงก็อย่าไปถือสามันนะครับ ถ้ามันตื่นขึ้นมาจะให้มันมาขอโทษอีกที”
“ไม่เป็นรัยหรอกครับ ผมเข้าใจแต่ก็ตกใจนิดหน่อย แต่ไม่เป็นอะไรแล้วล่ะ “
“ครับ ยังงัยพี่ก็ขอโทษแทนเพื่อนพี่แล้วกันขอบคุณสำหรับมะม่วงด้วยนะคัรบ หืม” พี่เชษฐ์ทำหน้าแปลกใจ และเอามือมาจับดูที่ข้อศอกผม
“เจ็บมั้ยครับ เนี่ย” พี่เชษฐ์ถามผม พลางพลิกข้อศอกผมขึ้นมาดู ผมก็เพิ่งสังเกตเหมือนกันแหล่ะครับ ว่ามันช้ำขนาดนี้ ตอนอาบน้ำไม่ยักกะเห็นแฮะ
“อ๋อ ไม่เป็นรัยหรอกครับ สงสัยกระแทกตอนล้มน่ะ “
“มียาทามั้ยล่ะ ไปทายาที่บ้านพี่ก่อนมั้ย”
“ไม่เป็นรัยจริงๆพี่ ไม่ต้องห่วงหรอก ผมน่ะ ตายยากอยู่แล้ว ไม่รบกวนหรอกครับ “
“ครับ ไม่เป็นรัยก็ไม่เป็นรัย แต่ถ้ามีอะไรก็ไปหาพี่นะ เดี๋ยวพี่ขอตัวก่อนแล้วกันครับ ยังไม่ได้เช็ดอ๊วกไอ้บ้านั่นเลย เอ่อ ว่าแต่น้องชื่อรัยเหรอครับ ยังไม่รู้จักเลย”
“ผม โม ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ พี่เชษฐ์ “
“ครับ ยินดี ยังงัยถ้ามีอะไรให้พี่ช่วยก็บอกนะ ไม่ต้องเกรงใจ พี่ไปล่ะ “ พี่เชษฐ์ บอกลาแล้วเดินกลับไปบ้านของเขา
ถ้าตอนนี้มีใครซักคนยืนอยู่ด้วยเนี่ย คงจะเห็นผมหน้าแดงเหมือนลูกตำลึงสุกเลยมั้งครับ ผมรู้สึกว่าหน้าร้อนผ่าวผิดปกติ ปกติคุยกับผู้ชายคนอื่นไม่เห็นเป็นแบบนี้เลยนี่หว่า พี่เชษฐ์เท่าที่ผมดูแล้วอายุน่าจะประมาณ สามสิบต้นๆ สูง 190 ได้มั้ง เพราะเวลาผมยืนเทียบดูแล้ว สูงกว่าหน้าอกพี่เค้านิดเดียวเอง (ผมสูงแค่ 160 ครับ) ผิวออกสีแทน ตัวใหญ่ หน้าตาเข้มมีเคราเขียวครึ้มลงมาถึงคาง คิ้วดำหนา ผมตัดสั้นรองทรง แต่สิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกว่าพี่เค้ามีเสน่ห์ที่สุดอยู่ที่ดวงตากลมใหญ่สีน้ำตาล บอกตัวเองไม่ถูกเหมือนกันแต่รู้สึกดีครับ ที่ได้รู้จักพี่เค้า ทำให้กรุงเทพในวันต่อๆไป น่าอยู่ขึ้นเยอะ
ไงก็ขอพลังน้ำจัยหน่อยน่ะ
บทที่สามก่อนที่ความรักจะทักทาย
3 มีนาคม 2548
วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกของผมครับ วันนี้ผมตื่นแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว พอเสร็จแล้ว ส่องกนะจกดู เหอๆๆ รู้สึกตัวเองดูดีเหมือนกันนะเนี่ย (อย่าว่าผมหลงตัวเองเลยนะคัรบ ขอนิดนึงแล้วกัน) ออกจากบ้านตั้งแต่เจ็ดโมงเช้าทั้งๆตัวเองเข้างานเก้าโมงขึ้น (ตอนแรกๆเห่องานใหม่ก็แบบนี้แหล่ะคัรบ พอชักชินแล้ว สิบโมงยังไม่อยากเข้างานเลย)พอเดินออกมาจากหน้าบ้าน ก็มีเสียงทักขึ้น
“อ้าว โม ไปทำงานแล้วเหรอ” พี่เชษฐ์น่ะเองเห็นว่ากำลังรดน้ำต้นไม้อยู่
“วันนี้วันแรกครับ เลยไม่อยากไปสาย”
“แล้วเข้างานกี่โมงเนี่ย” พี่เขาถามต่อ
“เก้าโมงครับ”
“แล้วทำงานที่ไหนเหรอ”
“ตึก XXXX นี่แหล่ะครับ นั่งรถเมล์ไปแป๊บเดียวก็ถึงแล้ว”
“ก็ตรงข้ามที่ทำงานพี่นี่ แล้วไปตั้งแต่เช้า จะไปช่วยแม่บ้านเค้าทำความสะอาดด้วยเหรองัยเนี่ย “
“ก็ตื่นเต้นน่ะครับ นอนไม่หลับ แหะๆๆ “
“อ๋อ งั้นไปกับพี่แล้วกันรอหน่อยสิ เด๋วพี่ไปอาบน้ำแต่งตัวแป๊บ พี่เข้างานแปดโมงครึ่งน่ะ”
“อ่า งั้นก็ได้ครับ “ ผมตอบตกลงไป แล้วเดินเข้าไปนั่ง เก้าอี้ไม้หน้าบ้านพี่เชษฐ์ โดยที่ประตูหน้าบ้านพี่เชษฐ์เขาไม่ได้ปิดไว้ พอมองเข้าไปก็เห็นพี่เชษฐ์เดินถือผ้าเช็ดตัว แล้วก็เดินเข้าห้องน้ำหลังบ้านพออีกสักพักนึง พี่เชษฐ์ก็ออกมาจากห้องน้ำ แป๊บเดียวจริงๆ ไม่รู้ว่าวิ่งผ่านน้ำหรือเปล่าเนี่ย แต่สิ่งที่ทำให้ผมตะลึงมากกว่านั้นคือ พี่เชษฐ์เดินออกมา พร้อมกับใส่กางเกงในสีขาวแค่ตัวเดียว ผมตะลึงอยู่นั่นซักพักนึง เลยรีบหันหน้าออกไป รู้สึกว่าเสียงหัวใจผมเต้นไม่ใช่เสียง ตึก ตั่กๆ แต่เป็นเสียง ผู้ชาย โป๊ โป๊......ผู้ชาย โป๊ โป๊..... แทน ทั้งๆที่ผมเคยเห็นผู้ชายใส่กางเกงในตัวเดียวก็บ่อยไป แต่ไม่เคยเป็นแบบนี้เลย พับผ่าสิ
อีกครู่นึง พี่เชษฐ์ก็เดินออกมา แต่งตัวเต็มยศ แต่ใส่เสื้อแจ๊คเก็ตสีดำทับไว้ ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าพี่เค้ายศตำแหน่งอะไร เพราะดูไม่เป็นจริง ๆ พี่เชษฐ์เดินออกมาจากบ้าน หยิบหมวกกันน๊อคให้ผมใบหนึ่ง แล้วตะโกนเข้าไปในบ้านว่า
“เฮ้ย`ตัวเงินตัวทอง` กูไปแล้วนะว้อย ออกมาปิดบ้านด้วย” อืม เพื่อนพี่เชษฐ์เค้าชื่อเพราะจัง เลยนึกไปถึงว่า ถ้าวันนั้นพี่เชษฐ์ไม่กลับมาก่อน กูจะเป็นยังงัยวะเนี่ย
ผมเลยได้ซ้อนท้ายมอเตอร์ไซด์พี่เชษฐ์เค้ามาทำงานในวันแรกนั้น ตอนแรกผมนั่งตัวเกร็งๆเพราะว่าผมไม่ค่อยคุ้นที่จะนั่งมอเตอร์ไซด์ในกรุงเทพเท่าไหร่ครับ ( อยุธยาบ้านผมรถไม่เยอะเหมือนกรุงเทพนี่นา) ผมเลยนั่งเอามือ กอดกระเป๋าเอกสารไว้อย่างนั้น พอพี่เค้าสังเกตุเห็นผมทำแบบนั้นแล้ว พี่เค้าก็เลยจับมือผม ทั้งสองข้างไปกอดไว้ตรงเอวพี่เค้าเอาอีกแล้ว ทำไมรู้สึกหัวใจเต้นแรงจัง แอบมองหน้าตัวเองในกระจกมองหลัง เฮ้ย หน้าเราแดงยังกะตูดลิงเลยแฮะ
ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพครับ ยังเหลือเวลาอีกนิดหน่อย พี่เชษฐ์ส่งผมลงตรงหน้าสถานีตำรวจแล้วก็ให้ผมเดินข้ามฝั่งมายังที่ทำงานของผม ผมยังสงสัยในตัวของผมเอง เจอคนมาเยอะแยะไม่ยักกะมีอาการแบบนี้ แต่ทำไมกับพี่คนนี้ ถึงได้เกิดขึ้นมาแต่ก่อนกับผู้ชายคนอื่นไม่เคยเป็นเลยแฮะ ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ คิดว่าสักวันคงมีคำตอบให้กับตัวผม
ว๊าว ..., หล่อมากเลยครับ หุ่นดีสวดยอด ขอบคุณมากครับ มาต่อแว้วครับ บทที่สาม ก่อนที่ความรักจะทักทาย (ต่อครับ)
วันนี้เป็นวันทำงานวันแรกครับ เลยต้องมีการแนะนำตัวกันนิดหน่อย แต่ว่าก็คงไม่ใช่ผมคนเดียวหรอกครับ ที่เข้าทำงานวันแรก ทั้งแผนกผม ถ้ารวมผมด้วย ก็พนักงานใหม่รวมกันแล้วถึงสามคน ผมโชคดีหน่อยครับ หลังจากสองคนนั่นเค้าได้ตำแหน่งงานในออฟฟิศ แต่ผมต้องไปอยู่ในส่วนต้องติดต่อประสานงานกับทางอื่นๆ เลยได้เอกสิทธิพิเศษในด้านการเข้าเวลางานน่ะครับ อิอิ คือถ้าพูดง่ายๆก็คือ สามารถเข้างานได้ตลอดเวลาครับ ไม่ได้เน้นเข้าเก้าโมงเช้า ออกห้าโมงเย็นครับ แต่ว่าในตอนแรกๆ ก็ต้องทำงานคู่กับพี่เลี้ยง เพื่อให้พี่เขาสอนงานให้ แต่วันนี้พี่ที่ฝ่ายบุคคลบอกว่า รอพรุ่งนี้ เพราะพี่เลี้ยงลาพักร้อน พรุ่งนี้ถึงจะเข้ามาทำงานวันนี้ทั้งวันก็เลยมีรุ่นพี่เข้ามาทักทายทั้งวัน มีพี่คนหนึ่งพูดขำๆ(แต่เอาจริง) ว่า มีเด็กมาให้กินแล้ว อดอยากมานานพอห้าโมงเย็นก็ได้เวลาเลิกงาน ผมเลยเดินลงไปกะเพื่อน ซึ่งข้างล่างของสำนักงานก็จะเป็นห้างสรรพสินค้าครับ มีร้านอาหาร ร้านขนมมากมาย เห็นน่ากินเลยว่าจะซื้อไปฝากพี่เชษฐ์ แต่เอ ทำไมผมต้องซื้อไปฝากพี่เค้าด้วยล่ะ เพิ่งรู้จักกันทำไมต้องซื้อไปให้ด้วย ปรากฏว่าผมเดินวนอยู่หน้าร้านสี่ห้ารอบ เลยตัดสินใจซื้อ คิดว่าจะกินเองก็ได้ ทั้งๆที่ปกติผมเป็นคนไม่ชอบกินขนมเค้กที่มีเนยหวานๆ เท่าไหร่นัก (พ่อบอกว่าเวลาอยากให้สุนัขมันดุ ต้องให้กินของหวานมากๆเลยคิดว่าเป็นคนก็คงเหมือนกัน)
ผมเลยได้ขนมมาห่อนึง พอมาถึงบ้านก็เอามานั่งดู คิดว่าจะเอาไปให้ดีมั้ย เค้าจะรู้สึกยังงัย เวลาที่ผู้ชายซื้อขนมไปฝากผู้ชาย คิดไปต่างๆนานาจนในที่สุด ประมาณหกโมงเย็นกว่าๆ ผมก็ได้ยินเสียงรถมอเตอร์ไซด์ของพี่เชษฐ์ขับกลับเข้ามาผมจึงถือห่อขนมออกไปให้พี่เค้า (จนได้)
“พี่เชษฐ์หวัดดีครับ เอ่อ....พอดีตอนจะกลับเดินผ่านร้านขนม เอ่อ....เลยซื้อมาขอบคุณที่เมื่อเช้า เอ่อ....ไปส่งที่ทำงานน่ะ เอ่อ.... คับ”ช่วงนี้กรูเป็นอะไรหว่า ปกติพูดจนลิงหลับ แต่ทำไมวันนี่มันพูดไม่ออกวะ
พี่เชษฐ์ ทำหน้าแปลกใจนิดนึง ก่อนที่จะยิ้มออกมา แล้วพูดว่า
“หืม ขอบคุณครับ ไม่น่าลำบากเลย ยังงัยพี่ก็ต้องไปทางนั้นอยู่แล้ว เดี๋ยวเราไปพร้อมกับพี่ก็ได้ ไม่เป็นรัยหรอก”
“แหะๆ ขอบคุณครับ” ผมกล่าวคำขอบคุณ ที่จริงอยากจะพูดมากกว่านั้น แต่ในสมองมันตื้อไปหมด เลยได้แต่นิ่งๆ เกาะอยู่กำแพงเหมือนจิ้งจก มองดูพี่เชษฐ์เข็นรถมอเตอร์ไซด์เข้าไปเก็บในซอกข้างกำแพงบ้าน
“นี่เราจะเกาะกำแพงอยู่อย่างนั้นเลยเหรอ เข้ามาเล่นข้างในบ้านก่อนสิ “ พี่เชษฐ์ร้องทักและชวนผมเข้าไปในบ้านแต่ในขณะที่กำลังเปิดประตูเข้าไปในบ้านนั้น พี่เชษฐ์ก็ร้องขึ้นอย่างแปลกใจ
“ห่ะไอ้ศักดิ์มันไม่ได้ล็อกประตูเหรอ เฮ้ย `ตัวเงินตัวทอง` อยู่มั้ยวะ” พี่เชษฐ์ร้องตะโกนถาม แต่ไม่มีใครตอบกลับมา ผมเดินตามพี่เชษฐ์เข้าไปในบ้าน รู้สึกทะแม่งๆแล้วสิ
“บ้านก็ไม่ได้ล็อก มันไปไหนล่ะ `ตัวเงินตัวทอง`เอ๊ย” พี่เชษฐ์สบถออกมา
“อยู่ข้างบนมั้งครับ” ผมออกความเห็น
“อยู่บนบ้านก็น่าจะล็อคประตูไว้นะ ขโมยขโจรเข้ามาจะทำงัยเนี่ย” นี่มันบ้านตำรวจเลยนะ ท่าทางจะขี้บ่นเหมือนกันนะ พี่เชษฐ์เนี่ย
ในขนะที่พี่เชษฐ์กำลังเดินขึ้นไปข้างบนบ้าน ผมก็เลยนั่งลงที่โต๊ะกินข้าว สักครู่หนึ่ง ก็ได้ยินเสียงพี่เชษฐ์ตะโกนลงมาว่า
“เฮ้ย ไอ้ศักดิ์ มึงอย่าเป็นอะไรนะว้อยโม มาช่วยพี่หน่อย”
มาต่อทีนะครับ บทที่สี่อีกด้านของความรัก
“เฮ้ย ไอ้ศักดิ์ มึงอย่าเป็นอะไรนะว้อยโม มาช่วยพี่หน่อย” ผมรีบวิ่งตามเสียงนั้นขึ้นไปชั้นบน ที่ห้องของพี่ศักดิ์ก็พบว่าพี่เชษฐ์กำลังพยุงร่างของพี่ศักดิ์ ขึ้นมาจากที่นอนเดาจากสภาพน่าจะไม่ใช่อาการเมา แต่น่าจะเกิดจากอาการหมดสติมากกว่า ผมรีบวิ่งเข้าไปพยุงพี่ศักดิ์ แล้วพาลงมาที่ชั้นล่าง พี่เชษฐ์เชษฐ์วิ่งไปหยิบกุญแจรถที่วางไว้บนชั้นข้างๆทีวี แล้วมาช่วยพยุง พี่ศักดิ์ไปขึ้นรถที่จอดอยู่หน้าบ้าน ตอนนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกัน ว่าผมขึ้นรถมากับพี่เชษฐ์ได้ยังงัย มารู้ตัวอีกทีก็มาอยู่หน้าห้องฉุกเฉินแล้วล่ะ
เกือบจะสองทุ่มแล้ว ผมกับพี่เชษฐ์ยังนั่งอยู่หน้าห้องฉุกเฉินไม่ใช่สิ ผมคนเดียวที่นั่งมากกว่า เพราะว่าพี่เชษฐ์ก็ได้แต่เดินไปเดินมาหน้าห้องนั่นแหล่ะ พอผมล้วงกระเป๋ากางเกงก็พบเศษสตางค์อยู่นิดหน่อย เลยลุกเดินออกไปยังตู้ขายน้ำอัตโนมัติที่ชั้นล่างซื้อชามาให้พี่เชษฐ์กับผมคนละกระป๋องพี่เชษฐ์พูดขอบคุณแล้วก็นั่งลงที่เก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน แล้วก็เงียบไปผมก็ได้แต่มองหน้าพี่เค้า แต่ก็ไม่รู้จะพูดยังงัย เลยได้แต่พูดปลอบว่า
“พี่ศักดิ์คงไม่เป็นอะไรมากหรอกครับ ไม่ต้องห่วงหรอก พี่เค้ายังไม่ได้มาขอโทษที่ปล้ำผมวันนั้นเลย” พอผมพูดจบ พี่เชษฐ์ก็มองหน้าผมแล้วก็ยิ้มออกมา พลางเอามือมาขยี้หัวผม สายตาที่มองผมมันรู้สึกอบอุ่นบอกไม่ถูก แต่พอสบตาพี่เค้าแล้วก็รู้สึกอายๆจนต้องหลบตาออกมา หัวใจมันก็ยังเต้นแรงไม่หยุดอยู่นั่นแหล่ะสงสัยจริงๆ ความรู้สึกแบบนี้เค้าเรียกว่าอะไรกันนะ พอดีคุณหมอเดินออกมาจากห้องฉุกเฉิน แล้วบอกว่า คนไข้กินยานอนหลับเกินขนาดไป ตอนนี้ล้างท้องอยู่ในภาวะปลอดภัยแล้ว ไม่ต้องเป็นห่วง แต่ยังไม่ฟื้นพวกเราสองคนเลยขอเข้าไปเยี่ยม คุณหมอก็อนุญาติแต่ได้แค่แป๊บเดียวเพราะต้องให้คนไข้พัก พวกเราสองคนก็รีบเข้าไปยังห้องพี่ศักดิ์ ซึ่งพยาบาลได้ย้ายออกมาที่ห้องพักฟื้นแล้วพี่เชษฐ์ได้เข้าไปยืนข้างเตียง มองดูพี่ศักดิ์กำลังหลับอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไร ผมสังเกตุได้ว่า ตาของพี่เชษฐ์ แดงๆ เหมือนกำลังจะร้องให้ผมเลยเดินออกมารอที่หน้าห้อง สักพักนึงพี่เชษฐ์ก็เดินออกมา ด้วยสีหนาที่ดีกว่าเดิมเล็กน้อย แต่แววตาดูเศร้าเหมือนเดิม
“พี่ต้องขอโทษด้วยนะ ลำบากเราอีกแล้ว” พี่เชษฐ์พูดขอโทษผม
“ไม่เป็นไรหรอกครับ ว่าแต่พี่ ไม่เป็นรัยนะ”
“อื้ม สบายใจขึ้นเยอะแล้ว เดี๋ยวถ้ามันออกมาเมื่อไหร่ พี่อัดมันแน่”
“ผมว่าถ้าพี่อัดพี่ศักดิ์ คงต้องเข้าโรงพยาบาลอีกรอบแน่นอนอ่ะครับ”
“ฮึ ทำไมเราย้อนเก่งจังเนี่ย หิวยังล่ะ ไปหารัยกินป่ะ เด๋วพี่เลี้ยง
ตกลงว่าหลังจากเราออกมาจากโรงพยาบาลแล้ว พี่เชษฐ์ เขาก็พาผมไปกินข้าวที่ร้านแถวๆบ้านนั่นแหล่ะคัรบ จำได้ว่าเราสองคนสั่ง กระเพราไก่ไข่ดาวเหมือนกัน (อาหารสิ้นคิดจริงๆ) เราก็นั่งคุยกันไป กินกันไป ทำให้ผมได้รู้จักพี่เชษฐ์เขาเพิ่มขึ้นมา พี่เชษฐ์เขาเป็นตำรวจครับ ระดับร้อยตำรวจเอก หรือบ้านๆเรียกผู้กองนั่นแหล่ะครับ ชีวิตของพี่เชษฐ์เค้าก็มีพี่ศักดิ์คนนี้คนเดียวแหล่ะคัรบ ที่นับว่าเป็นญาติของพี่เค้า เพราะตั้งแต่พ่อแม่ตาย พี่เชษฐ์ก็ไม่ได้มีญาติพี่น้องที่ไหนอีกเลย ซึ่งสาเหตุนั้นผมก็ไม่รู้เหมือนกันครับ ว่าทำไม เค้าจึงถือพี่ศักดิ์เป็นญาติคนเดียวของเขา กินเสร็จเราสองคนก็พากันกลับบ้านครับ กว่าจะถึงบ้านก็สี่ทุ่มกว่าๆ พอส่งผมเข้าบ้านแล้ว ผมก็อาบน้ำเตรียมเข้านอน พอล้มตัวลงที่นอนแล้ว รู้สึกว่าหน้าของพี่เชษฐ์เค้าวนเวียนอยู่ในความคิดตลอดเลย ทำยังไงก็ไม่หายซักที จนผลอยหลับไปในที่สุด
ขอบคุณครับ รอติดตามอยู่นะครับ ขอบคุณมากคับ บทที่สี่ อีกด้านของความรัก (ต่อครับ)
เข้าวันรุ่งขึ้น ผมตื่นแต่เช้าเช่นเคย อาบน้ำแต่งตัว เตรียมตัวไปทำงาน ก่อนที่ผมจะออกจากบ้าน ลองชะโงกข้ามรั้วมองออกไปยังบ้านของพี่เชษฐ์ ปรากฏว่าประตูบ้าน ปิดไว้เรียบร้อย และมอเตอร์ไซด์ของพี่เค้าก็ไม่อยู่ แสดงว่าพี่เค้าคงออกไปทำงานแล้วล่ะ ผมก็เลยคิดว่า ยังงัยวันนี้ก็ยังเช้าอยู่ ไปเยี่ยมพี่ศักดิ์ก่อนไปทำงานก็ยังทัน คิดได้ดังั้นก็รีบขึ้นรถเมล์ไปยังโรงพยาบาลก่อน โชคดีครับ ที่โรงพยาบาลไม่ไกลจากที่ทำงานเท่าไหร่ พอไปถึงหน้าโรงพยาบาลแล้ว ก็เห็นร้านขายน้ำเต้าหู้ กะปาท่องโก๋ขายอยู่หน้าโรงพยาบาล เลยซื้อ ไปสองถุงกะปาท่องโก๋อีกห้าตัว กะว่าจะไปกินที่ทำงานน่ะครับ กลัวออกมาเค้าเก็บกลับบ้านก่อน
ซื้อเสร็จผมก็เดินเข้าไปเยี่ยมพี่ศักดิ์ แต่ขณะที่กำลงัเปิดประตูเข้าไป ก็มีคนเดินสวนออกมา พี่เชษฐ์นั่นเอง
“อ้าว โม มาด้วยเหรอ พี่นึกว่าไปทำงานแล้ว”
“ครับ มาเยี่ยมพี่ศักดิ์ก่อนน่ะครับ เดี๋ยวเลยไปทำงานเลย”
“ศักดิ์เขายังไม่ตื่นเลย เราจะเข้าไปเยี่ยมมั้ยล่ะ” พี่เชษฐ์ถามผม
“อืม งั้นไม่ดีกว่าครับ ให้พี่เขาพักไปก่อนแล้วกัน เดี๋ยวผมค่อยมาทีหลังก็ได้ครับ”
“งั้นเดี่ยวไปกับพี่เลยแล้วกัน แล้วซื้ออะไรมานั่นน่ะ” พี่เชษฐ์ถามผมขณะมองไปยังถุงน้ำเต้าหู้กับปาท่องโก๋
“ปาท่องโก๋กะน้ำเต้าหู้น่ะครับ พี่เชษฐ์กินมั้ยอ่ะ ผมซื้อมาสองถุงน่ะคัรบ กะว่าจะไปกินที่ทำงาน”
“ดีเหมือนกัน งั้นไม่เกรงใจนะ ขอถุงนึงแล้วกัน “
เป็นอันว่าเราสองคนกินปาท่องโก๋กะน้ำเต้าหู้เป็นอาหารเช้าของวันนั้นโดยการกัดก้นถุงกินกัน (ที่บ้านผมก็กินแบบนี้แหล่ะ)
“เอ้า หกหมดเลย เดี๋ยวนะครับ” ผมร้องขึ้น พลางล้วงเอาผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดให้พี่เชษฐ์ หลังจากที่น้ำเต้าหู้เลอะหน้าพี่เค้าสงสัยบีบแรงไปหน่อย ในจังหวะเดียวกันที่ผมเผลอตัวเอาผ้าเช็ดหน้าไปเช็ดให้พี่เค้า พี่เชษฐ์ก็เอามือขึ้นมารับผ้าเช็ดหน้าของผม ทำให้มือของเราโดนกันโดยไม่ตั้งใจ เหมือนมีไฟฟ้าสถิตมาโดน(เหมือนละครหลังข่าวจังว่ะ --------เสียงจากเรื่องข้างๆ)ผมรีบหลบตาพี่เชษฐ์ ใจเต้นแรงอีกแล้ว เป็นอะไรกันแน่เนี่ย กรู
“เอ่อ.... ขอบคุณครับ” พี่เชษฐ์ พูดพลางเอาผ้าเช็ดหน้าคืนผมรับมาแต่ก็ไม่ได้พูดอะไร (พูดไม่ออกมากกว่า)
“เป็นอะไรอ่ะ โม หน้าแดงเชียว ไม่สบายปล่าว” พี่เชษฐ์ถามผม
“อ๋อ เอ่อ..... สงสัยร้อนน่ะครับ ไม่เป็นไรหรอก “
“พี่นึกว่าไม่สบายน่ะ เห็นหน้าแดงๆ ไม่เป็นก็ดีแล้ว ถ้าเป็นอะไรพี่คงรู้สึกไม่ดี”เออ ว้อย.... ก็เพราะพี่นั่นแหล่ะ ที่ทำผมเป็นแบบนี้ ผมคิดในใจ
พี่เชษฐ์พาผมเดินไปยังรถมอเตอร์ไซด์ แต่วันนี้พี่เค้าคงไม่นึกว่าผมจะมาด้วย เลยเอาหมวกกันน๊อคมาแค่ใบเดียว พี่เชษฐ์เลยเอามาให้ผมใส่
“อ้าว แล้วพี่เชษฐ์ล่ะคัรบ “ ผมถามขึ้น
“ไม่เป็นไรหรอก เราใส่นั่นแหล่ะเดี๋ยวพี่ขับช้าๆก็ได้”
“อ่า............. ครับ” ผมรับหมวกมาใส่ แล้วก็ขึ้นซ้อน แต่ด้วยกลัวว่าพี่เชษฐ์จะอึดอัด ผมเลยนั่งห่างออกมา จนเกือบจะติดท้ายรถ
“อะไรน่ะ นั่งดีๆ สิ เขยิบเข้ามาอีก เดี๋ยวก็ตกหรอก” ผมขยับเข้าไปแบบเก้ๆกังๆ พี่เชษฐ์เห็นผมก็เลยหัวเราะขึ้น แล้วจับเอามือผมไปโอบรอบเอวพี่เค้าไว้ ทำให้ตอนนี้หน้าของผมไปซบอยู่กับหลังของพี่เชษฐ์ ได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ออกมาจากแผ่นหลัง โอยยยยยย ใจเต้นอีกแล้ว แต่รู้สึกอบอุ่นดีแฮะ มันเป็นความรู้สึกดีๆที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาเลย รู้สึกว่าวันนี้อยากให้ถนนมีแยกไฟแดงซักร้อยแยกจัง(งั้นพวกแกสองคนก็ไปทำงานสายน่ะสิ ------------เสียงเจ้าของเรื่องข้างๆ)
บทที่ห้า ใช่รักหรือเปล่า (เรื่องบังเอิญ)
พอไปถึงที่ทำงานผมก็แปลกใจอีกครั้งนึง เพราะแทนที่พี่เชษฐ์จะส่งผมแค่หน้าสถานีแล้วให้ผมเดินข้ามถนนเข้าสำนักงานเอง แต่สำหรับวันนี้พี่เชษฐ์ขับรถมาส่งผมถึงหน้าประตูตึกสำนักงานเลยทีเดียว ทำให้คนที่กำลังเดินเข้าสำนักงานมองผมกันเป็นแถว
“วันนี้เลิกงานกี่โมงน่ะ โม” พี่เชษฐ์ถามขึ้นมา
“ก็ห้าโมงน่ะครับพี่มีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมถามกลับ แล้วถอดหมวกส่งคืนให้
“อืม ตอนเย็นพี่จะไปดูไอ้ศักดิ์มันอีกทีน่ะ เผื่อเราจะไปด้วยไปด้วยกันมั้ยล่ะ”
“ดีครับ งั้นผมขอไปด้วยแล้วกัน ผมเข้าทำงานก่อนนะครับ สายแล้ว”
“จ้ะ” หา! ตะกี๊พี่พูดว่าอะไรนะ ผมทำหน้าเหลอหลา พี่เชษฐ์มองหน้าหัวเราะนิดนึงแล้วขับรถออกไป เห้อ พูดเหมือนคนรักกันเลยแต่เอ รักเหรอ ไม่ใช่หรอกม๊างง เจอกันอาทิตย์เดียวเอง ไม่ใช่รักหรอก ผมคิดเข้าข้างตัวเอง
“เฮ้ย ไอ้โม มึงจะยืนเป็นยามอยู่หน้าตึกนั่นเหรอ เข้ามาได้แล้ว” เสียงตะโกนมาจากข้างหลังผม ไอ้ต้นน่ะเอง ไอ้ต้นเป็นเพื่อนผมสมัยเรียนมหาลัยนี่ล่ะครับ ผมกับมันทำงานที่ตึกเดียวกัน แต่คนละบริษัท
“เฮ้ย พ่อมึงเป็นตำรวจเหรอ กูไม่ยักกะรู้” ไอ้ต้นมันถามขึ้นมา
“พ่อกูที่ไหนล่ะ พี่ข้างบ้านว้อย พอดีเค้าทำงานฝั่งตรงข้ามนี่แหล่ะ เลยขอติดรถเข้ามา”
“เออ กูก็นึกว่าพ่อ แต่ไม่น่าจะใช่ กูก็ว่าอยู่ พ่อหน้าดี แต่ทำไมลูกออกมาหน้าตาเหมือน`ตัวเงินตัวทอง`จัง”
“ถุย ไอ้สัด พูดยังงี้มีมาชกกะกูเลยมา ยังกะมึงหน้าตาดีกว่ากูยังงั้ยแหล่ะ ไอ้ถุงยางแตก”
“ฮ่าๆๆๆ กูล้อเล่นนิดเดียว ทำเป็นโมโหเออ กูไปแล้ว โชคดีว่ะ”
“เออ โชคดี แล้วเจอกัน” ผมลามัน ไอ้ต้นมันเป็นพื่อนสมัยที่เรียนอยู่มหาลัยครับ เป็นเพื่อนในจำนวนน้อยนิดของผม(ไม่มีใครคบ) ถือว่าเป็นเพื่อนที่ดีที่สุดของผมก็ว่าได้ เพราะถึงมันจะปากหมาแบบนี้ แต่จิตใจมันก็ดีนะคัรบ ชอบช่วยเหลือเพื่อน (แต่เวลายืมตังค์ทีไร มันไม่เคยให้เลย) นิสัยก็บ้าๆบอๆ พอกันกับผมนี่แหล่ะครับ เวลาอยู่ด้วยกันในกลุ่มเพื่อน ผมกับไอ้ต้นนี่แหล่ะ เป็นคนที่เรียกเสียงหัวเราะได้มากที่สุด ผิดกับตอนนี้ เวลาอยู่กับพี่เชษฐ์ ผมอยากทำตัวให้ตัวเองดูดีที่สุด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกัน คิดไปเพลินลิฟท์ก็พาผมมาถึงชั้นของสำนักงานแล้วครับ ผมก็เดินทักทาย สวัสดีรุ่นพี่ที่ทำงานอยู่ ตามประสาเด็กที่เพิ่งเข้ามาทำงานใหม่ ต้องเคารพรุ่นพี่หน่อยน่ะคัรบ (ไม่อยากจะบอกว่า พอคุ้นเคยกันแล้ว ผมซ่าสุดๆเลยนะ)
“น้องนะโมค๊า”เสียงพี่ฝ่ายบุคคลร้องทักขึ้น ซึ่งพี่เค้าก็พยายามทำเสียงให้หวาน แต่ทำให้คนฟังขนลุกแทน
“เอ่อ เรียกโมเฉยๆก็ได้ครับ พี่กุ้งมีอะไรกับผมเหรอครับ”
“อุ๊ยแบบว่าพี่อยากคุยกันน้องต้องมีเรื่องด้วยเหรอคะ” พี่กุ้งพยายามทำหน้าตาสวย แต่ดูเหมือนจะซวยมากกว่าอย่ามาทำหน้าตายังงั้นใส่นะป้า ผมมีพระนะ
“คือพี่อยากจะบอกว่า วันนี้น้องคงต้องไปทำงานกับหัวหน้าก่อนนะค๊า แบบว่าพี่เลี้ยงทำงานของน้องตอนนี้แอดมิทอยู่โรงพยาบาลน่ะค่ะ”
“พี่เค้าเป็นอะไรมากป่าวครับ” ผมถาม
“แบบว่าพี่ก็ไม่รู้เหมือนกันน่ะค่ะ เมื่อเช้าเพื่อนเค้าเพิ่งโทรมาลาเอง เห็นบอกว่ายังไม่ได้สติ”
“แล้วพี่เค้าชื่ออะไรเหรอครับ ผมยังไม่รู้เลย”
“สุรศักดิ์ค่ะ”
ชอบอ่านมากคับ